เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Mineral แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Mineral แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แคลซิมอร์ (CalciMor) คืออะไร

CalciMor คือแคลเซียมพร้อมแร่ธาตุบำรุงกระดูก

ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  1. ขนาดเล็ก ทานง่าย ดูดซึมได้สมบูรณ์
  2. แคเซียม 2 รูป (ซิเตรท, ฟอทเฟต) ดูดซึมง่ายกว่าทั่วไป (คาร์บอเนต)
  3. มีวิตามิน และ แร่ธาตุอื่นๆที่จำเป็นต่อกระดูกครบถ้วน
      • วิตามินดี : ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
      • แมกนีเซียมในอัตราส่วนที่เหมาะสม (แคลเซียม + แมกนีเซียม = 2 : 1)
      • วิตามันเค สังกะสี ทองแดง ซิลิกอน ฟอสฟอรัส
  4. ไม่มีน้ำตาล แลคโตส เกลือโซเดียม ก๊าซ สารสกัดจากข้าวสาลี หรือ นม จึงปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  5. แตกตัวได้สมบูรณ์ภายในเวลา 45 นาที ในภาวะจำลองกระเพาะอาหาร ตามมาตรฐานยา
ประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์
  1. บำรุงกระดูกให้แข็งแรง ลดภาวะกระดูกพรุน โดยเฉพาะในวัยทอง และ ผู้ใช้ยาสเตียร์รอยด์
  2. ผลดีอื่นๆเช่น แคลเซียมและ วิตามิน D อาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม ช่วยป้องกันน้ำหนักเพิ่มขึ้น จำเป็นต่อกล้ามเนื้อ สารสื่อประสาท การแข็งตัวของเลือดป้องกันการเกิดตะคริว


วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำไมต้องทานอาหารเสริม? และ ทำไมไลฟ์แพ็ค (Lifepak) จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ทำไมเราต้องทานอาหารเสริม
ถ้าในปัจจุบัน เราได้รับประทานอาหารอย่างสมบูรณ์แล้ว คุณอาจสงสัยว่ามีความจำเป็นต้องกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพิเศษหรือไม่?
มีเหตุผล 2 - 3 ข้อที่สนับสนุนว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ดีต่างๆก็เป็นที่น่าสนใจ
  1. อาหาร ถ้าไม่ได้รับประทานอาหารสกัดจากธรรมชาติ คุณก็อาจจะขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน และ แร่ธาตุบางชนิด อาจสูญเสียไปในระหว่างการขนส่ง และการเก็บรักษา การเตรียมอาหาร และ การปรุงอาหาร หรือ มิฉะนั้น อาหารสดจากธรรมชาติบางชนิดก็อาจจะขาดสารอาหารที่สำคัญ เช่น ขาดสารโคลีน วิตามิน, แอลคาร์นิทีน ช่วยในการดักจับไขมันในร่างกาย หรือ แคลเซี่ยมในการเสริมสร้างกระดูก ขาดสารจำเป็นบางอย่างในผู้ทานมังสวิรัติ นอกจากนี้อาหารบางอย่างอาจก่อให้เกิดโทษในร่างกายได้อีก เช่น อาหารไขมันสูง อาหารมีเชื้อโรค ท็อกซิน อาหารใส่สารกันบูด ใส่สี อาหารรสเค็มจัด หวานจัด อาหารที่ปรุงโดยผู้ปรุงที่ขาดสำนึกและระวัง เรื่องสุขอนามัย ความสะอาดในการปรุงอาหาร
  2. มลภาวะจากสิ่งแวดล้อมมีมากขึ้น น้ำเสียจากโรงงานและบ้านเรือน กลิ่นเหม็นจากสิ่งปฏิกูล ควันพิษจากรถยนต์ และ โรงงานต่างๆ สารพิษเหล่านี้หากร่างกายได้รับเข้าไปบ่อยๆเป็นเวลานาน จะก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายได้อีกทางหนึ่ง และ ยังก่อให้เกิดโรคต่างๆนับไม่ถ้วน "เราต้องเตรียมร่างกายของเรา เพื่อการซ่อมแซมและปกป้องตัวเองจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ อันเป็นภาวะที่ร่างกายไม่เคยเผชิญมาก่อนในอดีต ในยุคนี้"
  3. ร่างกายตัวเอง สิ่ง ธรรมชาติได้ให้พลังชีวิต และ ความสมบูรณ์ของร่างกาย โดยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามอายุ ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ อวัยวะต่างๆของร่างกายสามารถทำงานได้ดี มีความต้านทานโรคสูง และ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพราะร่างกายมีขบวนการเผาผลาญพลังงานที่สมบูรณ์ ผลิตสารแอนติอ๊อกซิแด๊นได้มาก อย่างต่อเนื่อง ระบบฮอร์โมนปรกติดี แต่เมื่อร่างกายอ่อนแอลง หรือ มีอายุเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพที่กล่าวมาทั้งหมดจะเสื่อมถอยลง ในขณะที่คนเรายังมีการรับสารพิษต่างๆเข้าสู่ร่างกายเหมือนเดิม โดยประมาณ และ ร่างกายจะเริ่มลดการผลิตสารต่อต้านสารพิษต่างๆเมื่อเริ่มอายุประมาณ 30 ปี โดยที่ร่างกายยังคงผลิตสารอนุมูลอิสระ และสารพิษอื่นๆ แล้วยังรับสารพิษจากอาหารและสิ่งแวดล้อมในปริมาณเท่าเดิม ร่ายกายก็จะเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่พูดกันว่าการกินอาหารครบ 5 หมู่ หรือ การมีชีวิตกระฉับกระเฉงนั้น คือหลักการพื้นฐานของการมีสุขภาพที่ดี แต่เดี๋ยวนี้ เรารู้ว่าในบางเวลาของชีวิต มีบางครั้ง ที่เราต้องการสารอาหารเป็นพิเศษ ความเครียดหรือโรคภัยไข้เจ็บอาจทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเป็นสิ่งจำเป็น ชีวิตที่วุ่นวายสับสนการกินอาหารอย่างเร่งรีบ การกินอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น การฟื้นจากไข้ การวางแผนมีบุตร การกินอาหารมังสวิรัติ หรือ ภาวะชรา เหล่านี้ล้วนกดดันให้ร่างกายต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น นอกจากเงื่อนไขที่กล่าวข้างต้น ยังมีปัจจัยเพิ่มเติมที่คุณอาจไม่เคยคาดคิด เช่น ในอาหารประจำวันที่คุณกินอาจจะมีสารอาหารบางตัวไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ในภาวะเช่นนี้ คงเห็นชัดว่าการกินผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพเป็นประจำมีประโยชน์เพียงใด

ดังที่ นพ.กฤษดา ศิรามพุช กล่าวว่า มนุษย์เหมือนกองสารเคมี ที่มีสนิมแก่ จะขับออกมาจากร่างกายเราทุกๆเวลา ถ้าเราจะกินเพื่อต้านแก่ เราต้องกินให้มากกว่าปรกติ เราจะไม่พูดถึงวิตามินที่กินแค่ป้องกัน แต่ต้องกินเสริมเข้าไปด้วย ซึ่งคำพูดเก่าๆ You are what you eat! แต่ในปัจจุบันนี้เราได้ใช้คำพูดใหม่ You are what you are absorb! กันแล้วในปัจจุบัน

แล้วทำไมเราต้องเลือกไลฟ์แพ็ก เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

เพราะในไลฟ์แพ็ก มีสารอาหาร และ วิตามินเกลือแร่ที่ครบถ้วนและสมดุลบรรจุอยู่ในซองเพียง 1 ซอง ซึ่งไม่สามารถหาได้อีกแล้วในท้องตลาด
  • ไลฟ์แพ็กมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า 30 ชนิด มีหลากหลายในปริมาณที่เพียงพอใน หนึ่งวัน (1 ซอง ต่อ 1 มื้อ)
  • ไลฟ์แพ็กมีการใช้มารตรฐานการควบคุมคุณภาพระดับสูงที่เรียกว่า 6S
    1. คัดเลือก
    2. แหล่งวัตถุดิบ
    3. โครงสร้าง
    4. มาตรฐาน
    5. ความปลอดภัย
    6. ผลการศึกษาทางคลินิค
  • ไลฟ์แพ็ก จะดูแลภูมิคุ้มกัน หรือ ภูมิต้านทานในระดับหน่วยเซลล์ DNA แต่ละเซลล์มีเป็นล้านๆ ไม่ว่า สมอง, หัวใจ และ กล้ามเนื้อ ซึ่งถ้าเราวิเคราะห์ยี่ห้ออาหารเสริมที่มีอยู่ในท้องตลาด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะจัดจำหน่าย แยกเป็นสูตรย่อยๆ หลายๆสูตร ซึ่งจะต้องเสียเงินซื้อประมาณ 7,000 บาท เพื่อที่จะให้ได้สารอาหารครบถ้วนเท่ากับไลฟ์แพ็ก แต่เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสารอาหารเหล่านั้นดูดซึมเข้าร่างกายได้อย่างไร? หรือ มีการหักล้างวิตามินกันหรือไม่? และ มีหลายๆคน ที่เลือกที่จะดูแลตัวเอง แต่ก็ไม่รู้จะเลือกวิตามินสูตรไหนสำหรับดูแลร่างกายตัวเอง
  • ไลฟ์แพ็ก มีซองใส่วิตามินที่เก็บแบบสุญญากาศ ไม่ระเหยในบรรยากาศเลย
ตอนนี้คุณพร้อมที่จะกำจัดสนิมแก่ออกจากร่างกายด้วยวิตามินและเกลือแร่ประเภทไหน? จะดีกว่าไหม? ถ้าเราจะเลือกโดยไม่ต้องคิดมาก คิดให้ปวดหัว โดยเลือกไลฟ์แพ็กของนูสกิน


วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แมกนีเซียม (Magnesium) คืออะไร

แมกนีเซียม (Magnesium) เป็นสารอาหารประเภทเกลือแร่ (Mineral) ชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มเกลือแร่ที่มีมาก ในร่างกาย (Macronutrients หรือ Principal elements) ซึ่งมีความสำคัญอย่างมาก ต่อร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะในโครงสร้างกระดูกมีธาตุ แมกนีเซียม เป็นองค์ประกอบประมาณ 25 กรัม หรืออาจมากกว่านี้ และเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ต่างๆ กล้ามเนื้อ สมองและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันต่างๆ แมกนีเซียม ส่วนใหญ่ในร่างกาย (60-70%) พบในกระดูก ส่วนที่เหลืออีก 30% พบในเนื้อเยื่ออ่อนและของเหลวในร่างกาย แมกนีเซียม มักอยู่ในของเหลวที่อยู่ภายในเซลล์ (Intracellular fluid) เช่นเดียวกับโพแทสเซียม ประมาณร้อยละ 35 ของแมกนีเซียมในเลือดจะรวมอยู่กับโปรตีน เด็กแรกเกิดมี แมกนีเซียม ต่ำ และเมื่อโตขึ้นจะมี แมกนีเซียม มากขึ้น

แมกนีเซียม (Magnesium) เป็นโคแฟกเตอร์ (Co-factor) ที่สำคัญของเอ็นไซม์ในร่างกายไม่น้อยกว่า 300 ชนิด เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีนต่างๆ ในร่างกาย และเป็นเกลือแร่ที่มีโอกาสขาดได้ง่ายรองจาก แคลเซียม หากร่างกายได้รับไม่เพียงพอจะมีโอกาสเป็น โรคหัวใจ มากขึ้น แมกนีเซียม ยังทำหน้าที่ในการส่งผ่านกระแสประสาท จึงช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวกับสมองได้ เช่น ซึมเศร้า ไมเกรน เครียด เป็นต้น และมีหน้าที่สำคัญอีกอย่างคือเป็นตัวช่วยในการสะสม แคลเซียม เข้ากระดูก และลดความรุนแรงของ โรคหัวใจ วายเรื้อรัง

แต่เป็นที่น่า เสียดายที่มีน้อยคนมากๆ ที่จะได้รับ แมกนีเซียม อย่างเพียงพอต่อวัน จากอาหารที่รับประทานเข้าไป เนื่องจากอาหารที่ปรุงส่วนใหญ่จะมีแร่ธาตุนี้อยู่น้อย การรับยาบางชนิดก็ส่งผลให้เกิดขาดแร่ธาตุ แมกนีเซียม อีกทั้งโรคบางชนิดเช่น เบาหวาน โรคติดเหล้า ก็ส่งผลให้เกิดการขาดแร่ธาตุ แมกนีเซียม ได้เช่นกัน

ดังนั้นการรับประทานในรูปแบบอาหารเสริม ก็จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าร่างกายได้รับ แมกนีเซียม (Magnesium) อย่างเพียงพอ ซึ่งเราจะพบ แมกนีเซียม (Magnesium) ในรูปแบบต่างๆ มากมาย เช่น แมกนีเซียมซิเตรด แมกนีเซียมแอสพาเตรด แมกนีเซียมคาร์บอเนต แมกนีเซียมกลูคอเนต แมกนีเซียมออกไซต์ และแมกนีเซียมซัลเฟต

หน้าที่และ ประโยชน์

แมกนีเซียม (Magnesium) เปรียบเสมือนคนงานที่ทำงานแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพียงเพื่อจะสังเคราะห์ โปรตีนให้ร่างกาย และเป็นโคเอนไซม์ ที่สำคัญที่สุดชนิดหนึ่งในร่างกาย ที่จะทำงานร่วมกับ แคลเซียม อันเป็นประโยชน์ ต่อการทำงานในระบบต่างๆ ของร่างกาย แมกนีเซียม ยังช่วยให้การผลิตฮอร์โมนต่างๆ เป็นปกติ มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ของระบบกล้ามเนื้อและเซลล์ต่างๆ มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธุ์ ระบบเลือด และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยหน้าที่และประโยชน์ของ แมกนีเซียม (Magnesium) มีดังนี้
  1. มีส่วนควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อเช่นเดียวกับ แคลเซียม โดยจำเป็นสำหรับการส่งสัญญาณทางประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อ
  2. ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการเผาผลาญสารอาหาร และการสังเคราะห์โปรตีน
  3. ช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการต้านทานความหนาว ในที่อากาศเย็น ความต้องการแมกนีเซียมจะสูงขึ้น
  4. จำเป็นสำหรับการเติบโตของกระดูกและฟัน
  5. สำคัญในการนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ของวิตามิน บี ซี และ อี
  6. จำเป็นสำหรับการเผาผลาญแคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และโพแทสเซียม
  7. อาจป้องกันโรคทางหลอดเลือดหัวใจ โดยจะไปลดความดันเลือดลง และป้องกันการเกาะของโคเลสเตอรอลในหลอดเลือดแดง ช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
  8. ช่วยในการควบคุมสมดุลของกรด-ด่างในร่างกาย
  9. อาจทำหน้าที่เป็นตัวยาสงบประสาทตามธรรมชาติ ช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรน และลดความถี่ในการเกิดได้ ลดอาการซึมเศร้า และช่วยให้นอนหลับโดยเป็นตัวที่ช่วยในการสร้างสารเมลาโตนิน
  10. ป้องกัน ไม่ให้ แคลเซียม จับตัวอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ไต
  11. จำเป็นต่อการรวม ตัวของ parathyroid hormone ซึ่งมีบทบาทในการดึงเอาแคลเซียมออกจากกระดูก
  12. ป้องกัน การแข็งตัวของเลือด
  13. ลดอาการปวดเค้นหน้าอกในผู้ป่วย โรคหัวใจ
  14. ป้องกัน และรักษาโรคหอบหืด
  15. บรรเทาและป้องกัน อาการปวดประจำเดือนโดยการคลายกล้ามเนื้อมดลูก
  16. การรับประทา นแมกนีเซียม จะช่วยลดการเกิดตะคริวในหญิงมีครรภ์ที่มีระดับของ แมกนีเซียม ต่ำได้
  17. ช่วยป้องกันการเกิดอาการ ไมเกรน คนที่มีปัญหาโรค ไมเกรน มักจะมีปริมาณ แมกนีเซียม ในเลือดต่ำ
  18. ช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวกับ สมองได้ เช่น ซึมเศร้า ไมเกรน เครียด
แมกนีเซียมเหมาะสำหรับใคร
  • ผู้มีความเครียดสูง
  • ผู้ที่มือเท้าชาบ่อยๆ หรือเป็นตะคริวบ่อยๆ
  • ผู้ที่เป็นโรคลมบ้าหมู (ควรปรึกษาแพทย์)
  • ผู้ที่ทานนม อาหารปรุงแต่ง น้ำอัดลม เหล้า ในปริมาณมาก
  • ผู้ป่วยที่ทานยาขับปัสสาวะ
  • ผู้ที่ต้องการป้องกันตนเองจากความดันโลหิตสูง หลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจ นิ่วในไต โรคกระดูก osteoporosis
  • ผู้สูงอายุ เพื่อบำรุงร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเสริมสร้างกระดูก


แคลเซียม (Calcium) คืออะไร?

หากจะให้บอกถึงเกลือแร่สักตัวหนึ่ง ที่จำเป็นต่อร่างกายของคนเราเป็นอย่างมากแล้วล่ะก็ หนึ่งในนั้นจะต้องมี แคลเซียม (Calcium) ร่วมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

เรารู้จัก แคลเซียม (Calcium) กันมานานแล้ว ในแง่ของการช่วยให้กระดูกแข็งแรง นอกจากนี้ในงานวิจัยเมื่อเร็วๆนี้ ทำให้เราพบว่า แคลเซียม (Calcium) ยังมีส่วนช่วยในการต่อต้าน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจกำเริบ มะเร็งลำใส้ และ อาการปวดก่อนมีประจำเดือนของคุณผู้หญิง

สำหรับคนที่ไม่สามารถ รับประทานอาหารที่มี แคลเซียม (Calcium) สูงได้ ก็สามารถทดแทนง่ายๆ ได้ด้วยอาหารเสริม แคลเซียม ที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปและราคาไม่แพง โดยมักจะอยู่ในรูปของ แคลเซียมคาร์บอเนต แคลเซียมกลูโคเนต แคลเซียมซิเตรด แคลเซียมซิเตรดมาเลต แคลเซียมแลคเตต และแคลเซียมฟอสเฟต และปริมาณที่ร่างกายจะได้รับ แคลเซียม จากอาหารเสริมเหล่านี้ก็จะขึ้นกับว่าในแต่ละแบบจะให้ แคลเซียม แก่ร่างกายเท่าไร เช่น แคลเซียมคาร์บอเนตจะให้ปริมาณแร่ธาตุ แคลเซียม ประมาณ 40% แคลเซียมกลูโคเนตจะให้ปริมาณแร่ธาตุ แคลเซียม ประมาณ 9% ทั้งนี้ยังขึ้นกับการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายด้วย มีการค้นพบว่าแร่ธาตุ แคลเซียม ที่ได้จากแคลเซียมซิเตรดจะถูกดูดซึมได้ดีกว่าที่ได้จากคอร์บอเนต

