เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

"โรคไขมันเกาะตับ" ตอน 1

ปัจจุบันสังคมไทยโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย มีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตประจำวันไปเป็นแบบสังคมคนเมืองสมัยใหม่ ที่มีพฤติกรรมการกิน เปลี่ยนแปลงไปโดยบริโภคอาหารปรุงสำเร็จมากขึ้น บริโภคอาหาร ขนมหวาน มันเพิ่มขึ้น กินผักผลไม้น้อยลง ทำงานในตึกหรือ ออฟฟิศมากขึ้น และไม่มีเวลาออกกำลังกาย ลักษณะดังกล่าว ทำให้มีปัญหาโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลของโครงการคนไทยไร้พุง ที่สนับสนุนโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยอายุ 20-29 ปี ภาวะโรคอ้วนเพิ่มจากร้อยละ 2.9 เป็นร้อยละ 21.7 หรือเพิ่มขึ้น 7.5 เท่า และในกลุ่มอายุ 40-49 ปี เพิ่มขึ้น 1.7 เท่า นอกจากนี้ยังมีข้อมูลผลการสำรวจของกรมอนามัย ในประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศของปี พ.ศ. 2550 พบว่ามีภาวะอ้วนลงพุงในเพศชายร้อยละ 24 และเพศหญิงร้อยละ 61.5 ซึ่งเป็นปัญหาที่มีความสำคัญ นอกจากนี้ภาวะโรคอ้วนและโรคไขมันตับยังมีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก โดยพบว่าความชุกของโรคอ้วนในปี ค.ศ.2006 ของสหรัฐอเมริกา มีสูงถึงร้อยละ 20-30 และกลุ่มนี้จะพบความชุกของโรคไขมันตับได้สูงถึงร้อยละ 70-80 ดังนั้นการแนะนำให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงหลักการรักษาที่สำคัญและทำได้ด้วยตนเองก็คือ การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย จะเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่สำคัญที่ช่วยลดทั้งปัญหาโรคอ้วนและไขมันตับได้ โดย ในบทความในตอนที่ 1 จะแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักไขมันตับในเบื้องต้น รวมถึงหลักการคุมอาหาร ลดน้ำหนักอย่างไร ให้ได้ผลโรคไขมันเกาะตับคืออะไร

ไขมันเกาะตับ (Nonalcoholic fatty liver disease (NAFLD) หมายถึงภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับโดยที่คนนั้นไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์หรือดื่มในปริมาณที่น้อยมาก โดยที่ไขมันจะทำให้เกิดการอักเสบของตับและเกิดพังผืด ซึ่งถ้าเป็นไปในระยะยาวก็กลายเป็นโรคตับแข็งได้ ภาวะไขมันเกาะตับพบบ่อยแค่ไหน

มีความชุกของโรคไขมันเกาะตับ (NAFLD) สูงถึงร้อยละ 40 ของประชากรทั่วไป

ไขมันเกาะตับพบได้บ่อยขึ้นในคนบางกลุ่ม เช่น
  • คนอ้วนพบถึงร้อยละ 37-90
  • ผู้ป่วยเบาหวานพบร้อยละ 50-62
ภาวะไขมันเกาะตับมักมีโรคที่พบร่วมด้วย โดยเฉพาะภาวะอ้วนลงพุงหรือเมตาโบลิค ซินโดรม (Metabolic syndrome)

เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินพบได้ 1 ใน 3

ไขมันในเลือดสูงพบได้ 2 ใน 3

โรคอ้วนใช้เกณฑ์ดัชนีมวลกาย มากกว่า 28 กก./เมตร2 คำนวณโดยดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว (กก.)

