เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สารลูทีน (Lutein) คืออะไร?

สารลูทีน (Lutein) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จัดอยู่ในกลุ่มสารที่มีสี ในตระกูลแคโรทีนอยด์ เป็นสารที่พบบริเวณตา ลูทีนเป็นแคโรทีนอยด์สีเหลือง ซึ่งมีส่วนอย่างมาก ในการต่อต้านสารต้านอนุมูลอิสระ ลูทีนพบได้ทั่วไปในผักใบเขียว ข้าวโพด และ ไข่แดง และมีส่วนสำคัญในการบำรุงสายตา โมเลกุลของลูทีนพบในปริมาณสูงในจุดของดวงตา โดยที่ ลูทีนจะฉาบบนผิวของเรตินา (Retina) บริเวณจุดรับภาพของลูกตา (macula) ซึ่งเป็ตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในจอประสาทตา เพราะเป็นจุดที่รูปภาพและแสงสว่าง ส่วนมากจะมาตกบริเวณนี้ ซึ่งเป็นส่วนที่จอตารับภาพได้ชัดเจนที่สุด ลูทีนจะช่วยในการดูดซับ แสงสีน้ำเงินในแถบสีการมองเห็น และช่วยปกป้องการทำลาย ของคลื่นสั้นที่มีต่อเยื่อบุผิวเรตินาจากการศึกษา พบว่า ระดับลูทีน 2.0 – 6.9 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดด่างในดวงตาได้
*ดังนั้นพอจะพูดได้ว่า สารลูทีนจะช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ในการป้องกันเยื่อแก้วตา (retina)
หน้าที่ของ Lutein
  1. Lutein ทำหน้าที่ช่วยให้มองภาพได้คมชัด และเห็นรายละเอียดของภาพดีขึ้น
  2. Lutein มีรายงานถึงผลการวิจัยที่ชัดเจนมากมาย สามรถลดอุบัติการณ์ โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุได้จริง
  3. Lutein ลดความเสี่ยง ในการเป็นโรค จุดรับภาพเสื่อม (Age - Related Mascular Degeneration หรือ AMD)
  4. Lutein ลดอุบัติการณ์โรคมะเร็งเต้านมในสตรี กลุ่มที่มีความเสี่ยง
  5. Lutein ลดกลไกการเกิด Plague ในผนักเส้นเลือด ทำให้ลดอัตราการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดตีบในสมอง
การรับประทานลูทีน ในปริมาณที่สูง จะมีอัตราเสี่ยงต่ำกว่า 43% สำหรับภาวะการเสื่อมของจอประสาทตา เมื่อเปรียบเทียบการรับประทานในปริมาณที่ต่ำ จากการศึกษากลุ่มตัวอย่าง จำนวน 876 คนซึ่งมีอายุ ระหว่าง 55-80 ปี การได้รับลูทีน และ ซีซานทีน ในอัตราสูง จะช่วยลดความเสี่ยง ของจอประสาทตาเสื่อมอย่างเฉียบพลันตามอายุได้

จากประสิทธิภาพของลูทีน ที่ช่วยชะลออาการจอประสาทตาเสื่อม ของผู้ใหญ่ จึงมีการศึกษาประโยชน์ของลูทีน ที่มีต่อการปกป้องจอประสาทตา ของทารก และ เด็ก เล็ก เพิ่มมากขึ้น

จากการศึกษาคนไข้จำนวน 421 คน แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับลูทีนและซีซานทีนในระดับสูงที่สุด จะมีส่วนสำคัญ ต่อการลดระดับอัตราเสี่ยงของความเสื่อม ของตาตามอายุได้

จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า หญิงและชายที่ได้รับ ลูทีนในระดับสูงที่สุด จะเป็นต้อกระจกในอัตราที่ต่ำกว่า ผู้ที่ไม่รับประทานลูทีนจากผัก แล ะผลไม้และสารลูทีนอาจช่วยป้องกันมะเร็งปอด มะเร็งสำไส้ และมะเร็งเต้านม พบว่าการรับประทานสารลูทีน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ในทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และการลดอัตราเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือ การตรวจพบการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ระยะเริ่มแรก การรับประทานผักที่อุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ ซึ่งประกอบด้วยลูทีนในปริมาณสูง จะมีความสัมพันธ์กับอัตราเสี่ยง ในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมที่ลดลง โดยเฉพาะสำหรับสตรีที่มีประวัติว่า มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเต้านม

ดังนั้นพอจะสรุปได้ว่า Lutein ประโยชน์ดังนี้
  1. ช่วยให้ตาแข็งแรง ป้องกันประสาทตาเสื่อม
  2. เพิ่มความแข็งแกร่ง ให้กับผนังหลอดเลือดใหญ่ และเส้นเลือดฝอย
  3. เป็นสารที่ช่วยเสริมสร้าง สุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
  4. ช่วยเสริมสร้างการมองเห็น โดยช่วยป้องกันการเสื่อมของ Mascular ที่จุดเล็กๆ ตรงกลางของที่รับแสงในตา (Retina) อันเป็นส่วนสำคัญของ Main pigment (สี) ในฉากรับแสงของตา จะช่วยป้องกันมิให้แสงอาทิตย์ทำลายเรตินา
  5. ป้องกันโรคจุดรับภาพเสื่อม หรือจอประสาทตาเสื่อม AMD (Age - Related Mascular Degeneration)
  6. ช่วยป้องกันและลดอาการของโรคต้อกระจก (Cataracts)
  7. ช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
  8. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (Free radical) ที่ทำลายเซลล์ตา ทำให้เซลล์แข็งแรง ช่วยชะลอความเสื่อมของตา
  9. ช่วยบำรุงระบบการไหลเวียนของเลือด และเส้นเลือดฝอยที่เลี้ยงตา
  10. เพิ่มสมรรถภาพในการมองเห็นได้ดีในที่มืด
  11. ช่วยแก้สายตาที่ไม่ดีและโรคเกี่ยวกับตา
ลูทีนถือเป็นสารอาหารที่มีความ สำคัญในการปกป้องจอประสาทตา โดยลูทีน จะทำงานร่วมกันกับกรดไขมันดีเอชเอ และ เอเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริม สร้างพัฒนาการด้านการมองเห็นของเด็ก โดยดีเอชเอและเอเอ จะทำหน้าที่เหมือนเป็นหลอดไฟ ส่วนลูทีน จะทำหน้าที่เหมือนเป็นสารเคลือบหลอดไฟ ไม่ให้เสื่อมเร็ว และนอกจากลูทีนจะพบมากในดวงตาของคนเราแล้ว ยังพบได้ในสมองในส่วนที่เกี่ยวกับการมองเห็นถึงร้อยละ 66 จึงเชื่อว่าลูทีนมีส่วนช่วยในการรับภาพ และ ส่งต่อไปยังสมองได้ดีขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สารอาหารลูทีนนี้ ร่างกายของคนเรา ไม่สามารถสังเคราะห์สารลูทีนขึ้นมาใช้เองได้ จะต้องกินเข้าไปเท่านั้น โดยพบมากในน้ำนมแม่ เด็กแรกเกิดที่ได้กินนมแม่นั้นจะได้รับลูทีน ผ่านทางน้ำนมโดยตรง หากไม่ได้รับสารอาหารที่ช่วยปกป้องดวงตาอย่างเพียงพอ

ดังนั้น การดูแลปกป้องดวงตา และเอาใจใส่เรื่องการกินอาหาร จะทำให้ลูกได้รับสารอาหารที่จำเป็น มีประโยชน์ต่อร่างกาย และมีพัฒนาการทางสายตาที่สมบูรณ์ จึงจำเป็นต้องให้ลูกได้ดื่มนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 1 ขวบ

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ริชิเอ็มเอ็กซ์ (ReishiMx) คืออะไร?



  1. รายละเอียดทั่วไป
    ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
    • ประกอบด้วยตัวเห็ด และ สปอร์เห็ด ที่ให้สารสำคัญสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป
    • สปอร์เห็ดแตก 100% ด้วยเทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะ
    • เพาะบนขอนไม้ที่เลียนแบบธรรมชาติ จึงปราศจากสารปนเปื้อน
    • กระบวนการสกัดลิขสิทธิ์ ช่วยให้สกัดได้สารสำคัญคงอยู่ในปริมาณสูง
    • ละลายน้ำ และ ออกฤทธิ์ได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป
    • มีการศึกษาทางคลินิกโดยใช้ผลิตภัณฑ์ มากกว่า 10 ฉบับ (รวมถึงฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็ง)
    • รางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมจากรัฐบาลไต้หวัน
    • อยู่ในตำรายา PDR (Physicians' Desk Reference)
    สารสำคัญที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าให้ประโยชน์ต่อสุขภาพที่สกัดได้จากเห็ดหลินจือได้แก่
    • โพลีแซคคาไรด์ : เห็ดหลินจือให้สารโพลีแซคคาไรด์ที่หลากหลายทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพต่างๆกัน
    • ไตรเทอร์ปีน : มีฤทธิ์ช่วยปกป้องตับซึ่งในเห็นหลินจือมีไตรเทอร์ปีนอยู่มากกว่า 200 ชนิด
    • นิวคลีโอไซด์ : มีอะดีโนซีนช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด
    • สารประกอบอื่นๆ : มีวิตามิน เกลือแร่ และ กรดอะมีโน ซึ่งกรดอะมีโนที่ได้นั้น ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้
  2. ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
    • ต่อต้านเซลล์มะเร็ง โดยยับยั้งการก่อตัว การแบ่งตัว และ การลุกลามของเซล์มะเร็ง
    • กระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกัน
    • ปกป้องและฟื้นฟูตับและไต
    • มีผลดีต่อโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่นโรคข้อรูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี โรคหืด และ ภูมิแพ้เป็นต้น
    • รักษาระดับน้ำตาลในเลือด รักษาความดันโลหิตให้เป็นปกติ
    • ส่งเสริมพลังงานของร่างกาย ลดความอ่อนเพลีย บำรุงสุขภาพโดยรวมที่ดี
    • บรรเทาอาการนอนไม่หลับ อาการปวดหัว ไมเกรน
    • มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
    • อื่นๆ เช่น มีผลดีต่อภาวะชัก โรคกระเพาะอาหาร ท้องผูก ริดสีดวงทวาร รอบเดือนผิดปรกติ เป็นต้น
  3. กระบวนการสกัดของ นูสกิน ที่แตกต่าง
    บริษัทฟาร์มาเน็กใช้วิธีสกัดสารสำคัญจากสปอร์ของเห็ดหลินจือ เพราะสปอร์ของเห็ดหลินจือ เป็นแหล่งที่มีสารโพลีแซคคาไรด์ และ ไตรเทอร์ปี อยู่มากที่สุด สารโพลีแซคคาไรด์ มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับไข่ และ มีเปลือกแข็งมาก ซึ่งทำให้การสกัดสารโพลีแซคคาไรด์ และ ไตรเทอร์ปีน ทำได้ยาก
    บริษัท ฟาร์มาเน็ก ได้ใช้วิธีการสกัดหลายขั้นตอน เพื่อให้สารสำคัญที่ได้มีความเข้มข้นสูง ซึ่งส่วนใหญ่สารสกัดที่ได้จากเห็นหลินจือ นั้น จะสกัดเพียงครั้งเดียว ทำให้ได้สารสำคัญที่น้อย บางครั้งไม่สามารถสกัดไตรเทอร์ปีนได้ นอกจากนี้ ฟาร์มาเน็ก ยังได้ใช้ เทคโนโลยีเฉพาะของบริษัท ในการทำให้เปลือกของสปอร์แตกออก ทำให้สกัดสารสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. ความปลอดภัยของผลิตภัณธ์ ซึ่ง ฟาร์มาเน็กซ์ใช้มาตรฐาน 6S ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
    • การคัดเลือก (Selection) : พืชสมุนไพรที่ฟาร์มาเน็กซ์เลือกใช้ จะต้องผ่านการตรวจสอบในด้านเป็นของแท้ นำไปใช้ประโยชน์ได้ และ มีความปลอดภัยในการใช้
    • การหาแหล่งวัตถุดิบ (Sourcing) : นักวิทยาศาสตร์ของฟาร์มาเน็กซ์ จะต้องตรวจสอบหาแหล่งของพืช รวมถึงพิจารณาคุณภาพของวัตถุดิบ แล้วทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ซึ่งจะทดสอบพืชดังกล่าว ณ สถานที่ที่ได้คัดเลือกไว้
    • การวิเคราะห์ทางโครงสร้างสารประกอบ (Structure) : ฟาร์มาเน็กซ์ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัย และ สถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียง ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา และ จีน ทำการวิเคราะห์หาโครงสร้าง ของสารประกอบธรรมชาติที่มีอยู่ในพืชที่คัดเลือกไว้ และ วิเคราะห์หาโครงสร้างของสารประกอบหลักที่ออกฤทธิ์ของพืชอย่างละเอียดถี่ถ้วน
    • การเข้มงวดด้านมาตรฐานของการผลิต (Standardization) : ฟาร์มาเน็กซ์คิดค้นขบวนการในการทำให้สารสำคัญเกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้การควบคุมคุณภาพมาตรฐานอย่างเข้มงวด และ พัฒนาขบวนการที่ช่วยเพิ่มความถูกต้องและ สามารถรับรองได้ว่าแต่ละผลิตภัณฑ์ ของฟาร์มาเน็กซ์ นั้นมีประสิทธิภาพจริง
    • ความปลอดภัยในการบริโภค (Safety) : ฟาร์มาเน็กซ์ เป็นผู้นำในด้านการกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวด เพื่อรับรองถึงความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้น โดยมีการตรวจสอบหาเชื้อ (Microbial Test) สารเคมี (Chemical) สารพิษ (Toxin) และ โลหะหนัก ที่มีอยู่ในแต่ละผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ และ ความปลอดภัยสูงสุดจากผลิตภัณฑ์ของฟาร์มาเน็กซ์
    • มีหลักฐานและผลการศึกษาทางคลีนิคสนับสนุน (Substantiation) : ฟาร์มาเน็กซ์พัฒนาทุกผลิตภัณฑ์ บนพื้นฐานของข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ และ การศึกษาทางคลินิก รวมทั้งสนับสนุนการวิจัยผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดอย่างจริงจัง ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเหล่านี้ได้รับการยอมรับ และ ตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำต่างๆเสมอ

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โคลีน (Choline) คืออะไร?

