เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคที่ต้องรู้ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคที่ต้องรู้ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction หรือ อาการ ED) หรือ Sex เสื่อม คืออะไร?

อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction หรือ อาการ ED) หรือ SEX เสื่อม หมายถึง การที่องคชาตไม่สามารถแข็งตัว และ/หรือแข็งตัวได้ แต่ไม่เพียงพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างน่าพึงพอใจ (EHS เกรด 3 ถึงเกรด 1) โดยเกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือต่อเนื่อง อาการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อจิตใจ ผู้ชายที่ประสบปัญหาเป็นอย่างมาก ทำให้ขาดความเชื่อมั่น รู้สึกต่ำต้อยไร้คุณค่า และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นชาย นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อคู่ครองและชีวิตรักอีกด้วย

สำหรับระดับการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 เกรด ดังนี้
  1. เกรด 1 (EHS 1) คือ การที่อวัยวะเพศตื่นตัว ขยายขนาดพองขึ้นแต่ไม่แข็ง ซึ่งเปรียบได้กับความแข็งของเต้าหู้หลอด (อาการอีดีระดับรุนแรง) 
  2. เกรด 2 (EHS 2) คือ การที่อวัยวะเพศแข็งตัว แต่ไม่เพียงพอที่จะสอดใส่เพื่อมีเพศสัมพันธ์ เปรียบได้กับความแข็งของกล้วยหอมที่ปอกเปลือกแล้ว (อาการอีดีระดับปานกลาง) 
  3. เกรด 3 (EHS 3) คือ การที่อวัยวะเพศแข็งตัวไม่เต็มที่ แต่เพียงพอที่สอดใส่ได้ เปรียบได้กับความแข็งของกล้วยหอมที่ยังไม่ได้ปอกเปลือก (อาการอีดีระดับต้น) 
  4. เกรด 4 (EHS 4) คือ การที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ ทำให้สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีความสุขทั้งสองฝ่าย และเป็นเป้าหมายของการรักษาอาการอีดี เปรียบได้กับความแข็งของแตงกวา (ปลอดจากอาการอีดี)
ปัญหาของ Sex เสื่อม หรือ นกเขาไม่ขัน นั้นส่วนใหญ่มีสาเหตุ หลักๆ ดังนี้
  1. การไม่ชอบออกกำลังกาย 
  2. นั่งเฉยๆอยู่กับที่เป็นระยะเวลานาน 
  3. กินเยอะจนทำให้อ้วน 
  4. สูบบุหรี่ และ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอร์ฮอล
โดยเรื่องการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศนี้ Morten Frisch นักวิจัยจาก Statens Serum Institut ซึ่งเป็นสถานบันวิจัยในประเทศเดนมาร์กนั้น ได้ทำการสำรวจผู้หญิงและผู้ชายจำนวน 5,500 คน โดยระบุว่าผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าวนั้น สามารถทำให้ผู้หญิงไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ถึง 91% ส่วนผู้ชายนั้นมีถึง 78%

นอกจากนี้ ในกลุ่มที่ทำการสำรวจนั้น พบว่าผู้ที่มีคู่นอนอีกทั้งยังมีรอบเอวที่ใหญ่นั้น จะเพิ่มเปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ถึง 71% อีกด้วย และสำหรับผู้ที่ติดยาเสพติดอย่างหนักนั้นจะทำให้เปอร์เซ็นต์เพิ่มถึง 800% ในขณะที่ผู้หญิงที่สูบกัญชานั้นพบว่า ไม่สามารถถึงจุดสุดยอดได้มากถึง 3 เท่าอีกด้วย

ที่มา : บทความบางส่วนจาก ผู้ชายที่ไม่ดูแลสุขภาพ เสี่ยงปัญหานกเขาไม่ขันก่อนวัย!, อะไรคือต้นเหตุ ของการทำให้เซ็กส์เสื่อม!!

ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการ
หย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction หรือ อาการ ED) หรือ Sex เสื่อม


ไลฟ์แพ็ก (LifePak) ageLOC R2 (เอจล็อค อาร์สแควร์)

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โรคฝีในตับคืออะไร?


โรคฝีในตับ คือ ภาวะที่ตับเป็นฝีมีหนองภายในอาจเป็นฝีเพียงฝีเดียวหรือหลายฝีก็ได้ ซึ่งพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 6-7 เท่า ในกลุ่มอายุ 30-50 ปี สาเหตุเกิดจากเชื้ออะมีบา Antamoeba histolytica

สาเหตุ
โรคนี้เกิดจากเชื้อบัคเตรีชนิดที่ทำให้เกิดหนองเช่น สเต็พโตค็อกไซ สตาฟิโลค็อกไซ และอีโคไล (E. coli) ส่วนโรคฝีในตับในประเทศไทยที่ไม่เกิดจาก เชื้อบัคเตรี มีสาเหตุสำคัญมากสาเหตุหนึ่งจากเชื้อบิด อะมีบิก ได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อบิดชนิดที่เป็น สัตว์เซลล์เดียว(โปรโทซัว/Protozoa) หรือ เชื้อรา
  • ฝีตับที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (Pyogenic liver abscess หรือ Bacterial hepatic abs cess) เป็นฝีตับที่พบได้บ่อยที่สุด ประมาณ 80-85% ของฝีตับทั้งหมด โดยพบเกิดได้จากแบค ทีเรียหลายชนิด เช่น E. coli (พบได้บ่อยที่สุด) Klebsiella (พบได้รองลงมา) นอกนั้น เช่น En terococcus, Streptococcus, staphylococcus, และ Bacteroides แต่ทั้งนี้ ประมาณ 80% ของผู้ป่วยฝีตับจากเชื้อแบคทีเรีย เกิดจากติดเชื้อแบคทีเรียหลายๆชนิดร่วมกัน
  • ฝีตับที่เกิดจาก สัตว์เซลล์เดียว ที่ชื่อ Entamoeba histolytica (Amoebic liver abs cess) เรียกว่า “ฝีบิดตับ” เพราะเชื้อชนิดนี้โดยทั่วไปเป็นสาเหตุสำคัญของโรคบิด ที่เรียกว่า “โรคบิดมีตัว (Amoebic dysentery)” ทั้งนี้พบฝีตับชนิดนี้ได้ประมาณ 10-15%
  • ฝีตับที่เกิดจากเชื้อรา (Fungal liver abscess) มักเกิดจากการติดเชื้อราของตับในกลุ่ม Candida เป็นฝีตับที่พบได้น้อยกว่า 10% และมักเกิดในคนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น ผู้ ป่วยโรคมะเร็ง และผู้ป่วยโรคเอดส์
อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดฝีตับ?
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคฝีตับ ได้แก่ มีการอักเสบรุนแรงของอวัยวะในช่องท้อง มีการอักเสบติดเชื้อรุนแรงในระบบทางเดินน้ำดี มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ อุบัติเหตุต่อตับโดย ตรง (เช่น ถูกยิง ถูกแทง) และบางครั้งไม่พบมีปัจจัยเสี่ยง
  • การอักเสบติดเชื้อรุนแรงของอวัยวะในช่องท้อง เช่น ช่องท้องเป็นหนอง หรือลำไส้ใหญ่แตกเข้าช่องท้อง (เช่น จากโรคไส้ติ่งอักเสบ หรือ จากอุบัติเหตุ เช่น ถูกแทงจนลำไส้ทะลุ)
  • จากมีการติดเชื้อในกระแสโลหิต (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ) เชื้อจึงแพร่เข้าสู่ตับด้วย
  • จากเชื้อโรคลุกลามในช่องท้องและเข้าสู่ตับโดยตรง เช่น ในโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ โรคไส้ติ่งอักเสบ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคตับอ่อนอักเสบ และการอักเสบติดเชื้อของแผลมะเร็งในโรคมะเร็งต่างๆของอวัยวะในระบบทางเดินอาหาร หรือการติดเชื้อภายหลังการผ่าตัดในช่องท้อง
  • การอักเสบติดเชื้อรุนแรงในระบบทางเดินน้ำดี เช่น ทางเดินน้ำดีเป็นหนอง หรือทะลุ เช่น จากโรคถุงน้ำดีอักเสบ โรคนิ่วในถุงน้ำดี หรือการติดเชื้อภายหลังการผ่าตัด หรือจากการส่องกล้องตรวจทางเดินน้ำดี
  • ภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น ในผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยเฉพาะเมื่อได้ยาเคมีบำบัด หรือเป็นโรคมะเร็งตับชนิดที่เกิดจากท่อน้ำดีในตับ (Cholangiocarcinoma) และโรคมะเร็งตับอ่อน เป็นต้น
อาการ

ไข้สูง หนาวสั่น เหงื่อออก อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นใส้ อาเจียน ปวดเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่ หรือชายโครงด้านขวา อาจมีอาการปวดร้าวมาที่หัวไหลขวา อาการปวดจะรุนแรง มาก ถ้าแตะถูก หรือขยับเขยื้อนจะรู้สึกเจ็บมาก บางคนอาจไอเป็นหนองสีกะปิ หรือหายใจหอบ

คือ ตับโต ทำให้เจ็บบริเวณ ชายโครงขวาและยอดอก นอกจากนี้ยังอาการทั่วๆ ไป เช่น เป็นไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผู้ป่วยจากเชื้อบิดอะมีบิกในตับอาจจะมีประวัติเป็นบิดมาก่อนหรือไม่ก็ได้ การทดสอบหน้าที่ของตับจะพบความผิดปกตินี้ไข้สูง ตับโต เวลาเคาะ หรือกดจะมีอาการแสดงการเจ็บปวดโดยรอบ และจะพบจุดที่กดเจ็บมากที่สุดอยู่จุดหนึ่ง ถ้าฝีแตกเข้าไปในช่องปอดจะมีการหายใจหอบ อาจเคาะได้ เสียงทับบริเวณชายปอดด้านล่างขวา และเสียงหายใจจะเบาลง (decreased breath sound)

การรักษา
  1. เจาะหนองออกให้มากที่สุด จะทำให้อาการผู้ป่วยดีขึ้น
  2. ให้ยา การให้ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ เช่น ถ้าเป็นเชื้อบิดอะมีบิก มียาที่ใช้ได้หลายชนิด เช่น เมโทรนิดาโซล (metronidazole) เอมีทีน (eme-tine) คลอโรควิน (chloroquine) ถ้าเป็นเชื้อบัคเตรีให้ยาปฏิชีวนะที่ไวต่อเชื้อนั้น เป็นต้น
  3. การรักษาอื่นๆ เป็นการรักษาทั่วไป เช่นให้ยาแก้ปวด แก้ไข้ กินอาหารที่ดี และแก้ไขภาวะขาดน้ำ เป็นต้น
การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุว่าฝีหนองนั้นเกิดจากเชื้อชนิดใด แพทย์มักเจาะดูดฝีเอาหนองออกมาตรวจ: โดยเจาะประมาณ 5-10 ซีซี และดูดหนองที่เหลือออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแต่ละครั้ง ถ้าโพรงฝีไม่ใหญ่มาก อาจตอบสนองต่อการรักษาดีหลังการเจาะดูดหนอง เพียงครั้งเดียว ร่วมกับการใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม แต่ในรายที่โพรงฝีมีขนาดใหญ่มากอาจต้องทำการเจาะดูดหนองซ้ำอีกหลายครั้งห่างกันครั้งละ ประมาณ 3-5 วัน วิธีนี้ จะช่วยหลีกเลี่ยงการผ่าตัดได้

การรักษาจำเพาะฝีหนองชนิดแบคทีเรีย: จำเป็นต้องทราบ เชื้อแบคทีเรียต้นเหตุให้แน่ชัดและรวดเร็ว แล้วให้การรักษาทันที ถ้าชักช้าผู้ป่วยมักเสียชีวิต แพทย์จะเลือกยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมครอบคลุมเชื้อ ที่เป็นสาเหตุของโรคตามร่องรอยต้นเหตุของการติดเชื้อ และปรับเปลี่ยนยา ภายหลังตามผลการเพาะเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมักจะได้ภายใน

โรคฝีตับรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
โรคฝีตับจัดเป็นโรครุนแรง แต่สามารถรักษาให้หายได้ ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ สุขภาพร่าง กายของผู้ป่วย อายุ และการรักษาตั้งแต่แรกมีอาการ อย่างไรก็ตามมีโอกาสเสียชีวิตได้ ถ้าโรครุนแรง เช่น มีฝีตับเกิดขึ้นหลายฝี ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เกิดการติดเชื้อในกระแสโล หิตร่วมด้วย (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ) และเมื่อเกิดเชื้อดื้อยา

ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเป็นโรคฝีตับ? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเอง การพบแพทย์ เมื่อมีอาการดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ อาการ คือ การรีบพบแพทย์ ต่อจากนั้นปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาลที่ให้การรักษาแนะนำ

ป้องกันโรคฝีตับอย่างไร?
การป้องกันโรคฝีตับ คือการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆดังกล่าวแล้วในหัวข้อปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้ และที่สำคัญ คือ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ 
  • ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง 
  • ระมัดระวังเรื่องความสะอาดของอาหาร และน้ำดื่มโดยเฉพาะในการเดินทางท่อง เที่ยว เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะโรคบิด ที่อาจเป็นสา เหตุของฝีตับ 
  • ไม่กินอาหารสุกๆ ดิบๆ หรือปรุงไม่สุก ผัก ผลไม้ ทุกชนิดต้องล้างให้สะอาดโดย เฉพาะเมื่อกินสด 
  • ไม่ควรกินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ หรือซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา ซึ่งจะส่งผลให้โรครุนแรงเมื่อเกิดการติดเชื้อเป็นโรคฝีตับ
ที่มา : โรคฝีในตับ, โรคฝีตับ (Liver abscess)

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

โรคต่อมลูกหมากโตคืออะไร?

"ต่อมลูกหมาก" เป็นต่อมสร้างน้ำเลี้ยงเชื้ออสุจิ (Semen) ในผู้ชาย ลักษณะเป็นของเหลวสีคล้ายน้ำนมที่ช่วยหล่อเลี้ยงและขนส่งเชื้ออสุจิในระยะที่มีการหลั่งน้ำอสุจิ (Ejaculation) อยู่ในตำแหน่งบริเวณคอของกระเพาะปัสสาวะ (Bladder) โดยรอบท่อปัสสาวะ (Urethra) ส่วนต้นของผู้ชาย หรืออยู่ใต้หัวเหน่าบริเวณโคนอวัยวะเพศ (Penis) มีขนาด 18 - 20 กรัม ซึ่งชาวตะวันตกมักเปรียบเทียบขนาดปกติของต่อมลูกหมากที่จะโตเต็มที่ในวัยหนุ่มคือ 25 ปีขึ้นไปว่ามีขนาดเท่ากับขนาดของผลวอลนัท (watnut-size) หรือลูกกอล์ฟ โดยแรกเกิดจะมีขนาดประมาณเม็ดถั่ว แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้นก็จะมีขนาดโตขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะยิ่งเด่นชัดขึ้นและในบางรายอาจเกิดปัญหากับการขับถ่ายปัสสาวะ

หน้าที่ของต่อมลูกหมาก
ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะที่ประกอบด้วย กล้ามเนื้อบางส่วน และ บางส่วนเป็นต่อม (partly muscular and partly glandular) ซึ่งมีอยุ่ 3 ส่วนหรือ 3 กลีบประกอบกันขึ้นมา คือ ส่วนปลาย/peripheral, ส่วน transitional และส่วนกลาง/central ซึ่งส่วนกลางนี้มักจะเป็นส่วนที่โตขึ้นในรายที่มีอาการของต่อมลูกหมากโตที่ไม่ใช่มะเร็ง (Benign Prostatic Hypertrophy or Hyperplasia หรือ BPH)



ในระยะก่อนการหลั่งน้ำอสุจิ มีต่อมอีกอันหนึ่งคือ Cowper's gland หรือที่เรียกกันว่า Bulbourethral gland (ตามภาพ) ซึ่งจะสร้างของเหลวที่เป็นสารอัลคาลายน์ (Alkaline fluid) ซึ่งจะช่วยทำให้ปัสสาวะที่หลงเหลืออยู่ในท่อปัสสาวะมีคุณสมบัติเป็นกลาง (neutralizes) จากเดิมที่มีสภาพเป็นกรด (acid) เพื่อให้สภาพแวดล้อมที่เป็นกลางในท่อปัสสาวะช่วยปกป้องอสุจิ และสารนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยในการหล่อลื่น (Lubricant) ตัวอสุจิด้วย (น่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดการตั้งครรภ์ได้แม้ฝ่ายชายจะไม่ได้หลั่งน้ำอสจิในขณะมีเพศสัมพันธ์) ซึ่งต่อมนี้ยังทำหน้าที่ต่อไปได้แม้ในรายที่ทำผ่าตัดต่อมลูกหมากออกไปแล้ว (แพทย์อาจจะเก็บต่อมนี้ไว้ในการผ่าตัดเอาต่อมลูกหมากออกที่เรียกว่า Prostectomy) ผู้ที่ตัดเอาเฉพาะต่อมลูกหมากออก ในระยะที่มีการกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกทางเพศ จะมีการหลั่งสารเหลวจากต่อมนี้ได้ แม้จะไม่มีการหลั่งน้ำอสุจิ (Ejaculation)

