เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เอจล็อค ศาสตร์แห่งการชะลอวัย (THE SCIENCE OF AGELOC)

เทคโนโลยีสิทธิบัตรทางวิทยาศาสตร์
อีกขั้นของการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่งของศาสตร์แห่งการต่อต้านริ้วรอย โดยความร่วมมือระหว่าง นู สกิน และ นักวิทยาศตร์ระดับโลก เพื่อศึกษาค้นคว้าวิจัย ถึงแหล่งกำเหนิดของยีนส์ ที่เป็นส่วนสำคัญของ ต้นตอจุดกำเหนิดของริ้วรอยแห่งวัย หรือ ที่เรียกว่า เออาร์ ซูเปอร์มาร์คเกอร์ (age related super markers/arSuperMarkers) พร้อมค้นพบนวัตกรรมที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง "เอจล็อก (ageLOC)" ที่มีคุณสมบัติโดยตรงกับ เออาร์ ซูเปอร์มาร์คเกอร์

จากการค้นพบนี้ ทำให้ นู สกิน สามารถบ่งชี้ และ วิเคราะห์ถึง เออาร์ ซูเปอร์มาร์คเกอร์ หรือ กลุ่มยีนส์แห่งความอ่อนเยาว์ (Youth Genes Clusters) โดยยีนส์กลุ่มนี้มีหน้าที่หลักในการกำหนดริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งมีเพียง เอจล็อค ที่เป็นสิทธิบัตรทางวิทยาศาสตร์ของ นู สกิน เท่านั้น ที่เข้าใจถึงวิธีการทำงานของยีนส์กลุ่มนี้ ที่จะย้อนกลับกระบวนการทำงานเหมือนเช่นวัยเยาว์

สำหรับการค้นพบที่ยิ่งใหญ่นี้ เกิดขึ้นจากความร่วมือ ของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำระดับโลก เพื่อพัฒนาศาสตร์แห่งการต่อต้านริ้วรอยแห่งวัย รวมถึงการศึกษาด้านพันธุศาสตร์ที่ใช้เงินลงทุนวิจัยหลายล้านเหรียญสหรัฐ

เข้าถึงแหล่งกำเหนิด
จากหลักทางวิทยาศาสตร์ได้มีการค้นพบเกี่ยวกับยีนส์ของมนุษย์ แต่สำหรับ นู สกิน เราก้าวไปถึง เอจล็อค (ageLOC) ซึ่งเป็นอีกขั้นของศาสตร์การค้นพบ โดยความสำเร็จนี้เกิดขึ้น จากความร่วมมือระหว่าง นู สกิน และ ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านความชราโดยเฉพาะ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทางพันธุ์ศาสตร์ ที่ได้ร่วมกันศึกษา และ เข้าใจถึงหลักการของแต่ละกลุ่มหลักของยีนส์ การจำแนกหน้าที่การทำงานของยีนส์แต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มยีนส์แห่งความอ่อนเยาว์ (Youth Genes Clusters) ซึ่งเป็นต้นตอของการก่อเกิดริ้วรอยแห่งวัยที่สำคัญ นู สกิน เชื่อว่าการค้นพบ และ การจำแนกหน้าที่การทำงานของกลุ่มยีนส์เหล่านี้ จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำเราออกจากต้นเหตุที่แท้จริงของริ้วรอย

ทั้งผลการวิจัยทางการแพทย์ การวิเคราะห์กลุ่มยีนส์ รวมถึงการทุ่มเทค้นคว้าเทคโนโลยี เอจล็อค ที่เป็นเหมือนสะพานเชื่อมให้นักวิทยาศาสตร์ของ นู สกิน ได้ก้าวไปอีกชั้น สู่การค้นพบระบบการทำงานของกลุ่มยีนส์แห่งความอ่อนเยาว์ และ กระบวนการนี้ ก็มีผลโดยตรงต่อริ้วรอยที่ปรากฎบนผิวของเราด้วยเช่นกัน โดยวิทยาการ เอจล็อค ของ นู สกิน จะสามารถเข้าไปปรับกระบวนการทำงานของกลุ่มยีนส์เหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น พร้อมการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ให้ผิวอย่างสมดุลย์