โคลีน (Choline) เป็นสารอาหารสำคัญตัวหนึ่ง ที่จัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบี พบได้ในอาหาร โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปของ ฟอสฟา-ติดิลโคลีน (phosphatidylcholine) หรือโคลีนอิสระ (free choline) หากโคลีน รวมตัวกับไขมันที่เรียกว่าฟอสโฟลิปิด (phospholipid) จะได้เป็นฟอสฟาติดิลโคลีน (PC) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่พบมากที่สุดในเลซิทิน (Lecithin) ดังนั้นโคลีนจึงมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเลซิทิน

โคลีนมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร
โคลีนมีความจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายหลายอย่างคือ
  1. เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มสมอง กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท รวมทั้งไลโปโปรตีน (Lipoprotein)
  2. เป็นสารตั้งต้นในการสร้างอะเซททิลโคลีน(Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ใช้ในการส่งกระแสประสาท (Cholinergic neurotransmission) ของสมอง
  3. เป็นสารที่ให้กลุ่มเมทิล แก่สารอื่น (methyl donor)
โคลีนพบได้ในอาหารประเภทใด
อาหารที่มีโคลีนมาก พบได้ทั้งผลิตภัณฑ์ จากพืชและสัตว์ ได้แก่ ไข่แดง เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ สมอง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง จมูกข้าว ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เนื้อสัตว์ ปลา ฯลฯ ถั่วเหลืองเป็นแหล่งของโคลีนที่ปราศจากโคเลสเตอรอลและมีไขมันต่ำ

โคลีนมีบทบาทต่อสุขภาพอย่างไร
  1. ความจำและการเรียนรู้ของสมอง
    โคลีนเป็นสารที่ใช้ในการสร้างอะเซททิลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญของระบบประสาท เชื่อว่า การมีอะเซททิลโคลีนที่เพียงพอในสมอง จะช่วยป้องกันภาวะความจำเสื่อมได้
    การศึกษาในผู้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม (อัลไซเมอร์) ระยะเริ่มแรก พบว่าการให้โคลีนเป็นระยะเวลา 6 เดือนจะช่วยให้ความจำดีขึ้นได้ หรือการให้โคลีน ร่วมกับยาที่ใช้รักษา (cholinesterase inhibitors) ก็ทำให้มีการพัฒนา ความสามารถที่ต้องใช้ความจำด้วย
  2. การทำงานของตับ
    ถ้าขาดโคลีน จะทำให้ตับไม่สามารถเคลื่อนย้ายไขมันออกได้ ผลคือเกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะเซลล์ตับเสื่อม ตับแข็ง และมะเร็งตับได้
  3. ลดโคเลสเตอรอล และป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
    โคลีนจะช่วยเพิ่มระดับของ HDL (ไขมันดี) และลดระดับของ LDL (ไขมันเลว) และโคเลสเตอรอลรวม จึงมีผลป้องกัน ภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือด และโรคหลอดเลือดหัวใจ (Atherosclerosis and Cardiovascular disease)
รับประทานโคลีนเท่าไรดี
ปริมาณโคลีนที่ควรได้รับประจำวัน (Dietary Reference Intake ; DRI) มีดังนี้
  • ชาย 550 มก. / วัน
  • หญิง 425 มก. / วัน
  • หญิงตั้งครรภ์ 450 มก. / วัน
  • หญิงให้นมบุตร 550 มก. / วัน
ปริมาณสูงสุดที่บริโภคได้คือไม่เกิน 3.5 กรัม / วัน

ปัจจุบันนมผงดัดแปลงสำหรับทารกก็ได้มีการเติมโคลีน เช่นเดียวกับสารอาหารชนิดอื่นคือ EPA, DHA และ เลซิทิน เป็นต้น เพื่อให้มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองของเด็ก

ผลข้างเคียงของโคลีนมีไหม
ในผู้ใหญ่ ไม่ควรรับประทานโคลีนเกินวันละ 3.5 กรัม ขนาดที่สูงกว่านี้อาจทำให้มีอาการข้างเคียง คือ เหงื่อออกมาก ซึมเศร้า ความดันโลหิตต่ำ มีกลิ่นตัวคล้ายกลิ่นคาวปลา

ที่มา : หมอมวลชน

วิตามิน K (Vitamin K) คืออะไร?

Vitamin K (วิตามินเค) เป็นวิตามินประเภทที่ละลายในน้ำมัน, ไขมัน นอกจากร่างกายจะได้รับจากอาหารที่รับประทานแล้ว ยังสามารถผลิตขึ้นเองได้ในลำไส้เล็ก เป็นวิตามินที่ ทนต่อความเป็นกรด แต่ไม่ทนกรดแก่ ด่าง ที่ผสมแอลกอฮอล์ แสงสว่างและ สารเติมออกซิเจน อาหารที่มีวิตามิน เค ได้แก่ ผักกระเฉด กะหล่ำปลี บร็อคโคลี่ มะเขือเทศ หน่อไม้ฝรั่ง สาหร่ายทะเล น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันตับปลา ตับหมู นมวัวเนยแข็ง โยเกิร์ต ไข่แดง น้ำเหลืองอ้อย (Molasse) น้ำมันดอกคำฝอย และพืชผักที่มีใบสีเขียวอื่นๆ และ ผลิตได้โดยแบคทีเรียในลำไส้ เช่นกัน ดังนั้น วิตามิน เค สามารถแบ่งได้ เป็นกลุ่มใหญ่ๆดังนี้
  1. วิตามินเค I (Vitamin K I) หรือ ฟิลโลควิโนน (phylloquinone) เป็นรูปแบบที่พบในพืชและสัตว์ และ
  2. วิตามินเค II (Vitamin K II) หรือ เมนาควิโนน (menaquinone) เป็นรูปแบบที่พบในเนื้อเยื่อตับ และยังสามารถสร้างได้โดยแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในร่างกาย สำหรับ วิตามินเค III (Vitamin K III) หรือ เมนาไดโอน (menadione) นั้น เป็นโมเลกุลที่สังเคราะห์ขึ้น ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็น เมนาควิโนน โดยตับ
หน้าที่ของ Vitamin K (วิตามินเค) จำเป็นสำหรับ การสร้าง โปรทรอมบิน(Prothrombin), เกี่ยวข้องกับ ขบวนการ ฟอสโฟริเลชั่น (Phosphorylation) ในร่างกาย, ช่วยในการทำงานของตับ ให้ทำงานที่อย่างมี ประสิทธิภาพ

ภาวะเมื่อขาดวิตามินเค จะทำให้ โลหิตไหลไม่หยุด หรือ หยุดยาก เวลามีบาดแผล เลือดแข็งตัวช้า หรือ เลือดกำเดาออก มีการตกเลือด หรือเลือดออกภายใน เช่น ในลำไส้เล็ก เลือดออกมากับปัสสาวะ เลือดออกที่ตา เลือดออกหลังผ่าตัด หรือคลอดก่อนกำหนด ปริมาณที่ร่างกายต้องการ คือ 100 ไมโครกรัมต่อวัน

ภาวะวิตามินเคเป็นพิษ (Hypervitaminosis K) คือ การได้รับวิตามินเคมากเกินไป สามารถทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก และภาวะบิลิรูบินในเลือดต่ำในทารกได้

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน E (Vitamin E) คืออะไร?

วิตามินอี (Vitamin E) เป็นวิตามินที่ช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายหลายระบบ และเป็นแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยให้เซลล์ต่างๆ รอดอันตรายจากท็อกซิน ช่วยชะลอความแก่ได้

ประโยชน์
  • เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญ โดยมีออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญ ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดี
  • เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด ลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ
  • บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมาก
  • ช่วยในระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ตามปกติ
  • ช่วยให้ผิวพรรณสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้นและไม่อ่อนเพลียง่าย
แหล่งวิตามินอี

วิตามินอีมีมากในน้ำมันจากธัญพืชและถั่วประเภทเปลือกแข็ง การเก็บรักษาให้วิตามินอีควรเก็บให้พ้นจากความร้อนแสงแดด รวมทั้งออกซิเจนในอากาศ การขัดสี การบด จะทำให้ญพืชสูญเสียวิตามินอีไปจำนวนมาก

ร่างกายคนเราต้องการวิตามินอีอยู่ที่วันละ 10-15 IU

แหล่งวิตามินในธรรมชาติจำนวนปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
น้ำมันเมล็ดฝ้ายน้ำหนัก 100 กรัม40 IU
น้ำมันดอกคำฝอยน้ำหนัก 100 กรัม31.5 IU
น้ำมันข้าวโพดน้ำหนัก 100 กรัม19 IU
น้ำมันถั่วเหลืองน้ำหนัก 100 กรัม14.4 IU
กะหล่ำปลีน้ำหนัก 100 กรัม6.4 IU
จมูกข้าวสาลี1 ช้อนโต๊ะ11-14 IU
เมล็ดทานตะวันน้ำหนัก 100 กรัม25 IU
ถั่วเปลือกแข็งประเภทอัลมอนด์น้ำหนัก 100 กรัม13.5 IU
มันเทศน้ำหนัก 100 กรัม6 IU
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์น้ำหนัก 100 กรัม4.6 IU
อะโวคาโด (เฉพาะเนื้อ)น้ำหนัก 100 กรัม4.5 IU
ปวยเล้งน้ำหนัก 100 กรัม3 IU

อันตรายจากการขาดวิตามินอี
  • โรคหัวใจกำเริบ วิตามินอีมีหน้าที่ในการจับสาร ที่เข้ามาทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขาดวิตามินอีทำให้สารเหล่านี้ เข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมันในเลือด ทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ก่อให้เกิดก้อนเลือด และที่สุดทำให้เกิดโรคหัวใจกำเริบได้
  • ระบบประสาทมีปัญหา ในกรณีของคนที่ร่างกายมีปัญหา ในการดูดซึมไขมัน และ ในเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด การได้รับวิตามินอีต่ำกว่าปริมาณที่กำหนด อาจทำให้เกิดความเสียหาย ต่อระบบประสาท และเป็นโรคโลหิตจางได้ เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดง ในร่างกายถูกทำลาย
อันตรายจากการได้รับวิตามินอีมากเกินไป หรือรับประทานเป็นประจำ

การได้รับวิตามินอีมากเกินไปจะทำให้รู้สึกปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนล้า ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย มีอาการอึดอัดในช่องท้อง ท้องร่วง หากร่างกายได้รับวิตามินอีสูงมากอาจขัดขวางการดูดซึมวิตามินเอซึ่งส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้า อย่างไรก็ตามผลการศึกษาระยะยาวในเพศชายวัยกลางคน กลับพบว่า การรับประทานวิตามิน อี (400 IU วันเว้นวัน) หรือวิตามิน ซี (500 mg ต่อวัน) ไม่ช่วยให้ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากหรือมะเร็งชนิดอื่นๆ ลดลงแต่อย่างใด Physicians’ Health Study II Randomized Controlled Trial มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงประสิทธิภาพของวิตามิน อี, ซี, และวิตามินรวม ในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคตา(ที่สัมพันธ์กับอายุ) รวมถึงผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น การศึกษานี้เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2541 และสิ้นสุดลงเมื่อสิงหาคม พ.ศ. 2551 (เฉพาะในส่วนของวิตามิน อี และ ซี) มีผู้เข้าร่วมในการศึกษาคือแพทย์ผู้ชาย ในประเทศสหรัฐอเมริกา อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 14,641 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่มที่ได้รับวิตามิน อี 400 IU วันเว้นวัน (n=3,659) กลุ่มที่ได้รับวิตามิน ซี 500 mg วันละครั้ง (n=3,673) กลุ่มที่ได้รับวิตามินเสริมทั้งสองชนิด (n=3,656) และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (n=3,653) จากการติดตามผลระยะยาวเป็นเวลา 8 ปี (117,711 person-years) ตรวจพบมะเร็งโดยรวมทุกชนิด 1,943 ราย แต่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก 1,008 ราย มีผู้เสียชีวิตระหว่างการศึกษา 1,661 ราย ในกลุ่มที่ได้รับวิตามิน อี และยาหลอก อัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก เท่ากับ 9.1 และ 9.5 [Hazard Ratio=0.97; 95%CI 0.85-1.09; P=.41] ส่วนอัตราการเกิดมะเร็งโดยรวมเท่ากับ 17.8 และ 17.3 ต่อ 1,000 person-years ตามลำดับ [Hazard Ratio=1.04; 95%CI 0.95-1.13; P=.41] ในกลุ่มที่ได้รับวิตามิน ซี เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก พบว่า อัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก เท่ากับ 9.4 และ 9.2 [Hazard Ratio=1.02; 95%CI 0.90-1.15; P=.80] ส่วนอัตราการเกิดมะเร็งโดยรวมเท่ากับ 17.6 และ 17.5 ต่อ 1,000 person-years ตามลำดับ [Hazard Ratio=1.01; 95%CI 0.92-1.10; P=.86] นอกจากนี้ ยังพบว่าการรับประทานวิตามิน อี หรือ ซี ไม่เกี่ยวข้องกันกับการเกิดมะเร็งเฉพาะที่ (site-specific cancers) เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และไม่มีผลต่ออาการข้างเคียงต่างๆ เช่น minor bleeding, GI symptoms, fatigue, drowsiness อย่างมีนัยสำคัญ

ที่มา : วิกิพีเดีย

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน D (Vitamin D) คืออะไร?