ต่อมลูกหมากทำหน้าที่หลักในการสร้างสารประกอบของน้ำอสุจิ คือสารอัลคาลายน์ (Alkaline fluid) ที่เป็นของเหลวสีคล้ายน้ำนมดังกล่าว มีปริมาณประมาณ 30% ของน้ำอสุจิ โดยสร้างสารเคมีและอาหารสำคัญบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของตัวอสุจิในผู้ชาย (ต่อมลูกหมากนี้ไม่ได้สร้างตัวอสุจิเอง ตัวอสุจิหรือเสปอร์มนั้นมีกำเนิดมาจากเซลล์ของลูกอัณฑะเท่านั้น) ช่วยนำพาอสุจิและทำให้การเคลื่อนไหวของตัวอสุจิเป็นไปได้ง่ายโดยการหล่อลื่นของสารเหลวดังกล่าว ช่วยตอบสนองต่อการกระตุ้นโดยระบบประสาทอัตโนมัติ และฮอร์โมนเพศชาย ทั้งยังเชื่อว่าเป็นตัวกระตุ้นการเกิดลักษณะทางเพศของผู้ชาย (Secondary sex characteristics) เช่น มีขน เสียงเหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไป รวมทั้งช่วยควบคุมการไหลของปัสสาวะด้วย

ภาพผลการตรวจต่อมลูกหมากปกติด้วยคลื่นแม่เหล็ก (MRI of the Prostate - normal exam)
ภาพมองจากปลายเท้าผู้ถูกตรวจไปหาศีรษะ
(จุด A: สะโพกขวา/right hip, จุด B: กระเพาะปัสสาวะ/bladder, จุด C: สะโพกซ้าย/left hip, จุด D:ต่อมลูกหมาก prostate gland และจุด E: ทวารหนัก/rectum)

ต่อมลูกหมากจะโตขึ้นตามวัย และโตมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น โดยในชายวัย 45 ปีขึ้นไปพบได้มากขึ้น ซึ่งเป็นช่วงที่เซลล์บริเวณนั้นจะเจริญโตขึ้นรวดเร็ว จะพบว่าต่อมลูกหมากที่โตขึ้นนี้จะเริ่มอุดตันหลอดปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปัสสาวะลำบาก และการอุดตันทำให้ปัสสาวะคั้งค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะมากกว่าปกติ จะสังเกตได้ว่ามักจะเกิดในผู้ชายวัยเกิน 60 ปีขึ้นไป ซึ่งถ้าปล่อยไว้อาจโตมากจนปัสสาวะไม่ออก จนเป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุเหล่านั้นได้

ต่อมลูกหมากโตเป็นโรคเดียวกับมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่
ต่อมลูกหมากโตเป็นเพียงมีเซลล์เพิ่มขึ้นไม่ใช่มะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้ป่วยส่วนมากแม้จะมีต่อมลูกหมากโตแต่ก็ไม่มีอาการ

ผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตจะมีอาการอะไรบ้าง
อาการของต่อมลูกหมากโตเกิดจากต่อมลูกหมากโตกดท่อปัสสาวะทำให้ท่อปัสสาวะแคบ ระยะแรกของโรคกระเพาะปัสสาวะยังแข็งแรงสามารถบีบตัวไล่ปัสสาวะออกได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกระเพาะปัสสาวะอ่อนแรงไม่สามารถบีบตัวไล่ปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปัสสาวะสะดุด ผู้ป่วยบางคนอาจจะไม่มีอาการจนได้รับประทานยาแก้หวัด ผลข้างเคียงของยาแก้หวัดทำให้เกิดอาการปัสสาวะไม่อก อาการที่พบได้บ่อยคือ
  • ปัสสาวะไม่สุดเหมือนคนที่ยังไม่ได้ปัสสาวะ
  • ปัสสาวะบ่อย
  • ปัสสาวะสะดุดขณะปัสสาวะ
  • อั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • ปัสสาวะไม่พุ่ง
  • ปัสสาวะต้องเบ่งเมื่อเริ่มปัสสาวะ
  • ต้องตื่นกลางคืนเนื่องจากปวดปัสสาวะ
ถ้าหากผู้ป่วยยังไม่รักษาก็อาจจะเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้แก่ กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไม่ดีเกิดการคั่งของปัสสาวะและเกิดการติดเชื้อได้ง่าย ไตเสื่อม กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะเล็ด นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

การวินิจฉัยโรคต่อมลูกหมากโต
เมื่อผู้ป่วยที่สงสัยว่าต่อมลูกหมากโตไปพบแพทย์แพทย์จะถามประวัติเพื่อประเมินความรุนแรงของต่อมลูกหมาก
  • ซักประวัติเกี่ยวกับโรคทั่วไป
  • ตรวจร่างกายทั่วไป
  • ตรวจต่อมลูกหมากโดยการตรวจทางทวารหนัก
  • ตรวจปัสสาวะเพื่อหาว่ามีเลือดหรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
  • ตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของไตและตรวจ Prostate-specific antigen (PSA) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ผลิตจากต่อมลูกหมากค่านี้จะสูงในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
  • การตรวจส่องกล้อง cystoscope เพื่อดูต่อมลูกหมาก กระเพาะปัสสาวะเป็นการตรวจที่ไดข้อมูลมาก
  • การตรวจ x-ray เรียก urogramหรือ IVP [ intravenous pyelography] โดยการฉีดสีเข้าหลอดเลือดดำ และเมื่อสีขับเข้ากระเพาะปัสสาวะแพทย์จะสามารถเห็นตำแหน่งและความรุนแรงของการอุดกลั้นปัสสาวะ
  • การตรวจ ultrasound สามารถเห็นต่อมลูกหมาก ไต และกระเพาะปัสสาวะโดยทำผ่านทางทวารหนัก
  • การตรวจ Uroflowmetry เพื่อดูว่าทางเดินปัสสาวะถูกอุดมากน้อยแค่ไหน
การบริโภคเพื่อลดเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
จากงานวิจัยพบว่า พฤติกรรมบริโภคที่ไม่ดี อาจนำไปสู่สาเหตุการเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ มีรายงานการวิจัยว่า แม้ผู้ชายที่เป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากก็สามารถที่จะลดความเสี่ยงการตายจากโรค นี้ โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคดังต่อไปนี้
  • ลดอาหารไขมันสูง ไขมัน อาจเร่งให้เซลล์มะเร็งเจริญได้ดี และไขมันทำให้ระดับฮอร์โมนเพศสูง ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมาก กรดไขมันอิ่มตัวเป็นอันตรายอันดับ 1 พบในไขมันสัตว์และกะทิ ส่วนกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีมากในปลาทะเล ปลาน้ำจืดบางชนิด เช่น ปลาช่อน รวม ทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วลิสง) เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ให้ผลในการป้องกันทั้งโรคหัวใจและโรคมะเร็ง 
  • จำกัดอาหารประเภทเนื้อแดง ใน เนื้อแดง (เนื้อสัตว์ใหญ่) จะมีไขมันแทรกอยู่มาก ทำให้ได้รับไขมันเพิ่มขึ้นด้วย โดยอาจเลือกรับประทานโปรตีนจากถั่วเหลืองแทนจะดีกว่า ในรูปเต้าหู้ แป้งถั่วเหลือง และนมถั่วเหลือง สามารถชะลอความรุนแรงของมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ เพราะถั่วเหลืองมีฮอร์โมนพืชที่เรียกว่าไฟโตเอสโตรเจน 
  • กินผัก ผลไม้ มากขึ้นโดยเฉพาะมะเขือเทศ ผัก ผลไม้ ช่วยในการป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ที่อุดมไปด้วยสารแคโรทีนอยด์ (สีเขียวจัด แดง เหลือง และส้ม) ธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ มีสารไอโซเฟลโวนอยด์สูง และอาจมีผลต่อการลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนี้ผัก ผลไม้ ยังมีวิตามินซี และเส้นใยอาหารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และโรคหัวใจอีกด้วย สาร ไลโคพีนเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยในการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ด้วยการชะลอการเจริญของเซลล์มะเร็ง มีมากในผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ เช่น ซอสมะเขือเทศ ซุปมะเขือเทศ และน้ำมะเขือเทศ ความร้อนจะทำให้สารไลโคพีนถูกปลดปล่อยจากผนังเซลล์มากขึ้น ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น 
  • กินอาหารที่มีวิตามินดีสูง ผู้ชาย ที่อยู่ในบริเวณที่มีแสงแดดน้อย มีโอกาสเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมากสูง เพราะแสงแดดช่วยสร้างวิตามินดีในผิวหนังคนเรา แต่คนไทยเรานั้นได้รับแสงแดดเหลือเฟือ ปัจจัยข้อนี้จึงไม่น่ากังวล แต่ ในคนสูงอายุที่ประสิทธิภาพการสร้างวิตามินดีลดลง อาจเพิ่มอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น นม โดยแนะนำให้เลือกนมพร่องมันเนยหรือนมขาดไขมัน 
  • เน้นอาหารที่มีสารซีลีเนียมและวิตามินอี ซีลีเนียม มีผลมากต่อการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมา พบมากในเมล็ดพืชต่างๆ เห็ด ธัญพืชไม่ขัดสี เมล็ดดอกทานตะวัน จมูกข้าวสาลี อาหารทะเล สัตว์ปีก ไข่ และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน วิตามินอีช่วยทำลายเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก แต่การที่ร่างกายจะดูดซึมวิตามินอีจากอาหารอย่างเดียวในปริมาณสูงค่อนข้างยาก ฉะนั้นการเสริมวิตามินอีวันละ <400 ไอยู อาจเป็นอีกทางเลือกที่จะต้องพิจารณา วิตามินอีพบในน้ำมันพืช ถั่วเปลือกแข็ง และผักใบเขียวจัด
ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคต่อมลูกหมากโต มีสุขภาพดี และ ร่างกายแข็งแรง



ไลฟ์แพ็ก (LifePak) ทีกรีน97 (TeGreen97) ริชิเอ็มเอ็กซ์ (ReishiMx)


ที่มาบางส่วนจาก : ต่อมลูกหมาก (Prostate Gland), ต่อมลูกหมากโต Benigh prostatic hypertrophy

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

โรคหัวใจ (Heart disease) และ หลอดเลือดหัวใจ (Coronary heart disease) คืออะไร?

โรคหัวใจ (Heart disease) หรือ โรคที่เกิดกับหัวใจ ซึ่งมีได้หลายโรค แต่ที่พบบ่อยที่สุด เป็นปัญหาทางสาธารณสุข และเป็นสาเหตุการเสียชีวิต ได้สูงติด 1 ใน 4 ของสาเหตุการเสียชีวิตของประชาชนเกือบทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย คือ โรคหัวใจที่เกิดจากโรคของหลอดเลือดหัวใจ หรือ ที่เรียกว่า โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease หรือ Coronary heart disease) ซึ่งโดยทั่วไป เมื่อกล่าวถึงโรคหัวใจ มักหมายถึงโรคนี้ ดังนั้น บทความนี้ จึงกล่าวถึงโรคหัวใจเฉพาะเกิดจากสาเหตุนี้เท่านั้น

โรคหลอดเลือดหัวใจ คือ โรคเกิดจากหลอดเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Coronary artery ตีบแคบเล็กลง หรือ ตีบตัน จึงส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจจึงทำงานผิดปกติ ส่งผลถึงอวัยวะต่างๆขาดเลือดไปด้วย จึงเกิดมีอาการต่างๆได้มากมาย

โรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นโรคของผู้ใหญ่ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ไปจนถึงในผู้สูงอายุ โดยพบได้สูงตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ในช่วงวัยเจริญพันธ์ พบโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ชายได้สูงกว่าในผู้หญิง แต่หลังจากหมดประจำเดือนถาวรแล้ว ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ใกล้เคียงกัน

โรคหลอดเลือดหัวใจเกิดได้อย่างไร?
สาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจ คือ การมีไขมันจับที่ผนังของหลอดเลือดหัวใจ ที่เรียกว่า พลาค (Plaque) จึงส่งผลให้ผนังหลอดเลือดแข็ง หนา ช่องในหลอดเลือดจึงตีบแคบลง และเมื่อพลาคนี้ก่อให้เกิดการอักเสบของผนังหลอดเลือด หรือ ผนังหลอดเลือดบาดเจ็บเสียหาย ร่างกายจะซ่อมแซมผนังส่วนเสียหายโดยการจับตัวเป็นก้อนของเกร็ดเลือด และเม็ดเลือดขาว จึงยิ่งส่งผลให้ช่องในหลอดเลือดตีบแคบลงอีก เลือดจึงหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลง จึงเกิดเป็นโรค กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และบ่อยครั้ง การซ่อมแซมจากร่างกายนี้ ก่อให้หลอดเลือดถึงอุดตัน จึงส่งผลให้เกิด โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด ซึ่ง อาจเกิดได้อย่างเฉียบพลัน และเมื่อรุนแรง จะเป็นสาเหตุให้หัวใจหยุดทำงานทันที จึงเสียชีวิตได้ทันที กะทันหัน นอกจากนั้น หลอดเลือดหัวใจ ยังสามารถบีบหดตัวได้ ดังนั้นเมื่อมีการหดตัวของหลอดเลือด จึงส่งผลให้รูท่อหลอดเลือดตีบแคบลง จึงเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดได้ เช่น จากภาวะมีความเครียดสูง เป็นต้น