กำเนิดใหม่แห่งความสมดุล
ความสำคัญของการคืนความอ่อนเยาว์ไม่ใช่อยู่แค่การจำแนก หรือ วิเคราะห์กลุ่มยีนส์ แต่ สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ความสามารถในการปรับความสมดุลของกลุ่มยีนส์แห่งความอ่อนเยาว์ (Youth Genes Clusters) ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยีนส์ ในกลุ่มนี้จะมีการทำงานที่แตกต่างกันคือ ยีนส์กลุ่มหนึ่งต้องปรับการทำงานให้เพิ่มขึ้น ในขณะที่อีกกลุ่มต้องปรับการทำงานให้ลดลง และ ด้วยเทคโนโลยี เอจล็อค ที่เป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ นู สกิน คือ ศาสตร์เดียวที่มีความสามารถในการปรับสภาพของกลุ่มยีนส์ให้สมดุล เสมือนผิวกำเนิดใหม่ที่อ่อนเยาว์อีกครั้ง

ย้อนกระบวนการของกลุ่มยีนส์เพื่อกำเนิดใหม่ของผิวที่อ่อนเยาว์

กลุ่มยีนส์แห่งความอ่อนเยาว์ และ สัญญาณของความร่วงโรยทั้ง 8 ประการ
"เป็นที่ชัดเจนว่าการที่เราจะรักษาความอ่อนเยาว์ให้ปรากฎนั้น ยีนส์ก็ควรมีรูปแบบที่อ่อนเยาว์เช่นกัน ด้วยการวิเคราะห์เนื้อเยี่อของมนุษย์เกี่ยวกับพันธุศาสตร์ เราจึงเรียนรู้หน้าที่ความสำคัญของพฤติกรรม ของกลุ่มยีนส์ในการรักษาความอ่อนเยาว์"

ดร.โจเชฟ แชง (Dr.Joseph Chang)
หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ ประจำ นู สกิน
แผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์
ศาสตร์แห่งการค้นพบ
นู สกิน คือผู้นำของศาสตร์แห่งการต่อต้านความเสื่อมชรา ในการศึกษาของ นู สกิน ที่เกี่ยวกับกลุ่มยีนส์แห่งความอ่อนเยาว์ ทำให้ค้นพบอีกขั้น ของหลักการทางวิทยาศาสตร์ และ นำไปสู่การพัฒนาของผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอย ที่กลายเป็นนิยามใหม่ของวงการ จากการเก็บตัวอย่างผิวหนัง และ เนื้อเยื่อของมนุษย์ในห้องทดลอง ทำให้นู สกิน เข้าถึงวิธีการสำคัญในการ รักษาความสมดุลของยีนส์ให้คงสภาพเพื่อคืนความอ่อนเยาว์ ซึ่งที่จริงแล้ว ในการที่เราจะสามารถคงสภาพผิวที่อ่อนเยาว์ได้นั้น เราจะต้องทราบถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างถ่องแท้ เพื่อการฟื้นฟูกระบวนการทำงานของยีนส์ให้คงสภาพความอ่อนเยาว์ที่สมบูรณ์

ก้าวแห่งอนาคต
จากความร่วมมือของผู้ก่อตั้งสถาบันวิจัยยีนส์ ไลฟ์ เจน เทคโนโลยี (LifeGen Technologies) ดร.ริชาจ เวนเดิร์ช (Dr.Richard Weidruch), ดร.โทมัส โพรล์ลา (Dr.Tomas Prolla) และ นู สกิน ที่ทุ่มเวลากว่า 30 ปี ในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับกลุ่มยีนส์ที่มีผลต่อการปรากฎของริ้วรอย โดยผลการวิจัยแสดงให้เห็น ถึงการปฏิรูปใหม่ที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่คนเรารับประทานเข้าไป หรือที่เรียกว่า Caloric Restriction ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นกุญแจสำคัญที่นำเราเข้าถึงวิธีการรักษาความอ่อนเยาว์ โดยการค้นพบครั้งนี้ ถือเป็นการบุกเบิก และ เป็นบันทึกครั้งสำคัญของวงการวิทยาศาสตร์โลก