วิตามินดี (Vitamin D) (CALCIFEROL หรือ ERGOSTEROL) เป็นวิตามินที่ร่างกายต้องการ เพื่อการรักษาภาวะสมดุลของระดับแคลเซียม ในเลือดและในกระดูก เมื่อร่างกายได้รับแสงแดด ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้ เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด ในกรณีที่ไม่ถูกแดด จำเป็นจะต้องได้รับวิตามินดีจากอาหารให้มากขึ้น เมื่อได้รับแสงแดดพอ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมด้วยการรับประทานวิตามินดี ในรูปวิตามินรวม หรือรับประทานอาหารที่มีการเสริมด้วยวิตามินดี

วิตามินดี (Vitamin D) ที่เข้าร่างกาย จะถูกนำไปเก็บที่ตับเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้จะเก็บที่ผิวหนัง สมอง ตับอ่อน กระดูก และลำไส้ได้ วิตามินดีจะเสียง่ายเมื่อถูกออกซิเดชัน ละลายในตัวทำลายไขมัน และไม่ละลายน้ำ อาหารที่มีวิตามินดีพบได้ทั้งในพืชผัก ผลไม้ และในเนื้อเยื่อของสัตว์ แต่ดูเหมือนจะเป็นวิตามินชนิดเดียว ที่มีอยู่น้อยมากในพืชและผัก ที่พบมากได้แก่ น้ำมันตับปลา ไขมัน นม เนย ตับสัตว์ ตับปลาคอด (COD) ปลาทู ไข่แดง ปลาแซลมอน ปลาซาดีน ปลาแมคเคอร์เรก

วิตามินดี (Vitamin D) ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส มีความสำคัญในการสร้างกระดูก และฟันและการเจริญเติบโตตามปกติของเด็ก, วิตามินดีมีผลต่อการดูดซึมกลับของกรดอะมิโนที่ไต, ช่วยสังเคราะห์น้ำย่อยใน mucous membrane, ควบคุมปริมาณของแคลเซียม และฟอสฟอรัสในกระแสโลหิต ไม่ให้ต่ำลงจนถึงขีดอัตราย, เกี่ยวข้องกับการใช้ฟอสฟอรัสในร่างกาย, ช่วยสังเคราะห์ Mucopolysaccharide ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นในการสร้าง คอลลาเจน, เกี่ยวข้องกับการใช้ เกลือซิเตรทในร่างกาย อาจจำเป็นในการทำงานของระบบประสาท การเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือด

ถ้าขาดวิตามินดี (Vitamin D) ทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อนในเด็กเรียก Rickets และในผู้ใหญ่เรียกว่า Osteosarcoma มีปัญหาเกี่ยวกับการดูดซึมแคลเซียม เข้าร่างกาย รูปร่างจะไม่สมประกอบ น้ำหนักลด ฟันผุ เติบโตช้า กระดูกสันหลังโก่ง ข้อมือ เข่า และกระดูกข้อเท้าโต ความต้านทานต่อโรคต่าง ๆ ลดน้อยลง เช่นหวัด ปอดบวม วัณโรค กล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ขาดความคล่องแคล่ว ว่องไว ไม่กระฉับกระเฉง ไม่มีความกระปรี้กระเปร่า กล้ามเนื้อกระตุก ถ้าได้รับวิตามินดีมากเกินไป ทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เบื่ออาหาร ปัสสาวะมากผิดปกติและบ่อย กล้ามเนื้อไม่มีแรง รู้สึกเหนื่อยอ่อน มีหินปูนเกาะตามอวัยวะหรือเนื้อเยื่อของหัวใจ ผนังเส้นเลือดและปอด แต่อาการเหล่านี้นั้นจะหายภายใน 2 - 3 วันหลังจากหยุดวิตามิน

ข้อมูลทั่วไป

วิตามินดี (Vitamin D) จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินจำพวกละลายไขมัน ร่างกายได้รับวิตามินดีสองทางด้วยกันคือ รับประทานเข้าไป แล้วซึมในร่างกายทางลำไส้ และ โดยการที่ผิวหนังได้รับแสงแดด แล้วแสงอุลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ จะไปกระตุ้นคอเลสเตอรอลชนิดที่อยู่ในผิวหนัง ให้เปลี่ยนเป็นวิตามินดี โดยตับและไตจะเปลี่ยนให้เป็นวิตามินที่มีฤทธิ์ แล้วซึมเข้ากระแสโลหิตเลย ส่วนวิตามินดีที่ได้จากอาหาร จะซึมเข้าลำไส้ไปพร้อม ๆ กับอาหารพวกไขมันโดยการช่วยย่อยของน้ำดี วิตามินดี (Vitamin D) ที่เข้าร่างกายแล้วทั้งสองทาง จะถูกนำไปเก็บที่ตับเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้จะเก็บที่ผิวหนัง สมอง ตับอ่อน กระดูก และลำไส้ได้

วิตามินดี (Vitamin D) ที่บริสุทธิ์จะมีสีขาว เป็นผลึกที่ไม่มีกลิ่น ซึ่งสามารถละลายได้ในไขมัน และตัวทำละลายไขมันไม่ละลายในน้ำ จะคงทนต่อความร้อน (140 องศาเซลเซียส) คงทนต่อการออกซิเดชั่น กรดและด่างอ่อน แต่เสียง่ายเมื่อถูกอัลตราไวโอเลต ส่วนพวกสารแรกเริ่มของวิตามินดี จะเสียง่ายเมื่อถูกออกซิเดชั่น ละลายในตัวทำลายไขมัน และไม่ละลายน้ำเช่นเดียวกับวิตามินดี

ชนิดของวิตามินดี (Vitamin D)

วิตามินดีเป็นกรุ๊ปทางเคมี ของสารประกอบพวก สเทอรอล ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันโรคกระดูกอ่อน วิตามินดีจะถูกสร้างโดย ฉายแสงอัลตราไวโอเลต บนสารแรกเริ่ม รูปแบบของวิตามินดีมีประมาณ 10 หรือมากกว่า แต่มีเพียง 2 รูป ที่เกี่ยวข้องกับทางโภชนาการ
  • วิตามินดีสอง (ergocalciferol or calciferor or vitamin D2) สารแรกเริ่มคือ เออร์โกสเทอรอล (ergosterol) พบในยีสต์ เห็ด และพืช เมื่อได้รับแสงอัลตราไวโอเลต ในช่วงความถี่ 230 นาโนเมตร (nm) จะสามารถเปลี่ยนเป็นออร์โกแคลซิเฟอรอล หรือวิตามินดีสองได้
  • วิตามินดีสาม (cholecalciferol or activeted 7 dehydrocholesterol or vitamin D3) จะพบในเซลล์ของคนและสัตว์ โดยผิวหนังมีสาร 7-ดีไฮโดรคอเลสเทอรอล เมื่อถูกแสงอัลตราไวโอเลต จากแสงแดด หรือจากเครื่องมือ ในช่วงความถี่ 275-300 นาโนเมตร (nm) จะสามารถเปลี่ยนเป็นคอลีแคลซิเฟอรอล (cholecalciferol) หรือวิตามินดีสามได้ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นบนผิวหนังในชั้น กรานูโลซัม (granulosum) 7 - ดิไฮโดรคอลเลสเทอรอลสามารถสร้างขึ้นได้ จากคอเลสเทอรอลที่ผนังลำไส้เล็ก แล้วส่งผ่านไปยังผิวหนัง
จำนวนวิตามินดีที่เกิดขึ้นนี้ขึ้นกับสิ่งสำคัญ 2 อย่างคือ
  • จำนวนแสง U.V. จากแสงแดดตอนเช้า ฤดูหนาวอาจได้ไม่ถึง 1 ชม. ฤดูร้อนกลางวัน อาจได้แสงถึง 4 ชม. แสง U.V. นี้ไม่สามารถผ่านหมอกควัน ฝุ่นละออง กระจก หน้าต่าง ม่านกั้นประตูหน้าต่าง เสื้อผ้าและสีของผิวหนัง (melanin) จากการศึกษา ปริมาณของ วิตามินดีในเลือดที่ได้จากการสังเคราะห์ จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลในฤดูร้อนความเข้มข้น ของ วิตามินดีในเลือดจะสูงกว่าในฤดูหนาว
ประโยชน์ต่อร่างกาย
  1. วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส มีความสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน และการเจริญเติบโตตามปกติของเด็ก
  2. วิตามินดีมีผลต่อการดูดซึมกลับ ของกรดอะมิโนที่ไต ถ้าขาดวิตามินดี กรดอะมิโนในปัสสาวะจะเพิ่มขึ้น ถ้าวิตามินดีเพียงพออัตราการดูดซึม กลับกรดอะมิโนจะปกติ และในปัสสาวะจะลดปริมาณลง
  3. ช่วยสังเคราะห์น้ำย่อยใน mucous membrane ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้าย แบบ active transport ของแคลเซียมให้ข้ามเซลล์ไปได้ง่าย
  4. ควบคุมปริมาณของแคลเซียม และฟอสฟอรัสในกระแสโลหิต ไม่ให้ต่ำลงจนถึงขีดอันตราย เช่น แคลเซียมจะต้องอยู่ในเลือดประมาณ 7 มิลลิกรัม/เดซิลิตร โดยวิตามิน ดี จะกระตุ้นการดูดแคลเซียมในลำไส้ เพราะมิฉะนั้นแคลเซียม จะถูกขับออกจากร่างกายไปหมด และวิตามิน ดี จะกระตุ้นการนำเอา ฟอสฟอรัสมาใช้ โดยทำหน้าที่กระตุ้นตลอดเวลา
  5. เกี่ยวข้องกับการใช้ฟอสฟอรัสในร่างกาย
  6. ช่วยสังเคราะห์ Mucopolysaccharide ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นในการสร้าง คอลลาเจน
  7. เกี่ยวข้องกับการใช้คาร์โบไฮเดรต
  8. เกี่ยวข้องกับการใช้เกลือซิเตรทในร่างกาย
  9. หน้าที่โดยทางอ้อมก็คือ วิตามินดีจำเป็นในการทำงานของระบบประสาท การเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือด เพราะหน้าที่เหล่านี้จะสัมพันธ์กับ การมีอยู่และการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ของร่างกาย
แหล่งที่พบ
  1. พบได้ทั้งในพืชผัก ผลไม้ และในเนื้อเยื่อของสัตว์ แต่ดูเหมือนจะเป็นวิตามินชนิดเดียว ที่มีอยู่น้อยมากในพืชและผัก ที่พบมากได้แก่ น้ำมันตับปลา ไขมัน นม เนย ตับสัตว์ ตับปลาคอด (COD) ปลาทู ไข่แดง ปลาแซลมอน ปลาซาดีน ปลาแม็คเคอร์เรก
  2. นมเป็นอาหารที่นิยมเสริมวิตามินดี เพราะเป็นอาหารที่มี แคลเซียม ฟอสฟอรัสและไขมัน ที่จะช่วยเพิ่มอัตราการดูดซึมจากลำไส้เล็ก ปริมาวิตามินดีที่เสริม คือ 400 IU ต่อลิตร
  3. ปริมาณของวิตามินดีในอาหาร อาจเปลี่ยนแปลงได้มากตามฤดูกาล และภาวะแวดล้อมต่างๆ เช่น การถูกแสงแดดมากหรือน้อย อาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์มีวิตามินดีมากหรือน้อยเพียงใด เป็นต้น
ปริมาณที่แนะนำ
  1. ในการที่บุคคลต่าง ๆ ควรได้รับปริมาณวิตามิน ดี มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุหลายประการ เช่น ไขมันในอาหาร การสร้างน้ำดีจากตับ การดูดซึมของระบบทางเดินอาหาร ความบ่อยครั้งในการถูกแสงแดด และขึ้นอยู่กับปริมาณของสารมีสี และ เคราตินที่มีอยู่ที่ผิวหนัง ถ้าผิวขาวมีสารมีสีน้อย แสงอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์สามารถผ่านเข้าไปในชั้น Granulosum ของผิวหนังได้มาก ทำให้ 7 - dehydrocholesterol ซึ่งมีอยู่มากในชั้นนี้ ถูกเปลี่ยนเป็นวิตามิน ดี สามได้มาก ถ้าผิวเหลืองเนื่องจากมีเคราตินมาก หรือผิวดำเพราะมีสารมีสีมาก แสงอัลตราไวโอเลตจะผ่านเข้าไปได้น้อย ทำให้มีการสังเคราะห์วิตามิน ดีสามที่ผิวหนังน้อย
  2. วิตามิน ดี 2.5 ไมโครกรัม (100 ไอยู) สามารถป้องกันโรคกระดูกอ่อน และช่วยให้มีการดูดซึมของแคลเซียม ในลำไส้อย่างเพียงพอสำหรับ การสร้างความเจริญเติบโตของกระดูก และฟันในทารก แต่การกินวันละ 10 ไมโครกรัม (400 ไอยู) นั้นช่วยส่งเสริมการดูดซึมให้ดียิ่งขึ้น
  • ทารก 10 ไมโครกรัม
  • เด็ก 10 ไมโครกรัม
  • ผู้ใหญ่ 20 - 29 ปี 7.5 ไมโครกรัม
  • 30 - 60 ปี (หรือมากกว่า) 5 ไมโครกรัม
  • หญิงมีครรภ์ +5 ไมโครกรัม
  • หญิงให้นมบุตร +5 ไมโครกรัม
ผลของการได้รับมากไป
  • พบในรายที่บริโภค 300,000 - 800,000 I.U ต่อวันเป็นระยะเวลานาน วิตามิน ดี ประมาณ 30,000 I.U ต่อวัน หรือมากกว่านี้จะทำให้เป็นอันตราย สำหรับทารกและประมาณ 50,000 I.U ต่อวัน จะเป็นอันตรายสำหรับเด็ก อาการเริ่มต้นด้วยคลื่นไส้ อาเจียนท้องเดินปัสสาวะมากกว่าปกติ ทั้งกลางวันและกลางคืน กระหายน้ำจัด น้ำหนักตัวลด มีการสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูก และมีการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เพิ่มขึ้น ทำให้มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดและในปัสสาวะสูง ซึ่งแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่มีในเลือดอาจไปจับอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ รวมทั้งหลอดเลือดทำให้เป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ในรายที่เป็นมากอาจถึงตาย เพราะมีการล้มเหลวของไต ส่วนในรายที่ยังเป็นไม่มากนัก เพียงหยุดให้วิตามิน อาการต่างๆจะหายไป
  • อาการที่เกิดเนื่องจากร่างกายได้รับวิตามินดีมากเกินไป หรืออาการที่จำเป็นต้องสังเกต ขณะที่รับประทานวิตามินดี คือปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เบื่ออาหาร ปัสสาวะมากผิดปกติและบ่อย กล้ามเนื้อไม่มีแรง รู้สึกเหนื่อยอ่อน มีหินปูนเกาะตามอวัยวะหรือเนื้อเยื่อของหัวใจ ผนังเส้นเลือดและปอด แต่อาการเหล่านี้นั้นจะหายภายใน 2 - 3 วันหลังจากหยุดวิตามิน
  • เป็นที่น่าสนใจ ที่เด็กสามารถสร้างวิตามินมากเกินปกติได้ ซึ่งจะพบในเด็กที่ดื่มนมผสม (Fortified Milk) อาการเช่นนี้อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน กับยาอื่น ๆ ได้ อาการอีกอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าเด็กได้รับวิตามินดี ในขนาดธรรมดา ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้นำให้ทราบว่า เด็กมีแคลเซียมมากในร่างกาย (Hypercalcemia) และวิตามินในร่างกายมากเกินความต้องการแล้ว สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นโรคปวดตามข้อ รูมาตอยด์ อาไทรติส (Rheumatoid arthritis) ถ้ารับประทานวิตามิน ดีเกินขนาดทำให้มีแคลเซียมไปเกาะที่ผนังเส้นโลหิตแดง ซึ่งจะทำให้ไตปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นปกติ และทำให้ความดันโลหิตสูงด้วย
  • นายแพทย์ Arthur A.Knapp ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตา ชาวอเมริกา ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับวิตามินดี กับตา บอกว่าการที่คนได้รับวิตามิน ดีไม่พอจะทำให้เกิดสายตาสั้น (MYOPIA) และจุดใหญ่แล้วเนื่องจากความไม่สมดุลของแคลเซียม
ที่มา : วิกิพีเดีย


วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน C (Vitamin C) หรือ L-ascorbic acid คืออะไร

วิตามินซี (อังกฤษ: vitamin C) หรือ กรดแอล-แอสคอร์บิก (อังกฤษ: L-ascorbic acid) หรือ แอล-แอสคอร์เบต (อังกฤษ: L-ascorbate) เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับ จากการรับประทานเข้าไป วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถป้องกัน และ รักษาการอักเสบ อันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้

ประโยชน์
  • เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใย ทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
  • ช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
  • ช่วยป้องกัน การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (Mutation)
  • ช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตาย ในกรณีเด็กอ่อน (SIDS: Sudden Infant Death Syndrome)
  • ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
  • ช่วยคลายเครียด
  • การฉีดด้วยวิตามินซีปริมาณสูง อาจช่วยหยุดยั้งโรคมะเร็งได้ โดยวิตามิน อาจเข้าทำปฏิกิริยาทางเคมีในเซลล์ มะเร็ง ให้กลายเป็นกรดขึ้น ทำให้เนื้อร้ายชะงักและน้ำหนักลดไปได้
แหล่งวิตามินซี

แหล่งวิตามินซีมีมากในผัก ตระกูลกะหล่ำ การเก็บเกี่ยวผักผลไม้ตั้งแต่ยังไม่แก่จัด ไม่สุกดี หรือนำไปผ่านการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นการตากแห้ง หมักดอง จะทำลายวิตามินซีที่อยู่ในอาหารไปในปริมาณมาก

ความร้อนทำลายวิตามินซีได้ง่าย จึงไม่ควรต้มหรือผัดนานเกินไป แต่การแช่เย็นไม่ได้ทำให้ผักผลไม้สูญเสียวิตามินซีเพียงข้อเสีย

บางข้อมูลแนะนำว่าขนาดที่เหมาะสมมากที่สุดต่อวัน สำหรับผู้ใหญ่ คือ 250-500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง

แหล่งวิตามินในธรรมชาติจำนวนปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
อะเซโรลาเชอรี่น้ำหนัก 100 กรัม1600 มิลิกรัม(คาดว่าเกินจริงอยู่มาก)
ฝรั่งน้ำหนัก 100 กรัม230 มิลลิกรัม
สับปะรด1 ชิ้นใหญ่ (โดยเฉลี่ย)20-30 มิลลิกรัม
กะหล่ำดอกน้ำหนัก 100 กรัม49 มิลลิกรัม
บรอกโคลีน้ำหนัก 100 กรัม84 มิลลิกรัม
น้ำมะนาว1 แก้ว (100 กรัม)34 มิลลิกรัม
มันฝรั่งน้ำหนัก 100 กรัม21.3 มิลลิกรัม
กะหล่ำปลีน้ำหนัก 100 กรัม49 มิลลิกรัม
กล้วยชนิดต่างๆ1 ลูก (โดยเฉลี่ย)8.5 มิลลิกรัม
พริกหวาน1 เม็ด (โดยเฉลี่ย)100-120 มิลลิกรัม
ผักโขมน้ำหนัก 100 กรัม76.5 มิลลิกรัม
สตรอว์เบอร์รี่น้ำหนัก 100 กรัม77 มิลลิกรัม
มะเขือเทศน้ำหนัก 100 กรัม21.3 มิลลิกรัม
มะละกอน้ำหนัก 100 กรัม60 มิลลิกรัม

อันตรายจากการขาดวิตามินซี
  • ผู้ที่ขาดวิตามินซีมักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดตามข้อต่อของร่างกาย เลือดออกตามไรฟัน เจ็บกระดูก
  • แผลหายช้า เนื่องจากวิตามินซี ทำหน้าที่ต่อต้านการอักเสบ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ของร่างกาย การได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ จะทำให้เส้นเลือดในร่างกายอ่อนแอ และทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกายหายช้ากว่าปกติ
  • เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย คุณสมบัติของวิตามินซี คือ เป็นตัวต่อต้านสารก่อมะเร็ง และช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าร่างกายขาดวิตามินซี จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง และทำให้ติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ง่าย
  • เป็นโรคลักปิดลักเปิด ในกรณีของเด็ก หรือผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินซี น้อยกว่าวันละ 10 มิลลิกรัม อาจทำให้เป็นโรคลักปิดลักเปิดได้ หากร่างกายขาดวิตามินซีมากเกินปกติอาจทำให้มีลูกยาก เป็นโรคโลหิตจางและมีภาวะความผิดปกติทางจิตได้
อันตรายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป
  • เนื่องจากวิตามินซี มีหน้าที่ในการช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย การรับวิตามินซี ในปริมาณมากจะทำให้เกิดปัญหาการสะสมธาตุเหล็ก ตามกระดูกข้อต่อต่างๆ มากขึ้น
  • การได้รับวิตามินซีมากเกินไป อาจไปรบกวนการดูดซึมของทองแดง และซีลีเนียม หากได้รับวิตามินซีชนิดที่ไม่ได้บรรจุแคปซูล โดยการรับประทาน เกินวันละ 10,000 มิลลิกรัม อาจทำให้ท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ เนื่องจากวิตามินซี ที่มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด มักเป็นชนิดที่มีคุณสมบัติเป็นกรด หากต้องการหลีกเลี่ยงการระคายเคือง กระเพาะอาหาร ควรรับทานวิตามินซี ชนิดที่เป็น กลาง หรือเป็นกรดต่ำ (pH 7.6-8.0)
ที่มา : วิกิพีเดีย


วิตามิน B12 (Vitamin B12 [Cyanocobalamin]) คืออะไร?

วิตามินบี 12 (Cyanocobalamin) เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ ให้ระวัง การดูดซึมของบี12 สู่ร่างกายจะบกพร่อง และเป็นผลให้เกิดโรคโลหิตจาง ควรกินวิตามินชนิดนี้ ควบคู่กับแคลเซียมจะทำให้การดูดซึมสู่ร่างกายดีขึ้น

ประโยชน์
  • ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
  • ช่วยให้เด็กเติบโตและเจริญอาหาร
  • ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี
  • ช่วยให้สมองไม่ฟุ้งซ่าน ความจำดีและมีสมาธิ
แหล่งอาหาร
พบมากในตับ ไต รองลงมาได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่แดง และอาหารหมักดอง เช่น กะปิ น้ำปลา เต้าเจี้ยว อาหารที่มาจากพืชผักทั้งหมด ไม่มีวิตามิน บี 12 เลย ยกเว้นอาหารหมักดอง ผู้บริโภคมังสวิรัติชนิดเคร่งครัด จึงควรบริโภค อาหารที่ได้จากการหมักด้วย การขาดวิตามิน บี12 ต้องใช้เวลา 10-15 ปี หรือนานกว่านั้น เนื่องจากเป็นวิตามินที่ละลายน้ำเพียงชนิดเดียว ที่มีการสะสมในร่างกายได้มาก

อันตรายจากการขาดวิตามิน
โรคโลหิตจางชนิดเพอรืนิเซียส วิตามินบี 12 จะสามารถดูดซึมได้ดี ต้องประกอบด้วย กรดเกลือในกระเพาะอาหาร , intrinsic factorที่ผลิตจากกระเพาะอาหาร , เอนไซม์ทริปซินซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ผลิตจากตับอ่อน , ลำไส้เล็กต้องแข็งแรง เนื่องจากการดูดซึมวิตามินบี 12 จะเกิดขึ้นที่บริเวณลำไส้เล็กตอนปลาย โดยอาศัย intrinsic factor มีการเสื่อมหรือสูญเสีย ของประสาทสัมผัส มีอาการชาที่แขนและขา อารมณ์แปรปรวน ความจำเสื่อม มีปัญหาเรื่องการมองเห็น หรืออาจมีอาการอื่นๆขึ้นอยู่กับเส้นประสาท เส้นใดที่เกิดความเสียหาย จากการไม่มีการสร้างแผ่นไมอีลิน

ที่มา : วิกิพีเดีย

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน B9 (Vitamin B9 [Folic Acid]) คืออะไร?

กรดโฟลิก (อังกฤษ: folic acid) หรือ โฟลาซิน (อังกฤษ: folacin) หรือ วิตามินบี9 (อังกฤษ: vitamin B9) และ โฟเลต (อังกฤษ: folate) มีความสำคัญในด้านการรักษาโรคต่าง ๆ ตั้งแต่โรคเหน็บชาไปจนถึงโรคเกี่ยวกับสมอง

ประโยชน์
  • ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นกลูโคส
  • ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของโปรตีนและไขมัน
  • ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ตามปกติ
  • ช่วยให้กล้ามเนื้อในกระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยบำรุงผิวหนัง เส้นผม ตา ปาก และตับ
ที่มา วิกิพีเดีย

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เชื้อ "อีโคไล" คืออะไร?

ทำความรู้จัก "อีโคไล"
แบคทีเรียชนิดที่มีในร่างกายมนุษย์ส่วนใหญ่จะไม่ทำอันตรายต่อร่างกาย แต่สำหรับแบคทีเรียที่มีชื่อว่า อีโคไล หรือ Escherichia ซึ่งพบได้ในลำไล้ของมนุษย์และสัตว์ สามารถทำให้เกิดโรคหรืออาการต่างๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ และอาการท้องร่วง เป็นต้น แบคทีเรียชนิด อีโคไลจะมีชีวิตอยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป โดยเฉพาะในมูลสัตว์

หลักจากพบการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ระบาดในประเทศอังกฤษ วันนี้ Telegraph นำข้อมูลเกี่ยวกับแบคทีเรียชนิดนี้มาให้ได้รู้จักกันเพื่อเป็นการป้องกันและรับมือหากได้รับเชื้อชนิดนี้

เชื้ออีโคไล แพร่สู่คนได้อย่างไร
เชื่อแบคทีเรียอีโคไลจะแพร่สู่คนได้ จากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่ม ที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่ ซึ่งเชื้อชนิดนี้มักจะปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่ได้รับการปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ

จำนวนผู้ได้รับเชื้ออีโคไล
หน่วยงานด้านการป้องกันโรคในประเทศอังกฤษรายงานว่าในปี 2551 มีผู้ได้รับเชื้ออีโคไลและมีอาการป่วยที่เกิดจากการได้รับเชื้อ 950 ราย

การระบาดของเชื้ออีโคไล
การแพร่ระบาดของเชื้ออีโคไลเริ่มขึ้นในประเทศอังกฤษและคร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 20 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่รับประทานอาหารขณะร่วมพิธีในโบสถ์แห่งหนึ่งในปี 2539-2540

อาการของผู้ได้รับเชื้ออีโคไล
จะพบอาการแต่เริ่มท้องร่วงเล็กน้อย จนกระทั่งเกิดภาวะลำไส้อักเสบและมีอาการเลือดออกไม่หยุด เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและพบเลือดปนกับอุจจาระ

ระยะฟักตัวของเชื้ออีโคไล
ระยะฟักตัวของเชื้ออยู่ที่ประมาณ 3-8 วัน และจะปรากฏอาการในช่วง 3-4 วันหลังการได้รับเชื้อ แม้ว่าผู้ได้รับเชื้อจะสามารถนำเชื้อชนิดนี้ออกจากร่างกายได้ภายใน 1 สัปดาห์ แต่เชื้อส่วนที่หลงเหลือเพียงเล็กน้อยยังสามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ เช่นเกิดภาวะไตเสื่อม ซึ่งเกิดจากเซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย

ผู้เสี่ยงได้รับเชื้ออีโคไล
เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ จะเป็นผู้มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้ออีโคไลมากที่สุด เนื่องจากร่างกายของคนกลุ่มนี้จะมีความสามารถในการต้านทานเชื้อได้น้อยกว่าคนทั่วไป

การป้องกันและรักษาเมื่อได้รับเชื้ออีโคไล
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาอาการที่เกิดจากการได้รับเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้โดยตรง ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาแก้ปวดท้องได้ในเบื้องต้น แต่ไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดกลุ่มสเตอรอยด์ เช่นยาแอสไพริน เพราะยากลุ่มนี้จะมีผลทำลายไตของผู้รับประทาน นอกจากนี้เพื่อเป็นการป้องกันการได้รับเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มบรรจุกระป๋องและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ที่มา ทำความรู้จัก "อีโคไล"

วิตามิน B7 (Vitamin B7 [Biotin]) คืออะไร?

ไบโอติน (อังกฤษ: biotin) หรือ วิตามินเอช (อังกฤษ: vitamin H) หรือ วิตามินบี7 (อังกฤษ: vitamin B7) เป็นวิตามินในกลุ่มวิตามินบี ซึ่งสามารถละลายน้ำได้ สำคัญต่อการเจริญของเซลล์ การผลิตกรดไขมัน และการเผาผลาญไขมันและกรดอะมิโน

ประโยชน์
  • ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นกลูโคส
  • ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของโปรตีนและไขมัน
  • ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ตามปกติ
  • ช่วยให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยบำรุงผิวหนัง เส้นผม ตา ปากและตับ
ที่มา : วิกิพีเดีย

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน B6 (Vitamin B6 [Pyridoxine]) คืออะไร?