แคลเซียม (Calcium) เป็นธาตุที่พบมากที่สุดในทุกส่วนของร่างกาย โดยในร่างกายคน 50 กิโลกรัม จะมี แคลเซียม อยู่ประมาณ 1 กิโลกรัม ซึ่งเกือบทั้งหมดจะอยู่ในกระดูกและฟัน ดังนั้นในเวลากล่าวถึงแคลเซียม ทำให้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงเฉพาะกระดูกเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วยังมี แคลเซียม ส่วนอื่นที่อยู่ในเซลล์ที่ไม่ใช่กระดูกอีกประมาณร้อยละ 1 สำหรับหน้าที่ๆ สำคัญของ แคลเซียม ก็คือ การสร้างกระดูก ซึ่งกระดูกทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของร่างกาย รักษารูปร่างและลักษณะของร่างกายให้สวยงาม และยังเป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อ เป็นเกราะป้องกันอวัยวะภายในต่างๆ ของร่างกายไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือน อย่างไรก็ตาม แคลเซียม มิใช่เป็นเพียงตัวเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่สำคัญ ในการทำงานของเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกายอีกด้วย ได้แก่ การช่วยการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดที่ไหลออกจากบาดแผลเกิดแข็งตัวหยุดไหลได้ นอกจากนี้ แคลเซียม ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจปกติ และการส่งสัญญานประสาทที่ถูกต้อง รักษาความสมดุล ของกรดด่างในเลือดและความดันโลหิตให้ปกติ

แคลเซียมเข้าสู่ร่างกายอย่างไร

สำหรับการทำงานของ แคลเซียม จะเริ่มจาก เมื่อร่างกายได้รับ แคลเซียม จากอาหาร ก็จะถูกกรดในกระเพาะทำให้ แคลเซียม แตกตัวได้ดีขึ้น และถูกดูดซึมได้ง่ายขึ้นจากบริเวณลำไส้ส่วนต้น โดยอาศัย Calbindin-D ซึ่งปกติแล้วร่างกายจะดูดซึม แคลเซียม ได้ประมาณร้อยละ 20-40 หลังจากนั้น แคลเซียม จะเข้าสู่เลือดผ่านไปตามระบบไหลเวียนโลหิต แล้วไปสู่อวัยวะต่างๆ ส่วนใหญ่จะเข้าสู่กระดูก นอกนั้นเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ที่เหลือจะถูกขับออกทางปัสสาวะ

โดยปกติทั่วไป แม้กระดูกจะไม่ยืดตัวให้เห็น แต่จะมี แคลเซียม ผ่านเข้าออกจากกระดูกถึงวันละประมาณ 700 mg ซึ่งแม้ว่าเกลือแร่ที่ติดอยู่ในกระดูก ดูเหมือนจะติดอยู่อย่างถาวร แต่อันที่จริงแล้ว แคลเซียม ในกระดูกจะถูกดึงออก พร้อมกับขบวนการละลายกระดูก (resorption) และเสริมเข้าไป พร้อมกับการสร้างกระดูกใหม่ (formation) อยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ขึ้นกับภาวะโภชนาการ ปริมาณ แคลเซียม ความสมดุลของฮอร์โมนและวัย

โดยทั่วไป ร่างกายจะพยายามอย่างเต็มที่ ในการที่จะรักษาระดับ แคลเซียม ในเลือดให้ปกติเสมอเพื่อให้อวัยวะต่างๆ ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปกติ เปรียบให้ง่ายก็เสมือนว่า ระดับ แคลเซียม ที่ปกติก็คือ จำนวนเงินที่ติดกระเป๋าอยู่ สำหรับใช้จ่ายในแต่ละวัน โดย แคลเซียม ส่วนที่ถูกขับออกทางปัสสาวะและ แคลเซียม ที่ใช้เพื่อการซ่อมแซมกระดูก เปรียบเสมือนค่าใช้จ่ายประจำวัน แคลเซียม ในกระดูกเสมือนเงินฝากในธนาคาร แคลเซียม รับจากอาหารเสมือนรายได้ประจำวัน ถ้ารายรับมากกว่ารายจ่าย อาจมีเหลือเก็บในธนาคารซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการสะสม แคลเซียม ในกระดูก ถ้ารายได้น้อยกว่ารายจ่าย ก็ต้องถอนจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายก็จะทำให้เกิดการขาดดุล ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้อยู่เป็นประจำเงินในธนาคารก็จะร่อยหรอไป นั่นก็เปรียบได้กับการที่ร่างกายได้รับ แคลเซียม ไม่พอเพียงต่อความพยายามรักษาระดับ แคลเซียม ให้ปกติ จึงต้องละลาย แคลเซียม จากกระดูกมาเพิ่มให้กับเลือด ทำให้ แคลเซียม ในกระดูกค่อยๆ ลดลง สุดท้าย แคลเซียม หรือเงินที่ติดกระเป๋าอยู่ ก็ลดลงจนไม่พอใช้นั่นเอง ซึ่งจากการศึกษาพบว่าการสะสม แคลเซียม ของร่างกายมนุษย์นั้นเริ่มตั้งแต่ยังเป็นทารกในครรภ์มารดา โดยในแต่ละวัยร่างกายสามารถสะสมปริมาณ แคลเซียม ในระดับที่แตกต่างกัน ดังนี้
  • เด็กแรกเกิด - 9 ขวบ มีความสามรถในการสะสม แคลเซียม ได้ 100 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว/วัน
  • เด็กอายุ 10 ขวบ มีความสามารถในการสะสม แคลเซียม ได้ 100-150 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว/วัน
  • ช่วงวัยรุ่น มีความสามารถในการสะสม แคลเซียม ได้ 200-400 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว/วัน
  • ชายและหญิงอายุ 18 ปี มีความสามารถในการสะสม แคลเซียม ได้ 50-100 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว/วัน
  • ผู้ใหญ่อายุ 30 ปี มีความสามารถในการสะสม แคลเซียม ได้ 0 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว/วัน ซึ่งหมายความว่า หลังจากอายุ 30 ปีไปแล้ว ร่างกายจะไม่สะสม แคลเซียม อีกต่อไป จึงต้องมีการเติม แคลเซียม ให้ร่างกายเพื่อรักษาระดับ แคลเซียม ในกระดูก
ด้วยคุณสมบัติการทำงานของ แคลเซียม ดังกล่าว นับได้ว่าแคลเซียม มีประโยชน์ต่อร่างกายของมนุษย์อย่างยิ่ง ซึ่งในแต่ละสภาวะของมนุษย์นั้น แคลเซียม ได้ให้ประโยชน์ในลักษณะต่างๆ กัน ดังนี้