ส่วนสูง (เมตร)2

หรือใช้เส้นรอบเอว ก็ช่วยบ่งชี้โรคอ้วนได้โดยดูจากเส้นรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว ในผู้ชายหรือมากกว่า 32 นิ้ว ในผู้หญิง

การวินิจฉัยภาวะไขมันเกาะตับ

มีความผิดปกติของค่าทำงานตับ

มีประวัติดื่มแอลกอฮอล์น้อยมากคือ น้อยกว่า 20 กรัม/วัน หรือไม่ดื่มเลย และไม่พบสาเหตุอื่น ๆ ของตับอักเสบ เช่น ยา สมุนไพร โรคตับจากไวรัส เป็นต้น

ผลการเจาะตับมีลักษณะพยาธิวิทยาที่พบไขมันแทรกอยู่เกินร้อยละ 5 และ/หรือมีการอักเสบร่วมด้วย

ผลตรวจอัลตราซาวด์พบว่ามีไขมันเกาะตับ

หมายเหตุ แอลกอฮอล์ 10 กรัม/วัน = เบียร์ 350 มล. หรือ ไวน์ 120 มล. หรือบรั่นดี 45 มล. ซึ่งเรียกว่า 1 ดริ๊งค์ (drink)สามารถวินิจฉัยภาวะไขมันเกาะตับได้อย่างไรบ้าง?
  1. การเจาะตับ
  2. การตรวจเลือดเพื่อแยกสาเหตุอื่น
  3. ตรวจอัลตราซาวด์ตับ
เนื้อตับที่แพทย์เจาะมาช่วยบอกอะไรบ้าง?

ช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคไขมันเกาะตับ

ช่วยบอกความรุนแรงของโรคว่าเนื้อตับมีการอักเสบ มีพังผืดมากน้อยเพียงใดตับแข็งหรือไม่

ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยเชื่อว่ามีโรคที่รุนแรงจริงและลงมือปฏิบัติปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันถ้ากังวลและไม่ต้องการเจาะตับจะวินิจฉัยโรคนี้ได้หรือไม่.....? อย่างไร.....?

ปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีการตรวจหาพังผืดในตับ โดยไม่ต้องเจาะตับ ซึ่งก็มีหลายวิธีที่มีข้อมูลวิจัยสนับสนุนอยู่ เช่น การตรวจเลือด Fibrosis test ที่ช่วยจำแนกความรุนแรงของพยาธิวิทยาของตับได้ว่ามีพังผืดมากน้อยเพียงใด ปัญหาคือราคาแพงอยู่มาก นอกจากนี้ยังมีเครื่องวัดความยืดหยุ่นของตับหรือ Transient Elastrography (Fibro-scanR) ที่มีหลักการของเครื่องมือโดยใช้อุปกรณ์ส่งคลื่นความถี่ระดับ 50 Hz ผ่านบริเวณตำแหน่งที่ใช้ในการเจาะตับคือ บริเวณด้านสีข้างตัดกับแนวลิ้นปี่โดยให้ผู้ป่วยนอนหงาย คลื่นดังกล่าวจะวัดความยืดหยุ่นของตับในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังลงไปประมาณ 1-2.5 นิ้ว ส่วนขนาดของเนื้อตับที่ตรวจวัดก็มีขนาด 1 x 4 ซม. ซึ่งมีปริมาตรที่มากกว่าชิ้นเนื้อจากการเจาะตับถึง 100 เท่า ปัจจุบันสามารถตรวจได้ในโรงเรียนแพทย์หลายแห่ง รวมทั้งที่คณะแพทยศาสตร์จุฬาฯด้วย แต่ข้อจำกัดคือยังไม่มีใช้อย่างแพร่หลายและค่าที่วัดได้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้โดยเฉพาะในคนที่อ้วนมาก ๆ

ข้อมูลจาก นายแพทย์สมบัติ ตรีประเสริฐสุข ศูนย์โรคตับและปลูกถ่ายตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์.