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมีดังนี้
  1. โคเลสเตอรอล LDL สูง ในภาวะขาดสารต้านอนุมูลอิสระ
  2. โฮโมซีสเทอีนสูง  ในภาวะขาดโคลีน  โฟลิค วิตามินบี
  3. ภาวะอินซูลินสูงเรื้อรัง ที่เรียก ซินโดรมเอกซ์
  4. ผลของโรคอ้วน เบาหวาน
  5. ความดันโลหิตสูง
  6. ขาดน้ำมันปลา ขาดแมกนีเซียม
  7. มี oxidative stress สะสม เช่น บุหรี่ มลพิษ เครียด
  8. ขาดการออกกำลังกายที่พอเหมาะ
  9. ทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ Junk Food
  10. พันธุกรรม เพราะพบโรคได้สูงกว่า ในคนมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
โรคหลอดเลือดหัวใจมีอาการอย่างไร?
อาการพบบ่อยของโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่
  • ไม่มีอาการเมื่อเริ่มเป็นโรค หรือ เมื่อหลอดเลือดยังตีบไม่มาก 
  • เหนื่อยง่ายเมื่อออกแรง หรือ ออกกำลัง 
  • เจ็บแน่นหน้าอกเมื่อใช้กำลังเพิ่มขึ้น หรือ เมื่อมีความเครียด (ผู้หญิง มักไม่ค่อยพบมีอาการนี้) อาการอาจร้าวไปที่ขากรรไกร ไหล่ และ/หรือ แขน ด้านใดก็ได้ แต่มักเป็นด้านซ้าย 
  • อาการของโรคหัวใจล้มเหลว (หัวใจวาย) เช่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว บวมหน้า แขน/ขา 
  • ความดันโลหิตสูง 
  • ไขมันในเลือดสูง
กลไกการเกิด
  1. สาเหตุที่กลัวและกล่าวขวัญอยู่เสมอคือ โคเลสเตอรอลสูง กล่าวคือ LDL สูง โดยเฉพาะในภาวะที่ขาดสารต้านอนุมูลอิสระ…ปกติ LDL เป็นไขมันที่มีประโยชน์ใช้สร้างเซลล์ผนังภายในหลอดเลือด แต่เมื่อไรที่ถูก oxidative stress จะแปรสภาพเป็นพิษ ทำให้เม็ดเลือดขาวแมคโคฟากซ์ เข้ามาจับกินทำลายพิษ ซึ่งหากเกิดมากๆ แมคโคฟากซ์ต้องกลืนกินเข้าไปจนเต็ม ทำให้เกิดภาวะเคลื่อนไหวไม่ได้ตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า foam cell เป็นพลักเกาะอยู่ที่ผนังหลอดเลือด ก่อปฏิกิริยาอักเสบ หนา แข็ง อุดตัน ในขณะที่ผนังหลอดเลือดก็ตีบ  อุดตันมากขึ้น…การปกป้องภาวะนี้ ร่างกายจึงต้องมีสารต้านอนุมูลอิสระ คอยจับสิ่งที่จะมาแปรสภาพ LDL นอกจากนี้ยังมีภาวะเสียง ที่ทำให้ LDL สูง เช่น บุหรี่ มลพิษ ความเครียด และไขมันสัตว์ สารต้านอนุมูลอิสระที่ดี  ในกรณีนี้ นอกจาก วิตามินบีในผัก ผลไม้แล้ว OPC และกลูตาไธโอนน่าจะมีบทบาทสูง
  2. ภาวะโฮโมซีสเทอีนสูง วายร้ายตัวจริงชื่อ “โฮโมซีสเทอีน” ที่มาของข้อมูลนี้ เริ่มจากการผ่าพิสูจน์เด็กอายุ 7–8 ขวบ ที่เสียชีวิตด้วยโรค “Homocys teinuria” (เป็นโรคที่พบโฮโมซีสเทอีนในปัสสาวะเรื้อรัง เนื่องจากมีระดับโฮโมซิสเทอีนในกระแสเลือดสูง จากพันธุกรรมบกพร่อง ในการเปลี่ยนเมธิโอนีนเป็นโฮโมซิสเทอีน อย่างไม่หยุดยั้ง) พบว่าสาเหตุการตาย คือ เส้นเลือดอักเสบ แข็ง หรือลิ่มเลือดจับเป็นก้อนอุดตัน ทั้งในหลอดเลือดดำ (Venous Thrombosis) และหลอดเลือดแดง จึงเป็นที่มาแห่งข้อหาว่า พยาธิสภาพของเส้นเลือด มาจากพิษของโฮโมซิสเท-อีน (หาใช่โคเลสเตอรอลไม่ !)
    โฮโมซิสเทอีนเป็นตัวกระตุ้น ให้เส้นเลือดอักเสบ เลือดจับตัวเป็นก้อนได้ง่าย ผนังเส้นเลือดแปรสภาพ ตีบ แข็ง มีการอุดตัน ความดันก็ขึ้นสูง เพราะเส้นเลือดขยายตัวไม่ดี หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นๆ
    โดยปกติ ค่าโฮโมซิสเทอีนในกระแสเลือด ไม่ควรเกิน 5 ไมโครโมลต่อลิตร
    หากมีถึง 7 แปลว่า เริ่มเข้าภาวะเสี่ยง
    หากพบถึง 12 ไมโครโมล / ลิตร บ่งว่าแย่แน่ๆ ต่อการจะเกิดเส้นเลือดอักเสบ แข็ง อุดตัน…ผลลัพธ์
    คือ ความดันสูง หัวใจโต เหนื่อย ขาดเลือด…หัวใจวาย…ตาย
    ในภาวะปกติ ร่างกายจะแปลงโฮโมซิสเทอีน ไปเป็นซีสเทอีน(Cysteine)กับเมธิโอนีน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ด้วยกระบวนการ “Methylation” จากสารที่ให้ CH3 (Methyl group) หรือเป็น “Methyl donor”
    แล้วเราจะขจัดเจ้าโฮโมซีสเทอีนได้อย่างไร?
    หนทางที่ดูเหมือนง่ายแต่ทำยาก คือ ลดการบริโภค เนื้อ นม ไข่ ชีส อาหารดัดแปลงให้น้อยลง แต่หากมีโฮโมซีสเทอีนสูงอยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้ที่อ้วนลงพุง ขาดการออกกำลังกาย เริ่มเจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ความดันขึ้น คงสายเกินการจำกัดอาหารประการเดียว

    หนทาง คือหาผู้ที่ให้สารกลุ่มเมทิล (Methyl donor) มาแปลงโฮโมซีสเทอีน ให้กลับไปเป็นซีสเทอีนกับเมธิโอนีน ซึ่งมักใช้ Trimethylglycine–TMG, Dimethylglycine–DMG หรือ Tetrame thylglycine (โคลีน) แต่ กระบวนการเมทิลเลชั่น (การให้เมทิล กรุ๊ป) จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีตัวเร่งปฏิกิริยา คือกรดโฟลิค (โฟเลท) B6 และ B12 มาทำงานเป็นทีม เขาพบว่า ระดับของโฟเลท + B6 และ B12 แปรผกผันกับระดับโฮโมซีสเทอีน! ที่แน่ๆ คือ โคลีน ช่วยเพิ่มระดับ HDL ไขมันดี ลดLDL (ไขมันเลว) โคเลสเตอรอลรวมและไตรกลีเซอไรด์–TG อันเป็นตัวร้ายต่อหลอดเลือดอีกทางหนึ่ง โคลีนร่วมกับบีรวม จึงเป็นมือปราบหลอดเลือดแข็งตีบตันตัวยง! นอกเหนือจากการใช้ โคลีนร่วมกับโฟเลท วิตามินบีแล้ว การรับประทานน้ำมันปลา แมกนีเซียม รวมไปถึงโอพีซี (OPC–สารสกัดจากเมล็ดองุ่น) ร่วมด้วย ก็ใช้ปราบโรคหัวใจหลอดเลือดได้ดีทีเดียว
    เกร็ดความรู้ : นอกจากโคลีนจะเป็นสารให้กลุ่มเมทิลแล้ว ยังเป็นสารตั้งต้นของ อเซทิลโคลีน ช่วยการรับรู้ ความจำ ความฉลาด ลดปัญหาความจำเสื่อม โคลีนยังร่วมกับโฟเลท B12 และ SAM (S-adenosyl methionine) ในการให้ Methyl gr.ในตับ ช่วยทำลายพิษ ช่วยการคืนตัวของเซลล์ตับ วิตามิน B6 นั้นยังร่วมมือกับแมกนีเซียม ทำให้มีการผลิต ซีโรโทนิน อันเป็นสารเริ่มต้นของเมลาโทนิน…ฮอร์โมนช่วยคลายเครียด ช่วยการนอนหลับที่ดีด้วย โคลีนที่มาพร้อมกรดโฟลิค B6 และ B12 จึงมีประโยชน์หลากหลาย !!
  3. ซินโดรมเอกซ์ หรือว่าที่เบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายได้รับอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล เข้าไปเกินใช้ กล่าวคือ กินมากออกกำลังกายน้อย อินซูลินที่ขึ้นสูง เพื่อพา น้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์ แต่เข้าไม่ได้ จึงค้างอยุู่ในกระแสเลือด ในขณะที่อินซูลินเป็นตัวก่ออักเสบแก่ผนังหลอดเลือด น้ำตาลที่สูงยังลดประสิทธิภาพเม็ดเลือดขาว ทำให้เป็นโรคติดเชื้อง่าย หนทางที่ดีสุดคือ เลือกอาหารและออกกำลังกายเช่น งดไขมันสัตว์ ไขมันทรานส์ เพิ่มน้ำมันปลา สังกะสี แมกนีเซียม และโอพีซี

    หากปล่อยปละละเลยกับภาวะซินโดรมเอกซ์ จนเข้าสู่โรคอ้วน หรือรุนแรงไปถึงระดับเบาหวาน แสดงว่าร่างกายสูญเสียดุลย์แห่งการช่วยตนเองไปมากแล้ว อาการต่อไปที่จะตามมาคือ ความดันเลือดสูง สมองเสื่อม โรคไต หรืออุบัติเหตุของเส้นเลือด ตีบ ตัน แตก สู่ภาวะหัวใจวาย หรือ อัมพฤกษ์ อัมพาต ตลอดจนโรคมะเร็ง…แม้ถึงขั้นนี้ ความเข้าใจในพื้นฐานเรื่องอาหาร และออกกำลัง ก็ยังมีส่วนช่วยให้ทุเลาได้กว่า 60% สารอาหารที่ไม่ควรขาดคือ OPC และที่เกี่ยวข้องกับ Cellular burn ทั้งหลาย ตั้งแต่โครเมียม แมกนีเซียม สังกะสี แมงกานีส รวมถึงวิตามินบีรวม น้ำมันปลา ตลอดจนเลี่ยงภาวะ oxidative stress จากบุหรี่ สารพิษในอาหาร น้ำดื่ม หรือความเครียด
  4. คุณภาพของน้ำบริโภค น่าจะมีส่วนช่วยให้ทุเลาหรือผ่อนหนักเป็นเบา ได้แก่ น้ำที่มีสภาวะด่าง มีแร่ธาตุผสม ขนาดโมเลกุลเล็ก แรงตึงผิวต่ำ และโอ-อาร์พีลบ น้ำ ORP ลบ มาเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด คือ ในภาวะหลอดเลือดแข็งตีบตันนั้น หากถูกซ้ำเติมจากมลพิษ Oxidative stress ก็ยิ่งทำให้พลั๊กหรืออุดตันที่ผนังหลอดเลือดกำเริบ น้ำ ORP ลบ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่คล่องตัวล่องลอยไปในกระแสเลือดจึงพร้อมต่อต้าน OS ได้ดี

    ภาวะ ORP ลบของน้ำยังทำให้น้ำมีกลุ่มโมเลกุลเล็ก น้ำ อาหาร และ O2 ผ่านได้ดี มีสภาวะด่าง ลื่นไหลได้ดี ทำให้เลือดหมุนเวียนสะดวก อีกทั้งไม่กระทบภาวะการจับตัวของเกล็ดเลือดเหมือนยากลุ่มละลายลิ้มเลือด หรือป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด นำ O2 สู่สมองได้ดี เพิ่ม O2 แก่เนื้อเยื่อ อีกทั้งน้ำ+ดูดซึมยาได้ดี ยาออกฤทธิ์เต็มประสิทธิภาพ FILENAME P90112

โรคหลอดเลือดหัวใจรุนแรงไหม? รักษาหายไหม?
โรคหลอดเลือดหัวใจจัดเป็นโรคเรื้อรัง และรุนแรง เป็นสาเหตุให้เกิดทั้งความพิการและเสียชีวิตได้ ความพิการ เช่น เป็นสาเหตุให้สมองขาดเลือด จากหัวใจทำงานลดลง จึงเกิดภาวะอัพฤกษ์/อัมพาติได้ง่าย และคุณภาพชีวิตลดลง เช่น ต้องจำกัดการออกแรง จากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือเกิดโรคหัวใจวาย หรือ โรคหัวใจล้มเหลว (โรคหัวใจ: หัวใจวายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ)


ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเป็นโรคหัวใจ? 
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ที่สำคัญ ได้แก่
  • ปฏิบัติตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ 
  • กินยาต่างๆตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา 
  • จำกัดอาหารไขมันทุกชนิด โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ 
  • ออกกำลังกายตามควรกับสุขภาพ สม่ำเสมอ 
  • ควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย ไม่ให้เกิดโรคอ้วน 
  • ดูแล รักษา ควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง 
  • รักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิต ด้วยการรักษา สุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อร่างกายแข็งแรง และมีสุขภาพจิตที่ดี ลดความเครียด 
  • พบแพทย์ตรงตามนัดเสมอ และรีบพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อมีอาการผิดปกติไปจากเดิม และ/หรือ อาการต่างๆเลวลง 
  • พบแพทย์เป็นการฉุกเฉินเมื่อ 
    • เจ็บแน่นหน้าอกมาก อาจเจ็บร้าวขึ้นขากรรไกร ไปยังหัวไหล่ หรือ แขน 
    • เหนื่อย หายใจขัด
    • ชีพจรเต้นอ่อน เต้นเร็ว เหงื่อออกมาก วิงเวียน จะเป็นลม
    • หยุดหายใจ และ/หรือ โคมา
ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้ไหม?
วิธีป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญ ได้แก่
  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยการออกกำลังกายตามสุขภาพ จำกัดอาหารไขมัน กินอาหารมีประโยชน์ ควบคุมน้ำหนัก ควบคุมโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง และรักษา สุขอนามัยพื้นฐาน 
  • ตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ เริ่มเมื่ออายุ 18-20 ปี 
  • ปรึกษาแพทย์เสมอเมื่อมีความกังวลในอาการ หรือ สงสัยในสุขภาพของตนเอง
ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ (Heart disease) และ หลอดเลือดหัวใจ (Coronary heart disease) มีสุขภาพดี และ ร่างกายแข็งแรง

ไลฟ์แพ็ก
(LifePak)
ทีกรีน97
(TeGreen97)
มารีน โอเมก้า
(Marine Omega)


ที่มา : บางส่วนจาก โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease), โรคหัวใจและหลอดเลือด (สาเหตุ)

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

โรคเอดส์ (AIDS) คืออะไร? และ การดูแลสุขภาพเมื่อเป็นโรคเอดส์ (AIDS)

โรคเอดส์คืออะไร
โรคเอดส์เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไวรัสเอดส์ หรือมีชื่อภาษาอังกฤษว่า HIV (เอช-ไอ-วี) ซึ่งย่อมาจาก Human immunodeficiency Virus เมื่อไวรัสเอดส์เข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปภายในเซลล์บางชนิดของร่างกาย จะมีการฟักตัวระยะหนึ่งซึ่งอาจนานเป็นปีหรือนานกว่า 10 ปี โดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ต่อมาไวรัสจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย จนสามารถทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เสื่อมหรือเสียไปเรื่อยๆ ผู้ป่วยจึงมักมีการติดเชื้อโรคต่างๆได้ง่าย ในที่สุดร่างกายก็ไม่สามารถทนทานได้ และจะเสียชีวิตในที่สุด

ทำไมจึงเรียกว่าโรคเอดส์ (AIDS)
AIDS มาจากคำเต็มว่า Acuquired immune Deficiency Syndrome
A = Acquired หมายถึง เกิดขึ้นภายหลัง ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด
I = Immune หมายถึง ระบบภูมิต้านทานหรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
D = Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง การขาดไปหรือเสื่อม
S = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการหรือโรคที่มีอาการหลายๆอย่าง

เอดส์ (AIDS) จึงหมายถึงกลุ่มอาการของภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เกิดขึ้นภายหลัง

ลักษณะพิเศษของเชื้อเอดส์
เป็นไวรัสกลุ่ม Retrovirus เป็นไวรัสที่เพิ่งค้นพบได้ไม่นานเมื่อเทียบกับไวรัสอื่นๆ เชื้อไวรัสชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากเชื้อไวรัสอื่นๆ ดังนี้คือ
  • มันสามารถหลบเลี่ยง จากการถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกายคนปกติได้ ด้วยการเข้าหลบอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-Lymphocytes ทำให้ Antibodies ที่ถูกสร้างขึ้นไม่สามารถทำอันตรายต่อเชื้อเอดส์ที่บุกรุกเข้ามาในร่างกายได้ 
  • สามารถนำเอาส่วนของ gene ของตัวมันเข้าไปแฝงเป็นส่วนหนึ่งของ gene ของเม็ดเลือดขาวของคนเรา แล้วอาศัย enzyme พิเศษที่ไม่มีในไวรัสชนิดอื่นที่เรียกว่า Reverse Transcriptase enzyme เป็นตัวกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวให้มีการสร้าง gene โดยที่ตัวมันไม่ต้องแบ่งตัวเอง ทำให้มีการเพิ่มจำนวน gene ของไวรัสได้อย่างรวดเร็วจนสามารถทำลายเม็ดเลือดขาวที่มันอาศัยอยู่นั้นได้ 
  • สามารถกระตุ้นให้เซลล์บางชนิดของร่างกายมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นมะเร็งชนิดต่างๆได้ เช่น กระตุ้นให้เซลล์เยื่อบุหลอดเลือดแบ่งตัวมากจนเกิดเป็นมะเร็งที่เรียกว่า Kaposi’s Sarcoma หรือสามารถกระตุ้นให้เซลล์ต่อมน้ำเหลืองแบ่งตั จนเกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เรียกว่า Lymphoma ได้ เป็นต้น
เชื้อเอดส์หรือไวรัสเอดส์ (HIV) คืออะไร เชื้อเอดส์มีชื่อว่า HIV มาจากคำเต็มว่า Human Immunodeficiency Virus
H = Human หมายถึง คน หรือ มนุษย์
I = Immunodeficiency หมายถึง ภูมิต้านทานโรคบกพร่องหรือเสียไป
V = Virus หมายถึง เชื้อโรคที่มีขนาดเล็กมากจนเราไม่ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ ทำให้เกิดโรคร้ายแรงต่างๆได้ ถ้า เข้าไปในร่างกาย