จากการศึกษาในเรื่องของการตอบสนองของยีนส์ และ เนื้อเยื่อต่างๆ ที่ได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ช่วยให้ นู สกิน สามารถชี้ชัด และ ยีนยันถึงความเกี่ยวข้องระหว่างยีนส์ และ ความเสื่อมชรา โดยต่อยอดกระบวนการที่เรียนรู้นี้ไปสู่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปอีกในอนาคต

นู สกิน ยังมุ่งมั่นการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง และ จับมือร่วมกับ สถาบันการวิจัยรายใหม่ๆเพิ่มขึ้น เพื่อให้เป็นความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงบทบาทที่แสดงให้เห็นของกลุ่มยีนส์ รวมถึงผลกระทบจากความแปรผันของสภาพผิว ตามกาลเวลาได้อย่างชัดเจน เราเชื่อในศาสตร์ของ เอจล็อค (ageLOC) ว่าจะเป็นคำตอบของการต่อต้านความเสื่อมชรา และ เป็นการบุกเบิกทางวิทยาศาสตร์ ที่เหนือความคาดหมาย ด้วยการจัดการต้นกำเนิดแห่งริ้วรอยที่แท้จริง



'โรคไขมันเกาะตับ' ตอน 2


ไขมันเกาะตับ (Nonalcoholic fatty liver disease (NAFLD) หมายถึงภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับโดยที่คนนั้นไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์หรือดื่มในปริมาณที่น้อยมาก โดยที่ไขมันจะทำให้เกิดการอักเสบของตับและเกิดพังผืด ซึ่งถ้าเป็นไปในระยะยาวก็กลายเป็นโรคตับแข็งได้

เมื่อเป็นโรคไขมันเกาะตับ จะมีการดำเนินโรคอย่างไร?
  1. ผู้ป่วยไขมันเกาะตับที่มีภาวะอักเสบหรือมีพังผืดร่วมด้วย พบว่าร้อยละ 20 หรือ 1 ใน 5 กลายเป็นตับแข็งและร้อยละ 37 เริ่มมีพังผืดในตับ  
  2. มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ถึงร้อยละ 10 เมื่อได้รับการวินิจฉัยโรคมานาน 10 ปีผู้ป่วยกลุ่มใดที่จะมีการดำเนินโรคไปเป็นตับแข็ง......?
โดยทั่วไปใช้เวลา 10-20 ปี กว่าจะเกิดตับแข็งและพบได้ 1 ใน 5 ของผู้ป่วยโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาวะต่าง ๆ ต่อไปนี้

โรคอ้วน (BMI ยิ่งสูง ยิ่งไม่ดี โดยเฉพาะค่า BMI ที่มากกว่า 35 กก./ม2)

เบาหวาน

อายุมากกว่า 45 ปี

ค่าการทำงานตับมีอัตราส่วน AST/ALT มากกว่า 1

ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพบว่าเป็นโรคตับแข็งได้เร็วขึ้นจุดมุ่งหมายของการรักษามีดังนี้คือ

ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง

โรคอ้วน

ป้องกันการเกิดภาวะตับแข็งด้วยการลดการอักเสบของตับ

ป้องกันการเกิดมะเร็งที่อาจพบแทรกซ้อนได้

โรคไขมันเกาะตับที่มีภาวะอักเสบหรือมีพัง ผืดร่วมด้วยจะรักษาได้หรือไม่? อย่างไร?
  1. มุ่งลดปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูงที่พบร่วมด้วยให้ดี 
  2. ต้องลงมือปฏิบัติโดยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวัน จึงจะได้ผลในการรักษา ดังนี้
    • งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลงจนเลิกดื่ม
    • ควบคุมอาหารที่มีพลังงานสูงเกินความต้องการร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
  3. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พบว่า มีผลต่อการลดภาวะอักเสบของตับได้อย่างชัดเจน ซึ่งยืนยันได้จากทั้งผลตรวจเลือดค่าทำงานตับหรือผลการเจาะตับ
    • เดินรอบสวนลุมพินี 2.5 กม. ใช้เวลา 20-30 นาที ได้ 3,100 ก้าว (150-280 กิโลแคลอรี ขึ้นกับ ความเร็วที่ใช้เดิน)
    • เดินให้ได้ 10,000 ก้าว/วัน จะได้ 450-800 กิโลแคลอรี หรือดูกิจกรรมที่ทำได้ดังในตารางที่ 1 
    • ควรวางเป้าหมายไว้ที่ 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ (ไม่ควรเกิน 1.6 กิโลกรัมต่อสัปดาห์) โดยเลือกกิจกรรมการออกกำลังกายที่เป็นการออกกำลังกายระดับปานกลาง 
    • การออกกำลังกายในระดับสูง (High intensity physical activity) จะช่วยเผาผลาญไขมันคิดเป็นพลังงานได้ประมาณ 2 เท่า ของการออกกำลังกายในระดับปานกลางแต่อาจจะมีผลเสียต่อข้อและกระดูก
การขี่จักรยานมักต้องใช้ระยะเวลานานกว่าการเดินเร่งหรือวิ่ง เพราะเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ลงน้ำหนัก (Non-Weight-Bearing)

ส่วนวิธีประเมินผลว่าเป็นการออกกำลังกายในระดับ moderate intensity physical activity หรือไม่ทำได้ดังนี้

ให้ใช้อัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งคำนวณจากค่า (220 ลบ อายุ) คูณ (ร้อยละ 50-70) เช่น ผู้ป่วยอายุ 40 ปี เมื่อออกกำลังกายในระดับปานกลางแล้วควรมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ (220–40) x 0.5 = 90 หรือ (220–40) x 0.7 = 126 หรือมีอัตราการเต้นของหัวใจระหว่าง 90-126 ครั้ง/นาที

ข้อมูลจาก
  1. นายแพทย์สมบัติ ตรีประเสริฐสุข ศูนย์โรคตับและปลูกถ่ายตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
  2. นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์ 
ที่มา : 'โรคไขมันเกาะตับ' ตอน 2 - ชีวิตและสุขภาพ

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภัยเงียบจากกล่องโฟม... กินสบายแต่ตายเร็ว


หลายคนคงเคยชินกับการรับประทานอาหารแบบใส่กล่องโฟมกันใช่ไหมล่ะ เพราะสะดวก รวดเร็ว กินที่ไหนก็ได้ ประหยัดเวลาทำอาหาร และที่สำคัญทานเสร็จก็ไม่ต้องล้างอีกด้วย แต่เพื่อน ๆ เชื่อหรือไม่คะว่า ท่ามกลางความสะดวกสบาย กล่องโฟมก็แฝงไปด้วยภัยร้ายที่อาจคร่าชีวิตคุณได้ในที่สุด

โดย นพ.วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ บริษัทบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ได้ให้ความรู้ว่า กล่องโฟมที่ใช้ตามท้องตลาดทั่วไป (Styrofoam) เป็นของเสียเหลือทิ้งสีดำ ๆ จากกระบวนการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ประกอบด้วยสารสไตรีน (Styrene) มีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในเพศหญิง

อาหารตามสั่งที่บรรจุกล่องโฟม จึงเป็นแหล่งสะสมสาร (Styrene) ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ทำให้สมองมึนงง สมองเสื่อมง่ายหงุดหงิดง่าย มีผลทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ และเป็นสารก่อมะเร็งอีก 3 ชนิด ถ้าเป็นผู้ชายรับประทานเข้าไปมาก ๆ มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ขณะที่ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม และทั้งสองเพศมีโอกาสสูงต่อการเป็นมะเร็งตับ แม้จะไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำก็ตาม

สำหรับ (Styrene) ถือเป็นสารอันตรายที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศขึ้นบัญชีสารก่อมะเร็ง หญิงมีครรภ์ที่รับประทานอาหารบรรจุในกล่องโฟม ลูกมีโอกาสสมองเสื่อมเป็นเอ๋อ อวัยวะบางส่วนพิการ ส่วนคนทั่วไปถ้ารับประทานอาหารกล่องโฟมทุกวัน วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า


ทั้งนี้ ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับสารสไตรีนในกล่องโฟมได้ง่ายถึง 5 ปัจจัยได้แก่
  1. อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลง ทำให้สไตรีนซึมเข้าสู่อาหารได้สูง 
  2. ถ้าปรุงอาหารโดยใส่น้ำมัน น้ำส้มสายชูแอลกอฮอล์ จะดูดสารสไตรีนจากกล่องโฟมได้มากกว่าปกติ 
  3. ถ้าซื้ออาหารใส่กล่องทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ได้รับประทาน อาหารจะดูดสารสไตรีนได้มาก 
  4. ถ้านำอาหารที่บรรจุโฟมเข้าไมโครเวฟ สไตรีนจะไหลออกมาในปริมาณมาก 
  5. ถ้าอาหารสัมผัสพื้นที่ผิวกล่องโฟมมาก ๆ รวมถึงร้านไหนตัดถุงพลาสติกใสรองอาหาร ขอบอกว่าได้รับสารก่อมะเร็ง 2 เด้ง ทั้งสไตรีนและไดออกซินจากถุงพลาสติกเลยทีเดียว
นพ.วีรฉัตร กล่าวเตือนด้วยว่า อาหารตามสั่งหรือข้าวราดแกงกับไข่ดาวหรือไข่เจียวร้อน ๆ อาจจะไปละลายผนังกล่องโฟม เสมือนรับประทานอาหารคลุกสไ...ไปด้วย ถึงกระนั้นไข่ดิบที่วางขายในแผงไข่พลาสติก สารสไ...มีโอกาสวิ่งเข้าในเปลือกไข่ได้เช่นกัน ถ้าเลือกไข่ดิบควรเลือกซื้อจากแผงไข่กระดาษจะปลอดภัยที่สุด


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

ที่มา: http://board.postjung.com/656243.html

ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง
  1. สไตรีน (Styrene) คืออะไร
  2. อันตรายจากการสัมผัสสารสไตรีน (Styrene)

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

‘โปรไบโอติกส์’ ปรับสมดุลดี-ร้าย ลดเสี่ยงมะเร็ง


ศุกร์ที่แล้วเล่าเรื่องการทานโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่อุดมด้วยแบคทีเรียมีชีวิตนั้นดีต่อสุขภาพกันไปแล้วนะคะ หลังจากนั้นก็มีผู้อ่านหลายท่านยังสงสัยและอยากรู้เรื่องราวของแบคทีเรียมีประโยชน์นี้ให้มากขึ้น ผู้เขียนขอเล่าต่อเลยนะคะว่า ยุคนี้มีการกล่าวถึงคำว่า "โปรไบโอติกส์" หรือแบคทีเรียมีประโยชน์กันมา โดยนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต มักนำโปรไบโอติกส์มาเป็นจุดเด่นในการนำเสนอ อีกทั้งวงการสุขภาพก็พูดถึงอย่างแพร่หลาย ขณะที่วงการแพทย์ชี้ว่าอาจกลายเป็นยาปฏิชีวนะในศตวรรษที่ 21