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

ที่มา : "โรคไขมันเกาะตับ" ตอน 1 - ชีวิตและสุขภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

หุ่นเพรียวเกินห้ามใจ ด้วยบาลานซ์ไดเอต

หุ่นเพรียวเกินห้ามใจ ด้วยบาลานซ์ไดเอต

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากดูดี โฉบเฉี่ยว เพรียวฟิต พร้อมปาร์ตี้สุดมันส์ปีใหม่นี้ อย่ารอช้ารีบมองหาแนวทางการรีดไขมัน แบบ บาลานซ์ไดเอตจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องพกพาไขมันส่วนเกินเดินทะลุข้ามปีไปด้วยกัน หลักการดูแลตัวเองแบบง่ายๆเหล่านี้จะช่วยดูแลและแก้ไขปัญหาน้ำหนักส่วนเกินได้เป็นอย่างดี
  1. คงดีขึ้นอีกนิด ถ้าคิดนับแคลลอรี่
    โดยปรกติเราควรได้รับพลังงานาจากมื้ออาหาร ประมาณ 1,400 และ 1,600 กิโลแคลอรี่ ต่อวัน หากมากเกินกว่านี้จะทำให้ร่างกายสะสมไขมัน จุดเริ่มต้นของการควบคุมน้ำหนักคือ การใช้วิธีบาลานซ์ ไดเอต มาปรับใช้ด้วยการยอมลดพลังงานเหลือวันละ 700 - 800 กิโลแคลอรี่ เพื่อช่วยดึงให้ร่างกายเผาผลาญไขมันสะสมในร่างกายมากขึ้น หากออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ก็จะสามารถทำให้น้ำหนักตัวลดลงมาได้อย่างน้อย 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ซึ่งน้ำหนักตัวที่ลดลงไปนั้นจะเป็นไขมันล้วนๆ ส่งผลให้รูปร่างกระชับมากขึ้น
  2. เปลี่ยนไปอินเทรนด์กับเมนูเพื่อสุขภาพ
    ทุกคนคงรู้ดีว่า อาหารฟาสต์ฟู้ด หรือ อาหารคนเมือง อาจไม่สามารถตอบโจทย์เมนูเพื่อสุขภาพได้ เพราะอาจมีสารอาหารไม่ครบถ้วน และ มีแคลลอรี่สูง สูตรง่ายๆคือ เปลี่ยนเมนู ปิ้ง ย่าง ผัด ทอด เป็น เมนู ต้ม นึ่ง ถือเป็นอาหารแคลลอรี่ต่ำ และยังช่วยจำกัดไขมันที่มากับมื้ออาหาร แถมยังช่วยลดอนุมูลอิสระที่เกิดจากอาหารพวกปิ้งย่าง และ ของทอด ในร่างกายได้อีกด้วย
  3. อย่าปล่อยให้สมองหิวโซ
    การอดอาหารถือเป็นแนวทางที่ไม่หวังดีกับร่างกาย เพราะทำให้สมองขาดพลังงาน จึงส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย และ หงุดหงิดง่าย แถมระดับฮอร์โมนความเครียดสูงทะลุเพดาน คุณสามารถทานเมนูสุดโปรดได้เพียงแค่จำกัดปริมาณให้น้อยลง ฉลาดเลือกเมนูเท่านั้น ก็ไม่ทำร้ายตัวเองแล้ว
  4. ให้โปรตีนเป็นฮีโร่
    ให้โปรตีนเป็นอาหารหลักในทุกๆมื้ออาหาร เพราะโปรตีนเป็นแหล่งให้พลังงานสะอาดกับร่างกาย แถมช่วยให้ร่างกายอิ่มทนนาน เพราะใช้พลังงานมากในการย่อย ควรเลือก ไก่ เนื้อปลา แซลมอน นม ไข่ และ โปรตีนจากธัญพืช
  5. เสริมการเผาผลาญ
    ให้อาหารฟังก์ชั่น ช่วยเสริมการทำงานและเผาผลาญในร่างกาย ซึ่งภารกิจจะสำเร็จได้ คงหนีไม่พ้นการ Block Burn Build จากสารสกัดธรรมชาติโดย
    • Block ด้วย สารสกัดจากกระบองเพชร ช่วยดักจับไขมันจากอาหาร สารสกัดจากข้าวสาลี ช่วยยับยั้งการดูดซึมแป้งคาร์โบไฮเดรตในร่างกาย
    • Burn ส่วนผสมที่ลงตัวของ สารสกัดจากพริก ชาเขียว และ น้ำมันดอกคำฝอย ช่วยให้ไขมันในร่างกายแตกกระจายได้ดีขึ้น
    • Build สารสกัดจากดอกคำฝอย โปรตีนเข้มข้นจากนม และ ธัญพืช ช่วยฟื้นฟูร่างกายและช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
ที่มา : นิตยสาร Live the difference