HIV จึงหมายถึง เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กมาก และถ้าเข้าไปในร่างกายก็จะทำให้ภูมิต้านทานโรคของเราเสียไป และร่างกายก็จะไม่สามารถต้านทานโรคต่างๆได้ จึงล้มป่วยด้วยโรคนั้นๆ

อาการของผู้ป่วยโรคเอดส์ (AIDS)
เชื้อเอชไอวีทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซท์ ที่มีชื่อว่า CD4 เมื่อเม็ดเลือดขาวชนิดนี้ต่ำลง จะทำให้ร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน และเกิดอาการของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อนในที่สุด

ภายหลังการได้รับเชื้อ ร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อ ในปัจจุบันในการวินิจฉัยว่าติดเชื้อหรือไม่ เราไม่ได้ตรวจหาเชื้อโดยตรง แต่เป็นการตรวจว่าร่างกายเรามีปฏิกิริยาต่อเชื้อหรือไม่ โดยการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV antibody) ซึ่งการตรวจดังกล่าวอาจให้ผลลบได้ในกรณีที่ได้รับเชื้อมาใหม่ ๆ เนื่องจากร่างกายยังไม่ได้สร้างปฏิกิริยาตอบสนอง

ภายหลังการรับเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย บางรายอาจมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่ว ๆ ไป เช่น มีไข้ ผื่นตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ อาการมักกินเวลาสั้น ๆ และหายไปได้เอง หลังจากนั้นผู้ป่วยจะไม่มีอาการใด ๆ เลย

เชื้อไวรัสจะส่งผลให้ระดับเม็ดเลืดขาวที่เรียกว่าซีดีโฟร์ลดลงอย่างช้า ๆ จนผู้ป่วยเริ่มเกิดอาการของเอชไอวีเกิดขึ้น เช่นฝ้าในปาก ผึ่นคันตามตัว น้ำหนักลด โดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการเมื่อระดับซีดีโฟร์ต่ำกว่า 200 cell/mm3

อัตราเฉลี่ยของประเทศไทยตั้งแต่รับเชื้อจนเริ่มป่วยใช้เวลา 7-10 ปี ในช่วงที่เรามีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกายแต่ไม่ป่วยเพราะเรายังมีภูมิคุ้มกันที่ยังควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้ เรียกว่า เป็นผู้ติดเชื้อ และเมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายเหลือจำนวนน้อย จนไม่สามารถควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคบางอย่างได้ทำให้เราป่วยด้วยเชื้อโรคนั้น ๆ เรียกว่าเราเริ่มมี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นผู้ป่วยเอดส์ โรคที่เราป่วยเนื่องจากภาวะภูมิบกพร่อง เรียกว่า โรคฉวยโอกาส

แนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อผู้ป่วยเอดส์ที่สำคัญในปัจจุบัน มีอยู่สองแนวทาง ที่ต้องให้การดูแลควบคู่กันไปคือ
  1. การป้องกันและรักษาโรคฉวยโอกาส ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือป่วยด้วยโรคฉวยโอกาส (ที่สำคัญคือ หลายโรคป้องกันได้ และทุกโรครักษาได้) 
  2. การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี เพื่อลดปริมาณไวรัสในเลือดให้น้อยที่สุด และ ควบคุมปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งจะส่งผลให้ระดับภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ลดโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคฉวยโอกาส
เอดส์ (AIDS) ติดต่อกันได้อย่างไร
  1. การร่วมเพศ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าชายกับชาย ชายกับหญิง หรือหญิงกับหญิง ทั้งช่องทางธรรมชาติ หรือไม่ธรรมชาติ ก็ล้วนมีโอกาสติดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น และปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น ได้แก่ การมีแผลเปิด และจากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา ประมาณร้อยละ 84 ของผู้ป่วยเอดส์ ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ 
  2. การรับเชื้อทางเลือด
    • ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ มักพบในกลุ่มผู้ฉีดยาเสพติด และหากคนกลุ่มนี้ติดเชื้อ ก็สามารถถ่ายทอดเชื้อเอดส์ ทางเพศสัมพันธ์ได้อีกทางหนึ่ง 
    • รับเลือดในขณะผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ในปัจจุบันเลือดที่ได้รับบริจาคทุกขวด ต้องผ่านการตรวจหาการติดเชื้อเอดส์ และจะปลอดภัยเกือบ 100% 
  3. ทารก ติดเชื้อจากแม่ที่ติดเชื้อเอดส์ การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก ผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์ หากตั้งครรภ์ และไม่ได้รับการดูแลอย่างดี เชื้อเอช ไอ วี จะแพร่ไปยังลูกได้ ในอัตราร้อยละ 30 จากกรณีเกิดจากแม่ติดเชื้อ จึงมีโอกาสที่จะรับเชื้อเอช ไอ วี จากแม่ได้
เอดส์ มีอาการอย่างไร
คนที่สัมผัสกับโรคเอดส์หรือคนที่ได้รับเชื้อเอดส์เข้าไปในร่างกายม่จำเป็นต้องมีการติดเชื้อเอดส์เสมอไปขึ้นกับจำนวนครั้งที่สัมผัสจำนวนและความดุร้ายของไวรัสเอดส์ที่เข้าสู่ร่างกายและภาวะภูมิต้านทานของร่างกายถ้ามีการติดเชื้ออาการที่เกิดขึ้นมีได้หลายรูปแบบหรือหลายระยะตามการดำเนินของโรค
  • ระยะที่ 1 : ระยะที่ไม่มีอาการอะไร
    ภายใน 2 - 3 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไป ราวร้อยละ 10 ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายๆ ไข้หวัด คือมีไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นตามตัว แขน ขาชาหรืออ่อนแรง เป็นอยู่ราว 10-14 วันก็จะหายไปเอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่สังเกต นึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดาราว 6-8 สัปดาห์ภายหลังติดเชื้อ ถ้าตรวจเลือดจะเริ่มพบว่ามีเลือดเอดส์บวกได้ และส่วนใหญ่จะตรวจพบว่ามีเลือดเอดส์บวกภายหลัง 3 เดือนไปแล้ว โดยที่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการอะไรเลย เพียงแต่ถ้าไปตรวจก็จะพบว่า มีภูมิคุ้นเคยต่อไวรัสเอดส์อยู่ในเลือดหรือที่เรียกว่าเลือดเอดส์บวก ซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อเอดส์เข้าไปแล้ว ร่างกายจึงตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนบางอย่างขึ้นมาทำปฏิกิริยากับไวรัสเอดส์ เรียกว่าแอนติบอดีย์ (antibody) เป็นเครื่องแสดงว่า เคยมีเชื้อเอดส์เข้าสู่ร่างกายมาแล้ว แต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะไวรัสเอดส์ได้ คนที่มีเลือดเอดส์บวกจะมีไวรัสเอดส์อยู่ในตัว และ สามารถแพร่โรคให้กับคนอื่นได้ น้อยกว่าร้อยละ 5 ของคนที่ติดเชื้ออาจต้องรอถึง 6 เดือนกว่าจะมีเลือดเอดส์บวกได้ ดังนั้นคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงมา เช่น แอบไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัยป้องกัน ตรวจตอน 3 เดือน แล้วไม่พบก็ต้องไปตรวจซ้ำอีกตอน 6 เดือนโดยในระหว่างนั้น ก็ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์กับภรรยา และห้ามบริจาคโลหิตให้ใครในระหว่างนั้น ผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีต่อมน้ำเหลืองตามตัวโตได้โดยโตอยู่เป็นระยะเวลานานๆ คือเป็นเดือนๆ ขึ้นไป ซึ่งบางรายอาจคลำพบเอง หรือไปหาแพทย์แล้วแพทย์คลำพบ ต่อมน้ำเหลืองที่โตนี้มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ แข็งๆ ขนาด 1 - 2 เซนติเมตร อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านข้างคอทั้ง 2 ข้าง ข้างละหลายเม็ดในแนวเดียวกัน คลำดูแล้วคลายลูกประคำที่คอไม่เจ็บ ไม่แดง นอกจากที่คอต่อมน้ำเหลืองที่โตยังอาจพบได้ที่รักแร้และขาหนีบทั้ง 2 ข้าง แต่ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ มีความสำคัญน้อยกว่าที่อื่นเพราะพบได้บ่อยในคนปกติทั่วไป ต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้จะเป็นที่พักพิงในช่วงแรกของไวรัสเอดส์ โดยไวรัสเอดส์จะแบ่งตัวอย่างมากในต่อมน้ำเหลืองที่โตเหล่านี้
  • ระยะที่ 2 : ระยะที่เริ่มมีอาการหรือระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์
    เป็นระยะที่คนไข้เริ่มมีอาการ แต่อาการนั้นยังไม่มากถึงกับจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์เต็มขั้น อาการในช่วงนี้อาจเป็นไข้เรื้อรัง น้ำ หนักลด หรือท้องเสียงเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้อาจมีเชื้อราในช่องปาก(รูปที่ 3), งูสวัด(รูปที่ 4), เริมในช่องปาก หรืออวัยวะ เพศ ผื่นคันตามแขนขา และลำตัวคล้ายคนแพ้น้ำลายยุง(รูปที่ 5) จะเห็นได้ว่า อาการที่เรียกว่าสัมพันธ์กับเอดส์นั้น ไม่จำเพาะสำหรับโรคเอดส์เสมอไป คนที่เป็นโรคอื่นๆ ก็อาจมีไข้ น้ำหนักลด ท้องเสีย เชื้อราในช่องปาก งูสวัด หรือเริมได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าถ้ามีอาการเหล่านี้จะต้องเหมาว่าติดเชื้อเอดส์ไปทุกร้าย ถ้าสงสัยควรปรึกษา แพทย์และตรวจเลือดเอดส์พิสูจน์
  • ระยะที่ 3 : ระยะโรคเอดส์เต็มขั้น หรือที่ภาษาทางการเรียกว่าโรคเอดส์
    เป็นระยะที่ภูมิต้านทานของร่ายกายเสียไปมากแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการของการติดเชื้อ จำพวกเชื้อฉกฉวยโอกาสบ่อยๆ และเป็นมะเร็งบางชนิด เช่นแคโปซี่ซาร์โคมา (Kaposi'ssarcoma) และมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อฉกฉวยโอกาสหมายถึง การติดเชื้อที่ปกติมีความรุนแรงต่ำ ไม่ก่อโรคในคนปกติ แต่ถ้าคนนั้นมีภูมิต้านทานต่ำลง เช่น จากการเป็นมะเร็ง หรือ จากการได้รับยาละทำให้เกิดวัณโรคที่ปอดต่อมน้ำเหลืองตับหรือสมองได้ รองลงมาคือ เชื้อพยาธิที่ชื่อว่านิวโมซิส-ตีส-คารินิไอ ซึ่งทำให้เกิดปอดบวมขึ้นได้ (ไข้ ไอ หายใจเหนื่อยหอบ) ต่อมาเป็นเชื้อราที่ชื่อ คริปโตคอคคัสซึ่งทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ซึมและอาเจียน นอกจากนี้ยังมีเชื้อฉกฉวยโอกาสอีกหลายชนิด เช่นเชื้อพยาธิที่ทำให้ท้องเสียเรื้อรัง และเชื้อซัยโตเมก กะโลไวรัส (CMV) ที่จอตาทำให้ตาบอด หรือที่ลำไส้ทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย และถ่ายเป็นเลือดเป็นต้นในภาคเหนือตอนบน มีเชื้อราพิเศษ ชนิดหนึ่งชื่อ เพนนิซิเลียว มาร์เนฟฟิโอ ชอบทำให้ติดเชื้อที่ผิวหนัง ต่อมน้ำเหลืองและมีการติดเชื้อในกระแสโลหิตแคโปซี่ ซาร์โค มา เป็นมะเร็งของผนังเส้นเลือด ส่วนใหญ่จะพบตามเส้นเลือดที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีม่วงๆ แดงๆ บนผิวหนัง คล้ายจุดห้อเลือด หรือไฝ ไม่เจ็บไม่คันค่อยๆ ลามใหญ่ขึ้น ส่วนจะมีหลายตุ่ม บางครั้งอาจแตกเป็นแผล เลือดออกได้ บางครั้งแคโปซี่ซาร์โคมา อาจเกิดในช่องปากในเยื่อบุทางเดินอาหาร ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกมากๆ ได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งปากมดลูกได้ ดังนั้นผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์จึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจมะเร็งปากมดลูกทุก 6 เดือน นอกจากนี้คนไข้โรคเอดส์เต็มขั้น อาจมีอาการทางจิตทางประสาทได้ด้วย โดยที่อาจมีอาการหลงลืมก่อนวัย เนื่องจากสมองฝ่อเหี่ยว หรือมีอาการของโรคจิต หรืออาการชักกระตุก ไม่รู้สึกตัว แขนขาชาหรือไม่มีแรง บางรายอาจมีอาการปวดร้าวคล้ายไฟช๊อตหรือปวดแสบปวดร้อน หรืออาจเป็นอัมพาตครึ่งท่อน ปัสสาวะ อุจจาระไม่ออก เป็นต้น ในแต่ละปีหลังติดเชื้อเอดส์ร้อยละ 5 - 6 ของผู้ที่ติดเชื้อจะก้าวเข้าสู่ระยะเอดส์เต็มขั้นส่วนใหญ่ของคนที่เป็นโรคเอดส์เต็มขั้นแล้ว จะเสียชีวิตภายใน 2 - 4 ปี จากโรคติดเชื้อฉกฉวยโอกาสที่เป็นมาก รักษาไม่ไห หรือโรคติดเชื้อที่ยังไม่มียาที่จะรักษาอย่างได้ผล หรือเสียชีวิตจากมะเร็งที่เป็นมากๆ หรือค่อยๆ ซูบซีดหมดแรงไปในที่สุด พบว่ายาต้านไวรัสเอดส์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ในประเทศตะวันตกสามารถยืดชีวิตคนไข้ออกไปได้ 10 - 20 ปี และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หรืออาจอยู่จนแก่ตายได้
ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์ (AIDS) มีสุขภาพดี และ ร่างกายแข็งแรง



ไลฟ์แพ็ก (LifePak) ทีกรีน97 (TeGreen97) ริชิเอ็มเอ็กซ์ (ReishiMx)

ที่มา : ความรู้เรื่องโรคเอดส์, โรคเอดส์คืออะไร, AIDS

โรคมะเร็งคืออะไร? และ การดูแลสุขภาพเมื่อเป็นโรคมะเร็ง

มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เซลล์เจริญ (แบ่งตัว) อย่างผิดปกติ การที่เซลล์เปลี่ยนสภาพไปจากปกติจะไม่อยู่ในการควบคุมวัฏจักรการแบ่งตัว รุกรานเนื้อเยื่อข้างเคียง หรืออาจแพร่กระจายไปยังที่อื่น ๆ (การแพร่กระจายของเนื้อร้าย) ลักษณะทั้งสามประการที่กล่าวมานี้เป็นคุณสมบัติของเนื้อร้ายซึ่งต่างจาก เนื้องอก ซึ่งไม่ร้ายแรงเพราะไม่รุกรานหรือแพร่กระจาย และขนาดจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มะเร็งทั้งหมดยกเว้นมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อ

มะเร็งเกิดขึ้นได้โดยสารพันธุกรรมหรือยีนซึ่งควบคุมการทำงานของเซลล์ผิดปกติไป โดยที่ความผิดปกติของสารพันธุกรรมนั้นเป็นผลมาจากสารก่อมะเร็ง อาทิ ยาสูบ ควัน รังสี สารเคมีอย่างอื่น หรือ เชื้อโรค ยีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมะเร็งอาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่จำเพาะเจาะจงระหว่างการทำสำเนาของดีเอ็นเอ หรืออาจถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ซึ่งสามารถตรวจพบได้ในทุกเซลล์หลังจากคลอด การถ่ายทอดทางพันธุกรรมของมะเร็งนั้นได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอย่างอื่นๆ ด้วย

จากการศึกษา พบว่าผู้หญิงวัยกลางคนในอังกฤษราว 6,000 คน เป็นมะเร็งมากขึ้นทุกปี สาเหตุมาจากความอ้วน โดยพบความเชื่อมโยงระหว่างน้ำหนักกับโอกาสเสี่ยงที่เป็นมะเร็งนั้น ขึ้นอยู่กับช่วงอายุของผู้หญิงด้วย และทางกองทุนวิจัยมะเร็งโลก ประกาศเตือนว่า ความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง ดังต่อไปนี้ คือ มะเร็งมดลูก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งที่ไต มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งทรวงอก มะเร็งไขกระดูก มะเร็งที่ตับอ่อน มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮอดจ์กิ้น และมะเร็งรังไข่