ความต้องการของคนแต่ละวัย
หญิงตั้งครรภ์
สำหรับหญิงมีครรภ์แล้ว แคลเซียม นับได้ว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสภาวะการตั้งครรภ์อย่างมาก โดยหญิงตั้งครรภ์จำเป็นต้องได้รับ แคลเซียม มากกว่าคนธรรมดาเป็นพิเศษ เนื่องจากจะต้องถ่ายทอดแร่ธาตุดังกล่าวสู่ลูก เพื่อการพัฒนาโครงสร้างร่างกาย ของทารกในครรภ์ ดังนั้นหญิงมีครรภ์จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะขาดแคลน แคลเซียม ถ้าไม่สามารถบริโภคอาหารที่ให้ปริมาณ แคลเซียม ได้เพียงพอต่อทั้งแม่และลูกได้ บ่อยครั้งจึงพบว่าหญิงมีครรภ์ จะมีอาการกล้ามเนื้อปวดเกร็งในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ที่พบบ่อยคือ บริเวณน่อง โดยจะเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ไม่ได้ออกกำลังกายหรือเดินมาก อันเป็นผลมากจากการขาด แคลเซียม นั่นเอง จากการศึกษาพบว่าหญิงตั้งครรภ์เป็นตระคริวถึงร้อยละ 26.8 และส่วนใหญ่เริ่มมีอาการ ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 25 สัปดาห์ และอาการดีขึ้นได้อย่างชัดเจน หากได้รับการเสริม แคลเซียม ดังนั้น แคลเซียม จึงเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นยิ่ง ต่อสภาวะการตั้งครรภ์ เพราะนอกจาก จะช่วยให้พัฒนาการเติบโตของทารกในครรภ์เป็นปกติแล้ว ยังมีส่วนช่วยรักษา เสถียรสภาพความหนาแน่นกระดูกในแม่ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคเกี่ยวกระดูกหรือโรค กระดูกพรุน ในภายหลังได้
วัยเด็ก
เด็กๆ ต้องการ แคลเซียม มากกว่าวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ เพื่อนำมาเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน และส่วนอื่นๆ เพื่อใช้เป็นโครงสร้างของร่างกาย โดยการสะสม แคลเซียม ในเด็กที่หัดพูดจะช้า แต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในวัยหนุ่มสาว ซึ่งจากการศึกษา พบว่าถ้าปริมาณ แคลเซียม ในร่างกายเด็กต่ำ จะทำให้ขบวนการสะสมเกลือแร่ในกระดูก และ ความหนาแน่นของกระดูกต่ำ เป็นผลให้เกิดโรคกระดูกอ่อน หรือโรคกระดูกค่อมงอได้ โดยเด็กจะมีอาการเหงื่อออกบริเวณศีรษะมากเกินไป การนั่ง คลาน เดิน ทำได้ช้า นอนไม่หลับ กระดูกขาของเด็กที่ได้รับ แคลเซียม ไม่เพียงพอ เมื่อรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมาก ขึ้นตามอายุเป็นผลให้ขาโก่ง กระดูกซี่โครงโค้งงอ กระดูกเชิงกรานมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาการนี้เมื่อเกิดขึ้นกับเด็กแล้ว ไม่สามารถรักษาให้หายคืนปกติได้ นอกจากจะทำการผ่าตัดใหญ่เท่านั้น สิ่งที่สำคัญของช่วงอายุนี้คือ การพัฒนารูปแบบการบริโภค ให้สอดคล้องกับระดับ แคลเซียม ที่ร่างกายต้องการให้เพียงพอ เพื่อพัฒนาความหนาแน่นของกระดูก ให้การเติบโตของเด็กเป็นปกติ อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรค เกี่ยวกับกระดูกในช่วงต่อไปของชีวิตได้
วัยหนุ่มสาว
จากการศึกษาวิจัยแสดงว่า ช่วยอายุ 11-24 ปี เป็นช่วงที่ร่างกายดำเนินขบวนการ ก่อรูปกระดูก โดยถ้าร่างกายได้รับ แคลเซียม ในปริมาณที่ต่ำกว่าร่างกายต้องการ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ซึ่งถ้าขาดอย่างร้ายแรง จะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อน มีอาการเจ็บกระดูก เจ็บกล้ามเนื้อ และเมื่อประสบกับการกระดูกหัก กระดูกจะสมานให้เหมือนเดิมได้ช้า สิ่งสำคัญคือ การรักษาระดับการบริโภคอาหาร ให้สอดคล้องกับระดับ แคลเซียม ที่ต้องการเพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูก ถ้าจะต้องมีการสูญเสียไปในภายหลังของช่วงชีวิต โดยถ้าเราได้รับ แคลเซียม ตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาว หรือ กลางคนอย่างสม่ำเสมอและพอเพียง อายุการสึกหรือผุกร่อนตามธรรมชาติ ก็จะยืดออกไปได้อีกนานกว่าคนที่อยู่ในวัยเดียวกัน ที่บริโภค แคลเซียม ไม่เพียงพอในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว
วัยสูงอายุ
คนเราปกติจะมีโอกาสสูญเสีย แคลเซียม จากกระดูกเมื่อเรามีอายุมากขึ้น เพราะว่าเมื่ออายุเกินกว่า 30 ปีแล้ว ร่างกายจะไม่สะสม แคลเซียม อีกต่อไป โอกาสเผชิญกับโรคเกี่ยวกับกระดูกจะสูงถ้าร่างกายไม่ได้รับ แคลเซียม อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงวัยหมดประจำเดือนซึ่งการศึกษาพบว่า ร่างกายจะสูญเสียกระดูกในช่วงประมาณ 5-6 ปีแรกหลังจากหมดประจำเดือน เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมน oestrogens และประสิทธิภาพในการสร้าง Vitamin D ก็ลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น จึงมีแนวโน้มจะเป็นโรค กระดูกพรุน สูง โดยเป็นโรคที่เป็นผลมาจากการขาดแคลน แคลเซียม ซึ่งบางครั้งอาจทำให้กระดูกหักได้ เนื่องจากแบกรับน้ำหนักตัวไม่ไหว และในกรณีที่ร้ายแรง จะก่อผลเสียต่อกระดูกสันหลัง กระดูกต้นขา และกระดูกแขนท่อนนอกได้อีกด้วย โดยโรคดังกล่าวจะไม่แสดงอาการใดๆ ให้ทราบเลยจนกว่าจะมีอาการกระดูกหัก ดังนั้นคนในวัยสูงอายุที่มีการเสริม แคลเซียม ให้กับกระดูกอย่างเพียงพอ จะช่วยยับยั้งการสูญเสียกระดูกในช่วงนี้ได้ การเผชิญกับการผุกร่อนของกระดูกจะน้อยลง ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับกระดูก เมื่อย่างเข้าสู่วัยทองก็น้อยลง หรืออาจไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้จะเห็นได้ว่า แคลเซียม มีความจำเป็นสำหรับคนทุกเพศทุกวัยด้วยกันทั้งนั้น แต่ปริมาณความต้องการ แคลเซียม ของร่างกายจะแตกต่างกันในแต่ละวัย ซึ่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติของอเมริกา (National Institute Health) แนะนำปริมาณของ แคลเซียม ที่เหมาะสมในแต่ละวัย ดังนี้
ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับต่อวัน
  • เด็ก (1-10 ปี) ควรได้รับ 800 – 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  • วัยรุ่น (11-25 ปี) ควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ผู้ใหญ่ ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน
  • หญิงมีครรภ์ ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน
  • หญิงให้นมบุตร ควรได้รับ 1,500 – 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ผู้ป่วยกระดูกหัก ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน
แหล่งที่พบ

ในการบริโภคอาหารประจำวัน ควรรับประทานอาหารหลายหมู่ หลายประเภทในแต่ละวัน ควรหลีกเหลี่ยงการรับประทานอาหารน้อยชนิด หรือซ้ำซาก จะเป็นการป้องกันภาวะการณ์ขาด แคลเซียม ได้เป็นอย่างดี โดยปริมาณของ แคลเซียม ที่เหมาะสมในแต่ละวันควรรับประทาน แคลเซียม ไม่เกิน 2,500 มิลลิกรัม การเสริมสร้าง แคลเซียม จากอาหารควรกระทำแต่พอเพียง ไม่ควรมากเกินไป เพราะ แคลเซียม ที่เป็นส่วนเกินจะไม่ถูกดูดซึมสู่กระแสเลือด กล่าวคือ โดยปกติทั่วไปร่างกายมนุษย์จะมีการตรวจสอบตัวเองโดยอัตโนมัติ ในการพยายามรักษาสมดุลของปริมาณ แคลเซียม ในเลือด ถ้าร่างกายมีปริมาณ แคลเซียม ในเลือดต่ำ แล้วเรารับประทานอาหารที่มี แคลเซียม เข้าไปอย่างพอเหมาะ ร่างกายจะพยายามดูดซึม แคลเซียม นั้นไว้ทั้งหมด ไม่ยอมปล่อยให้ แคลเซียม ถูกขับออกจากร่างกาย นี่คือกลไกที่วิเศษของร่างกายที่เมื่อขาดสารอาหารชนิดใด แล้วเรารับประทานเข้าไปเพียงนิดเดียวร่างกายจะดูดซึมอย่างมหาศาล ในขณะที่ถ้าเรากินสารอาหารนั้นเกินกว่าความต้องการร่างกายก็จะขับออกโดยอัตโนมัติ ในขณะเดียวกันถ้าร่างกายมีปริมาณ แคลเซียม ต่ำอยู่แล้ว และเราไม่ได้รับประทานอาหารที่มี แคลเซียม เข้าไปอย่างเพียงพออย่างต่อเนื่องก็จะก่อให้เกิดสภาวะการณ์ขาด แคลเซียม ได้ คนที่มีภาวะขาด แคลเซียม จะมีอาการหงุดหงิดง่าย ชา และเป็นเหน็บที่นิ้วมือ นิ้วเท้า และรอบปาก มีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ ถ้าตรวจพบว่าการตอบสนองของเอ็นกระตุกแรงขึ้นจะเกิดอาการตระคริวบ่อย มีอาการมือจีบเกร็งตามมา และชักได้ถ้าขาดรุนแรง ในส่วนของหัวใจอาจพบความผิดปกติของคลื่นหัวใจ บางครั้งหัวใจอาจล้มได้

ปัญหาที่สำคัญอีกประการ ก็คือ การขาด แคลเซียม ไม่มาก แต่ขาดอย่างเรื้อรัง ซึ่งทำให้ร่างกายต้องเสียดุลตลอดเวลา โดยทั่วไปจะไม่ปรากฏอาการชัดเจนในระยะแรก ทำให้แหล่งสะสม แคลเซียม คือ กระดูกเกิดการผุกร่อน ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ กระดูกหักง่ายขึ้นทั้งๆ ที่ได้รับแรงกระทบเพียงเบาๆ ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ กระดูกที่ต้นแขนใกล้ข้อมือ หรือต้นขาบริเวณสะโพก ถ้าปัญหานี้เกิดขึ้นที่กระดูกสันหลังก็จะทำให้กระดูกสันหลังทรุดได้ง่าย

แคลเซียม นับได้ว่าเป็นสารอาหาร ที่มีความสำคัญ เพราะ แคลเซียม เป็นสารอาหารที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ส่วนใหญ่อยู่ในกระดูก โดยปกติร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้าง แคลเซียม ได้เองจึงจำเป็นต้องบริโภคอาหารเพื่อให้ได้รับสารอาหารดังกล่าว ซึ่งนมและผลิตภัณฑ์จากนม และปลาที่สามารถเคี้ยวกระดูกได้เป็นแหล่งอาหารที่มี แคลเซียม สูง สำหรับประโยชน์ของ แคลเซียม นอกจากการเป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูก ฟัน และเนื้อเยื่อต่างๆ ดังที่ได้กล่าวแล้ว แคลเซียม ยังช่วยทำให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ เช่น ระบบของกล้ามเนื้อ ระบบของภูมิคุ้มกัน ระบบเหล่านี้ต้องอาศัย แคลเซียม ทั้งสิ้น ปัจจุบันนี้ประโยชน์ของ แคลเซียม มีบทบาทมากขึ้นกว่าเดิมโดยถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์สำหรับการป้องกันโรค กระดูกพรุน โรค มะเร็งในลำไส้ใหญ่ ช่วยลดไขมันในเลือด ป้องกัน โรคหัวใจ ช่วยให้ระบบประสาทคลายตัว เป็นยานอนหลับตามธรรมชาติได้อย่างนี้ นอกจากนี้ยังช่วยชะลอความแก่ได้อีกด้วย