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

ชะลอวัย... ด้วยตัวเราเอง

ต้องยอมรับว่า วันนี้กระแสชะลอวัยมาแรง เพราะคนยุคใหม่ไม่เพียงแค่ต้องการการมีสุขภาพดียืนยาว เฉกเช่นในอดีตเท่านั้น แต่ยังต้องการคงความอ่อนเยาว์ ดูดีไว้ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

แล้วเราจะชะลอวัยกันอย่างไร?
ศ.น.พ.ธัมม์ทิวัตถ์ นรารัตน์วันชัย นายกสมาคม เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลในงานสัมมนาวิชาการ "แนวทางการดูแลสุขภาพให้ดูดีและอ่อนเยาว์" ซึ่งสมาคมเวชศาสตร์ชะลอวัยฯ ชมรมโภชนวิทยามหิดล วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก และ ผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองดีน่าได้จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ว่า แนวทางการดูแลสุขภาพให้ดูดีและอ่อนเยาว์นั้น ควร เริ่มต้นจากตัวเรา โดยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและปราศจากโรคต่างๆ เพราะเมื่อสุขภาพร่างกายอยู่ในภาวะที่แข็งแรง จิตใจเราจะไม่เครียด และจะส่งผลให้หน้าตาผิวพรรณดูเปล่งปลั่งอ่อนกว่าวัยด้วย ซึ่งเราทุกคนสามารถเรียนรู้ และนำไปปฏิบัติได้ ด้วยการดูแลสุขภาพ แบบองค์รวม และ ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตใหม่อย่างถูกต้อง เริ่มตั้งแต่เรื่องอาหาร ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพดีและอ่อนเยาว์ เราควรกินอาหารให้เป็นยา เพราะอาหารเป็นสิ่งที่เราต้องรับประทานเข้าไปทุกวัน การออกกำลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ

และต้องตัดพฤติกรรมที่บั่นทอนสุขภาพ คือ งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีน รวมถึงอาหารประเภททอด ปิ้ง หรือย่าง หลีกเลี่ยงแดดจัดในช่วง 09.00-15.00 น. และเลี่ยงภาวะตึงเครียดต่าง ๆ ที่จะทำให้สุขภาพจิตเสื่อมลง จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพของเราให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ด้าน ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล อาจารย์นักโภชนาการ จากชมรมโภชนวิทยามหิดล ระบุว่า ในการดูแลสุขภาพผิวพรรณให้ดูดีและอ่อนเยาว์ของ หนุ่ม - สาว ยุคใหม่ มักจะให้ความสำคัญกับการดูแลจากภายนอก การใช้เครื่องสำอางแพงๆ หรือการพึ่งนวัตกรรมใหม่ๆ ทางการแพทย์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการดูแลจากภายนอกจะช่วยได้เพียง 30% เพราะผิวหนังไม่ใช่กระเพาะอาหาร จึงไม่สามารถดูดซึมเครื่องสำอางได้ทั้งหมด

ส่วนการทำศัลยกรรม ก็เป็นการแก้ไขเฉพาะจุด แต่อวัยวะข้างใน หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีก็จะเสื่อมและถดถอยไปตามอายุที่มากขึ้น ทางที่ดีควรดูแลร่างกายทั้งระบบจากภายใน ด้วยการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงการที่เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผัก ผลไม้ และ งาดำ