มะเร็งกำเนิดจากเซลล์ร่างกายที่สามารถแบ่งเซลล์ได้วิวัฒนาการจนไม่สามารถควบคุมได้ มีกระบวนการวิวัฒนาการโดยการเปลี่ยนแปลงของโครโมโซมนั้นๆทำให้ผลิตเอนไซม์มาสร้างเทโลเมียร์ในเซลล์อย่างไม่หมดสิ้นทำให้เซลล์ไม่สามารถหยุดแบ่งเซลล์ได้

เกร็ด: เทโลเมียร์ของมนุษย์เปรียบเหมือนนาฬิกาทีนับถอยหลังไปเรื่อยๆ ซึ่งในขณะนั้นเซลล์ร่างกายยังสามารถแบ่งเซลล์ต่อไปโดยเทโลเมียร์จะหดสั้นลงเรื่อยๆ และเมื่อสายเทโลเมียร์หมดก็จะทำให้เซลล์ร่ายกายหยุดแบ่งตัวทำให้มนุษย์ต้องหยุดเจริญเติบโต แต่เทโลเมียร์ของเซลล์มะเร็งไม่หดสั้นลงอีกทั้งเติบโตโดยไม่สามารถหยุดยั้ง

โภชนาการกับโรคมะเร็ง
การกินและพฤติกรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้เป็นอย่างมาก อาหารบางประเภท มีสารที่ต้านอนุมูลอิสระได้สูงและป้องกันการเกิดมะเร็งได้ดี เราเรียกอาหารประเภทนี้ว่า อาหารต้านมะเร็ง โดย บรอกโคลี, อโวคาโด , แครอท, ฯลฯ เป็นหนึ่งในอาหารต้านมะเร็งที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป

จากการศึกษาพบว่า อาหารอาจมีส่วนสัมพันธ์ กับการเกิดโรคมะเร็งได้ประมาณ 30-50% แต่ในขณะเดียวกันอาหารประเภทพืชผัก ผลไม้ ธัญพืช และ เครื่องเทศต่างๆ ก็มี คุณสมบัติในการป้องกันมะเร็งได้ ดังนั้น การรับประทานอาหารอย่างถูกต้องตามหลัก โภชนาการ จึงเป็นหนทางหนึ่ง ซึ่งสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้

อาหารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็ง
  1. อาหารที่มีราขึ้นโดยเฉพาะราสีเขียว-สีเหลือง 
  2.  อาหารไขมันสูง 
  3. อาหารเค็มจัด ส่วนไหม้เกรียมของอาหารปิ้ง ย่าง รมควัน และอาหารที่ถนอมด้วยเกลือ ดินประสิว
สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มะเร็งมีสาเหตุส่งเสริมได้จากหลายสาเหตุดังนี้
  1. เชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งโพรงจมูก หรือเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในกระเพาะอาหารมีคนพบว่าเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารค่ะ 
  2. พยาธิใบไม้ในตับก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับและทางเดินน้ำดี 
  3. สารเคมีหลายชนิดก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น พวกแอสเบสทอส ทำให้เกิดมะเร็งปอด นิเกิล โครเมี่ยม เป็นต้น 
  4. ยาบางชนิด เช่น ยาฮอร์โมน ซึ่งไม่ควรจะรับประทานเอง ควรจะอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ หรือยารักษามะเร็งบางชนิด เป็นต้น 
  5. การสูบบุหรี่ และการดื่มสุรา
วิธีการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง คือ พยายามหลีกเลี่ยงจากสารก่อมะเร็งดังที่กล่าวแล้ว เช่น พยายามอย่าสูบบุหรี่ อย่าดื่มสุรามากเกินไป พยายามใช้ชีวิตให้มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ก็จะสามารถช่วยให้คุณลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ค่ะ

สัญญาณเตือน 7 ประการ ที่อาจจะแสดงว่าเป็นอาการของโรคมะเร็ง มีดังนี้
  1. มีการเปลี่ยนแปลงในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เช่น มีเลือดออก ท้องเสียหรือท้องผูกผิดปกติ 
  2. มีแผลเรื้อรังที่ไม่หาย โดยเป็นนานมากกว่า 3 สัปดาห์ 
  3. มีเลือดออก หรือมีน้ำคัดหลั่งไหลออกมาจากบริเวณช่องต่าง ๆ ของร่างกายผิดปกติ เช่น หัวนม , จมูก , ช่องคลอด เป็นต้น 
  4. คลำได้ก้อนที่เต้านม หรือที่อื่น ๆ ของร่างกาย 
  5. ท้องอืด อาหารไม่ย่อย มีอาการปวดท้อง กลืนลำบาก เป็นต้น 
  6. ไฝหรือจุดเล็ก ๆ ตามร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น โตขึ้น มีสีผิดปกติหรือมีเลือดออก 
  7. อาการไอที่ผิดปกติ เช่น ไอปนเลือด ไอเรื้อรัง หรือเสียงแหบ
ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง มีสุขภาพดี และ ร่างกายแข็งแรง



ไลฟ์แพ็ก (LifePak) ทีกรีน97 (TeGreen97) ริชิเอ็มเอ็กซ์ (ReishiMx)

ที่มา : มะเร็ง, มะเร็งคืออะไร

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

โรคตับ ตับอักแสบคืออะไร และ จะดูแลสุขภาพอย่างไร?

จากบทความเรื่อง "ฉันคือ "ตับ" เธอรู้จักฉันดีหรือยัง?" มาวันนี้ผมจะขอพาทุกๆท่านมารู้จักกับโรคที่จะเกิดขึ้นกับตับของเรา โรคนั้นเราเรียกว่า โรคตับ หรือ โรคตับอักเสบ
โรคตับอักเสบจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
  1. โรคตับอักเสบเฉียบพลัน (acute hepatitis) หมายถึงโรคตับอักเสบที่เป็นไม่นานก็หาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการ 2-3 สัปดาห์โดยมากไม่เกิน 2 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายขาดจะมีบางส่วนเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และบางรายรุนแรงถึงกับเสียชีวิต 
  2. โรคตับอักเสบเรื้อรัง (chronic hepatitis) หมายถึงตับอักเสบที่เป็นนานกว่า 6 เดือนจะแบ่งเป็น 2 ชนิด
    1. chronic persistent เป็นการอักเสบของตับแบบค่อยๆเป็นและไม่รุนแรงแต่อย่างไรก็ตามโรคสามารถที่จะทำให้ตับมีการอักเสบมาก
    2. chronic active hepatitis มีการอักเสบของตับ และตับถูกทำลายมากและเกิดตับแข็ง

โรคตับอักเสบ (อังกฤษ: Hepatitis) เป็นภาวะที่มีการอักเสบ เกิดการทำลายของเซลล์ตับ ทำให้การทำหน้าที่ต่าง ๆ ของตับผิดปกติ ร่างกายมีการเจ็บป่วย ไม่สบาย พบผู้ป่วยด้วยโรคนี้ได้ในทุกวัย ทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่เป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลัน ส่วนน้อยอาจ เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง อาจมีภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง โรคตับวาย มะเร็งตับ

สาเหตุของการเกิดโรค
สาเหตุของโรคตับอักเสบ ที่พบบ่อยที่สุดคือ การติดเชื้อไวรัส รองลงมาเกิดจาก พิษสุรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อโปรโตซัว เลปโตสไปโรสิส พยาธิ ยาบางชนิด สารเคมี ชนิด

โดยส่วนมากจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ ดังนี้คือ
  • ไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ
    • เข้าสู่ร่างกายเราโดยการรับประทานอาหาร ผู้ติดเชื้อมักไม่แสดงอาการ ในผู้ใหญ่มักมีอาการรุนแรงมากกว่าเด็ก ผู้ที่ติดเชื้อชนิดนี้ เมื่อรักษาหายแล้วจะหายขาด ไม่กลับมาเป็นอีก และไม่มีภาวะการเป็นพาหนะตามมาภายหลัง
    • อาการของโรค มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียนในระยะแรก ซึ่งอาจทำให้แพทย์เข้าใจผิดว่าเป็นโรคทางเดินอาหารได้ หลังจากนั้น 1 สัปดาห์อาการจะดีขึ้น เริ่มมีอาการดีซ่าน หรือตัวเหลือง หลังจากนั้นอีก 1 - 2 สัปดาห์ ก็จะทุเลาลง แต่บางรายอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
    • การรักษา ให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ 1 - 4 สัปดาห์ ให้อาหารอ่อนย่อยง่าย มีไขมันต่ำ ป้องกันอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และอาเจียน หลีกเลี่ยงยา หรือสารที่เป็นอันตรายต่อตับ
  • ไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี
    เชื้อไวรัสตับอักเสบบี พบได้ในสารน้ำและสารคัดหลั่งต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่ เลือด น้ำลาย น้ำนม น้ำอสุจิ และเมือกในช่องคลอด จึงติดต่อถึงกันได้ทางเข็มฉีดยา หรือของมีคมที่เปื้อนเลือด ทางเพศสัมพันธ์ และการติดต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์
    อาการเริ่มแรกไม่ชัดเจน ไม่รวดเร็ว จะมีไข้ต่ำๆ หรืออาจไม่มี ต่อมาไข้สูง อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน และค่อยๆ ตัวเหลือง ตาเหลือง และเป็นดีซ่าน บางรายไม่มีอาการแสดงให้เห็น กว่าจะรู้ตัวเป็นตับแข็งแล้ว โรคตับอักเสบเรื้อรังอาจมีอาการอื่นร่วมอยู่ด้วย เช่น ปวดข้อ หรือไตอักเสบ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะทุเลาและหายสนิท ส่วนน้อยที่จะมีความรุนแรงของโรคถึงแก่ชีวิต หรือทุเลาแล้วกลับรุนแรงขึ้นอีก บางรายกลายเป็นพาหนะเรื้อรัง โดยไม่แสดงอาการเจ็บป่วย แต่สะสมเชื้อไว้ภายในร่างกาย
    การดูแลรักษา
    1. กรณีเป็นโรคชนิดเฉียบพลัน ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ให้ผู้ป่วยพักผ่อนประมาณ 4 สัปดาห์ งดออกกำลังกายหลังหายป่วยแล้ว 2-3 เดือน หลีกเลี่ยงอาหารและการกินสารที่เป็นพิษต่อตับ และรักษาโรคตามอาการ 
    2. กรณีมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะพิจารณารักษาเป็นรายๆ ไป 
    3. ผู้ปว่ยโรคตับอักเสบเรื้อรัง ให้รักษาตามอาการ อยู่ในความดูแลของแพทย์ 
    4. ผู้เป็นพาหนะเรื้อรังไม่มีอาการ ให้ตรวจร่างกายเป็นประจำตามแพทย์สั่ง แนะนำให้นำบุตรหลาน และผู้ใกล้ชิดมาตรวจร่างกาย และฉีดวัคซีนป้องกันก่อนเป็นโรคนี้ ผู้เป็นพาหนะห้ามมิให้ใช้ของส่วนตัวที่อาจเปื้อนเลือดร่วมกับผู้อื่น และควรแจ้งทันตแพทย์ แพทย์และบุคลาการทางการแพทย์ให้ทราบเพื่อจะได้ระมัดระวังการติดต่อแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น และเลี่ยงในการสั่งยาที่จะเป็นพิษต่อตับ
    การป้องกัน
    1. บุคคลทั่วไป ป้องกันตนเองมิให้ติดโรคนี้ได้โดย ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ป่วย ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ตรวจเลือด หากไม่มีภูมิคุ้มกันให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรค 
    2. ทารกแรกเกิด ที่มารดาเป็นโรคหรือเป็นพาหนะ ให้ฉีดวัคซีนหลังคลอดโดยเร็วที่สุด
  • ไวรัสตับอักเสบ ชนิดดี
    เชื้อไวรัสตับอักเสบดี พบในผู้ป่วยกลุ่มที่มีการฉีดยาเสพติด รับเชื้อจากการใช้เข็มและกระบอกฉีดร่วมกัน เชื้อชนิดนี้ไมาสามารถเพิ่มจำนวนในเซลล์ตับได้โดยลำพัง แต่จะติดเชื้อร่วมกับตับอักเสบบี แล้วจึงเพิ่มจำนวนไวรัสทั้งตับอักเสบ ดี และ บี
    การติดเชื้อ เช่นเดียวกับโรคตับอักเสบบี ตับอักเสบดีทำให้เกิดโรคตับอักเสบรุนแรงกว่าเชื้ออื่นๆ และอาจติดเชื้อเรื้อรัง จนกลายเป็นตับแข็งในอัตราค่อนข้างสูงๆ
    การป้องกัน โดยการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี จะป้องกันโรคนี้ได้ด้วย
  • ไวรัสตับอักเสบ ชนิดซี
    เชื้อไวรัสตับอักเสบซี เป็นไวรัสตับอักเสบที่ไม่ใช่ชนิด เอ และไม่ใช่บี มีการแพร่โรคโดยการรับเลือดที่มีเชื้อ ใช้เข็มและกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ป่วย ผู้ป่วยส่นใหญ่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการแต่ไม่รุนแรง ผู้ติดเชื้อบางรายกลายเป็นพาหนะเรื้อรัง เป็นตับแข็ง และมะเร็งตามมา ผู้ป่วยโรคนี้พบหลังจากการถ่ายเลือด
    อาการเริ่มแรก อาจเบื่ออาหาร หรือคลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้องบ้างเล็กน้อย ตามด้วยอาการดีซ่าน โรคนี้มีระยะฟักตัวประมาณ 8 สัปดาห์
    การตรวจวินิจฉัยโรค ทำโดยการชันสูตรทางห้องปฏิบัติการไวรัส
  • ไวรัสตับอักเสบ ชนิดอี
    เชื้อไวรัสตับอักเสบอี ติดต่อโดยการรับประทานอาหาร หรือน้ำดื่มที่มีเชื้อนี้ พบว่าไวรัสตับอักเสบอี ทำให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง
    เชื้อไวรัสตับอักเสบอี เป็นกลุ่มที่ไม่ใช่ ตับอักเสบชนิด เอ และไม่ใช่บี และมีการแพร่โรคนี้โดยการกิน
    ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่สามารถยืนยันได้ว่า ติดต่อถึงกันได้โดยการรับประทานอาหารหรือไม่ เมื่อเป็นแล้วจะเป็นพาหนะเรื้อรังหรือไม่
การวินิจฉัยโรคตับอักเสบจากไวรัส
  1. ตรวจการทำงานของตับ โดยการหาระดับ SGOT[AST],SGPT [ALT]ค่าปกติน้อยกว่า 40 IU/L ถ้าค่ามากกว่า 1.5-2 เท่าให้สงสัยว่าตับอักเสบ หากพบว่าผิดปกติแพทย์จะขอตรวจเดือนละครั้งติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน
  2. การตรวจหาตัวเชื้อ
    • ไวรัสตับอักเสบ เอ ตรวจหา Ig M Anti HAV
    • ไวรัสตับอักเสบ บี ตรวจหา HBsAg ถ้าบวกแสดงว่ามีเชื้ออยู่ Anti HBs ถ้าบวกแสดงว่ามีภูมิต่อเชื้อ HBeAg ถ้าบวกแสดงว่าเชื้อมีการแบ่งตัว HBV-DNA เป็นการตรวจเพื่อหาปริมาณเชื้อ
    • ไวรัสตับอักเสบ ซี Anti-HCV เป็นการบอกว่ามีภูมิต่อเชื้อ HCV-RNA ดูปริมาณของเชื้อ
  3. การตรวจดูโครงสร้างของตับ เช่นการตรวจคลื่นเสียงเพื่อดูว่ามีตับแข็งหรือมะเร็งตับหรือไม่
  4. การตรวจชิ้นเนื้อตับ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะนำชิ้นเนื้อตับเพื่อวินิจฉัยความรุนแรงของโรค
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคตับอักเสบ

การเป็นโรคตับ จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร?
คำถามนี้ เป็นคำถามที่ผู้ป่วย ซึ่งเป็นโรคตับ มักจะถามแพทย์เสมอ นอกจากทานยาตามที่แพทย์สั่งสม่ำเสมอแล้ว ความจริงคำว่าโรคตับมีความหมายค่อนข้างกว้าง อาจจะหมายถึงผู้ที่เป็นพาหะของโรคตับอักเสบบี ซึ่งสภาพตับโดยทั่วไปแล้ว ไม่ได้แตกต่างจากคนปกติทั่วไปเท่าไรนัก ไปจนถึงผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง ซึ่งอาจจะมีอาการดีซ่าน บวม หรือท้องมานก็ได้ ซึ่งหมายถึงมีการเสื่อมสภาพของตับไปมาก สำหรับผู้ป่วยที่เป็นตับแข็ง คงต้องการการดูแลเป็นพิเศษ แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคตับเหล่านี้พอจะแบ่งออกได้เป็นหัวข้อสำคัญๆ 6 อ. คือ