แคลเซียม พบมากในนมและผลิตภัณฑ์จากนม แต่ก็พบได้ในอาหารทั่วๆ ไป ดังนี้

อาหารที่พบ (เทียบเป็น % โดยน้ำหนัก)
  • กุ้งแห้งตัวเล็ก 2.31%
  • กะปิ 1.56%
  • มะขามฝักสด 0.43%
  • ยอดแค 0.40%
  • ยอดสะเดา 0.35%
  • คะน้า 0.25%
  • เต้าหู้เหลือง 0.16%
  • นมสด 0.12%
ประโยชน์ของแคลเซียม

แคลเซียม ในร่างกายเกือบทั้งหมดจะสะสมในกระดูกและฟัน ซึ่งเป็นที่ๆ มันๆ ไปช่วยทำให้เกิดความแข็งแรง อีกทั้งจะมีปริมาณ แคลเซียม จำนวนน้อยๆ ที่อยู่ในกระแสเลือดที่จะมีส่วนช่วยในการสร้างฮอร์โมนและเอนไซม์ต่างๆ เพื่อให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ เช่น
  • แคลเซียม (Calcium) ทำหน้าที่เป็นตัวนำสัญญาณ ระหว่างเซลประสาทให้สื่อสารกันได้เป็นปกติ
  • แคลเซียม (Calcium) ช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัวได้เป็นปกติ ที่สำคัญคือกล้ามเนื้อหัวใจ
  • แคลเซียม (Calcium) ช่วยในขบวนการทำให้เลือดแข็งตัว
  • แคลเซียม (Calcium) ช่วยในขบวนการสร้างภูมิคุ้มกันโรค
ดังนั้นหน้าที่ๆ สำคัญเหล่านี้ทำให้ร่างกายขาด แคลเซียม ไม่ได้เลย ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดก็จะไปดึงมาจากกระดูกแทน ส่งผลให้กระดูกไม่แข็งแรง แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่รับประทาน แคลเซียม น้อยกว่าครึ่งของที่ควรจะได้รับต่อวัน ทำให้กระดูกก็จะบางลง และไม่แข็งลงเรื่อยๆ และเรามักจะทราบว่าเราเป็นโรค กระดูกพรุน ก็ต่อเมื่อเกิดอาการกระดูกหักง่ายแม้กระทบเพียงเล็กน้อย

โดยส่วนใหญ่จะแนะนำให้รับประทานแคลเซียมร่วมกับ แมกนีเซียม และ วิตามินดี ซึ่งที่จริงแล้วร่างกายเราจะได้รับ วิตามินดี จากแสงแดดธรรมชาติอยู่แล้ว และยังพบในอาหารต่างๆ อีก วิตามินดีจะช่วยให้ แคลเซียม ถูกดูดซึมได้เป็นปกติ ส่วน แมกนีเซียม ซึ่งเป็นวิตามินที่สำคัญของร่างกายและอาจจถูกยับยั้งการดูดซึมจาก แคลเซียม ได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้รับประทาน แคลเซียม คู่กับ แมกนีเซียม ไปด้วยกัน
โรคกระดูกพรุน
ถ้ากระดูกเราแข็งแรงก็จะช่วยป้องกันโรค กระดูกพรุน ได้หรือทำให้เป็นช้าลง ดังนั้นเราควรพยายามรับประทาน แคลเซียม ให้เพียงพอและต่อเนื่องทุกวัน ซึ่งจะทำให้ร่างกายไปสะสม แคลเซียม ที่กระดูก และทำให้กระดุกแข็งแรง หากเราได้รับ แคลเซียม ไม่เพียงพอก็จะทำให้ก็จะทำให้กระดูกบางลง และทำให้หักได้ง่าย ความสูงไม่เพิ่มขึ้นหรือเตี้ยกว่าที่ควรจะเป็น ได้มีการศึกษาพบว่าถึงแม้ว่าในอายุที่น้อยกว่า 35 ปีร่างกายมักจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพกระดูกและฟัน ทั้งนี้คนที่อายุมากกว่า 65 ปี และพยายามรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วย แคลเซียม หรือรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเสียมวลกระดูกและการเกิดอาการกระดูกหักได้ อีกทั้งในรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวดหลัง ลองรับประทาน แคลเซียม ร่วมกับ แมกนีเซียม ซึ่งจะทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นและลดอาการดังกล่าวได้

ความดันโลหิตสูง
มีการศึกษาพบว่าคนที่ความดันโลหิตสูงมักจะรับประทาน แคลเซียม น้อยกว่าคนปกติ และยังพบอีกว่าการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้ว แคลเซียม หรืออาหารเสริมช่วยลดความดันโลหิตลงในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ทั้งนี้เป็นเพราะ แคลเซียม ช่วยให้กล้ามเนื้อบีบตัวได้ดีและทำให้หัวใจและหลอดเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงได้

มะเร็งลำไส้ใหญ่
แคลเซียม ช่วยป้องกัน มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มายาวนาน และพบว่าคนที่มีความเสี่ยงที่จะเป็น มะเร็งลำไส้ใหญ่ จะมีแน้วโน้มลดลงได้เมื่อรับประทาน แคลเซียม มีการพบว่าหลังได้รับ แคลเซียม การแบ่งเซลที่ผิดปกติลดลง มันดูเหมือนว่า แคลเซียม จะไปลดผลการรบกวนของน้ำดีและกรดไขมันในลำไส้ลงที่เป็นสาเหตุของการแบ่งเซลที่ผิดปกติในลำไส้

อาการปวดก่อนมีประจำเดือน
มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า แคลเซียม ช่วยบรรเทาอาการปวดก่อนมีประจำเดือน และรวมทั้ง อารมณ์ที่แปรปรวน ซึมเศร้า และอื่นๆ ที่มักจะเกิดก่อนที่จะมีประจำเดือน ทั้งนี้เพราะการที่มีระดับ แคลเซียม ในร่างกายต่ำส่งผลให้ระดับฮอร์โมนผิดปกติไปด้วย มีการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้เองในผู้หญิงหลายร้อยคนให้รับประทาน แคลเซียม ขนาด 750 มิลลิกรัมครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง พบว่าอาการที่เกี่ยวข้องที่มักเกิดก่อนมีประจำเดือนรวมทั้งอาการปวดลดลงอย่างเห็นได้ชัด ความรุนแรงก็ลงกว่าครึ่ง

อื่นๆ
  • ลดอาการ โรคกระเพราะ หากรับประทาน แคลเซียม ในรูปของ แคลเซียมคาร์บอเนตซึ่งเป็นรูปแบบของยาลดกรดตัวหนึ่ง จึงไปช่วยลดอาการ โรคกระเพราะลงได้
  • โรคนอนไม่หลับ มีหลายๆ คนที่มีปัญหาโรคนอนไม่หลับอันเนื่องมาจากมีระดับ แคลเซียม ในเลือดต่ำ ดังนั้นการรับประทาน แคลเซียม ร่วมกับ แมกนีเซียม จะช่วยลดอาการนี้ได้ดี
  • ป้องกันอาการไมเกรน เนื่องการรับประทาน แคลเซียม ร่วมกับ แมกนีเซียม จะช่วยให้ระบบหลอดเลือดและสมองมีการทำงานดีขึ้น จึงช่วยลดอาการ ไมเกรน ลงได้
ปรับปรุงข้อมูลบางส่วนจาก : http://www.healthdd.com/


สังกะสี หรือ Zinc คืออะไร?

สังกะสีคืออะไร

ปกติทั่วไปร่างกายมนุษย์ต้องการสารอาหารหลัก 5 หมู่ คือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้การทำงานของร่างกายเป็นปกติ โดยเกลือแร่หรือแร่ธาตุนั้น เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายรองจาก น้ำ ไขมัน และโปรตีน ซึ่งแร่ธาตุที่จำเป็น สำหรับองค์ประกอบที่ดีของชีวิต สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรกคือ แร่ธาตุปริมาณมาก (Macro Minerals) ใช้เรียกแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อวัน เช่นแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม เป็นต้น โดยจะพบแคลเซียมในร่างกายมากที่สุด รองลงมาเป็นฟอสฟอรัส ส่วนแร่ธาตุประเภทที่สอง คือ แร่ธาตุปริมาณน้อย (Trace Minerals) โดยแร่ธาตุกลุ่มนี้ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อย แต่ไม่สามารถขาดได้เลย เพราะมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย กล่าวคือ ถ้าขาดสารอาหารพวกนี้ไป ร่างกายก็จะผิดปกติไป ทั้งๆ ที่ปริมาณที่จำเป็นต่อสุขภาพต่อวันมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นเอง

สังกะสี จัดเป็นแร่ธาตุในกลุ่มแร่ธาตุปริมาณน้อย (Trace Minerals) มีชื่ออีกอย่างว่า ซิงค์ (Zinc) สัญลักษณ์ทางเคมี คือ Zn ประมาณร้อยละ 90 ของสังกะสี ในร่างกายอยู่ที่กระดูกและกล้ามเนื้อ อีกร้อยละ 10 อยู่ที่ ตับอ่อน ตับ เลือด โดยส่วนที่อยู่ในเม็ดเลือดนั้น ร้อยละ 80 อยู่ในเม็ดเลือดแดง และร้อยละ 20 อยู่ในน้ำเลือด ส่วนใหญ่ของ สังกะสี ที่รับประทานเข้าไปจะถูกขับถ่ายออกทางอุจจาระ ซึ่งเป็นผลรวมของ สังกะสี ที่บริโภคเข้าไปแล้วไม่ถูกดูดซึมจากน้ำย่อยของลำไส้เล็ก นอกจากนี้ร่างกายยังขับถ่าย สังกะสี ออกทางปัสสาวะโดยจับกับ กรดอะมิโน ได้อีกด้วย ซึ่งในคนปกติจะขับถ่าย สังกะสี ออกประมาณวันละ 300 – 600 ไมโครกรัม