วิตามินบี6 (อังกฤษ: vitamin B6) เป็นวิตามินที่มักใช้ร่วมกับบี1 และ บี12 ซึ่งวิตามินบี1 ทำงานกับคาร์โบไฮเดรต ส่วนวิตามินบี6 และบี12 ทำงานร่วมกับโปรตีนและไขมัน ร่างกายคนเรา ต้องการวิตามินบี6 ประมาณ 1.5 มิลลิกรัม

ประโยชน์
  • ช่วยเปลี่ยนกรดอะมิโนให้เป็นวิตามินบี3 หรือไนอะซิน
  • ช่วยร่างกายสร้างภูมิต้านทานแอนติบอดี และช่วยสร้างเซลล์โลหิตใด้ดียิ่งขึ้น
  • ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและแร่ธาตุแมกนีเซียม
  • ช่วยบรรเทาโรคที่เกิดจากระบบประสาทและผิวหนัง
  • ช่วยบรรเทาการคลื่นไส้อาเจียน
  • ช่วยบรรเทาอาการปากแห้งและคอแห้ง
  • ช่วยแก้การเป็นตะคริว แขนขาชาและช่วยขับปัสสาวะ
ปัจจุบันค้นพบว่าวิตามินบี6 มีหลายรูปแบบ ได้แก่
  • ไพริดอกซีน (pyridoxine: PN)
  • ไพริดอกซีน 5'-ฟอสเฟต (pyridoxine 5'-phosphate: PNP)
  • ไพริดอกซาล (pyridoxal: PL)
  • ไพริดอกซาล 5'-ฟอสเฟต (pyridoxal 5'-phosphate: PLP)
  • ไพริดอกซามีน (pyridoxamine: PM)
  • ไพริดอกซามีน 5'-ฟอสเฟต (pyridoxamine 5'-phosphate: PMP)
  • กรด 4-ไพริดอกซิก (4-pyridoxic acid: PA)

แคลซิมอร์ (CalciMor) คืออะไร

CalciMor คือแคลเซียมพร้อมแร่ธาตุบำรุงกระดูก

ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  1. ขนาดเล็ก ทานง่าย ดูดซึมได้สมบูรณ์
  2. แคเซียม 2 รูป (ซิเตรท, ฟอทเฟต) ดูดซึมง่ายกว่าทั่วไป (คาร์บอเนต)
  3. มีวิตามิน และ แร่ธาตุอื่นๆที่จำเป็นต่อกระดูกครบถ้วน
      • วิตามินดี : ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
      • แมกนีเซียมในอัตราส่วนที่เหมาะสม (แคลเซียม + แมกนีเซียม = 2 : 1)
      • วิตามันเค สังกะสี ทองแดง ซิลิกอน ฟอสฟอรัส
  4. ไม่มีน้ำตาล แลคโตส เกลือโซเดียม ก๊าซ สารสกัดจากข้าวสาลี หรือ นม จึงปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  5. แตกตัวได้สมบูรณ์ภายในเวลา 45 นาที ในภาวะจำลองกระเพาะอาหาร ตามมาตรฐานยา
ประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์
  1. บำรุงกระดูกให้แข็งแรง ลดภาวะกระดูกพรุน โดยเฉพาะในวัยทอง และ ผู้ใช้ยาสเตียร์รอยด์
  2. ผลดีอื่นๆเช่น แคลเซียมและ วิตามิน D อาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม ช่วยป้องกันน้ำหนักเพิ่มขึ้น จำเป็นต่อกล้ามเนื้อ สารสื่อประสาท การแข็งตัวของเลือดป้องกันการเกิดตะคริว


วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เห็ดถั่งเช่าคืออะไร? และ มีข้อดีอย่างไร?

"คุณแม่ของดิฉันเริ่มมีภาวะการทำงานของไตเสื่อม คุณหมอแจ้งว่าหากตรวจครั้งต่อไปแล้ว การทำงานของไตยังไม่ดีขึ้น อาจต้องมีการล้างไต มีคนแนะนำให้รับประทานผลิตภัณฑ์จากเห็ดคอร์ดีเช็พส์ หรือ ถั่งเช่า ประมาณ 2 เดือน ได้ไปพบกับแพทย์อีกครั้งหนึ่ง พบว่าภาวะการทำงานของไตเริ่มดีขึ้น จึงยังไม่ต้องล้างไต ดิฉันอยากทราบว่าประโยชน์ของเห็นถั่งเช่าค่ะ ว่าดีต่อสุขภาพด้านอื่นๆอย่างไร"
เห็ดคอร์ดีเซ็พส์ ไซเนเชีส หรือ เห็ดถั่งเช่าเป็นพืชสมุนไพร ที่มีการใช้ทางการแพทย์แผนจีนมาเป็นเวลาหลายพันปี ปกติจะเป็นสมุนไพรที่หายากมาก และ ราคาสูง ทีมนักวิทยาศาสตร์ของฟาร์มาเน็กซ์ได้ศึกษาวิจัย และ พบว่า สายพันธุ์ที่ดีที่สุดได้แก่ พันธุ์ซีเอส-4 ซึ่งมีประสิทธิภาพ และคุณประโยชน์เทียบเท่ากับถั่งเช่าที่พบได้ในธรรมชาติ มีผลงานวิจัย เกี่ยวกับประโยชน์ของถั่งเช่า และ พบว่าถั่งเช่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน บางเท่านเรียกถั่งเช่าว่า เป็นสมุนไพร แห่งการต้านการเสื่อมชรา ประโยชน์ดังกล่าวได้แก่
  • ดีต่อระบบทางเดินหายใจ ปอด ช่วยให้ร่างกายนำออกซิเจนไปใช้ได้ดีขึ้น ช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีพลัง ทนต่อภาวะเครียด หรือ การออกกำลังกายที่หักโหมได้ดี
  • ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
    • ช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
    • ช่วยลดการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ช่วยให้ไขมันดี เอชดีแอล (HDL) เพิ่มขึ้น
    • ช่วยดูแลระดับความดันเลือดให้ปกติ
  • มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • ดูแลสุขภาพการทำงานของไต
  • ดีต่อสุขภาพดานสมรรถภาพทางเพศ
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาว่ามีประโยชน์ต่อการทำงานของตับและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

หมายเหตุ : ผู้มีโรคประจำตัวและต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์หรือรับประทานยาโรคประจำตัว แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเสริมอาหาร

ที่มา : เอกสารสุขต่อเนื่อง ประจำเดือนพฤศจิกายน 2555

วิตามิน B5 (Vitamin B5 [Pantothenic Acid]) คืออะไร

กรดแพนโทเทนิก (อังกฤษ: pantothenic acid) หรือ วิตามินบี5 (อังกฤษ: vitamin B5) เป็นวิตามินในการสร้างความเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยสร้างเซลล์ใหม่และช่วยบำรุงระบบประสาท
ร่างกายคนเราต้องการวิตามินบี5 อย่างน้อย 200 มิลลิกรัม

ประโยชน์
  • ช่วยสร้างแอนติบอดีซึ่งเป็นตัวสำคัญของภูมิชีวิต
  • เมื่อร่างกายเปลี่ยนไขมัน ที่สะสมไว้ให้เป็นน้ำตาล เพื่อสร้างพลังงาน วิตามินบี5 จะเป็นตัวสำคัญในการเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาล
  • ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้ร่างกายหายจากการช็อกหลังการผ่าตัดใหญ่
  • ช่วนให้อาการอ่อนเพลียหายเร็วขึ้น
ที่มา : วิกิพีเดีย

อันตรายจากการกินไข่ดองน้ำส้มสายชู

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เซรุ่ม คืออะไร?

เซรุ่ม เป็นภูมิคุ้มกันโรค ที่ฉีดเข้าร่างกาย เพื่อรักษาโรคได้ทันที อย่างเช่น เซรุ่ม กับการรักษาอาการของงูกัด แต่ก็มีข้อเสีย คือ ผู้ที่ได้รับเซรุ่มอาจเกิดอาการแพ้รุนแรงเกิดขึ้นได้

เซรุ่ม เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า serum. เป็นคำเรียกของเหลวใสสีเหลืองอ่อน ซึ่งลอยอยู่เหนือลิ่มเลือด ถ้าเจาะเลือดออกมาใส่หลอดแก้วตั้งทิ้งไว้ เลือดจะแข็งตัวเป็นลิ่มเลือดแล้วจะหดตัว, เซรุ่มจะลอยอยู่เหนือลิ่มเลือดนั้น.

เซรุ่มที่รู้จักกันทั่วไป คือ ของเหลวใสที่สกัดจากเลือดสัตว์บางชนิด เช่น เลือดม้า เลือดกระต่าย, โดยม้าหรือกระต่ายนั้นได้รับพิษงู หรือ ทอกซอยด์ (toxoid) ของเชื้อโรคบางชนิด เช่น โรคคอตีบ เพื่อให้ม้าหรือกระต่ายเกิดภูมิคุ้มกันพิษงูหรือโรคนั้น. เมื่อสกัดเซรุ่มจากเลือดม้า เลือดกระต่ายพวกนี้มาฉีดให้คน ก็จะแก้พิษงูหรือทำให้คนเกิดภูมิคุ้มกันโรคนั้น ๆ ได้

เซรุ่ม (Serum) เป็นภูมิคุ้มกันโรคที่ฉีดเข้าร่างกายแล้วร่างกายสามารถนำไปใช้รักษาโรคได้ทันที เพราะเซรุ่มเป็นแอนติบอดีที่ สัตว์สร้างขึ้น เซรุ่มอาจทำได้โดยฉีดเชื้อโรค ที่อ่อนฤทธิ์ลงแล้วเข้าไปใน ม้าหรือกระต่าย เมื่อม้าหรือกระต่ายสร้างแอนติบอดีขึ้นในเลือด เราจึงดูดเลือดม้าหรือกระต่ายที่เป็น น้ำใส ๆ ซึ่งมีแอนติบอดีอยู่ นำมาฉีดให้กับผู้ป่วย ตัวอย่างของเซรุ่ม เช่น เซรุ่มป้องกันโรคคอตีบ เซรุ่มป้องกันโรคบาดทะยัก เซรุ่มป้องกัน โรคไอกรน เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เซรุ่มแก้พิษงู เป็นต้น

การสร้างภูมิคุ้มกันโรคโดยการใช้วัคซีนหรือเซรุ่มนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนี้

ข้อดีของวัคซีน คือ ไม่เกิดอาการแพ้รุนแรง และทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคอยู่ได้นาน ส่วนข้อเสียของ
วัคซีน คือ ร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ได้ทันที
ข้อดีของเซรุ่ม คือ ร่างกายสามารถนำเซรุ่มไปใช้ต้านทานโรคได้ทันที แต่ก็มีข้อเสีย คือ ผู้ที่ได้รับเซรุ่มอาจเกิดอาการแพ้รุนแรงเกิดขึ้นได้

การนำวัคซีนหรือเซรุ่มเข้าสู่ร่างกายทำได้หลายวิธี คือ
  1. การฉีด เช่น วัคซีนป้องกันโรคไทฟอยด์ วัคซีนป้องกันวัณโรค เป็นต้น
  2. การกิน เช่น วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ
  3. การพ่น เช่น วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก
  4. การปลูกฝี เช่น วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ ปัจจุบันนี้ไม่ต้องปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษแล้ว เพราะองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศที่เมืองไนโรบี ประเทศเคนยา เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2522 ว่าไข้ทรพิษได้สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้แล้ว
ยกตัวอย่างเซรุ่ม
  • เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเป็นอย่างไร
    เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเป็นเซรุ่มส่วนของน้ำใสของเลือดที่ ได้จากม้าหรือคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า ในเซรุ่มจะมีโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันต่อโรคพิษสุนัขบ้าในปริมาณ ที่มากเซรุ่มจะไปทำลายเชื้อไวรัสในร่างกายของผู้ถูกสุนัขบ้ากัด โดยการฉีดรอบ ๆ แผลก่อนจะก่อโรค และก่อนที่ภูมิต้านทานของร่างกายจะสร้างขึ้น ด้วยเหตุนี้การให้เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้ผลดีที่สุด แต่เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจากเลือดม้า และศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย ได้ผลิตเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจากเลือดคน เพื่อใช้เองภายในประเทศ โดยขอรับบริจาคโลหิตจากคนที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าครบแล้วและต้อง การเข้าโครงการเพื่อทำบุญ กรุณาติดต่อ กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ทุกวันเวลาราชการ
  • เซรุ่มแก้พิษงู
    เซรุ่มคือสารซึ่งผลิตขึ้นจากพิษงู หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจกว่านั้น เซรุ่มก็คือน้ำเหลืองจากเลือดของสัตว์ เช่นม้า ที่ได้รับการฉีดพิษงู ที่ถูกผสมให้จางตามวิธีการ ทีละน้อย จนมีความต้านทานพิษงูได้ดี แล้วดูดเลือดจากม้า เอาน้ำเหลืองของเลือดซึ่งได้กลาย เป็นเซรุ่ม แล้ว มาฉีดคนที่ถูกงูกัดแก้พิษงูได้ ประเทศไทย มีหน่วยราชการ คือ สถานเสาวภา ของกองวิทยาศาสตร์ สภากาชาดไทย เป็นสถานที่ผลิตเซรุ่มที่มีชื่อเสียง นอกจากจะผลิตขึ้นใช้ภายในประเทศแล้ว หลายประเทศยังซื้อไปใช้ด้วย เซรุ่มที่ผลิตขึ้นในระยะแรก ๆ เป็นเซรุ่มชนิดน้ำ จะมีอายุใช้ได้ภายในเวลา 2 ปี นับจากเมื่อเสร็จจากกรรมวิธีการผลิต ต้องเก็บไว้ในห้องเย็นซึ่งยากต่อการรักษา ปัจจุบันการผลิตก้าวหน้าขึ้น คือสามารถผลิตเซรุ่มชนิดแห้งได้ เมื่อจะใช้ก็ผสมกับน้ำกลั่นเหมือนยาฉีดชนิดอื่น ๆ เซรุ่มแห้งมีอายุใช้ได้นานกว่า 5 ปี
ที่มา เซรุ่ม

วิตามิน B3 (Vitamin B3 [Niacin]) คืออะไร?