สำหรับโปรไบโอติกส์ คือ แบคทีเรียที่ปะปนอยู่ในอาหาร แต่ไม่ก่อให้เกิดโรค เมื่อทานอาหารที่มีโปรไบโอติกส์เข้าไปแล้ว แบคทีเรียพวกนี้ทนกรดทนด่างในกระเพาะและลำไส้เล็กได้ จึงสามารถผ่านไปสู่ลำไส้ใหญ่ เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรแบคทีเรียในนั้น สร้างประโยชน์ต่อระบบการย่อยอาหาร การดูดซึม การขับถ่าย ทั้งยังช่วยปรับสมดุลปริมาณแบคทีเรียในร่างกาย

โปรไบโอติกส์ สามารถผลิตกรดแลคติก ที่เรียกว่า แลคติกแอซิด โดยมีหลายชนิด ได้แก่ แลคโตบาซิลลัส อะซิโดฟิลลัส, เอนเทอโรคอคคัส, สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลัส, ไบฟิโดแบคทีเรียม ไบฟิดัม แบคทีเรียที่ดีเหล่านี้ อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ตั้งแต่เราเป็นทารก จะทำหน้าที่ช่วยย่อยอาหารและผลิตสารอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นกรดอะมิโน พลังงาน วิตามินเค วิตามินบี และสารปฏิชีวนะธรรมชาติหลายชนิด

การเติมโปรไบโอติกส์ให้ร่างกายจึงมีประโยชน์ ดังนี้...

  1. กรดแลคติกที่แบคทีเรียผลิตออกมา ช่วยยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียก่อโรค
  2. ระบบขับถ่ายดี ไม่เกิดการหมักหมมของเสีย ลดอัตราเสี่ยงเกิดมะเร็งลำไส้และตับ
  3. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และกำจัดสารก่อมะเร็งบางชนิด
  4. ช่วยลดระดับน้ำตาลและคลอเรสเตอรอลในเลือด
  5. ผลิตเอนไซม์แลคเตส ซึ่งช่วยย่อยน้ำตาลในนม ทำให้ไม่มีอาการท้องอืดหรือท้องเสียจากการดื่มนม และช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น
  6. วิตามินบีที่ได้ ทำให้เซลล์ในระบบภูมิต้านทานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยังทำให้มีการผลิตเม็ดเลือดแดงได้ดี

เมื่อรู้จักโปรไบโอติกส์ อยากแนะนำให้รู้จักพรีไบโอติกส์กันด้วย เพราะมีความเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อกันค่ะ

โดย "พรีไบโอติกส์" คือ สารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถจะย่อยได้ เมื่อผ่านเข้าไปถึงลำไส้ใหญ่จะกลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย ส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ ให้เพิ่มจำนวนและแข็งแรงมากยิ่งขึ้น สารกลุ่มนี้ได้แก่ อินูลิน (พบในส่วนของหัวหรือรากสะสมอาหาร เช่น กระเทียมต้น หอม กระเทียม กะหล่ำปลี) และ โอลิโกฟรุคโตส (มีอยู่ในพืช เช่น หัวหอม กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง และกล้วย) เหล่านี้จำเป็นต้องมีเพื่อรักษาสมดุลแบคทีเรียตัวดีและตัวร้าย

สรุปแล้วโปรไบโอติกส์ และพรีไบโอติกส์ รวมถึงใยอาหาร หากร่างกายได้รับอย่างเหมาะสม จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคติดเชื้อในทางเดินอาหาร , ช่วยลดสารพิษหลายชนิด, ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น, ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม ซึ่งแก้ปัญหาแน่นท้องหรือท้องเสียได้, ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหาร โดยเฉพาะแคลเซียมและเหล็กได้ดี