ประโยชน์ของสังกะสี
สังกะสี มีลักษณะเหมือนกับแร่ธาตุและ วิตามิน อื่นๆ คือ เป็นสารอาหารทีไม่ให้พลังงาน แต่ทำหน้าที่เป็นเพียงตัวกำกับการทำงานของร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์กรดนิวคลิอิก และโปรตีนเอนไซม์ในร่างกายมากกว่า 100 ชนิด อาจกล่าวได้ว่า เอนไซม์ที่เป็นสารสำคัญ ในการเกิดปฏิกิริยาภายในร่างกายเกือบ ทุกชนิดต้องการ สังกะสี เป็นส่วนประกอบจึงจะทำหน้าที่ได้ดี ดังนั้น สังกะสี จึงมีความสำคัญต่อการทำงานของทุกอวัยวะในร่างกายเรา โดยอาจสรุปขบวนการที่ สังกะสี มีส่วนร่วมในการทำงานในร่างกายมนุษย์ได้ดังต่อไปนี้
  1. สังกะสี (Zinc) เป็นส่วนหนึ่งของเอ็นไซม์แอลกอฮอล์ดีไฮโดรจีเนส (Alcohol Dehydrogenase) ซึ่งเอ็นไซม์นี้มีหน้าที่ในการกำจัดแอลกอฮอล์ ซึ่งถือเป็นสารพิษในตับ (Liver)
  2. สังกะสี (Zinc) ร่วมทำงานกับ เอ็นไซม์ แลคเตตและมาเลตดีไฮโดรจีเนส (Latate and Malate Dehydrogenase) ซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ร่างกายใช้ในขบวนการสร้างกำลังงาน
  3. สังกะสี (Zinc) มีส่วนร่วมทำงานกับเอ็นไซม์ อัลคาไลน์ ฟอสฟาเตส (Alkaline Phosphatase) ซึ่งจำเป็นในขบวนการสร้างกระดูกและฟัน
  4. สังกะสี (Zinc) เป็นส่วนหนึ่งของเอ็นไซม์ซูเปอร์อ๊อกไซด์ ดิสมิวเทส (Superoxide Dismutase; SOD) ซึ่งเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Potent Anti-oxidants) ที่มีอยู่ในร่างกาย
  5. สังกะสี (Zinc) เป็นส่วนหนึ่งของเอ็นไซม์ คาร์บอร์นิคแอนไฮเดรส (Carbonic Anhydrase) ซึ่งพบว่าเอ็นไซม์นี้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงานอย่างสมดุลของระบบประสาท สมอง
  6. สังกะสี (Zinc) จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์โปรตีนและสร้าง คอลลาเจน มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตของเด็ก
  7. สังกะสี (Zinc) ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามิน เอ (Vitamin A) ไว้ได้ดีขึ้น และช่วยให้เซลล์สามารถนำเอาวิตามินเอไปใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้นด้วย ซึ่งช่วยทำให้เซลล์ผิวพรรณที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ๆ มีสุขภาพดี และพบว่ายังเกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลของปริมาณไขมันในผิวหนัง และควบคุมปัญหาการเกิดสิวจากการอุดตันของไขมันได้ด้วย
  8. สังกะสี (Zinc)  มีส่วนสำคัญในขบวนการสร้างกรดนิวคลีอิค (Nucleic acid) ทั้งดีเอ็นเอ (DNA) และอาร์เอ็นเอ (RNA) ซึ่งพบว่าในระยะที่ร่างกายต้องการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ไม่ว่าหลังผ่าตัด, เป็นแผลต่างๆ ยิ่งจำเป็นต้องมีขบวนการนี้มากขึ้นเสมอ
  9. สังกะสี (Zinc) ยังช่วยในการปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะควบคุมการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิด ทีลิมโฟไซต์ (T-lymphocyte) ให้ทำงานป้องกันเชื้อโรคแปลกปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  10. สังกะสี (Zinc) มีความสำคัญต่อการควบคุมการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) และควบคุมการทำงานของอวัยวะรับสัมผัส (Taste Sensation) ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  11. สังกะสี (Zinc) จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการเจริญของระบบสืบพันธุ์ และช่วยให้ต่อมลูกหมากทำหน้าที่ได้ถูกต้อง ป้องกันการเป็นหมัน
ปริมาณความต้องการสังกะสี
จาก คุณสมบัติของ สังกะสี ข้างต้น แสดงให้เห็นว่าในกระบวนการทำงานเกือบทุกระบบในร่างกายล้วนแต่ต้องการ สังกะสี เป็นส่วนประกอบในการทำงานด้วยกันทั้งนั้น จึงนับได้ว่า สังกะสี เป็นแร่ธาตที่ร่างกายต้องการเป็นประจำไม่สามารถขาดได้เลย โดยปริมาณความต้องการ สังกะสี ของแต่ละคนจะแตกต่างกันตามเพศ วัย และภาวะของร่างกาย ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริการได้ทำการวิจัยและกำหนดความต้องการ สังกะสี (Zinc) ปกติของมนุษย์ไว้ตามรายละเอียดข้างล่างนี้
ปริมาณ สังกะสี ที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวัน (Daily RDAs For Zinc)
  • อายุน้อยกว่า 1 ปี ปริมาณที่แนะนำ 3 – 5 มิลลิกรัม/วัน
  • อายุ 1 –10 ปี ปริมาณที่แนะนำ 10 มิลลิกรัม/วัน
  • อายุ 11 ปีขึ้นไป ปริมาณที่แนะนำ 15 มิลลิกรัม/วัน
  • สตรีในระยะตั้งครรภ์ ปริมาณที่แนะนำ 20 – 25 มิลลิกรัม/วัน
  • สตรีในระยะให้นมบุตร ปริมาณที่แนะนำ 25 – 30 มิลลิกรัม/วัน
แหล่งของสังกะสี
สำหรับ ร่างกายมนุษย์แล้วไม่สามารถสร้างหรือสังเคราะห์ สังกะสี ได้ขึ้นเอง จำเป็นต้องบริโภคอาหารเพื่อให้ได้รับสารดังกล่าว ซึ่งแหล่งอาหารตามธรรมชาติที่มีปริมาณ สังกะสี สูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ อาหารทะเลโดยเฉพาะหอยนางรม เป็นแหล่ง สังกะสี ที่ดี เพราะดูดซึมง่ายกว่าพวกพืชผัก โดยมีการวิจัยพบว่าอาหารจำพวกเนื้อเมื่อถูกย่อยเป็น กรดอะมิโนจะมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึม สังกะสี ได้ดีขึ้น โดยธัญพืชประเภท ข้าว ข้าวโพด มี สังกะสี อยู่ปริมาณน้อย ส่วนผัก ผลไม้แทบไม่มีปริมาณ สังกะสี อยู่เลย ซึ่งปริมาณ สังกะสี ในอาหารที่บริโภคประจำวันมีดังนี้
  • เนื้อ สัตว์ อาหารทะเล 1.5 – 4 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • หอยนางรม 75 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ตับ 4 – 7 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ไข่แดง 1.5 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • น้ำ นมวัว 0.4 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • น้ำนมแม่ 0.1 – 0.4 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ธัญพืช 0.4 – 1 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ถั่ว 0.6 – 3 มิลลิกรัม/100 กรัม
โดย ในการบริโภคอาหารประจำวัน เราควรเลือกรับประทานอาหารที่ให้ปริมาณ สังกะสี เพียงพอต่อร่างกายในแต่ละวัน อย่างไรก็ตามในการดำเนินชีวิตประจำวันปกติของเราทุกวันนี้ ยังมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ร่างกายได้รับปริมาณ สังกะสี ไม่เพียงพอได้ตลอดเวลา ปัจจัยดังกล่าว ได้แก่
  1. การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง เช่น อาหารที่มีปริมาณ สังกะสี ต่ำ, อาหารที่มีแร่ธาตุทองแดง (Copper) มากเกินไป, พวก ไฟเบอร์, ไฟเตต (Phytates), แอลกอฮอล์ (Alcohol), ฟอสเฟต (Phosphate) เพราะสารเหล่านี้จะไปลดการดูดซึม สังกะสี ผ่านผนังลำไส้ของคนเราได้
  2. อายุที่มากขึ้น (Aging) ประสิทธิภาพการดูดซึม สังกะสี ลดลง
  3. หญิงในระยะตั้งครรภ์ (Pregnant) ต้องการ สังกะสี มากเป็นพิเศษ
  4. การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ทำให้ขาดธาตุ สังกะสี ได้
  5. ภาวะโรคต่างๆ ที่ต้องการแร่ธาตุ สังกะสี เป็นพิเศษ เช่น การติดเชื้อเรื้อรัง (Chronic infections) พิษสุราเรื้อรัง (Alcoholism) ผิวหนังอักเสบ (Psoriasis) ตับแข็ง (Cirrhosis)
  6. โรคพันธุกรรม ที่ทำให้การดูดซึม สังกะสี ไม่ดี พบในเด็กเล็ก เรียกว่า Acrodermatitis Enteropathica (โรคผิวหนังอักเสบ และผิดปกติทางจิตใจ)
อาการขาดสังกะสี
ซึ่งถ้าร่างกายมีอาการ ขาดแร่ธาตุ สังกะสี เป็นเวลานาน จะเป็นผลให้เกิดอาการต่างๆ มากมาย ดังนี้
  1. การเจริญเติบโตในเด็กล่าช้า ตัวเล็ก แคระแกรน หรือหยุดชะงักเป็นหนุ่มเป็นสาว
  2. ผิวหนังมีการอักเสบ โดยระยะแรกจะเป็นรอบปาก และอวัยวะเพศ ต่อมาจะลามไปที่แขนและขา เริ่มแรกอาจเป็นแค่ผื่นแดง ต่อมาจะมีลักษณะเป็นเม็ดพุพอง
  3. ระบบทางเดินอาหาร ทำให้มีอาการเบื่ออาหาร การรู้รสลดน้อยลง
  4. ระบบประสาท อาจมีอาการซึมเศร้า หงุดหงิด ขาดสมาธิ เหม่อลอย และมีอาการตาบอดแสงได้
  5. ระบบต่อมไร้ท่อ คือ ทำให้อวัยวะเพศเด็กเล็ก ไม่โตขึ้นตามวัย
  6. มีอาการผมร่วง แตกปลาย เล็บเปราะ ผิวแห้ง
สรุป ประโยชน์ของสังกะสี
ในขณะที่ถ้าร่างกายได้รับปริมาณ สังกะสี ที่เหมาะสม เพียงพอต่อความต้องการตามแต่ละสถานะของแต่ละคนแล้ว นอกจากไม่ต้องเผชิญกับอาการขาดธาตุ สังกะสี ดังกล่าวแล้ว กลับเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของเราอย่างมากมาย ซึ่งสามารถสรุปประโยชน์จากแร่ธาตุ สังกะสี ได้ดังนี้
  1. ช่วยเสริมสร่างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่จะมาแผ้วพานร่างกายคนเรา จากการศึกษาหลายชิ้นให้ผลว่า ถ้าร่างกายได้รับ สังกะสี ปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการแล้ว จะมีผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราอยู่ในสภาพสมบูรณ์
  2. ป้องกัน มะเร็ง พบว่าผู้ป่วย มะเร็งต่อมลูกหมาก จะมีปริมาณ สังกะสี ต่ำกว่าคนปกติ จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สังกะสี สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์ มะเร็งต่อมลูกหมาก ได้
  3. ป้องกันไม่ให้ตาบอดในผู้สูงอายุ การสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุที่เรียกว่า macular degeneration นั้นพบว่า เกิดจากการขาดธาตุ สังกะสี
  4. ป้องกันและรักษาโรคหวัด พบว่าเมื่อเริ่มเป็นหวัด ถ้ารีบรับประทานธาตุ สังกะสี ทันทีจะ ช่วยให้อาการหวัดรุนแรงน้อยลงและจำนวนวันที่ป่วยก็ลดลงด้วย
  5. ช่วยคงสภาพการรับรู้รส กลิ่น และสายตา คนเราเมื่อมีอายุมากขึ้น การรับรู้รอาหารมักจะเปลี่ยนไป บางคนอาจไม่เจริญอาหารและบอกว่า “อาหารไม่อร่อย” นั้น อาจมาจากการรับรู้รสของอาหารเปลี่ยนไปเพราะขาดธาตุ สังกะสี ก็ได้
  6. กระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น คนที่มีบาดแผลต่างๆ หรือเป็นแผลในกระเพาะอาหาร การให้ธาตุ สังกะสี จะทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้รับธาตุ สังกะสี
  7. เพิ่มความรู้สึกทางเพศในผู้ชาย การผลิตสเปิร์มของผู้ชายต้องการธาตุ สังกะสี มาก จะเห็นได้ว่า ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะที่มี สังกะสี มาก การสร้างฮอร์โมนเพศชาย ก็ต้องการธาตุ สังกะสี เช่นกัน
  8. ช่วยรักษาและป้องกันการเป็นหมันในผู้ชาย สังกะสี มีส่วนสำคัญในการสร้างสเปิร์มและฮอร์โมนเพศชาย การให้ธาตุ สังกะสี วันละ 50 มก. จะทำให้ปริมาณน้ำเชื้อเพิ่มมากขึ้นได้
  9. ป้องกันต่อมลูกหมากโต คนสูงอายุมักประสบปัญหาต่อมลูกหมากโต แพทย์จึงให้ สังกะสี ในการรักษาซึ่งก็ได้ผลดี
  10. รักษาสิว คนหนุ่มสาวมีปัญหาเรื่องสิว ฝ้า เวลาสิวอักเสบจะไม่น่าดู มีการให้ธาตุ สังกะสี แก่คนที่ขาดธาตุสังกะสีและเป็นสิว ปรากฏว่าได้ผลดี สิวจะหายไป
  11. ป้องกันผมร่วง สังกะสี จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์ของร่างกายของเส้นผม บางรายผมหลุดร่วงไปและกิน สังกะสี ก็จะช่วยให้เส้นผมใหม่งอกขึ้นได้เร็วขึ้น แต่ในรายหัวล้านตามอายุนั้นใช้ไม่ได้ผลเพราะไม่มีรากผม
  12. เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานมักเป็นแผลและติดเชื้อง่าย สังกะสี จะช่วยให้ แผลที่เป็นนั้นหายเร็วขึ้นและช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อโรคด้วย
  13. ลดอาการอักเสบและช่วยรักษาโรครูมาตอยด์อาไทรลิส พบว่าคนเป็นโรคนี้จะมีปริมาณ สังกะสี ในเลือดน้อยกว่าคนทั่วไป จากการทดลองให้ธาตุ สังกะสี ไปพบว่า อาการดีขึ้นมากในเรื่องข้อต่อต่างๆ ที่บวม, ข้อแข็งหรือยึดติด
จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของธาตุ สังกะสี มีมากมายต่อร่างกายคนเรา แต่อย่างไรก็ตามในการบริโภค สังกะสี ควรกระทำในขนาดพอดี เหมาะสมแก่วัยและสภาวะ โดยถ้าร่างกายคนเราได้รับปริมาณ สังกะสี ที่มากเกินพอดี จะก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ ซึ่งโทษของการได้รับ สังกะสี มากเกินไปจะก่อให้เกิดอาการต่างๆ ดังนี้
  1. ภูมิคุ้มกันร่างกายเสื่อม และ สังกะสี ยังขัดขวางไม่ให้ร่างกาย ใช้ธาตุทองแดงได้เต็มที่ เป็นผลให้ระดับทองแดงใน เลือดต่ำ ทำให้เกิดอาการซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ
  2. โดยถ้าร่างกายได้รับ สังกะสี เกินกว่า 2 กรัมขึ้นไป จะเกิดอาการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารแบบเฉียบพลัน ทำให้ปวดท้อง และอาเจียนได้
  3. ในกรณีที่บริโภคมากกว่าวันละ 100 มก. เป็นเวลานานจะทำให้ระดับไขมัน HDL (High-density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันชั้นดีลดลง
โดยสรุปแล้วถึงแม้ว่า สังกะสี จะเป็นแร่ธาตุกลุ่มที่ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับแร่ ธาตุอื่น แต่ความสำคัญต่อร่างกายมิได้มีเพียงเล็กน้อยแต่อย่างใด กลับเป็นแร่ธาตุที่สำคัญยิ่งต่อกระบวนการทำงานทุกๆ ระบบของร่างกาย โดยแหล่งอาหารธรรมชาติที่มีปริมาณ สังกะสี สูง คือ อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ และอาหารทะเล เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายได้รับ สังกะสี ไม่เพียงพอก็จะก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยหรือโรคต่างๆ ได้มากมาย ในขณะเดียวกันถ้าร่างกายได้รับ สังกะสี เป็นปริมาณที่เกินพอดีก็จะก่อโทษให้กับร่างกายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นควรเลือกเดินทางสายกลาง บริโภคอาหารที่ให้แร่ธาตุ สังกะสี ในปริมาณที่พอเพียงเหมาะสมต่อร่างกาย นอกจากจะไม่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับการขาดธาตุสังกะสีแล้ว ยังมีประโยชน์ช่วยป้องกันโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย

ที่มา : ดีดีจัง

เกลือแร่, แร่ธาตุ หรือ Mineral คืออะไร?

เกลือแร่, แร่ธาตุ หรือ Mineral หมายถึง แร่หรือสารประกอบอนินทรีย์ที่เป็นองค์ประกอบของอาหารส่วนที่เหลือ เป็นเถ้า หลังจากการเผาไหม้สารอินทรีย์ทั้งหมดในเนื้อเยื่อพืชและสัตว์
ร่างกายคนเราต้องการ เกลือแร่แต่ละชนิดแตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
  1. เกลือแร่หลัก เป็นเกลือแร่ ที่ร่างกายต้องการปริมาณมาก
  2. เกลือแร่รอง หรือ เกลือแร่ที่ร่างกายต้องการปริมาณน้อย
เกลือแร่มีบทบาทและหน้าที่สำคัญใน ร่างกายหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของร่างกาย เป็นองค์ประกอบของ เซลล์เนื้อเยื่อและเส้นประสาท เป็นองค์ประกอบของเอนไซม์ ฮอร์โมน และวิตามิน นอกจากนี้ เกลือแร่ยังทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อในทุกอวัยวะ จากความสำคัญและหน้าที่ ดังกลาวนั้น จะเห็นว่า เกลือแร่เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญยิ่งต่อร่างกาย ซึ่งร่างกายต้องได้ รับเพียงพอ ร่างกายจึงจะเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่และแข็งแรง อาหารทั่วไปที่เป็นแหล่งของ เกลือแร่ทั้งชนิดหลัก และ ชนิดปริมาณน้อยแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ชนิดของอาหาร ตัวอย่าง เกลือแร่ที่มีความสำคัญต่อร่างกายประกอบด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไอโอดีน เหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง และโพแทสเซียม เป็นต้น