ไนอาซิน หรือ ไนอะซิน (อังกฤษ: niacin) หรือ กรดนิโคตินิก (อังกฤษ: nicotinic acid) หรือ วิตามินบี3 (อังกฤษ: vitamin B3) ซึ่งจำเป็นใน Lipid Metabolism,Tissue respiration และ Glycogenolysis Nicotinic Acid ในปริมาณสูงๆ จึงสามารถลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ โดยฤทธิ์ของยา จะทำให้ระดับ Triacylglycerol ใน Plasma และ VLDL ลดลงภายใน 1-4 วัน ส่วนฤทธิ์ในการลดระดับโคเลสเตอรอล และ LDL นั้น 5-7 วันจึงจะเห็นผล และนอกจากนั้น Nicotinic Acid ยังสามารถเพิ่ม HDL อีกด้วย จากการทดลอง ผลการลดระดับไขมันในเลือด จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดหลังรับประทานยา 5-7 สัปดาห์ ยาส่วนเกินที่รับประทานเข้าไป จะขับออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ

ประโยชน์
  • ช่วยทำลายพิษหรือท็อกซินจากมลพิษ แอลกอฮอล์และยาเสพติด
  • รักษาโรคทางจิตและโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง
  • ช่วยให้อาการต่างๆ ของผู้ป่วยเบาหวานดีขึ้น
  • ช่วยรักษาโรคปวดหัวไมเกรน
  • ช่วยบรรเทาโรคอาร์ไทรทิสหรือข้ออักเสบ
  • ช่วยกระตุ้นและแก้ไขความบกพร่องทางเพศ
  • ช่วยลดความดันโลหิตสูงประจำ
ที่มา : วิกิพีเดีย

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การบรรเทาอาการของโรค GERD หรือกรดไหลย้อน

จากบทความเรื่อง GERD หรือกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease) ที่ผมได้เขียนไว้เมื่อวันที่ NOVEMBER 19, 2007 ผมคิดว่า บทความนี้ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เท่าไหร่ ผมจึงอยากจะขอทำให้บทความนี้สมบูรณ์มากขึ้น ด้วยบทความเรื่องการป้องกัน และ การบรรเทาอาการของโรค GERD หรือกรดไหลย้อน

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า โรค GERD หรือกรดไหลย้อน นั้น เป็นโรคที่เป็นแล้ว เป็นเลย ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่นเดียวกับโรคกระเพาะอาหาร เพราะฉะนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ได้ ย่อมถือว่าดีที่สุด

และ จากบทความก่อนหน้านี้ เรามาทบทวนสาเหตุของโรคกรดไหลย้อนกันก่อนครับ ว่าเกิดจากอะไรบ้าง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสาเหตุที่พอจะหาได้ก็คือ การเกิดความผิดปกติที่ทำให้การทำงานหรือลักษณะ ของทางเดินอาหารเปลี่ยนไปจากแบบปกติ โดยมีสาเหตุต่างๆกัน
  1. อาหาร และยา เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต ยารักษาความดันโลหิตสูงและหัวใจบางชนิด อาหาร และ ยากลุ่มนี้ จะทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างเกิดการหย่อนตัวลง
  2. อาหารกลุ่มไขมัน และ อาหารมื้อใหญ่ๆ อาหารที่มีไขมันมาก หรือมีปริมาณมาก จะทำให้อาหารคงค้างในกระเพาะอาหารนาน มีโอกาสเกิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น
  3. อ้วน ความอ้วนจะทำให้เกิดแรงดันในท้องมากขึ้น ทำให้สามารถดันผ่านหูรูดได้ง่ายขึ้น
  4. หูรูดอ่อนแรงลงเอง : อันนี้เป็นสาเหตุที่แก้ไขไม่ได้ แต่เป็นสาเหตุหลักที่พบได้บ่อยที่สุด
จาก สาเหตุในหัวข้อ 1 และ 2 ข้างต้นอาจเป็นไปได้ว่า เมื่อเราทานอาหารตามในหัวข้อดังกล่าวแล้ว ความหวาน ความมันจะไปเป็นอาหารของ เชื้อรา และ แบคทีเรียบางชนิดในลำใส้ ทำให้เกิดสารพิษขึ้นมาได้ ทีนี้สารพิษเมื่อเกิดขึ้น ร่างกายจะดูดซึมเข้ากระแสเลือด ซึ่งอาจจะทำให้มีอาการมึน และ คลื่นใส้ได้เช่นกัน (ผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนบางราย มีอาการ มึนศรีษะ และ คลื่นใส้ร่วมด้วย)

โดยทั่วไปแล้วการป้องกันโรคกรดไหลย้อนนั้น ทำได้ดังนี้
  • ทานอาหารให้เป็นเวลา และ ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ไม่ควรเร่งรีบในการทาน (ข้อนี้ Admin โดนเต็มๆเลยครับ)
  • การทานอาหารในแต่ละมื้อนั้น ไม่ควรทานจนอิ่มเกินไป ประมาณ 80% ของความอิ่ม จะกำลังดี และ การทานลักษณะนี้ จะช่วยให้อายุยืนด้วย
  • ไม่ควรทานอาหารเสร็จแล้วเข้านอนในทันที ควรเว้นระยะเวลาระหว่างทานอาหารค่ำ และ เข้านอนให้ห่างกันอย่างน้อย 2 - 3 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และ อาหารประเภททอด
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภท ชา และ กาแฟ รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีแก๊ส เช่น น้ำอัดลม หรือ เหล้า และ เบียร์ (ข้อนี้ Admin ก็ไม่รอดเช่นกัน T_T)
  • ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ
  • ไม่ออกกำลังกายทันที หลังทานอาหาร
  • ดูแลรูปร่าง และ น้ำหนักตัวไม่ให้เกินเกณฑ์ (ข้อนี้ Admin โดนเต็มๆ อีกแล้วครับ)
  • หาทางล้างสารพิษตกค้างที่อยู่ในร่างกาย
  • ออกกำลังกาย และ ฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรง

ไลโคปีน (Lycopene) คืออะไร?

ไลโคปีน (Lycopene) คือ แคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ ของสีแดงของมะเขือเทศ และแตงโม ที่มีโครงสร้างโมเลกุล ที่ยาวกว่าแคโรทีนอยด์ชนิดอื่นๆทำให้ ไลโคปีน เป็นแคโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูล อิสระซึ่งจะช่วยลดความผิดปกติ และความเสื่อมของเซลล์ อันเนื่องมาจากการทำลายของอนุมูลอิสระ

มีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่า ปริมาณไลโคปีนในร่างกายจะลดลงเมื่อ อายุมากขึ้น และพบว่าปริมาณสารไลโคปีนในร่างกาย มีความสัมพันธ์แบบผกผัน กับอัตราการเกิด โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้ป่วยที่มีปริมาณสารไลโคปีนในร่างกายต่ำ จะมีความเสี่ยงต่อ โรคมะเร็ง ต่อมลูกหมากเพิ่มขี้น
*ไลโคปีนช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก
ไลโคปีน มีมากในมะเขือเทศ จากการทดสอบ โดยให้ ผู้เข้ารับการทดสอบรับประทานมะเขือเทศ ในปริมาณสูงที่สุด 10 ครั้งต่อสัปดาห์ มีอัตราเสี่ยง ในการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากต่ำกว่า เมื่อเปรียบ เทียบกับผู้ที่รับประทานน้อยกว่า 1.5 ครั้งต่อสัปดาห์

การรับประทานมะเขือเทศในอัตราสูง จะช่วยลดอัตราการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ทุกประเภท ได้ถึง 35% และลดความรุนแรงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก 53%

สารสกัดจากมะเขือเทศ ที่ประกอบด้วยไลโคปีน 30 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยลดการเจริญเติบโต ของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในคนไข้ ภายหลังจากการรักษา โรคมาแล้ว 3 สัปดาห์

ความสำคัญของไลโคปีน
ไลโคปีน อาจจะมีส่วนสำคัญในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เต้านมและมะเร็งปากมดลูก โดยจะลดการเกิดเนื้องอก และยับยั้งการพัฒนา วงจรชีวิตของเซลล์ในช่วงต้น ของการเกิดเซลล์มะเร็ง (ระยะ G1) ไลโคปีนอาจช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

บุคคลที่มีสารสกัดพลาสมาไลโคปีน ที่สูงที่สุดจะมี เปอร์เซ็นต์ของการเกิดการหนาตัว ของหลอดเลือด IMT (intima-mediated thickness) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ของโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ระยะเริ่มต้นได้ต่ำสุด ถึง 90%

ดังนั้น การได้รับไลโคปีนในปริมาณที่สูงอาจช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

การรับประทานไลโคปีน สามารถลดอัตราเสี่ยงของการ เป็นกล้ามเนื้อหัวใจอุดตันต่ำกว่า 60%

สำหรับบุคคลที่ มีสารสกัดไลโคปีนสูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับ ผู้ที่มีสารสกัดไลโคปีนต่ำสุด ไลโคปีนอาจจะลดความรุนแรง ของการเผาไหม้ของผิวหนังจากแสงอาทิตย์

บุคคลที่รับประทานมะเขือเทศบด 40 กรัมต่อวัน ได้รับสารไลโคปีน 16 กรัมต่อวัน จะมีอัตราของอาการ เผาไหม้ของผิวหนังจากแสงอาทิตย์ลดลง 40% หลัง จากรับประทานมะเขือเทศติดต่อกันนาน 10 สัปดาห์

G3 Testimonial : Almond Leung


Almond Leung
Enterpreneur and son
Since September 2005, My 24-month old son was forced to take medication when he suffered from pneumonia. The medicine given by the doctor caused him to lose his appetite, made him look very pale and low in vitality. I asked him to take one ounce of gac juice daily. A few days later, his complexion and vitality started to improve and has regained his appetite. From then onwards. I continued giving him one ounce of gac juice everyday. Now, his health condition has also shown great progress.

คุณอัลมอนด์ เหลียง
เจ้าของกิจการ และ ลูกชาย
ตั้งแต่เดือนกันยายน 2547 ลูกชายวัย 21 เดือนของผม ต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอเนื่อง มาจากอาการปอดอักเสบ ยาที่คุณหมอให้มานั้นทำให้เขาไม่อยากอาหาร มันทำให้ร่ายกายของเขา ดูซีดเซียวและไม่มีชีวิตชีวา ผมให้เขาดื่มเครื่องดื่มจากผลแก็กในปริมาณวันละ 1 ออนซ์ หลายวัน ต่อมาอาการของลูกชายผมดีขึ้น ดูสดใส และ รับประทานอาหารได้มากขึ้น ผมเลยให้เขาดื่มอย่างนี้ ต่อไปเรื่อยๆ ทุกวัน ตอนนี้อาการของลูกชายดีขึ้นมากเลยครับ

กลูต้าไธโอน (Glutathione) คืออะไร? สำคัญอย่างไร?


สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายเรา สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน โดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยตับ ในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย เช่น ตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ เมื่อรวมตัวกับสารกลูตาไธโอน จะช่วยให้ละลายน้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ในที่สุด สารพิษจำพวกโลหะหนักหรือสารกำจัดแมลง สามารถถูกขจัดออกจากร่างกายได้โดยการทำงานของกลูตาไธโอนร่วมกับตับ

กลูต้าไธโอน (Glutathione) ยังมีหน้าที่สำคัญอีกมากมายในร่างกาย เช่น สังเคราะห์โปรตีน ช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง

กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นสารประเภท Tripeptide ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine และ Glutamic acid หน้าที่หลักของสารตัวนี่ที่เด่นมีอยู่ 3 ประการ คือ
  1. Detoxification : กลูต้าไธโอน (Glutathione) ช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะ Glutathion-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกาย โดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้น และง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ
  2. Antioxidant : กลูต้าไทโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่
  3. Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิด เพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้กลูตาไทโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีนและ protaglandin
โดยสรุปสารกลูต้าไธโอน (Glutathione) จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับ วิตามินซีหรือวิตามินอี เมื่ออายุคนเรามากขึ้นปริมาณ กลูต้าไธโอน (Glutathione) ในร่างกายจะลดน้อยลง มีผลทำให้เซลล์และอวัยวะทุกส่วนเสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้าม นักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาว และมีสุขภาพแข็งแรง มักจะตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด

การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์จากสารกลูต้าไธโอน (Glutathione)

กลูต้าไธโอน (Glutathione) มีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรค เกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยามามากกว่า 30 ปี การรักษามักจะให้โดยการฉีดเข้าเส้น หรือเข้าที่กล้ามเนื้อ อาการข้างเคียงของยาดังกล่าวตอนนี้ยังไม่พบ แต่อย่างไรก็ตามพบว่า สารกลูตาไธโอนมีผลข้างเคียง ในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนัง เปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำ เป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงนี้จึงทำให้มีการแตกตื่น และนำกลูต้าไธโอนมาเตรียมเป็นยาเม็ด เพื่อใช้เป็นอาหารเสริม เพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู

ยาเม็ดกลูต้าไธโอน (Glutathione) ได้ผลจริงหรือ ?


ในวงการของอาหารเสริม มีการนำสารกลูต้าไธโอน (Glutathione) มาทำเป็นยาเม็ดในขนาดความแรงต่างๆ กัน เพื่อใช้ในการรับประทานเป็นอาหารเสริม โดยหวังผลว่า จะสามารถเสริม และทดแทนปริมาณกลูต้าไธโอน (Glutathione) ที่ร่างกายมีไม่พอหรือบกพร่องไป อันเนื่องมาจากสาเหตุของโรคต่างๆ

จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า สารกลูต้าไธโอน (Glutathione) จะไม่สามารถถูกดูดซึม จากกระเพาะอาหารได้ เพราะจะถูกย่อยสลาย และขับออกทางลำไส้ ดังนั้นการรับประทานยาเม็ดกลูต้าไธโอน (Glutathione) จึงไม่ได้รับประโยชน์เลย ไม่ว่าจะกินครั้งละหลายๆ เม็ดหรือในขนาดที่สูงมากๆ ก็ตาม

กลูต้าไธโอนช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือ?

ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ ของการใช้ยากลูต้าไธโอน (Glutathione) คือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสี ที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริม และเพิ่มความเข้มข้นของกลูต้าไธโอน ในกระแสเลือดให้มากๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผล เพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลาย และกำจัดออกจากร่างกาย ไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลง โดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อ เช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด

ภาวะที่ร่างกายขาดกลูต้าไธโอน (Glutathione)

เนื่องจากสารดังกล่าวร่างกายสร้างได้เอง แต่สภาวะที่ร่างกายอาจขาด หรือมีกลูต้าไธโอน (Glutathione) ไม่เพียงพอ เช่น เมื่อร่างกายมีโรคแทรกซ้อน ทำให้กลูต้าไธโอนลดน้อยลง ด้วยสาเหตุการถูกทำลายด้วยยารักษา หรือด้วยตัวโรคเอง หากร่างกายขาดหรือมีกลูตาไธโอนน้อย จะมีผลทำให้เกิดโรคตับอักเสบง่าย ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ มีโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อน ของระบบทางเดินหายใจ โรคหืด ผู้ที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับความบกพร่อง ของกลูต้าไธโอนมักจะมีปัญหาโรคแทรกซ้อน ทางระบบประสาท ผู้ที่ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ ปริมาณกลูต้าไธโอนในระบบเลือดจะต่ำมากๆ ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็เช่นกัน ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย

ลักษณะของกลูต้าไธโอน (Glutathione)
  • กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระภายในเซลล์พบมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ตับ (จนถึง 5 mM)
  • กลูต้าไธโอน (Glutathione) ถูกสังเคราะห์โดย Glutathione synthase โดยการใช้กรดอะมิโน 3 ชนิด : L-cysteine, L-glutamate และ glycine
  • ตามธรรมชาติมี 2 รูปแบบ ได้แก่ reduced Glutathione (GSH) และ oxidized Glutathione disulphide (GSSG)
  • อำนวยความสะดวกต่อการทำงานของภูมิคุ้มกัน
  • เป็นสาร mitochondrial antioxidant
  • เป็นสาร co-factor/ เอนไซม์ใน phase I enzymatic detoxification pathway
  • Phase II detoxification pathway
  • การป้องกันระบบประสาท
ผลข้างเคียง
  • ผิวหนังแดง
  • ความดันโลหิตต่ำ
  • หอบหืดเฉียบพลัน
  • อาจเกิด anaphylactic reaction จากการปนเปื้อนหรือความไม่บริสุทธิ์
สารที่ทำให้ขาดกลูต้าไธโอน (Glutathione)
  • การสูบบุหรี่
  • ดื่มแอลกอฮอล์
  • คาเฟอีน
  • ยาพาราเซตามอล
  • ยา
  • ออกกำลังกายหนัก
  • รังสี X Y และยูวี
  • Xenobiotics
  • Estradiol
บทบาทของกลูต้าไธโอน (Glutathione) ในยาแผนปัจจุบันและยาแผนทางเลือก
  • พิษจากยาพาราเซตามอล
  • โรคมะเร็ง
  • xenobiotics detoxification
  • โรคพาร์คินสัน
  • โรคอัลไซเมอร์
  • เพิ่มภูมิคุ้มกัน เอดส์ ต้านเชื้อไวรัส เชื้อ herpes simplex virus type I
  • โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
  • สูญเสียการได้ยินเนื่องจากเสียง
  • ผู้ชายที่เป็นหมัน
  • ออทิสติก
  • โรคเหนื่อยเรื้อรัง
  • โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
  • ความดันโลหิตสูง
  • metabolic syndrome
  • autoimmune thyroiditis
กลูต้าไธโอน (Glutathione) ในธรรมชาติ

พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากใน หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ใน ปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว จะพบมากใน Asparagus อะโวกาโด และ Walnut ร่างกายเราก็สามารถสร้างกลูต้าไทโอนได้ และมีสารหลายชนิดที่ช่วยเพิ่มการสร้างได้แก่ Alpha lipoic acid, Glutamine3, Methionine, Whey Protein, Vitamin B-6, Vitamin B-2 , Vitamin C4 และ Selenium

ดังนั้นควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิดๆ และขาดความเข้าใจ

ข้อมูลบางส่วนจาก : กลูต้าไธโอน(Glutathione) คืออะไร?? ช่วยให้ขาวได้ดั่งฝันจริงหรือ??, กลูต้าไธโอนคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร


ผมร่วง, หัวล้าน ปัญหาใหญ่ด้านบุคลิกภาพ ได้เวลาที่จะกำจัดจุดอ่อนแล้ว!!!

สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน จริงๆ เรื่องของบทความนี้เนี่ย ผมได้ไอเดียมาจากรุ่นพี่ท่านนึง ซึ่งอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศ ที่ปัจจุบันนี้รุ่นพี่ท่านนี้ของผม ประสบกับปัญหาผมร่วง จนตอนนี้ผมบางลงไปมาก หลังจากที่ผมได้เจอกับพี่เค้าแล้ว ทำให้ผมนึกถึงคุณสมบัติหนึ่งของเครื่อง Galvanic Spa ขึ้นมา ว่ามันสามารถทำงานเกี่ยวกับด้านนี้ได้ด้วยนี่นา

สำหรับใครที่ลืมไปแล้วว่าเครื่อง Galvanic Spa คืออะไร ผมแนะนำให้ลองกลับไปอ่านบทความเรื่อง Galvanic Spa Technology เทตโนโลยี D-TOX ผิว เพื่อการแก้ปัญหาผิวอย่างยั่งยืน อีกครั้งหนึ่ง แล้วจะเข้าใจเรื่องของ Galvanic Spa ได้ดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ

ทีนี้ สำหรับบทความนี้ ผมจะขอเน้นในเรื่องของการใช้เครื่อง Galvanic Spa สำหรับบำรุงรักษารากผม และ เส้นผมเพื่อให้แข็งแรง ลดการหลุดร่วง และ เสริมสร้างเส้นผมใหม่ให้แข็งแรงเป็นหลักนะครับ

ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องการหลุดร่วงของเส้นผม ผมว่า เรามาทำความรู้จักกับเส้นผมเราก่อนดีกว่านะครับ

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า เส้นผมนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง
ส่วนประกอบหลักๆของผมประมาณ 65% - 95% คือ โปรตีนชื่อสารเคอราติน keratin ที่ให้ความแข็งแรง ส่วนที่เหลือจะเป็นสารประกอบอื่นๆ เช่น amino acid, ไขมัน, น้ำ และ เซลเม็ดสี เพราะฉะนั้น หากคุณต้องการ ให้ผมสวยและมีสุขภาพแข็งแรง ก็อย่าลืมรับประทาน อาหารประเภทโปรตีน เพื่อบำรุงเส้นผม ส่วนลักษณะของผมจะหยิกหรือตรง แข็งหรือนิ่ม เส้นใหญ่หรือเล็ก มีสีสันเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม ของเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติที่แต่ละบุคคล ได้รับมาจากบรรพบุรษของตนนั่นเอง โดยประมาณผมบนศรีษะเราจะมีเฉลี่ยราว 80,000 - 120,000 เส้น ในคนที่มีผมหนาอาจมีผมถึง 150,000 เส้นเลยทีเดียว เส้นผมแต่ละเส้นก็จะมีวงจร (Hair Cycle) หรือ วัฏจักรในการงอก และหลุดร่วงอยู่ 3 ระยะด้วยกันอันได้แก่
  1. ระยะแอนนาเจน เป็น ช่วงระยะเวลาที่ผมของเรางอกงามนั้นเอง ซึ่งช่วงนี้ จะมีระยะเวลายาวนานราว 3-7 ปีต่อเส้นโดยเฉลี่ย เช่น ในวันเด็กระยะแอนนาเจนอาจจะยาวนาน 7 ปี แต่พออายุมากขึ้นระยะแอนนาเจนก็จะน้อยลงเหลือ 5 ปี ถ้าร่างกายเข้าสู่วัยชราระยะแอนนาเจน ของผมอาจจะเหลือเพียง 3 ปีเป็นต้น ในระยะนี้ผมของเราจะงอกเร็วประมาณ 1 เซนติเมตรต่อเดือน
  2. ระยะคะทาเจน เป็นระยะหยุดงอก ในระยะนี้เส้นผมจะขาดอาหารมาเลี้ยง ทำให้ต่อมผมหดเล็กลงและหยุดทำงานนานประมาณ 7-10 วัน
  3. ระยะเทโลเจน หรือ ระยะพัก ซึ่งเมื่อผมพ้นจากระยะหยุดงอกแล้ว ก็จะหลุดร่วงไปเข้าสู่ระยะพักซึ่งกินเวลาราว 3 เดือน โดยปกติแล้วผมประมาณ 10% จะอยู่ในระยะนี้ ในทุกๆขณะของชีวิตเราผมคนเราจึงร่วงไม่พร้อมกัน
และนี่จึงเป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เราเข้าใจวงจรของผมมากขึ้น และ ทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมเราถึงต้องใช้เวลา ในการรักษาอาการผมร่วงผมบางนาน 3 เดือนขึ้นไปจึงจะเห็นผล ก็เพราะเจ้าช่วงระยะพักนี่เอง ที่ใช้เวลานานถึง 3 เดือน

สาเหตุของผมร่วง ผมบาง หัวล้าน
  1. ผมร่วงจากสุขภาพ และสารเคมี
    • ฮอร์โมน และ กรรมพันธ์ เช่น คนวัยกลางคนโดยเฉพาะผู้ชาย อาจจะเป็นผลมาจากฮอร์โมนเพศชายที่มีมากเกินไป ส่วนมากเป็นกรรมพันธุ์ ทำให้ทำให้ เส้นผม มีอายุสั้นกว่าปกติ และ เส้นผม ที่เกิดใหม่มีขนาดเล็กและบางลง เห็นเป็นเส้นขนอ่อน ๆ ทำให้บริเวณนั้นดู ผมบาง ลง ส่วนมากจะเป็นบริเวณกลางศีรษะ และหน้าผาก เริ่มสังเกตได้เมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป
    • การที่เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหนังศีรษะน้อย ทำให้หนังศีรษะตึงและแข็ง เมื่อเส้นผมมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอ รากผมจะค่อยๆ ตายและหลุดออกมา
    • ผมร่วง จากโรคอื่นๆ ผู้ป่วยที่เป็นโรคบางอย่าง เช่น โรคเอสเอลอี , โรคมะเร็ง, โรคเชื้อราบนหนังศีรษะ, โรคทางต่อมไทรอยด์, โรคไทฟอยด์, โรคซิฟิลิส, โรคไต เป็นต้น ก็อาจมีอาการ ผมร่วง ผมบาง ร่วมกับ อาการของโรคเหล่านี้ เช่น เป็นไข้เรื้อรัง ปวดตามข้อ มีผื่นปีกผีเสื้อขึ้นที่หน้า ต่อมน้ำเหลืองโต เป็นต้น
    • ผมร่วง จากเชื้อรา โรคเชื้อราที่ศีรษะ (กลากที่ศีรษะ) อาจพบได้บ่อยในเด็ก แต่จะไม่ค่อยพบในผู้ใหญ่ เกิดจากการติดเชื้อรา ซึ่งมักจะลุกลามจากบริเวณอื่นของร่างกาย โรคนี้ทำให้ ผมร่วง เป็นหย่อม ๆ คล้ายโรคผมร่วงหย่อมไม่ทราบสาเหตุ แต่จะมีลักษณะขึ้น เป็นผื่นแดง คันและเป็นขุยหรือสะเก็ด นอกจากนี้มักจะพบร่องรอยของโรคเชื้อรา (กลาก) ที่ มือ เท้า ลำตัวหรือในบริเวณร่มผ้าร่วมด้วย การขูดเอาขุยที่หนังศีรษะ หรือเอา เส้นผม ในบริเวณนั้นมา ละลายด้วยน้ำยาโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) แล้วส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบเชื้อราที่เป็นสาเหตุ
    • ผมร่วง จากยาและการฉายรังสี ยาที่อาจทำให้เกิดอาการ ผมร่วง มีอยู่หลายชนิด เช่น ยารักษามะเร็ง, ยาป้องกันการแข็งตัว ของเลือด (anticoagulants) เช่น เฮพาริน (Heparin), ยารักษาคอพอกเป็นพิษ, ยาคุมกำเนิด,คอลชิซีน, อัลโลพูรินอล (Allopurinol) ซึ่งใช้ป้องกันโรคเกาต์, แอมเฟตามีน (Amphetamine) เป็นต้น นอกจากนี้ การฉายรังสีในการรักษามะเร็ง ก็อาจทำให้ ผมร่วง ได้
  2. พฤติกรรมและการดูแลเส้นผม
    • ผมร่วง จากการทำผม การทำ ผม ด้วยการม้วน ผม ดัดผม เป่าผม หรือวิธีอื่น ๆ อาจทำให้มีอาการ ผมร่วง ได้ บางรายถึงขั้นรุนแรงขนาดอยู่เฉย ๆ ก็เห็น ผมร่วง หล่นลงมาอย่างเห็นได้ชัด 
    • ผมร่วง จากการถอนผม พบได้บ่อย ในเด็กที่มีปัญหากดดันทางจิตใจด้วย สาเหตุต่าง ๆ เช่น ปัญหาทางครอบครัว ปัญหาการเรียน เป็นต้น เด็กบางคนอาจถอนผมเล่นจนเป็นนิสัย โดยไม่มีปัญหาทางจิตใจก็ได้ (เรียกอาการนี้ว่า Trichotillomania) ผู้ป่วยจะถอนผมตัวเองเล่น จน ผมร่วง หรือ ผมแหว่ง บางคนอาจเอามาเคี้ยวกินเล่น ถ้ากินมากๆ อาจทำให้เกิดการอุดตัน ของกระเพาะลำไส้ได้ เด็กบางคนอาจถอนผมเฉพาะตอนก่อนนอน ซึ่งจะพบว่ามีเส้นผมตกอยู่ตามหมอนทุกวัน เส้นผมเหล่านี้จะไม่มี ต่อม รากผม หนังศีรษะบริเวณที่ ผมร่วง จะไม่มีผื่นคัน หรือเป็นขุย และจะพบเส้นผมที่เป็นตอสั้นๆ อยู่มาก เนื่องจากผู้ป่วยถอนออกไม่ถนัด
    • ผมร่วงจากการขาดการดูแลเอาใจใส่ เช่น ใช้แชมพูที่เป็นด่างแก่ ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำหอม สารบำรุงผม สารเคมี ฯลฯ ที่วุ่นวายมากเกินไป จนระคายเคืองกับหนังศีรษะ การดัด การย้อม โกรก ยืด การเป่าผมทุกวัน ฯลฯ
    • ผมร่วงจากความเครียด 
    • รอยแผลเป็นที่หนังศีรษะ อาจเกิดจากบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ถูกสารเคมี หรือเกิดจากการติดเชื้อ รุนแรงจากแบคทีเรีย (เช่น ฝี พุพอง ชันนะตุ) เชื้อรา (เช่น กลาก) หรือ งูสวัด ทำให้เป็นแผลเป็น ไม่มี ผม ขึ้นอย่างถาวร
  3. ภาวะขาดสารอาหาร
    • สภาวะการขาดเบต้าแคโรทีน วิตามินอี วิตามินบี โดยเฉพาะบี 6 กรดโฟลิก ไบโอติน PABA
  4. ผมร่วง ตามธรรมชาติ
    • โดยปกติแล้ว เส้นผม ของคนเรามีประมาณ 80,000 - 1,200,000 เส้น จะมีประมาณ 85-90% ที่อยู่ในช่วงที่มีการเจริญงอกงาม และยาวขึ้นวันละประมาณ 0.35 มิลลิเมตร และมีอายุนาน 2-6 ปีโดยปกติคินเราจะมี ผมร่วง เป็นประจำทุกวัน แต่ไม่เกินวันละ 30-50 เส้น ซึ่งถือว่าเป็น ผมร่วง ตามธรรมชาติ หลังจากนั้นก็มีเส้นผมใหม่งอกขึ้นมาแทน วนเวียนไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเซลล์ของผิวหนังที่มีบางส่วนที่ตาย และหลุดลอกออกมาเป็นขี้ไคลทุกวัน
  5. ผมร่วง เนื่องจาก ผมหยุดเจริญชั่วคราว ปกติ เส้นผม ของคนเราจะมีอายุนาน 2-6 ปี แล้วจะหยุดการเจริญงอกงาม ในแต่ละวันจึงมี เส้นผม ประมาณ 10%-15% ที่เสื่อมและหลุดร่วงไปแต่ในบางภาวะ เส้นผม ที่กำลังเจริญอาจหยุดการเจริญในทันที ทำให้มี เส้นผม เสื่อมและหลุดร่วงเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติ (เช่น เพิ่มเป็น 30%) ดังนั้นจึงทำให้เกิดอาการ ผมร่วง มากกว่าปกติได้ สาเหตุที่ทำให้ผมหยุดการเจริญชั่วคราว ที่พบได้บ่อย เช่น
    • ผู้หญิงหลังคลอด มัก ผมร่วง หลังคลอดประมาณ 3 เดือน เนื่องจากขณะคลอด เส้นผม บางส่วนเกิดหยุดการเจริญในทันที ต่อมาอีก 2-3 เดือน ผม เหล่านี้ก็จะร่วง
    • ทารกแรกเกิดอาจมีอาการ ผมร่วง ในระยะ 1-2 เดือนแรก แล้วจะค่อย ๆ มี ผม งอกขึ้นใหม่
    • เป็นไข้สูง เช่น ไข้รากสาดน้อย ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ เป็นต้น จะมีอาการ ผมร่วง หลังเป็นไข้ ประมาณ 2-3 เดือน
    • ได้รับการผ่าตัดใหญ่
    • เจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น วัณโรค, เบาหวาน , โลหิตจาง, ขาดอาหาร เป็นต้น
    • การเสียเลือด การบริจาคเลือด
    • การใช้ยา เช่น ยาคุมกำเนิด, อัลโลพูรินอล, โพรพิลไทโอยูราซิล, เฮพาริน เป็นต้น
    • ภาวะเครียดทางจิตใจ เช่น ตกใจ เสียใจ เศร้าใจ เป็นต้นผู้ป่วยจะมีอาการ ผมร่วง มากผิดปกติ (มากกว่าวันละ 100 เส้น) ลักษณะร่วงทั่วศีรษะ ซึ่งมักจะมีอาการตามหลัง สาเหตุเหล่านี้ประมาณ 2-3 เดือน และอาจจะเป็นอยู่นาน 2-6 เดือน ก็จะหายได้เองอย่างสมบูรณ์
จากข้อมูลข้างต้นเราจะเห็นว่าสาเหตุของ ผมร่วง และ ผมบางนั้น มีได้หลายสาเหตุมาก หากต้องการจะแก้ไขสาเหตุให้ถูกต้องตรงจุด จะต้องได้รับการวินิจฉัยจากผู้เชี่ยวบาญ ซึ่งการรักษาอาการผมร่วง ผมบาง และ หัวล้านนั้น ถ้าไม่ได้เกิดจากโรค และ อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าหัวล้านชั่วคราว แล้วล่ะก็มักจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่หลักหลายหมื่นบาทขึ้นไป สำหรับอาการผมร่วงศรีษะล้านถาวร เป็นอาการศีรษะล้านที่มีสาเหตุเกิดจากกรรมพันธุ์เป็นหลัก ซึ่งเป็นสาเหตุ ที่พบได้มากที่สุดถึง 90-95% ทีเดียว ศีรษะล้านจากกรรมพันธุ์มีลักษณะเฉพาะ ที่ไม่เหมือนกับ ศีรษะล้านชนิดอื่น ลักษณะการหลุดร่วงของเส้นผมจะมี pattern หรือ ลักษณะเฉพาะ ในการหลุดร่วง ที่แน่นอน ซึ่งในทางการแพทย์เรียกว่า Male Pattern Hair Loss หรือเรียกสั้นๆว่า MPHL สำหรับอาการที่เกิดในเพศชาย ส่วนลักษณะอาการหลุดร่วงในเพศหญิงก็จะเรียกว่า Female Pattern Hair Loss นั้นเอง การหลุดร่วงของเส้นผมในลักษณะนี้ เพียงใช้การสังเกตก็พอจะบอกได้ ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องอาศัยการตรวจสภาพหนังศีรษะหรือวิเคราะห์เส้นผม แต่ประการใด ในผู้ชายมักจะเริ่มจากการร่นถอยของแนวผม ทางด้านหน้าเข้าไปเป็นง่าม หรืออาจเถิกลึกเข้าไป ตลอดทั้งแนว หรือ หัวเถิกนั่นเอง ต่อมาจะเกิดศีรษะล้านด้านหลัง ตรงบริเวณขวัญที่หลายคนมักเรียกว่าไข่ดาว ถ้าเป็นมากขึ้น ศีรษะล้านทางด้านหน้ากับด้านหลัง จะมาเชื่อมกัน จนกลายเป็นศีรษะล้านบริเวณกว้าง แต่ใน บางรายอาจมีผมร่วง ผมบางเฉพาะตรงกลางๆศีรษะเท่านั้น แต่แนวด้านหน้ายังดีอยู่