  1. อาหาร สำหรับผู้ที่เป็นโรคตับเพียงเล็กน้อย เช่น เป็นพาหะของเชื้อไวรัสบี ผู้ป่วยเหล่านี้สามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิด ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบเฉียบพลัน การรับประทานน้ำหวานมาก ๆ ไม่มีรายงานว่าทำให้การดำเนินของโรคดีขึ้นกว่าการไม่ได้รับประทานน้ำหวาน อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายไม่สามารถบริโภคอาหารได้ เนื่องจากมีคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ในกรณีเช่นนี้การรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรทพวกแป้ง และน้ำตาล เป็นหลักจะทำให้ย่อยอาหารได้ง่าย และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง สำหรับผู้ป่วย ซึ่งเริ่มมีอาการตับแข็งแล้ว อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ อาหารที่มีรสเค็มจัด เนื่องจากการรับประทานอาหารเค็มสามารถทำให้อาการบวม หรืออาการท้องมานเลวลงได้ โดยทั่วไปแล้วในผู้ป่วยที่มีอาการบวม หรือท้องมาน แพทย์จะแนะนำให้รับประทานเกลือได้ไม่เกินวันละ 2 กรัม หรือเทียบเท่ากับเกลือป่นประมาณเศษหนึ่งส่วนสามช้อนชาต่อวันเท่านั้น ผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งควรรับประทานอาหารที่สะอาดปรุงขึ้นใหม่ ไม่ควรรับประทานอาหารที่เก็บค้างคืน หรืออาหารที่ประกอบขึ้นสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น การลวก การย่าง เพราะบ่อยครั้งทีเดียวที่ผู้ป่วยโรคตับแข็งมาพบแพทย์ด้วยอาการติดเชื้อจากทางระบบทางเดินอาหาร ซึ่งบางครั้ง สามารถเป็นรุนแรงจนเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยตับแข็งที่ไม่มีอาการซึม หรืออาการทางสมอง สามารถรับประทานโปรตีนได้ตามปกติเหมือนกับคนปกติทั่วไป ผู้ที่มีอาการทางสมองร่วมกับภาวะตับแข็ง ผู้ป่วยเหล่านี้ควรจำกัดปริมาณโปรตีนที่ได้จากสัตว์ อย่างไรก็ตาม สามารถเสริมโปรตีนได้ในรูปของโปรตีนได้ในรูปของโปรตีนจากพืช หรือถั่ว เป็นต้น ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่เป็นผัก และผลไม้ให้เพียงพอเพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการภาวะท้องผูก การรับประทานอาหารเสริมที่เป็นโปรตีนที่มีกิ่ง (Branch Chains Amino Acid) อาจทำให้ภาวะโภชนาการของผู้ป่วยดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตามอาหารเสริมดังกล่าวยังมีราคาแพง และทดแทนได้ด้วยการรับประทานโปรตีนจากพืช ปัจจุบันยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่า อาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดจะมีประโยชน์โดยแท้จริงกับผู้ป่วยโรคตับนอกจากการรับประทานอาหารที่ถูกต้องร่วมกับพืช ผัก และผลไม้ที่สะอาดในปริมาณที่พอเพียงจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย การรับประทานอาหารเผ็ด หรือเปรี้ยวไม่มีผลเสียโดยตรงอย่างไรต่อตับ
  2. แอลกอฮอล์ ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี อาจจะพบรับประทานได้บ้าง แต่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดบีแบบเรื้อรัง มีหลักฐานชัดเจนพบว่าการรับประทานแอลกอฮอล์ มีส่วนสัมพันธ์โดยตรง ทำให้การดำเนินของโรคลุกลามเร็วขึ้น ถึงแม้ว่าการสูบบุหรี่จะไม่มีผลโดยตรงกับโรคตับ แต่การสูบบุหรี่มีผลเสียต่อร่างกาย รวมทั้งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดมะเร็งในหลาย ๆ ส่วนของร่างกาย นอกจากปอด ดังนั้น เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงควรจะงด และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ด้วย
  3. อัลฟาท๊อกซิน (Aflatoxin) สารอัลฟาท๊อกซินเป็นสารที่สร้างจากเชื้อรา Aspergillus ซึ่งเป็นเชื้อราตระกูลเดียวกัลที่พบตามขนมปังที่เก็บไว้นาน ๆ นั่นเอง เชื้อรา Aspergillus บางตระกูลสามารถสร้างสารพิษที่เรียกว่า อัลฟาท๊อกซินขึ้น ซึ่งสารพิษนี้สามารถชักนำให้เกิดมะเร็งตับได้ เชื้อราชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในอาหารบางอย่าง ซึ่งเก็บอย่างไม่ถูกวิธี และมีความชื้น เช่น ถั่ว พรกป่น ข้าวโพด ข้าวสารเป็นต้น การศึกษาจากประเทศจีนตอนใต้พบว่า อุบัติการณ์ของการเกิดมะเร็งตับในผู้ป่วย ที่เป็นตับอักเสบแบบบีเรื้อรัง ในหมู่บ้าน ที่มีสารอัลฟาท๊อกซินปนเปื้อนในอาหาร สูงกว่ากลุ่มประชากรที่เป็นตับอักเสบบีแบบเรื้องรัง ที่บริโภค อาหารที่ไม่ได้ปนเปื้อนด้วยสารอัลฟาท๊อกซินอย่างชัดเจน ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคตับจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารดังที่กล่าวมาแล้ว
  4. อารมณ์ และการพักผ่อน บ่อยครั้งทีเดียวทีแพทย์พบผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบแบบเรื้อรัง หรือเป็นโรคตับแข็งที่มีอาการทั่วไปสบายดีมาตลอด แต่เมื่อผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือตรากตรำงานมากเกินไป ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงมีส่วนชักนำให้ตับอักเสบเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการดีซ่าน หรือบางครั้งรุนแรงจนเกิดภาวะตับวายเกิดขึ้นได้ นอกจากการพักผ่อนที่เพียงพอแล้ว การมีจิตใจที่เบิกบานแจ่มใสก็มีความสำคัญทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นด้วย
  5. ออกกำลัง ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง และมีอาการที่บ่งว่ามีสภาพการทำงานของตับเหลืออยู่น้อย เช่น ดีซ่าน ท้องมาน ผู้ป่วยเหล่านี้ควรงดออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงการเดิน หรือนั่งนาน ๆ ผู้ป่วยที่มีประวัติเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร ไม่ควรออกกำลังที่จะต้องเบ่ง หรือเกร็งกล้ามเนื้อท้อง เข่น การยกน้ำหนัก เนื่องจากจะกระตุ้นให้ความดันเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตกได้ อย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นตับแข็งในระยะเริ่มต้นที่ไม่มีอาการผิดปกติสามารถออกกำลังได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่หักโหม เช่น การวิ่งมาราธอน หรือกีฬาที่ต้องแข่งขัน การออกกำลัง เข่น การเดิน วิ่งเบา ๆ ดูจะเป็นการออกกำลังที่เหมาะสม 
  6. อัลฟาฟีโตโปรตีน (Alpha feto-protein) เป็นสารซึ่งสร้างขึ้นโดยเซลล์ตับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่มีการแบ่งตัวของเซลล์ตับ เราพบสาร Alpa feto-protein สูงขึ้นในเด็กแรกเกิด อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยซึ่งเป็นมะเร็งตับอาจมีการเพิ่มขึ้นของ Alpha feto-protein ซึ่งใช้เป็นเครื่องแจ้งเตือนมะเร็งของตับได้ ในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 45 ปี ตลอดจนผู้ที่เป็นตับแข็ง ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม ถือว่าเป็นประชากรที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงในการเกิดมะเร็งของตับได้ทั้งสิ้น การตรวจพบมะเร็งตับในระยะเริ่มต้น สามารถให้การรักษาที่เหมาะสม และมีโอกาสหายขาดได้ ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคตับควรมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามแพย์นัด และตรวจ Alpha feto-protien ตามที่แพทย์เห็นสมควร
การรับประทานยาในผู้ป่วยโรคตับเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง
เนื่องจากยาหลายชนิดต้องถูกกำจัด โดยผ่านตับการที่ตับมีการทำงานบกพร่อง เนื่องจากโรคต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง อาจทำให้มีการสะสมของยาจนเกิดโทษได้ ท่านควรแจ้งให้แพทย์ทราบเสมอว่าท่านมีปัญหาโรคตับ เพื่อแพทย์จะได้เลือก ยาที่ปลอดภัยให้ หรือถ้าสงสัยอาจปรึกษาแพทย์ เฉพาะทางดูก่อน ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งไม่ควรรับประทานยาลดไข้พวก paracetamol เกินกว่าวันละ 1500 mg หรือทานติดต่อกันนานเกิน 3 วัน อย่างไรก็ตามในผู้ที่เป็นตับอักเสบเล็กน้อย หรือพาหะของตับอักเสบบี สามารถทาน paracetamol ได้ในขนาดปกติ สำหรับยาแก้ปวดนั้นผู้ที่เป็นตับแข็งควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวด พวกที่เป็นแอสไพรินทั้งหลาย เนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงใตลดลงจนอาจทำให้มีการเสื่อมหน้าที่ของไต หรือไตวายได้ ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาแก้ปวดกลุ่มอื่นแทน

ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคตับ ตับอักแสบ มีสุขภาพดี และ ร่างกายแข็งแรง



ไลฟ์แพ็ก (LifePak) ทีกรีน97 (TeGreen97) ริชิเอ็มเอ็กซ์ (ReishiMx)


ที่มาบางส่วนจาก : ตับอักเสบ, ตับและโรคตับอักเสบ, โรคไวรัสตับอักเสบ

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

'โรคไขมันเกาะตับ' ตอน 2


ไขมันเกาะตับ (Nonalcoholic fatty liver disease (NAFLD) หมายถึงภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับโดยที่คนนั้นไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์หรือดื่มในปริมาณที่น้อยมาก โดยที่ไขมันจะทำให้เกิดการอักเสบของตับและเกิดพังผืด ซึ่งถ้าเป็นไปในระยะยาวก็กลายเป็นโรคตับแข็งได้

เมื่อเป็นโรคไขมันเกาะตับ จะมีการดำเนินโรคอย่างไร?
  1. ผู้ป่วยไขมันเกาะตับที่มีภาวะอักเสบหรือมีพังผืดร่วมด้วย พบว่าร้อยละ 20 หรือ 1 ใน 5 กลายเป็นตับแข็งและร้อยละ 37 เริ่มมีพังผืดในตับ  
  2. มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ถึงร้อยละ 10 เมื่อได้รับการวินิจฉัยโรคมานาน 10 ปีผู้ป่วยกลุ่มใดที่จะมีการดำเนินโรคไปเป็นตับแข็ง......?
โดยทั่วไปใช้เวลา 10-20 ปี กว่าจะเกิดตับแข็งและพบได้ 1 ใน 5 ของผู้ป่วยโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาวะต่าง ๆ ต่อไปนี้

โรคอ้วน (BMI ยิ่งสูง ยิ่งไม่ดี โดยเฉพาะค่า BMI ที่มากกว่า 35 กก./ม2)

เบาหวาน

อายุมากกว่า 45 ปี

ค่าการทำงานตับมีอัตราส่วน AST/ALT มากกว่า 1

ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพบว่าเป็นโรคตับแข็งได้เร็วขึ้นจุดมุ่งหมายของการรักษามีดังนี้คือ

ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง

โรคอ้วน

ป้องกันการเกิดภาวะตับแข็งด้วยการลดการอักเสบของตับ

ป้องกันการเกิดมะเร็งที่อาจพบแทรกซ้อนได้

โรคไขมันเกาะตับที่มีภาวะอักเสบหรือมีพัง ผืดร่วมด้วยจะรักษาได้หรือไม่? อย่างไร?
  1. มุ่งลดปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูงที่พบร่วมด้วยให้ดี 
  2. ต้องลงมือปฏิบัติโดยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวัน จึงจะได้ผลในการรักษา ดังนี้
    • งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลงจนเลิกดื่ม
    • ควบคุมอาหารที่มีพลังงานสูงเกินความต้องการร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
  3. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พบว่า มีผลต่อการลดภาวะอักเสบของตับได้อย่างชัดเจน ซึ่งยืนยันได้จากทั้งผลตรวจเลือดค่าทำงานตับหรือผลการเจาะตับ
    • เดินรอบสวนลุมพินี 2.5 กม. ใช้เวลา 20-30 นาที ได้ 3,100 ก้าว (150-280 กิโลแคลอรี ขึ้นกับ ความเร็วที่ใช้เดิน)
    • เดินให้ได้ 10,000 ก้าว/วัน จะได้ 450-800 กิโลแคลอรี หรือดูกิจกรรมที่ทำได้ดังในตารางที่ 1 
    • ควรวางเป้าหมายไว้ที่ 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ (ไม่ควรเกิน 1.6 กิโลกรัมต่อสัปดาห์) โดยเลือกกิจกรรมการออกกำลังกายที่เป็นการออกกำลังกายระดับปานกลาง 
    • การออกกำลังกายในระดับสูง (High intensity physical activity) จะช่วยเผาผลาญไขมันคิดเป็นพลังงานได้ประมาณ 2 เท่า ของการออกกำลังกายในระดับปานกลางแต่อาจจะมีผลเสียต่อข้อและกระดูก
การขี่จักรยานมักต้องใช้ระยะเวลานานกว่าการเดินเร่งหรือวิ่ง เพราะเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ลงน้ำหนัก (Non-Weight-Bearing)

ส่วนวิธีประเมินผลว่าเป็นการออกกำลังกายในระดับ moderate intensity physical activity หรือไม่ทำได้ดังนี้

ให้ใช้อัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งคำนวณจากค่า (220 ลบ อายุ) คูณ (ร้อยละ 50-70) เช่น ผู้ป่วยอายุ 40 ปี เมื่อออกกำลังกายในระดับปานกลางแล้วควรมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ (220–40) x 0.5 = 90 หรือ (220–40) x 0.7 = 126 หรือมีอัตราการเต้นของหัวใจระหว่าง 90-126 ครั้ง/นาที

ข้อมูลจาก
  1. นายแพทย์สมบัติ ตรีประเสริฐสุข ศูนย์โรคตับและปลูกถ่ายตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
  2. นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์ 
ที่มา : 'โรคไขมันเกาะตับ' ตอน 2 - ชีวิตและสุขภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

"โรคไขมันเกาะตับ" ตอน 1

ปัจจุบันสังคมไทยโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย มีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตประจำวันไปเป็นแบบสังคมคนเมืองสมัยใหม่ ที่มีพฤติกรรมการกิน เปลี่ยนแปลงไปโดยบริโภคอาหารปรุงสำเร็จมากขึ้น บริโภคอาหาร ขนมหวาน มันเพิ่มขึ้น กินผักผลไม้น้อยลง ทำงานในตึกหรือ ออฟฟิศมากขึ้น และไม่มีเวลาออกกำลังกาย ลักษณะดังกล่าว ทำให้มีปัญหาโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลของโครงการคนไทยไร้พุง ที่สนับสนุนโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยอายุ 20-29 ปี ภาวะโรคอ้วนเพิ่มจากร้อยละ 2.9 เป็นร้อยละ 21.7 หรือเพิ่มขึ้น 7.5 เท่า และในกลุ่มอายุ 40-49 ปี เพิ่มขึ้น 1.7 เท่า นอกจากนี้ยังมีข้อมูลผลการสำรวจของกรมอนามัย ในประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศของปี พ.ศ. 2550 พบว่ามีภาวะอ้วนลงพุงในเพศชายร้อยละ 24 และเพศหญิงร้อยละ 61.5 ซึ่งเป็นปัญหาที่มีความสำคัญ นอกจากนี้ภาวะโรคอ้วนและโรคไขมันตับยังมีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก โดยพบว่าความชุกของโรคอ้วนในปี ค.ศ.2006 ของสหรัฐอเมริกา มีสูงถึงร้อยละ 20-30 และกลุ่มนี้จะพบความชุกของโรคไขมันตับได้สูงถึงร้อยละ 70-80 ดังนั้นการแนะนำให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงหลักการรักษาที่สำคัญและทำได้ด้วยตนเองก็คือ การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย จะเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่สำคัญที่ช่วยลดทั้งปัญหาโรคอ้วนและไขมันตับได้ โดย ในบทความในตอนที่ 1 จะแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักไขมันตับในเบื้องต้น รวมถึงหลักการคุมอาหาร ลดน้ำหนักอย่างไร ให้ได้ผลโรคไขมันเกาะตับคืออะไร

ไขมันเกาะตับ (Nonalcoholic fatty liver disease (NAFLD) หมายถึงภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับโดยที่คนนั้นไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์หรือดื่มในปริมาณที่น้อยมาก โดยที่ไขมันจะทำให้เกิดการอักเสบของตับและเกิดพังผืด ซึ่งถ้าเป็นไปในระยะยาวก็กลายเป็นโรคตับแข็งได้ ภาวะไขมันเกาะตับพบบ่อยแค่ไหน

มีความชุกของโรคไขมันเกาะตับ (NAFLD) สูงถึงร้อยละ 40 ของประชากรทั่วไป

ไขมันเกาะตับพบได้บ่อยขึ้นในคนบางกลุ่ม เช่น
  • คนอ้วนพบถึงร้อยละ 37-90
  • ผู้ป่วยเบาหวานพบร้อยละ 50-62
ภาวะไขมันเกาะตับมักมีโรคที่พบร่วมด้วย โดยเฉพาะภาวะอ้วนลงพุงหรือเมตาโบลิค ซินโดรม (Metabolic syndrome)

เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินพบได้ 1 ใน 3

ไขมันในเลือดสูงพบได้ 2 ใน 3

โรคอ้วนใช้เกณฑ์ดัชนีมวลกาย มากกว่า 28 กก./เมตร2 คำนวณโดยดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว (กก.)