ทีนี้เรามาดูกันว่า แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการนั้นเมื่อแบ่งออกมาเป็น 2 กลุ่มแล้ว ในแต่ละกลุ่ม มีแร่ธาตุสำคัญอะไรบ้าง
  1. ในหมวดเกลือแร่หลักที่ร่างกายต้องการในปริมาณมากนั้น (Macro minerals) เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายมีความต้องการในหนึ่งวันมากว่า 100 mg ขึ้นไป ได้แก่แคลเซียม (Calcium) ฟอสฟอรัส (Phosphorous) โพแทสเซียม (Potassium) แมกเนเซียม (Magnesium) โซเดียม (Sodium) กำมะถัน (Sulphor) และคลอไรด์ (Chloride) ซึ่งในร่างกายคนเราจะพบแร่ธาตุแคลเซียมมากที่สุด รองลงมาได้แก่ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกเนเซียม และโซเดียม
  2. ในหมวดเกลือแร่รอง หรือ แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการปริมาณน้อย (Trace minerals) เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายมีความต้องการในหนึ่งวันในปริมาณน้อยกว่า 100 mg ต่อวัน แต่ถึงแม้ร่างกายจะต้องการแร่ธาตุประเภทนี้ในปริมาณน้อย ก็ใช่ว่าจะไม่มีความสำคัญ ได้แก่ เหล็ก (Iron) สังกะสี (Zinc) ซีลีเนียม (Selenium) แมงกานิส (Manganese) ทองแดง (Copper) ไอโอดีน (Iodine) โครเมียม (Chromium) โคบอลท์ (Cobalt) ฟลูออไรด์ (Fluoride) โมลิบดินัม (molybdenum) วานาเดียม (Vanadium)
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเราควรได้รับเกลือแร่ ทุกชนิดให้ครบถ้วนสมบูรณ์

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไลฟ์แพ็ค แอนไทเอจจิ้ง (LifePak Anti-Aging) คืออะไร?

LifePak Anti-Aging ไลฟ์แพ็ก แอนตี้เอจจิ้ง คือ ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" เพื่อ เสริมสร้างสุขภาพร่างกาย ให้แข็งแรงในระยะยาว เพราะครบถ้วนด้วยสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง วิตามิน เกลือแร่ และสารไฟโตนิวเทรียนท์ (สารสกัดจากพืช ผัก ผลไม้) ในปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกาย และร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เต็มที่

ไลฟ์แพ็กได้รวมคุณค่า 5 สูตรในหนึ่งเดียว ได้แก่
  1. สูตรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ในปริมาณที่เหมาะสมและหลากหลาย และเพิ่มสารอาหารในการต้านความเสื่อมของเซลล์
  2. สูตรที่ให้วิตามิน บี ในสัดส่วนที่สมดุล
  3. สูตรที่มีสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่หลากหลาย
  4. สูตรสารอาหารที่จำเป็นต่อกระดูกที่แข็งแรง
  5. สูตรที่ช่วยเสริมเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ส่วนประกอบสำคัญ สารสำคัญ (Ingredients) :
  • วิตามิน (Vitamin) :
    • วิตามิน เอ (Vitamin A)
    • เบต้า - แคโรทีน (beta Carotene)
    • วิตามิน อี (Vitamin E)
    • วิตามิน ซี (Vitamin C),
    • วิตามิน บี 7 (ไบโอทิน (Biotin))
    • วิตามิน ดี 3 (Vitamin D3)
    • วิตามิน เค (Vitamin K)
    • วิตามิน บี 1 (Vitamin B1)
    • วิตามิน บี 5 (ไนอาซินกรดแพนโทธีนิค (Pantothenic acid))
    • วิตามัน บี 9 (โฟเลต (Folate))
    • วิตามิน บี 12 (Vitamin B12)
    • วิตามิน บี 2 (Vitamin B2)
    • วิตามิน บี 6 (Vitamin B6)
  • เกลือแร่ (Mineral) :
    • แคลเซียม (Calcium)
    • แมกนีเซียม (Magnesium)
    • ซีลีเนียม (Selenium)
    • สังกะสี (Zinc)
    • โครเมียม (Chromium)
    • ไอโอดีน (Iodine)
    • แมงกานีส (Manganese)
    • ทองแดง (Copper)
    • เหล็ก (Iron)
    • โมลิบดินั่ม (Molybdenum)
    • ซิลิคอน (Silicon) (Niacin),
  • สารสำคัญอื่นๆ (Other ingredients) :
    • คาทีชิน - ชาเขียวสกัด (Green Tea Extract,97%)
    • กรดแอลฟาไลโพอิค (Alpha - lipoic acid)
    • ไลโคพีน - สารสกัดจากมะเขือเทศ (Lycopene)
    • สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract)
    • ซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ (Citrus Bioflavonoids)
    • เคอร์ซิติน (Quercetin)
    • ลิวทีน -สารสกัดจากดอกแมริโกลด์ (Lutein)
    • อินอสิทอล (Inositol)
ไลฟ์แพ็ก lifepak คืออะไร
ไล ฟ์แพ็ก (lifepak) คือ ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" ที่ครบถ้วนด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ(สารต้านมะเร็ง) ประสิทะภาพสูง มีวิตามิน เกลือแร่ ไฟโตนิวเทรียนท์ (สารสกัดจากผักผลไม้) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง มีปริมาณสารอาหารที่เหมาะสมและร่างกายสามารถดุดซึมนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่างเต็มที่

ไลฟ์แพ็ก (lifepak) ประกอบด้วย อาหารเสริม 5 สูตรในหนี่งเดียว
  1. ไลฟ์แพ็ก (lifepak) มีสูตร สารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ต้านความเสื่อมของเซลล์ มี คาทีชิน กรดแอลฟา-ไลโปอิค ไลโคพีน วิตามินเอ เบต้า-แคโรทีน วิตามินอี วิตามินซี ซีลีเนียม สังกะสี ทองแดง
  2. ไลฟ์แพ็ก (lifepak) มีสูตร วิตามิน บี รวม ในสัดส่วนที่สมดุล มี วิตามิน บี1 วิตามิน บี2 วิตามิน บี6 วิตามิน บี12 ไนอาซิน โฟเลต ไบโอทิน กรดแพนโทธีนิค
  3. ไลฟ์แพ็ก (lifepak) มีสูตร สารสกัดจากพืช ผัก ผลไม้ (สาร ไฟโตนิวเทรียนท์) มี เบต้าแคโรทีน กรดแอลฟา-ไลโปอิค ซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ ลิวทีน ไลโคพีน สารสกัดจากเมล็ดองุ่น เคอร์ซิติน คาทีชิน
  4. ไลฟ์แพ็ก (lifepak) มีสูตร สารอาหารจำเป็นต่อการสร้างกระดูก มี แคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินดี วิตามินเค ซิลิคอน
  5. ไลฟ์แพ็ก (lifepak) มีสูตร เสริมเกลือแร่และ สารอาหารจำเป็นต่อร่างกายครบครัน มี ซีลีเนียม ทองแดง แมงกานิส โครเมียม โมลิบดินั่ม แมกนีเซียม ซิลิคอน ไอโอดีน เหล็ก แคลเซียม อินอสิทอล
8 คุณประโยชน์ที่ร่างกายได้รับ จากการเสริมอาหารด้วย Lifepak 5 สูตรในหนึ่งเดียว คือ
  1. ช่วยป้องกันการขาดสารอาหาร
  2. ปกป้องและชะลอการเสื่อมของเซลล์
  3. ส่งเสริมการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนเลือด
  4. บำรุงและเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
  5. ดูแลการเผาผลาญกลูโคสและอินซูลินที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  6. ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  7. ส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงในระยะยาว
  8. ส่งเสริมสุขภาพผิวพรรณ
ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" Lifepak ได้รับการรับรองความปลอดภัย, ประสิทธิภาพและคุณภาพในการควบคุมการผลิต จากสถาบันที่มีชื่อเสียง ในการตรวจสอบมาตรฐานระดับสูง ของผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" จากสถาบันระดับโลก เช่น

Physician's Desk Reference Guide (PDR) "อาหารเสริมสุขภาพ" Lifepak ได้ลงหนังสือ Physician's Desk Reference Guide (PDR) ซึ่งเป็นหนังสืออ้างอิงทางการแพทย์ ที่แพทย์ และ บุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลก ใช้เป็นหนังสืออ้างอิง ตั้งแต่ อดีต จนถึง ปัจจุบัน

ConsumerLab.com certication ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" Lifepak ได้รับการรับรอง ในด้านความถูกต้องของฉลาก และปราศจากสารปนเปื้อน รวมถึงสารต้องห้าม ตามโปรแกรมการตรวจสอบสารต้องห้าม ของนักกีฬา

Banned Substances Control Group (BSCG) รับรองว่า ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" Lifepak เป็นผลิตภัณฑ์ ที่ปราศจากสารกระตุ้น เช่น อีฟีดริน สารโด๊ป และสารสเตียรอยด์อื่นๆ ซึ่งเป็นสารต้องห้าม ตามข้อกำหนดของสถาบันการกีฬา ที่มีชื่อเสียงหลายสถาบัน เช่น คณะกรรมการโอลิมปิคนานาชาติ

ถ้าอยากได้สารอาหาร ที่เพียงพอสำหรับการดูแลสุขภาพ คุณอาจต้องรับประทานอาหารให้ได้ เท่ากับผัก และ ผลไม้ เท่ากับที่เห็นในภาพนี้ในแต่ละวัน หรือเลือกรับประทาน ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" Lifepak ง่ายๆ เพียงวันละ 2 ซอง


ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" Lifepak
ทานไลฟ์แพ็ก (lifepak) แล้วจะหมดห่วง จากโรคเรื้อรังต่างๆ ว่าแต่
วันนี้คุณทาน Lifepak แล้วหรือยัง


.

.