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากจะรีบหาอาหารที่มีโปรไบโอติกส์มาทานกันแล้วใช่ไหมคะ ไม่ใช่เพียงแค่นมเปรี้ยวและโยเกิร์ตเท่านั้นที่มี อาหารที่ผ่านการหมักดองบางประเภทแล้วยังคงมีจุลินทรีย์มีชีวิตอยู่ เช่น นัตโตะ(ถั่วเหลืองหมักของญี่ปุ่น), กิมจิ(ผักดองของเกาหลี), เทมเป้(ถั่วหมักของอินโดนิซีย) ก็มีโปรไบโอติกส์ปะปนอยู่ รวมถึงผักผลไม้ดองของไทยเราก็เช่นกันนะคะ แต่จะเลือกเสริมโปรไบโอติกส์ให้ร่างกายด้วยอาหารชนิดไหน ระวังเรื่องความสะอาด และถูกสุขลักษณะกันด้วยนะคะ

อย่าลืมนะคะว่า You are what you eat เลือกทานอะไรดีๆ จะได้มีร่างกายที่แข็งแรงกันนะคะ.

"PrincessFangy"

twitter.com/PrincessFangy

อ้างอิงบางส่วนจาก www.myprimelife.com

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ฉันคือ "ตับ" เธอรู้จักฉันดีหรือยัง?


หวัดดี ฉันคือตับ ของคุณ

ให้ฉันเล่าให้คุณฟังว่า ฉันรักคุณมากเท่าใด 9 ข้อ
  1. ฉันสะสมธาตุเหล็กสำรองรวมทั้งวิตามิน และ แร่ธาตุ ต่างๆ ที่คุณต้องการ หากไม่มีฉัน คุณก็จะไม่มีเรี่ยวแรงที่อยู่ต่อไป 
  2. ฉันผลิตน้ำย่อย สำหรับย่อยอาหารให้คุณ หากไม่มีฉัน คุณก็สูญเสียอาหาร จนไม่มีอะไรเหลืออยู่ 
  3. ฉันทำหน้าที่ล้างพิษของพวกสารเคมีที่คุณมอบให้ฉัน ไม่ว่าจะเป็น แอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ ยาต่างๆ(ที่มีและไม่มีใบสั่งของแพทย์) รวมทั้งบรรดาสิ่งผิดกฏหมายทั้งหลาย หากไม่มีฉันแล้วนิสัยไม่ดีของคุณ ก็จะฆ่าคุณไปแล้ว 
  4. ฉันเก็บพลังงานเหมือนแบตเตอรี่ โดยสะสมน้ำตาล(คาร์โบไฮเดรท , กลูโคส และ ไขมัน) ไว้ให้คุณเมื่อคุณต้องการมัน หากไม่มีฉัน ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณจะลดลงต่ำมาก จนทำให้คุณล้มพับไป 
  5. ฉันสร้างเลือดให้ระบบต่างๆ ของคุณ ก่อนที่คุณจะเกิดเสียอีก หากไม่มีฉันแล้วก็คงจะไม่มีคุณอยู่ที่นี่ 
  6. ฉันผลิตโปรทีนใหม่ที่ร่างกายของคุณต้องการเพื่อการมี สุขภาพดีและเจริญเติบโต หากไม่มีฉันแล้วคุณก็จะไม่เจริญเติบโตอย่างที่ควร 
  7. ฉันกลั่นกรองสารพิษจากอากาศ ไอเสียรถยนต์ และสารเคมี ที่คุณหายใจเข้าไป หากไม่มีฉันแล้วคุณก็จะเหมือนถูกวางยาพิษโดยมลภาวะเหล่านั้น 
  8. ฉันผลิตสารทำให้เลือดแข็งตัว ถ้าคุณบังเอิญไปโดนอะไรบาด หากไม่มีฉันแล้วคุณจะต้องตายเพราะเลือดไหลไม่หยุด 
  9. ฉันคอยต่อสู้ ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ โจมตีคุณ ไม่ว่าจะเชื้อหวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่ อะไรก็ตาม ฉันจะน็อคมันให้ตายหมด หรือ ไม่ก็ทำให้มันอ่อนแรงลง หากไม่มีฉันแล้วคุณก็เหมือนเป้านิ่ง รอให้สารพัดโรคโจมตี
ดูซิว่า ฉันรักคุณแค่ไหน?