ส่วนสูง (เมตร)2

หรือใช้เส้นรอบเอว ก็ช่วยบ่งชี้โรคอ้วนได้โดยดูจากเส้นรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว ในผู้ชายหรือมากกว่า 32 นิ้ว ในผู้หญิง

การวินิจฉัยภาวะไขมันเกาะตับ

มีความผิดปกติของค่าทำงานตับ

มีประวัติดื่มแอลกอฮอล์น้อยมากคือ น้อยกว่า 20 กรัม/วัน หรือไม่ดื่มเลย และไม่พบสาเหตุอื่น ๆ ของตับอักเสบ เช่น ยา สมุนไพร โรคตับจากไวรัส เป็นต้น

ผลการเจาะตับมีลักษณะพยาธิวิทยาที่พบไขมันแทรกอยู่เกินร้อยละ 5 และ/หรือมีการอักเสบร่วมด้วย

ผลตรวจอัลตราซาวด์พบว่ามีไขมันเกาะตับ

หมายเหตุ แอลกอฮอล์ 10 กรัม/วัน = เบียร์ 350 มล. หรือ ไวน์ 120 มล. หรือบรั่นดี 45 มล. ซึ่งเรียกว่า 1 ดริ๊งค์ (drink)สามารถวินิจฉัยภาวะไขมันเกาะตับได้อย่างไรบ้าง?
  1. การเจาะตับ
  2. การตรวจเลือดเพื่อแยกสาเหตุอื่น
  3. ตรวจอัลตราซาวด์ตับ
เนื้อตับที่แพทย์เจาะมาช่วยบอกอะไรบ้าง?

ช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคไขมันเกาะตับ

ช่วยบอกความรุนแรงของโรคว่าเนื้อตับมีการอักเสบ มีพังผืดมากน้อยเพียงใดตับแข็งหรือไม่

ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยเชื่อว่ามีโรคที่รุนแรงจริงและลงมือปฏิบัติปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันถ้ากังวลและไม่ต้องการเจาะตับจะวินิจฉัยโรคนี้ได้หรือไม่.....? อย่างไร.....?

ปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีการตรวจหาพังผืดในตับ โดยไม่ต้องเจาะตับ ซึ่งก็มีหลายวิธีที่มีข้อมูลวิจัยสนับสนุนอยู่ เช่น การตรวจเลือด Fibrosis test ที่ช่วยจำแนกความรุนแรงของพยาธิวิทยาของตับได้ว่ามีพังผืดมากน้อยเพียงใด ปัญหาคือราคาแพงอยู่มาก นอกจากนี้ยังมีเครื่องวัดความยืดหยุ่นของตับหรือ Transient Elastrography (Fibro-scanR) ที่มีหลักการของเครื่องมือโดยใช้อุปกรณ์ส่งคลื่นความถี่ระดับ 50 Hz ผ่านบริเวณตำแหน่งที่ใช้ในการเจาะตับคือ บริเวณด้านสีข้างตัดกับแนวลิ้นปี่โดยให้ผู้ป่วยนอนหงาย คลื่นดังกล่าวจะวัดความยืดหยุ่นของตับในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังลงไปประมาณ 1-2.5 นิ้ว ส่วนขนาดของเนื้อตับที่ตรวจวัดก็มีขนาด 1 x 4 ซม. ซึ่งมีปริมาตรที่มากกว่าชิ้นเนื้อจากการเจาะตับถึง 100 เท่า ปัจจุบันสามารถตรวจได้ในโรงเรียนแพทย์หลายแห่ง รวมทั้งที่คณะแพทยศาสตร์จุฬาฯด้วย แต่ข้อจำกัดคือยังไม่มีใช้อย่างแพร่หลายและค่าที่วัดได้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้โดยเฉพาะในคนที่อ้วนมาก ๆ

ข้อมูลจาก นายแพทย์สมบัติ ตรีประเสริฐสุข ศูนย์โรคตับและปลูกถ่ายตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์.

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

ที่มา : "โรคไขมันเกาะตับ" ตอน 1 - ชีวิตและสุขภาพ

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

‘มะเร็งเน็ท’ ก้อนเนื้อร้าย อาการคล้ายโรคอื่น!

สวัสดีปีใหม่ พ.ศ.2556 คอลัมน์มุมสุขภาพขอเริ่มต้นบทความแรกในปีนี้ด้วยเรื่องราวของโรคมะเร็ง โรคที่ไม่มีใครอยากเจอ ล่าสุด แพทย์ 3 ท่าน ร่วมกันเผยถึง "มะเร็งเน็ท" มะเร็งชื่อแปลก ที่หลายคนยังไม่ค่อยรู้จักเท่าใดนัก

ผศ.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ จากหน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า ร่างกายมนุษย์มีเซลล์มากมายหลายชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป เมื่อมีภาวะผิดปกติทำให้เซลล์มีความผิดปกติในโปรแกรมการเจริญเติบโตและการตายของเซลล์ โดยเซลล์ที่ผิดปกติเจริญเติบโตโดยร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งในการก่อเกิดโรคมะเร็ง

ถ้าความผิดปกติข้างต้นเกิดขึ้นกับเซลล์พิเศษชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างสารสื่อประสาทหรือสารฮอร์โมน โดยเซลล์ชนิดนี้มีชื่อว่า นิวโรเอนโดคริน (neuroendocrine) จะนำไปสู่การก่อมะเร็งที่เรียกว่า มะเร็งเน็ท (NET, Neuroendocrine Tumor) สามารถเกิดขึ้นโดยตั้งต้นได้ในหลายอวัยวะ เช่น ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน จากนั้นอาจโตขึ้นและแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นๆ ได้ ที่สำคัญการรักษาจะแตกต่างจากมะเร็งชนิดอื่นในอวัยวะเดียวกัน

สำหรับสถานการณ์โรคมะเร็งเน็ท รศ.พญ.นฤมล คล้ายแก้ว จากภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ในประเทศไทย มะเร็งเน็ท พบได้น้อยและยังไม่มีการรวบรวมข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการ

แต่จากการรวบรวมข้อมูล ของกลุ่มพยาธิแพทย์ทางเดินอาหาร และตับที่สนใจศึกษาโรคนี้ จากโรงเรียนแพทย์ทั่วประเทศ 6 สถาบัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544-2549 พบผู้ป่วยที่มีเนื้องอกชนิดนี้ มีลักษณะเป็นมะเร็งภายในช่องท้อง ประมาณ 10-15 รายต่อปี และอุบัติการณ์การพบผู้ป่วยมะเร็งเน็ทได้เพิ่มขึ้นภายในรอบสิบปีที่ผ่านมา ส่วนที่สหรัฐอเมริกาพบ ประมาณ 2.5-5 รายต่อประชากร 100,000 คน เพิ่มมากขึ้นกว่า 5 เท่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา

รศ.พญ.นฤมล เล่าอีกว่า ปัจจุบันยังไม่ทราบถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งชนิดนี้ ดังนั้นนับว่าเป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่ยากต่อการวินิจฉัยและการรักษา เพราะในช่วงเริ่มต้นจะมีอาการคล้ายโรคทั่วไปอื่นๆ เช่น มีอาการท้องเสีย หรือถ่ายบ่อย คล้ายกับการเป็นโรคลำไส้แปรปรวน จึงทำให้แพทย์อาจสันนิษฐานเป็นโรคชนิดอื่นได้ อย่างไรก็ตาม มะเร็งเน็ทสามารถพบได้ในอวัยวะต่างๆ แต่จะพบบ่อยในระบบทางเดินอาหาร ตับอ่อน และปอด

การจำแนกชนิดของโรค พิจารณาตามลักษณะอาการที่ปรากฏ เป็น 2 แบบ คือ ชนิดมีอาการ และชนิดไม่มีอาการ กลุ่มที่มีอาการแสดงจะเป็นผลมาจากฮอร์โมนที่หลั่งมาจากเนื้องอก เช่น มีอาการปวดท้อง ท้องเสีย ส่วนพวกที่ไม่มีอาการอาจจะมาพบแพทย์ เนื่องจากก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการกดทับหรืออุดตัน อึดอัดแน่นท้อง หรือคลำเจอก้อนได้ การวิธีวินิจฉัย รศ.พญ.นฤมล บอกว่า จะมีการตรวจระดับของสารบ่งชี้เนื้องอกชนิดนี้ในปัสสาวะหรือในเลือด เช่น โครโมแกรนิน เอ (chromogranin A) แต่เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย ควรตรวจชิ้นเนื้อด้วย

อย่างไรก็ตาม มะเร็งเน็ท มีทางรักษา โดย รศ.นพ.วัชรพงศ์ พุทธิสวัสดิ์ จากภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เผยว่า สามารถทำได้หลายวิธี เช่น ผ่าตัด ยาเคมีบำบัด การให้ยาที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ออกฤทธิ์แบบพุ่งเป้า ทั้งนี้พบว่า การผ่าตัดนั้นเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาให้โรคนี้หายขาดได้ การผ่าตัดทำได้หลายแบบ เช่น ผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งที่เป็นต้นกำเนิดออกทั้งหมด หรือผ่าตัดเอาก้อนออกให้ได้มากที่สุด เพราะจะช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วย ถึงแม้ว่าจะมีการแพร่กระจายของก้อนมะเร็งไปที่ต่อมน้ำเหลือง

กรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ อาจพิจารณาอุดเส้นเลือด (embolization) คือ อุดหลอดเลือดแดงเพื่อการรักษาภาวะโรค หรืออาจทำการฉีดยาเคมีบำบัดเข้าเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง (chemoembolization)

ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่พัฒนาไม่หยุด จากนี้ไป ผู้อ่านคงจะได้รู้จักมะเร็งชื่อใหม่ๆ กันเป็นระยะ เช่น เรื่องราวของมะเร็งเน็ทนี้ ช่วยให้คนทั่วไปได้รู้ถึงต้นตอที่ก่อให้เกิดเนื้องอก เนื้อร้าย ในอวัยวะที่ถูกมะเร็งเล่นงาน.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

โรค Bechet คืออะไร? และ จะดูแลตัวเองอย่างไร?

โรค Behçet's disease เป็นโรคที่วินิจฉัยเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1937 โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สาขาตจวิทยา (โรคผิวหนัง) ชาวตุรกี ชื่อ Hulusi Behcet เรียกว่า Morbus Behçet, หรือ Silk Road disease (โรคถนนผ้าไหม) เป็นโรคระบบภูมิคุ้มกันทำลายตนเองอย่างหนึ่ง เป้นโรคที่พบได้น้อยโดยมีอุบัติการณ์น้อยกว่า 1: 100,000 ต่อปี (ประเทศอังกฤษ) สาเหตุที่เรียกว่าโรคถนนผ้าไหมเพราะ เป็นโรคที่พบได้บ่อยตามเส้นทางสายใหม (ในสมัยโบราณ) คือเริ่มตั้งแต่ประเทศญี่ปุ่น ข้ามประเทศจีน ไปตะวันออกกลาง และ ถึงประเทศตุรกี ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 20 - 30 ปี

อาการเบื้องต้นของโรค Behçet's disease 
เป็นโรคที่มีการอักเสบเริ้อรัง ของอวัยวะหลายระบบโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการแสดงออกที่สำคัญคือ แผลในปากแบบแผลร้อนใน แผลที่อวัยวะเพศ ดวงตาอักเสบ และความผิดปกติของผิวหนัง อาการต่างๆมักหายได้เอง ยกเว้นที่ดวงตา มักรุนแรง และเรื้อรัง ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ไม่ชัด จนถึงขั้นตาบอด
อาการของระบบอื่นๆที่พบได้น้อย ได้แก่ ระบบทางเดินอาหาร และลำไส้ ระบบประสาท และระบบหลอดเลือด

การวินิจฉัย อาศัยเกณฑ์การวินิจฉัยโดยสมาคมแพทย์โรคข้อประเทศสหรัฐอเมริกา คือประกอบด้วย ประวัติแผลร้อนใน ในปาก เป็นมากกว่า 3 ครั้งต่อปี ร่วมกับ 2 ใน 4 ข้อ ของกลุ่มอาการ แผลที่อวัยวะเพศ ผื่น-ตุ่มที่ผิวหนัง ม่านตาอักเสบหรือหลอดเลือดที่จอประสาทตาอักเสบ และผลผลทดสอบ pathergy test เป็นบวก 

การรักษา โดยทั่วไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอวัยวะที่มีการอักเสบ โดยทั่วไปแพทย์มักจะให้ ยา colchicine แก่ผู้ป่วยทุกคน เพราะเป็นยาที่ปลอดภัย ราคาถูก เพื่อช่วยลดการอักเสบ และป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ มีการใช้ยา สเตียรอยด์ในโรคที่ขึ้นตา หรือมีหลอดเลือดอักเสบ มีการใช้ยา Azathioprine ยา Cyclosporin กรณีที่โรครุนแรง การพยากรณ์โรค ขึ้นอยู่กับความรุนแรง อวัยวะที่มีการอักเสบ และการตอบสนองต่อยา 

สาเหตุ ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ปัจจัยทางพันธุกรรม และการติดเชื้อในร่างกาย
การดูแลตัวเองเมื่อรู้ว่าเป็น Behçet's disease ไม่ดื่มเหล้า/สูบบุหรี่ ออกกำลังกาย ทานอาหารครบ 5 หมู่ ไม่ทานของสุกๆดิบๆ ไม่เครียด ทานยาตามที่หมอเจ้าของไข้แนะนำ

ที่มา : โรค Bechet, วิธีการดูแลตัวเอง ของโรค bechet

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความจริงเรื่องมะเร็งปากมดลูกภัยร้ายที่ป้องกันได้

“มะเร็ง ปากมดลูกเหรอ ก็เป็นโรคที่น่ากลัวนะ แต่ฉันคิดว่าฉันไม่เป็นหรอก” เพื่อนๆ คิดแบบนี้อยู่หรือเปล่าคะ? จะใช่หรือไม่คงประมาทไม่ได้แล้ว หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า “โรคมะเร็งปากมดลูก” เป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันได้ง่าย……

รู้จักมะเร็งปากมดลูก
หลายคนอาจคิดว่า หากคนในครอบครัว ไม่เคยมีประวัติเป็นมะเร็งปากมดลูก ในฐานะสมาชิกของบ้านก็คง ไม่มีโอกาสเป็น แต่เพื่อนๆ ทราบกันไหมว่า มะเร็งปากมดลูกไม่ใช่โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่เกิดจากการได้รับเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งจะอยู่ตรงผิวหนังบริเวณอวัยวะ มะเร็งปากมดลูก จึงติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เมื่อผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศชาย และหญิงสัมผัสกัน โดยทั่วไปแล้ว เมื่อผู้ชายติดเชื้อเอชพีวี จะไม่มีอาการรุนแรงอะไร บางรายอาจเป็นหูดที่อวัยวะเพศ แต่สามารถถ่ายทอดเชื้อไวรัสนี้ ไปยังคู่นอนผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ ป้องกัน