โดยเฉพาะในงาดำนั้นจะมีทั้งแคลเซียมและไฟเบอร์สูง ซึ่งจะช่วยไปดักจับไขมัน และสารก่อมะเร็งต่างๆ ให้ขับออกจากร่างกายได้มากขึ้น อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระสูง ที่ได้จากวิตามินอีในงาดำ เป็นวิตามินอีจากธรรมชาติที่ได้จากอาหาร จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี มากกว่าการซื้อวิตามินอีสกัดมารับประทานเอง สารต้านอนุมูลอิสระในงาดำ จึงมีส่วนช่วยชะลอวัยได้โดยการที่ร่างกายสามารถขับของเสียได้เร็วกว่าเดิม ทำให้การสะสมของสารพิษในร่างกายลดลง ร่างกายทำงานน้อยลง

ซึ่งมีการศึกษาออกมาแล้วว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูง หรือการรับประทานผักผลไม้ จะดูมีความอ่อนเยาว์มากกว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่ำ และไม่เพียงแต่ชะลอวัยจากภายนอกเท่านั้น แต่ยังสามารถบำรุงจากภายในได้ด้วยสุขภาพจะดีและไม่เสื่อมสภาพเร็วอีกด้วย

สำหรับการออกกำลังกาย นอกจากจะมีส่วนช่วยให้เรามีสุขภาพดีแล้ว การออกกำลังกายทุกประเภทยังมีส่วนช่วยชะลอวัยให้กับเราได้ โดย ดร.คุณัตว์ พิธพรชัยกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยศิลปากร แนะนำว่า การออกกำลังกายที่ทำให้เราดู อ่อนเยาว์นั้น ต้องออกแบบต่อเนื่อง 20-60 นาที เพื่อให้ร่างกายได้มีการใช้ออกซิเจนและเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้ผิวได้รับออกซิเจนได้ในปริมาณที่สูงขึ้น ช่วยให้การเสื่อมสภาพ หรือการคงตัวของผิวได้ยาวนานขึ้น

จะเห็นว่าแค่เรารับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อ ผิวพรรณจะทำให้ร่างกายมีความอ่อนเยาว์ หากจะชะลอวัยก็ควรเริ่มต้นแต่วันนี้

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

‘มะเร็งเน็ท’ ก้อนเนื้อร้าย อาการคล้ายโรคอื่น!

สวัสดีปีใหม่ พ.ศ.2556 คอลัมน์มุมสุขภาพขอเริ่มต้นบทความแรกในปีนี้ด้วยเรื่องราวของโรคมะเร็ง โรคที่ไม่มีใครอยากเจอ ล่าสุด แพทย์ 3 ท่าน ร่วมกันเผยถึง "มะเร็งเน็ท" มะเร็งชื่อแปลก ที่หลายคนยังไม่ค่อยรู้จักเท่าใดนัก

ผศ.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ จากหน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า ร่างกายมนุษย์มีเซลล์มากมายหลายชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป เมื่อมีภาวะผิดปกติทำให้เซลล์มีความผิดปกติในโปรแกรมการเจริญเติบโตและการตายของเซลล์ โดยเซลล์ที่ผิดปกติเจริญเติบโตโดยร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งในการก่อเกิดโรคมะเร็ง

ถ้าความผิดปกติข้างต้นเกิดขึ้นกับเซลล์พิเศษชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างสารสื่อประสาทหรือสารฮอร์โมน โดยเซลล์ชนิดนี้มีชื่อว่า นิวโรเอนโดคริน (neuroendocrine) จะนำไปสู่การก่อมะเร็งที่เรียกว่า มะเร็งเน็ท (NET, Neuroendocrine Tumor) สามารถเกิดขึ้นโดยตั้งต้นได้ในหลายอวัยวะ เช่น ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน จากนั้นอาจโตขึ้นและแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นๆ ได้ ที่สำคัญการรักษาจะแตกต่างจากมะเร็งชนิดอื่นในอวัยวะเดียวกัน

สำหรับสถานการณ์โรคมะเร็งเน็ท รศ.พญ.นฤมล คล้ายแก้ว จากภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ในประเทศไทย มะเร็งเน็ท พบได้น้อยและยังไม่มีการรวบรวมข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการ

แต่จากการรวบรวมข้อมูล ของกลุ่มพยาธิแพทย์ทางเดินอาหาร และตับที่สนใจศึกษาโรคนี้ จากโรงเรียนแพทย์ทั่วประเทศ 6 สถาบัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544-2549 พบผู้ป่วยที่มีเนื้องอกชนิดนี้ มีลักษณะเป็นมะเร็งภายในช่องท้อง ประมาณ 10-15 รายต่อปี และอุบัติการณ์การพบผู้ป่วยมะเร็งเน็ทได้เพิ่มขึ้นภายในรอบสิบปีที่ผ่านมา ส่วนที่สหรัฐอเมริกาพบ ประมาณ 2.5-5 รายต่อประชากร 100,000 คน เพิ่มมากขึ้นกว่า 5 เท่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา

รศ.พญ.นฤมล เล่าอีกว่า ปัจจุบันยังไม่ทราบถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งชนิดนี้ ดังนั้นนับว่าเป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่ยากต่อการวินิจฉัยและการรักษา เพราะในช่วงเริ่มต้นจะมีอาการคล้ายโรคทั่วไปอื่นๆ เช่น มีอาการท้องเสีย หรือถ่ายบ่อย คล้ายกับการเป็นโรคลำไส้แปรปรวน จึงทำให้แพทย์อาจสันนิษฐานเป็นโรคชนิดอื่นได้ อย่างไรก็ตาม มะเร็งเน็ทสามารถพบได้ในอวัยวะต่างๆ แต่จะพบบ่อยในระบบทางเดินอาหาร ตับอ่อน และปอด

การจำแนกชนิดของโรค พิจารณาตามลักษณะอาการที่ปรากฏ เป็น 2 แบบ คือ ชนิดมีอาการ และชนิดไม่มีอาการ กลุ่มที่มีอาการแสดงจะเป็นผลมาจากฮอร์โมนที่หลั่งมาจากเนื้องอก เช่น มีอาการปวดท้อง ท้องเสีย ส่วนพวกที่ไม่มีอาการอาจจะมาพบแพทย์ เนื่องจากก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการกดทับหรืออุดตัน อึดอัดแน่นท้อง หรือคลำเจอก้อนได้ การวิธีวินิจฉัย รศ.พญ.นฤมล บอกว่า จะมีการตรวจระดับของสารบ่งชี้เนื้องอกชนิดนี้ในปัสสาวะหรือในเลือด เช่น โครโมแกรนิน เอ (chromogranin A) แต่เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย ควรตรวจชิ้นเนื้อด้วย

อย่างไรก็ตาม มะเร็งเน็ท มีทางรักษา โดย รศ.นพ.วัชรพงศ์ พุทธิสวัสดิ์ จากภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เผยว่า สามารถทำได้หลายวิธี เช่น ผ่าตัด ยาเคมีบำบัด การให้ยาที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ออกฤทธิ์แบบพุ่งเป้า ทั้งนี้พบว่า การผ่าตัดนั้นเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาให้โรคนี้หายขาดได้ การผ่าตัดทำได้หลายแบบ เช่น ผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งที่เป็นต้นกำเนิดออกทั้งหมด หรือผ่าตัดเอาก้อนออกให้ได้มากที่สุด เพราะจะช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วย ถึงแม้ว่าจะมีการแพร่กระจายของก้อนมะเร็งไปที่ต่อมน้ำเหลือง

กรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ อาจพิจารณาอุดเส้นเลือด (embolization) คือ อุดหลอดเลือดแดงเพื่อการรักษาภาวะโรค หรืออาจทำการฉีดยาเคมีบำบัดเข้าเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง (chemoembolization)

ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่พัฒนาไม่หยุด จากนี้ไป ผู้อ่านคงจะได้รู้จักมะเร็งชื่อใหม่ๆ กันเป็นระยะ เช่น เรื่องราวของมะเร็งเน็ทนี้ ช่วยให้คนทั่วไปได้รู้ถึงต้นตอที่ก่อให้เกิดเนื้องอก เนื้อร้าย ในอวัยวะที่ถูกมะเร็งเล่นงาน.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com

.

.