แล้วคุณล่ะ รักฉันบ้างไหม?

ขอให้ฉันบอกวิธีง่ายๆ ที่จะ รัก ฉัน , ตับ ของคุณ

อย่ากดฉันให้ต้องจมลงในน้ำเบียร์ แอลกอฮอล์ หรือ ไวน์ เลย สำหรับบางคนแล้วเพียงแก้วเดียว ก็ทำให้ฉันเป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิต

ระวังบรรดา "ยา" ทั้งหลาย ยาทุกอย่างมาจากสารเคมี และเมื่อคุณเอามันมนผสมกันเข้า โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ มันก็กลายเป็นยาพิษที่สามารถทำลายฉันได้อย่างดีทีเดียวละ

ฉันเป็นแผลเป็นง่าย เมื่อเป็นแล้ว เป็นอย่างถาวรเสียด้วย บางครั้งยาก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ การกินยาเกินความจำ เป็น เป็นนิสัยไม่ดี บรรดาสารเคมีเหล่านั้น สามารถทำลายตับได้

จงระวังบรรดากระป๋องสเปรย์ทั้งหลาย จำไว้ว่า ฉันจะต้องล้างพิษทุกอย่าง ที่คุณหายใจเอาเข้าไปด้วย ดังนั้นเวลาคุณทำความสะอาดอะไรด้วยพวกสเปรย์ ต้องให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือสวมหน้ากากด้วย อันตรายเพิ่มเป็นสองเท่า สำหรับพวกสเปรย์ฆ่าแมลง ฆ่าเชื้อรา สี และสารเคมี

ระวังว่าคุณหายใจเอาอะไรเข้าไป ระวังว่าอะไรโดนผิวหนังคุณด้วย ยาฆ่าแมลงที่คุณฉีดต้นไม้ พุ่มไม้นั้น สามารถผ่านผิวหนังของคุณเข้ามาโจมตีฉันได้ด้วย ป้องกันผิวหนังของคุณโดยการสวมถุงมือ ใส่เสื้อแขนยาว หมวก หน้ากากทุกครั้ง ที่คุณฉีดยาฆ่าแมลง

คำเตือน ฉันไม่สามารถ และ ไม่บอกคุณด้วยว่าฉันประสพกับปัญหา จนกระทั่งเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของทั้งฉันและคุณเสียแล้ว

จงจำไว้ว่า ฉันไม่ใช่ประเภทขี้บ่น ให้ฉันทำงานหนักเกินไปโดยอัด ยา แอลกอฮล์ และ บรรดาอาหารขยะ สามารถทำร้ายฉันได้!

นี่อาจเป็นการเตือนครั้งเดียวที่คุณจะได้รับ โปรดฟังคำแนะนำฟรี พาฉันไปให้คุณหมอตรวจ การตรวจเลือด สามารถบอกปัญหาบางอย่างได้

ถ้าฉันยังอ่อนนุ่ม และไม่เป็นตะปุ่มตะป่ำ แสดงว่าฉันยังดีอยู่ ถ้าคุณหมอสงสัย การอัลตร้าเซาวนด์ หรือ ซีที แสกน ช่วยได้

อายุของฉัน กับอายุของคุณ ขึ้นอยู่กับว่า คุณดูแลฉันดีแค่ไหน

คราวนี้คุณรู้แล้วละซี ว่าฉันรักคุณแค่ไหน ได้โปรดดูแลฉันหน่อยด้วยความรักและผูกพัน

จาก เพื่อนร่วมชีวิตผู้สงบเงียบ และคู่รักนิรันดร ของคุณ

ที่มา : รอบรู้

.

.