ผู้หญิงกับโรคมะเร็งปากมดลูก
สำหรับผู้หญิงเรามักถูกบอกว่า การมีคู่นอนหลายคน ทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งดูเหมือนจะให้ข้อมูลด้านเดียวไปหน่อย เพราะจริงๆ แล้ว ถ้าผู้หญิงเรามีคู่นอนคนเดียว แต่เขามีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายคนเราก็ เสี่ยงติดเชื้อไวรัสเอชพีวีเหมือนกัน

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สูบบุหรี่เป็นประจำ ก็ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง ร่างกายกำจัดเชื้อไวรัส เอชพีวีออกไปได้ยาก หรือมีลูกตอนอายุน้อยๆ อวัยวะภายในยังเติบโตไม่เต็มที่ ทำให้เซลล์ตรงปากมดลูกระคายเคือง เป็นแผลได้ง่าย

อาการเมื่อได้รับเชื้อไวรัสเอช พีวี
ภายหลังปากมดลูกเกิดการติดเชื้อเอชพีวี เซลล์บริเวณปากมดลูกนี้จะเกิดการอักเสบ พบว่าผู้หญิงร้อยละ 60 ที่ติดเชื้อ หรือพูดง่ายก็คือ ในผู้หญิงร้อยคนที่ติดเชื้อจะมีอยู่ 60 คนที่ร่างกายสามารถกำจัดเชื้อออกไป ภายในเวลาประมาณ 2-4 ปี

โดยจากข้อมูลวิชาการ รศ.นพ.วิชัย เติมรุ่งเรืองเลิศ ภาควิชาสูติศาสตร์ นรีเวชวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอก ไว้ว่า จากการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า 46% ในกลุ่มผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ กับผู้ชายเพียงคนเดียว เกิดการติดเชื้อเอชพีวีได้ เนื่องจากอีกฝ่ายมีคู่นอนมากกว่าหนึ่ง ลักษณะทั่วไปในระยะแรกจะไม่ปรากฏอาการ ผู้ป่วยสามารถสังเกตสิ่งผิดปกติทางกายได้ หากพบมีเลือดออกผิดปกติ เช่น มีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ มีเลือดออกหลังจากหมดประจำเดือนแล้ว หรือมีอาการตกขาวปะปนกับเลือด เป็นต้น อาการเหล่านี้ ควรได้รับการตรวจให้รู้ชัดเจน เกี่ยวกับอาการผิดปกติที่เกิด ขึ้น

อย่าเพิ่งตกใจป้องกันง่าย และรักษาหายได้แค่ดูแลตัวเอง
เนื่องจากโรคมะเร็งปากมดลูกป้องกันได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และ ตรวจภายใน หรือเรียกกันว่าตรวจแป๊ปเสมียร์ เป็นประจำ ด้วยเหตุที่โรคนี้ไม่สามารถมองเห็นได้เอง เพราะปากมดลูกอยู่ภายในร่างกาย การตรวจจากคุณหมอ เป็นแนวทางป้องกันที่เหมาะสม ถ้าตรวจพบเสียแต่เนิ่นๆ ดังนั้นผู้หญิงเราควรไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกๆ 3 ปี ยิ่งตรวจพบเร็วเท่าไร ยิ่งเพิ่มโอกาสการรักษาที่ได้ผลและหายขาดเร็วเท่านั้นค่ะ เพราะกว่าที่เชื้อไวรัสเอชพีวีจะไปทำลายเซลล์ที่ปากมดลูก และเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็งก็ใช้เวลานานประมาณ 10 ปีทีเดียว เราจึงมีเวลาตรวจหาเชื้อและรักษานานทีเดียว

จะว่าไปแล้วผู้หญิงเรายังรู้สึกเขินอาย และกลัวเจ็บเรื่องของตรวจภายใน ทำให้เมื่อมาพบแพทย์ อาการก็ลุกลามไปเสียแล้ว เพื่อนๆ ลองคิดบวกลบระหว่างความเขินอายกับสุขภาพชีวิตที่แข็งแรง สิ่งไหนคือความจำเป็นในชีวิตมากกว่ากันนะ แน่นอนว่า!!เพื่อนๆคงมีคำตอบนั้นอยู่ในใจแล้วจริงไหม? มะเร็งปากมดลูก ภัยร้ายที่ป้องกันได้

ที่มา : FW Mail


วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำความรู้จักมะเร็งร้ายอีกชนิด ‘จีสต์’ ฝันร้ายของระบบทางเดินอาหาร แตกต่างจากมะเร็งกระเพาะ ลำไส้อย่างไร?


แพทย์หญิงสุดสวาท เลาหวินิจ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย


เราอาจคุ้นหูโรคมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ แต่หากเอ่ยถึง 'มะเร็งจีสต์' จะมีกี่คนรู้จัก?

ที่งานแถลงข่าว 10 ปี แห่งนวัตกรรมการรักษาโรคมะเร็งจีสต์ แพทย์หญิงสุดสวาท เลาหวินิจ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย เล่าว่า มะเร็งจีสต์ (GIST : Gastrointestinal Stromal Tumor) หรือมะเร็งเนื้อเยื่อ ในทางเดินอาหารชนิดจีสต์ เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งของระบบทางเดินอาหาร เกิดขึ้นได้ตามส่วนต่างๆ ของระบบทางเดินอาหาร มักพบป่วยในคนวัย 50 ปีขึ้นไป

คีย์เวิร์ดสำคัญที่ทำให้มะเร็งชนิดนี้แตกต่างไปจากมะเร็งกระเพาะ มะเร็งลำไส้ หรือมะเร็งส่วนอื่นของทางเดินอาหารทั่วไป คือ มะเร็งจีสต์จะต้องเกิดจากความผิดปกติของโปรตีนชนิดหนึ่งชื่อ คิท (KIT) ที่อยู่บนผิวของเซลล์ปกติ คอยทำหน้าที่ส่งสัญญาณภายในเซลล์ เพื่อแจ้งให้เซลล์ขยายตัวเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

ทว่า เมื่อเซลล์ชื่อ คิท ผิดปกติ สัญญาณจะถูกส่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้การแบ่งตัวของเซลล์เกิดความผิดปกติ เป็นเหตุให้เนื้องอกยิ่งเจริญเติบโตขึ้นนั่นเอง ทั้งนี้ในการวินิจฉัยให้รู้แน่ชัด โดยพยาธิแพทย์จะต้องนำชิ้นเนื้อตัวอย่างไปตรวจในห้องปฏิบัติการณ์ด้วยการย้อมสีโปรตีนคิท หากพบว่าเป็นมะเร็งจีสต์ ผลการตรวจโปรตีนคิทมักจะเป็นค่าบวก

สำหรับมะเร็งจีสต์นั้น ในอเมริกา พบป่วย 4,000–5,000 รายต่อปี ในไทยพบป่วยปีละ 250 ราย ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับมะเร็งของระบบทางเดินอาหารชนิดอื่น แต่มีอัตราการเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี

อาการของโรค มักไม่แสดงให้เห็นในขณะที่เนื้องอกมีขนาดเล็ก แต่แพทย์อาจตรวจพบโดยบังเอิญ หรือผู้ป่วยเริ่มมีอาการเพราะเนื้องอกโตขึ้น ดังเช่นกรณีของนายสำราญ สมใจ ผู้ป่วยมะเร็งจีสต์ ร่วมเล่าถึงอาการที่เกิดขึ้นกับตนเองว่ามีทั้งปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร รู้สึกอิ่มเร็วหลังจากรับประทานอาหารไปเล็กน้อย น้ำหนักลด มีปัญหาในการกลืนอาหาร อุจจาระมีเลือดปน คลำเจอก้อนในช่องท้อง

อย่างไรก็ตาม การรักษามีหลายวิธี บางรายผ่าตัดชิ้นเนื้อในช่องท้องออกไป แต่โอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำก็มีค่อนข้างสูง หรือจะใช้วิธีแบบดั้งเดิม คือ การรักษาด้วยเคมีบำบัด และการฉายรังสี แต่สำหรับผู้ป่วยมะเร็งจีสต์ กลับพบว่า มีการดื้อต่อการฉายรังสีและเคมีบำบัด และโรคมักกลับเป็นซ้ำอีกหรือมีการแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆ ได้

ปัจจุบันการรักษามะเร็งจีสต์มีความก้าวหน้ามากขึ้น หากก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ อาจทำให้แพทย์ไม่สามารถผ่าตัดได้ทันที ต้องลดขนาดก้อนมะเร็งโดยให้ผู้ป่วยรับประทานยา ที่สำคัญคือ ยายับยั้งเอนไซม์ไทโรซีน ไคเนส

กระทั่งก้อนมะเร็งลดลง จึงทำการผ่าตัดออก จากนั้นจะให้การรักษาเสริมด้วยยากลุ่มออกฤทธิ์ต่อเป้าหมาย หรือออกฤทธิ์เฉพาะเซลล์มะเร็ง ไม่ทำลายเซลล์ดี ยากลุ่มดังกล่าวเรียกว่า ทาร์เก็ต เธอร์ราปี (Targeted Therapy) เช่น ยาอิมมาตินิบ ให้กับผู้ป่วยหลังผ่าตัดก้อนมะเร็งจีสต์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค และลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของยาที่ใช้รักษานั้นมีราคาค่อนข้างแพง แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าผู้ป่วยที่ทุนทรัพย์ไม่พร้อมจะหมดทางเข้าถึงยา เพราะยังมีโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติจีแพป โดยโนวาร์ตีส เป็นการมอบยาอิมมาตินิบให้ผู้ป่วยมะเร็งจีสต์ทั่วโลก แบบไม่คิดมูลค่า ซึ่งผู้ป่วยสอบถามได้จากแพทย์ผู้รักษา ปัจจุบัน มีผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการกว่า 50,000 รายในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ส่วนในไทยช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งจีสต์ ไปแล้ว 524 คน

เมื่อใครๆ ต่างก็ไม่อยากป่วยด้วยโรคมะเร็ง ขออย่าละเลยการตรวจสุขภาพ และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย หากผิดปกติควรปรึกษาแพทย์โดยด่วน โดยเฉพาะมะเร็ง รู้ทันโรคเร็วเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มโอกาสหาย.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ takecareDD@gmail.com

ที่มา : ‘มะเร็งจีสต์’ ฝันร้ายระบบทางเดินอาหาร

โรคกลีบกุหลาบ (pityriasis rosea) คืออะไร?

โรคกลีบกุหลาบมันเป็นยังไง

ภาพประกอบจาก Internet

โรคนี้มีชื่อเรียกว่า pityriasis rosea บางคนเรียกผื่นกุหลาบ สะเก็ดกุหลาบ กลีบกุหลาบ หัดดอกกุหลาบ โรคขุยกุหลาบหรือเรียกว่าหัด 100วัน ก้อมี เป็นอีกโรคที่พบได้บ่อย พบมากที่สุดในช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ พบได้เท่าๆ กันในทั้งหญิงและชายแต่อาจพบในหญิงสูงกว่าชายเล็กน้อย โดยยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดตอนนี้ที่ทราบได้สาเหตุน่าจะเป็นไวรัสชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า pityriasis rosea มาจากลักษณะของผื่น คือ pityriasis หมายถึงขุยบางๆ (fine scales) และ rosea แปลว่า สีดอกกุหลาบหรือสีชมพู แต่เนื่องจากลักษณะผื่นและสีที่ปรากฎ มักพบได้เป็นวงรีหรือวงกลมรูปไข่ จึงอาจเรียกว่า โรคกลีบกุหลาบ

อาการอย่างไรที่เรียกว่า โรคกลีบกุหลาบ
โรคกลีบกุหลาบ (pityriasis rosea, PR) เป็นโรคผิวหนังที่มีผื่นลักษณะเฉพาะ และมีอาการเฉียบพลัน เริ่มแรกคนไข้จะเริ่มสังเกตตนเอง พบว่ามีผื่นคันขนาดประมาณ 2-6 เซนติเมตร สีชมพูหรือสีน้ำตาล มีขุย ครั้งแรกมักจะเป็นปื้นโดดๆ ที่ผิวหนังบริเวณใดก็ได้ของร่างกาย แต่พบได้บ่อยที่ตามหน้าอกหรือหลัง เรียกว่าผื่นแจ้งข่าวเกิดขึ้นนำมาก่อน

ต่อมาอีกหลายวัน จะเกิดผื่นเป็นปื้นที่มีสะเก็ดเป็นขุยๆ ตามมา ส่วนมากมักพบได้ในบริเวณ ที่ปกคลุมด้วยเสื้อผ้า ผื่นจะมีรูปรีๆ และส่วนยาวจะขนานไปกับ เส้นแยกของผิวหนัง ที่มักนิยมเรียกรอยโรคที่เรียงดูเหมือนคล้ายต้นคริสต์มาส ("Christmas tree" pattern) อาการสำคัญของโรคนี้ คือ อาการคัน ผู้ป่วยบางคนยิ่งร้อน ยิ่งเหงื่อออกมากจะยิ่งคันมาก ในบางรายอาจมีไข้และอ่อนเพลีย ผื่นนี้จะค่อยๆจางลง และ หายไปได้เองภายใน 6-12 สัปดาห์ และเมื่อเป็นครั้งหนึ่งแล้วก็มักจะไม่เป็นอีก ติดต่อโดยการสัมผัส โรคนี้มักหายได้เอง ไม่รุนแรง

รอยผื่นจะมีรูปรี ๆ และส่วนยาวจะขนานไปกับเส้นแยกของผิวหนังที่มักนิยมเรียกรอยโรคที่เรียงดูเหมือนคล้ายต้นคริสต์มาส ("Christmas tree" pattern)

การวินิจฉัยควรตรวจรักษาโดยคุณหมอผิวหนังครับ ในวัยรุ่นหรือในผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงจะต้องแยกโรคจากผื่นจากซิฟิลิสระยะที่ 2 จึงจำเป็นต้องตรวจเลือดดูว่าบวกหรือไม่เพื่อความแน่นอน

การรักษาโรคกลีบกุหลาบ
โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงและอาการมักดีขึ้นเอง ผู้ป่วยแน่ใจสบายใจได้เลยครับว่าว่าโรคนี้จะทุเลาลงไปได้เอง ไม่มีการรักษาที่เฉพาะ แต่เรามักแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการถูกน้ำ ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือห้ามอาบน้ำอุ่นเด็ดขาด การมีเหงื่อออกและการสัมผัสสบู่ เพราะมักทำให้ผิวระคายเคือง และโรคมีอาการกำเริบ จะทำให้ผิวคุณจะยิ่งแห้งและคันมากขึ้น

ยาที่ใช้ในโรคกลีบกุหลาบ
  1. กลุ่มแรกเป็นยาเพื่อบำบัดอาการคัน ได้แก่ ยากลุ่มสตีรอยด์ในรูปยากิน คือ prednisolone ขนาดยา 5-60 มก./วัน วันละครั้ง หรือแบ่งขนาดยาเป็นวันละ 2-4 ครั้ง เมื่ออาการดีขึ้นให้ลดยา จนหมดในช่วงระยะเวลา 2 สัปดาห์. ข้อควรระวังคือห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์ ส่วนในรูปยาทา อาจให้ยาทา zinc oxide และ calamine lotion หรือสเตียรอยด์ทาเช่น hydrocortisone เพื่อลดอาการคันในบริเวณที่เป็นวันละ 2-4 ครั้ง แต่ตัวหลังนี่ ควรระวังถ้าทาเป็นบริเวณกว้างมาก
  2. ยากลุ่มปฏิชีวนะ คือ erythromycin ขนาดยาในผู้ใหญ่ 250 มก. ทุก 6 ชั่วโมง ก่อนอาหาร หรือ 500 มก.ทุก 12 ชั่วโมง
  3. ยากลุ่มต้านไวรัส ในรูปยากิน คือ acyclovir ขนาดยาในผู้ใหญ่ 800 มก. วันละ 5 ครั้ง ในเด็กขนาดยา 10-20 มก./กก. ทุก 6 ชั่วโมง นาน 5-10 วัน
  4. สุดท้ายในบางรายหมออาจให้การฉายแสง โดยฉายรังสียูวีบี (UV-B light therapy) อาจลดอาการคันได้
ที่มา : โรคกลีบกุหลาบ มันเป็นยังไงเหรอ โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล


.

.