คุณพ่อคุณแม่หลายต่อหลายท่านที่ยังไม่สามารถตอบตัวเองได้ว่าทำไมคุณหมอจึงต้องสั่งยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารทำไมจึงไม่ให้กินหลังอาหารอย่างเดียว เรื่องของเรื่องก็เพราะว่ามัวแต่สาละวนอยู่กับการทำงาน พอได้เวลา ทำให้ลืมกินยาก่อนอาหารอีกแล้ว จึงมีคำถามตลอดเวลาว่าแล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะหายสักที
คำอธิบายก็มีอยู่ว่า เมื่อป่วยไข้ไม่สบาย ยาที่แพทย์จ่ายให้อาจมีข้อแนะนำพิเศษในการใช้ยา ซึ่งควรรู้อย่างยิ่งว่ามันหมายความว่าอย่างไร เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา
เราควรทราบวิธีสังเกตยาที่มีอยู่ว่ายังสามารถใช้ได้หรือไม่เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา เพราะหากที่ใช้หมดอายุหรือเสื่อมคุณภาพแล้ว นอกจากจะไม่มีผลในการรักษา ยังอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ซึ่งมีวิธีการสังเกตง่ายๆ ดังนี้
วันหมดอายุ เขียนเป็นภาษาอังกฤษได้หลายแบบ เช่น Exp.date,Expiring, Use by หรือ Use before ตัวอย่างเช่น Exp.date 20 / 02 / 05 หมายความว่า ยาจะหมดอายุในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2005แต่หากบนฉลากไม่ได้กำหนดวันที่วันหมดอายุ ก็ให้หมายถึงวันสุดท้ายของเดือนนั้นๆ เช่น Epx.date 03 / 05 หมายความว่า ยาจะหมดอายุในวันที่ 31 มีนาคม 2005 ในกรณีที่ยาไม่ได้กำหนดวันหมดอายุ อาจสังเกตได้จากวันที่ผลิต (Manufacturing date หรือ Mfg.date) ซึ่งโดยทั่วไปหากยานั้นผลิตมาเกิน 5 ปี ก็ไม่ควรนำมาใช้
ทั้งนี้ยาแต่ละชนิดจะมีอายุไม่เท่ากัน และการเก็บรักษาก็มีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลกระทบ เช่น แสง ความร้อน ในบริเวณที่เก็บ ทำให้บางครั้งยาที่ยังไม่ถึงวันหมดอายุ แต่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพไปแล้ว ก็ไม่ควรนำมายานั้นมาใช้
ลักษณะยาที่เสื่อมคุณภาพแล้ว
คำอธิบายก็มีอยู่ว่า เมื่อป่วยไข้ไม่สบาย ยาที่แพทย์จ่ายให้อาจมีข้อแนะนำพิเศษในการใช้ยา ซึ่งควรรู้อย่างยิ่งว่ามันหมายความว่าอย่างไร เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา
- รับประทานติดต่อกันจนหมด เพื่อให้การรักษาได้ผลดี ยาบางประเภทต้องรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานหรือตามแพทย์สั่ง แม้ว่าอาการจะทุเลาลงหรือไม่มีอาการ แล้วก็ตาม เช่น ยาฆ่าเชื้ออะม็อกซี่ซิลิน เตตราชัยคลิน หากรับประทานไม่ครบกำหนดเวลา จะทำให้การรักษาไม่ได้ผล และอาจเกิดการดื้อยาได้ ยารักษาโรคเรื้อรังบางอย่างต้องรับประทานยา เป็นเวลานาน หยุดยาเองไม่ได้ เช่น ยาจำพวกสเตียรอยด์ (เพรดนิโซโลน) ยารักษาความบกพร่องของร่างกาย เช่น ยาเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคกระดูกบางชนิด
- เฉพาะเวลามีอาการ…ยาที่ใช้บรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ปวด ยาแก้ไข้ ยาแก้ท้องเสีย แพทย์อาจสั่งให้รับประทานเป็นช่วงๆ เช่น ทุก 4 ชั่วโมง เวลามีอาการ เมื่ออาการทุเลาลง ก็สามารถหยุดยาได้ ไม่จำเป็นต้องรับประทานต่อเนื่อง
- ก่อนอาหาร ควรรับประทานก่อนอาหาร ถึง 1 ชั่วโมง อาหารอาจลดการดูดซึม หรือยับยั้งให้ยาบางชนิดออกฤทธิ์น้อยลง เช่น ยาปฏิชีวนะต่างๆ ยาบางอย่างต้องการให้ออกฤทธิ์ก่อนอาหาร เพื่อเป็นผลต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น ยาแก้อาเจียน หรือกรณียาเบาหวานบางชนิดที่ต้องรับประทานก่อนอาหารเพื่อให้การดูดซึมและการออกฤทธิ์มีความสัมพันธ์กับการลดระดับน้ำตาลในเลือด
- หลังอาหาร โดยทั่วไปควรรับประทานหลังอาหาร 15-30 นาที ยกเว้นยาที่ระบุให้รับประทานหลังอาหารทันที
- หลังอาหารทันที หรือ พร้อมอาหาร ยาบางชนิดทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร อาจทำให้คลื่นไส้อาเจียนได้ การรับประทานหลังอาหารทันทีหรือพร้อมอาหาร ก็เพื่อลดปัญหาดังกล่าว เช่น เพรดนิโซโลน แอสไพริน หรือในกรณียาเบาหวานบางชนิด ให้รับประทานพร้อมอาหารเพื่อช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล
- ควรดื่มน้ำมากๆ ยาพวกซัลฟา ละลายน้ำได้น้อยมาก อาจตกตะกอนในไต การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยเพิ่มการละลายได้ หรือยาถ่ายที่ทำให้เพิ่มกากอุจจาระหรือที่ทำให้อุจจาระนิ่ม ควรดื่มน้ำตามมากๆ
- เคี้ยวยาให้ละเอียดก่อนกลืน ยาลดกรดชนิดเม็ด หรือยาบางชนิด ต้องเคี้ยวก่อน เพื่อให้ยากระจายในตัวในกระเพาะอาหารและออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
- ห้ามรับประทานร่วมกับเหล้าหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยา ปฏิชีวนะบางชนิด ยาลดน้ำตาลในเลือด ยาระงับประสาท ยานอนหลับ ยาแก้ปวด หรือยากดประสาทต่างๆ ตลอดจนยาแก้แพ้ จะเสริมฤทธิ์กับแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดอันตรายได้
- ไม่ควรรับประทานยาบางชนิดลดลง จึงทำให้ผลการรักษาลดลงด้วย เช่น เตตราชัยคลิน ยาบำรุงที่มีธาตุเหล็ก
- รับประทานยานี้แล้วอาจทำให้ง่วงซึม ยาแก้แพ้ ยานอนหลับ ยาแก้ปวดบางชนิด อาจมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงนอนหรือมึกงง ผู้ใช้ยาควรระมัดระวังในการขับรถหรือการใช้เครื่องจักรกล
- รับประทานยานี้แล้วปัสสาวะจะมีสีส้มแดง ยาพวก Phenazopyridine ทำให้ปัสสาวะเป็นสีแดง อาจเข้าใจผิดว่าเป็นเลือด แต่ที่จริงเป็นสีจากยา หรือยา Rifampicin ทำให้น้ำลาย น้ำตา ปัสสาวะ เป็นสีแดงส้ม
- ควรเก็บไว้ในตู้เย็น โดยทั่วไปหมายถึงการเก็บที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส โดยแช่ในช่องธรรมดา ไม่ต้องใส่ในช่องทำน้ำแข็ง หรือเก็บในกระติกน้ำแข็งตลอดเวลา เช่น ยาอินซูลิน วัคซีน หรือยาหยอดตาบางชนิด
เราควรทราบวิธีสังเกตยาที่มีอยู่ว่ายังสามารถใช้ได้หรือไม่เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา เพราะหากที่ใช้หมดอายุหรือเสื่อมคุณภาพแล้ว นอกจากจะไม่มีผลในการรักษา ยังอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ซึ่งมีวิธีการสังเกตง่ายๆ ดังนี้
วันหมดอายุ เขียนเป็นภาษาอังกฤษได้หลายแบบ เช่น Exp.date,Expiring, Use by หรือ Use before ตัวอย่างเช่น Exp.date 20 / 02 / 05 หมายความว่า ยาจะหมดอายุในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2005แต่หากบนฉลากไม่ได้กำหนดวันที่วันหมดอายุ ก็ให้หมายถึงวันสุดท้ายของเดือนนั้นๆ เช่น Epx.date 03 / 05 หมายความว่า ยาจะหมดอายุในวันที่ 31 มีนาคม 2005 ในกรณีที่ยาไม่ได้กำหนดวันหมดอายุ อาจสังเกตได้จากวันที่ผลิต (Manufacturing date หรือ Mfg.date) ซึ่งโดยทั่วไปหากยานั้นผลิตมาเกิน 5 ปี ก็ไม่ควรนำมาใช้
ทั้งนี้ยาแต่ละชนิดจะมีอายุไม่เท่ากัน และการเก็บรักษาก็มีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลกระทบ เช่น แสง ความร้อน ในบริเวณที่เก็บ ทำให้บางครั้งยาที่ยังไม่ถึงวันหมดอายุ แต่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพไปแล้ว ก็ไม่ควรนำมายานั้นมาใช้
ลักษณะยาที่เสื่อมคุณภาพแล้ว
- ยาเม็ด มีลักษณะแตกกร่อน กะเทาะ เปลี่ยนสี หรือสีซีด
- ยาเม็ดเคลือบ มีลักษณะเยิ้มเหนียว
- ยาแคปซูล มีลักษณะบวม โป่งพอง ผงยาภายในจะจับกันเป็นก้อน เปลี่ยนสี หรืออาจมีเชื้อราขึ้นบนเปลือกแคปซูล
- ยาน้ำเชื่อม มีลักษณะขุ่น มีตะกอน เปลี่ยนสี มีกลิ่นบูดหรือเหม็นเปรี้ยว
- ยาน้ำแขวนตะกอน มีลักษณะตะกอนจับตัวเป็นก้อนแข็งเขย่าแรงๆ ก็ไม่กระจาย
- ยาน้ำอีมัลชั่นมีลักษณะเขย่าแล้วไม่รวมตัวเป็นเนื้อเดียวกัน
- ยาครีม มีลักษณะแยกชั้น ไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกัน เนื้อครีม เปลี่ยนสี
- ยาหยอดตา เปลี่ยนจากน้ำใสๆ เป็นน้ำขุ่น หรือหยอดตาแล้วมีอาการแสบตามากกว่าปกติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น