สำหรับประเทศไทย มีการจัดแบ่งเรื่องของหัวล้านไว้ 7 ประเภทดังนี้
  1. ทุ่งหมาหลง

    หัวล้านประเภทนี้ คือ หัวล้านที่ล้านอย่างมากๆ ล้านเกือบหมด มีผมเฉพาะตรงตีนผม ทั้งสองข้าง เท่านั้น คือหัวล้านอย่างมาก จนหากเราเอาหมาไปปล่อยลงตรงกลางหัว หมาก็ต้องหลงทาง หาทางกลับบ้านไม่ได้ เพราะจะกำหนดที่หมายไม่ได้เลยว่าทิศไหนเป็นซ้ายขวาหน้าหลัง เรียกว่าถ้าเป็นทุ่งก็มองไปจรดขอบฟ้าได้ทุกทิศ ไม่มีที่หมายให้รู้

  2. ดงช้างข้าม
    คือหัวล้านเป็นทาง จากหน้าผากไปถึงท้ายทอย อาจมีสัณฐาน เหมือนแม่น้ำที่มีปากน้ำอยู่เหนือหน้าผากก็ได้ หากเปรียบผมเป็นดง รอยหัวล้านก็เปรียบเป็นทางเดินของช้างความกว้างของทางจะมากน้อยแคบ กว้างเท่าไร ก็ได้ แต่จะไม่ตกขอบ คือช้างยังมองเห็นแนวป่าอยู่ทั้งสองข้าง หากไม่เห็นแนวป่าก็จะเข้าแบบทุ่งหมาหลง นั่นเองครับ
  3. ง่ามเทโพ
    คือล้านเถิกเข้าไปสองข้างขมับ มีผมอยู่ตรงกลางเหนือกระหม่อม ไปจนถึงด้านหลัง
  4. ชะโดตีแปลง
    คือหัวล้านที่เป็นวงกลมกลางกบาล มีผมโดยรอบทั้งซ้ายขวา หน้าหลัง เหมือนปลาชะโดตีแปลงจนน้ำกระเซ็นออกไปรอบทิศ หากน้ำน้อยจนเกือบเป็นโคลนตมแล้ว ชะโดตีแปลงก็จะมีส่วนน้ำขังเป็น วงกลม หัวล้านแบบนี้จึงต้องมองด้านบนจึงจะชัดเจน
  5. แร้งกระพือปีก
    คือล้านที่เถิกเข้าไปสองข้างขมับลึกเข้าไปโอบกระหม่อม ไปต่อกับ ด้านหลังเหลือกระจุกผมอยู่เพียงด้านหน้า เหมือนโดนปีกของแร้ง มากระพือรวมไว้
  6. ฉีกขวานฟาด (หรือบางตำราเรียกว่า ฉีกหางฟาด)
    หัวล้านแบบนี้หมายความว่าล้านไม่เลื่อมคือยังมีผมบางๆอยู่ อุปมาเหมือน ฉีกหาง (ปลา หรือวัว) ฟาดลงไปจะเห็นเป็นเส้นเป็นแนวอยู่ ส่วนที่เป็นเวิ้งผมอาจมีขอบรูปหาง ไปจนจรดท้ายทอยก็ได้
  7. ราชคลึงเครา
    หัวล้านนี้บางทีเห็นสะกดคำ คลึงเป็นครึง ก็มี แต่ไม่คิดเห็นความหมายส่วนราชคลึงเครา ก็หมายว่าพระราชาลูบเครานั่นเอง หัวล้านแบบนี้คงจะหมายถึงล้านแบบต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว เพียงแต่เพิ่มว่า มีหนวด และเครา เกินธรรมดาเข้าไป คนหัวล้านชนิดนี้จะมีขนหน้าอกดก อีกต่างหาก ตัวในเรื่องที่มีลักษณะล้านอย่างนี้ก็คือ "ขุนช้าง" นั่นเองครับ
พูดถึงเรื่องหัวล้านซะยาวเลย ทีนี้เรามาเข้าเรื่องของเราดีกว่า

หลังจากที่ทราบสาเหตุของหัวล้าน และ ลักษณะต่างๆของหัวล้านแล้ว ทีนี้เรามาดูวิธีการป้องกัน และ รักษาอาการหัวล้านกันดีกว่าครับ อย่าลืมนะครับว่า บทความนี้เราจะพูดถึงเรื่องการป้องกัน และ รักษาอาการหัวล้าน โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Galvanic Spa กัน สำหรับอุปกรณ์ก็มีดังนี้


หัว SPA ที่ใช้สำหรับกระตุ้นเซลล์เส้นผม และ นวดกระตุ้นหนังศรีษะ


เครื่อง Galvanic Spa System II พระเอกของเรา
เมื่อเปลี่ยนไปใช้หัว SPA สำหรับใช้กับเส้นผมเรียบร้อยแล้ว


Nutriol Shampoo & Nutriol Hair Fitness Treatment
ผู้ช่วยที่ขาดไม่ได้ สำหรับภาระกิจสำคัญเช่นนี้

และ สำหรับผู้ที่ได้มีโอกาสใช้งานเครื่อง Galvanic Spa Hair Treatment แล้ว ได้ผลดังนี้





ภาพผลที่ได้จากการใช้ชุด Nutriol shampoo & Nutriol Hair Fitness Treatment

เป็นอย่างไรครับ ผลลัพท์ อันน่าอัศจรรย์ ที่ไม่ต้องเสียเงินแพงๆ ไม่ต้องเจ็บตัวผ่าตัด แต่ได้ผลลัพท์เท่ากับ หรือ ดีกว่าการเสียเงินแพงๆ หรือ เข้ารับการผ่าตัดปลูกผม ซึ่งไม่แน่ว่าปลูกแล้วจะดีขึ้นจริงๆ


ageLOC R2 (เอจล็อค อาร์สแควร์)

ageLOC R2 (ageLOC R-SQUARED หรือ เอจล็อค อาร์สแควร์) คุณพร้อม ที่จะดูดี มีชีวิตชีวาเหมือนช่วงอ่อนเยาว์หรือยัง?

เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่เราต้องการคือ คงความสดใสดูอ่อนเยาว์ ทั้งภายนอกและภายใน ภายนอก คือผิวพรรณที่ปราศจากริ้วรอยก่อนวัย สัมผัสเรียบเนียน ดูเปล่งปลั่ง ส่วนภายในนั้นคือ ความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า มีพลังทั้งร่างกาย และ สมองพร้อมทำกิจกรรมต่างๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายเราไม่สามารถ ตอบสนองความต้องการได้อย่างตั้งใจ สัญญาณความแก่ที่สังเกตได้คือ เฉื่อยชา เซื่องซึม หงอยเหงา สูญเสียการควบคุมที่ดี ทั้งร่างกายและจิตใจ การแสดงออกของยีนจะเปลี่ยนแปลงไป และส่งผลต่อความรู้สึกอ่อนเยาว์ของร่างกายเรา เอจล็อค อาร์สแควร์ เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่พัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยีเอจล็อค เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของความเสื่อมชราจากภายในได้แก่ การล้างพิษในระดับเซลล์ และการสร้างพลังงานในระดับเซลล์ ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เอจล็อค อาร์สแควร์ เดย์ เพื่อจัดการกับยีนที่เกี่ยวกับการสร้างพลังงานระดับเซลล์ และอาร์สแควร์ เอ็น (หรือ อาร์สแควร์ ไนท์) เพื่อจัดการกับยีนที่เกี่ยวกับการล้างพิษในระดับเซลล์

สารพิษระดับเซลล์ต่อความเสื่อมชรา
หากคุณสังเกตว่าร่างกายเริ่มเฉื่อย ปวดเมื่อยตามตัว โดยหาสาเหตุอธิบายไม่ได้ นั่นเป็นเพราะ เมื่อร่างกายเสื่อมชรา ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ เพื่อขจัดของเสียลดลงทำให้มีของเสียสะสม ในเซลล์มากขึ้นเรื่อยๆ ของเสียเหล่านี้เป็นของเสียที่เกิดขึ้น จากการทำลายที่เกิดขึ้นในเซลล์ การเผาผลาญในเซลล์ ของเสียจากการเผาผลาญล้วนแต่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ และเร่งขบวนการเสื่อมชรา ผลิตภัณฑ์เพื่อการล้างพิษในท้องตลาด มักเน้นปัญหาสารพิษจากสิ่งแวดล้อม โดยพยายามแก้ปัญหาที่อาการ เช่น การล้างพิษทางลำไส้ ก็จำกัดเพียงการล้างพิษ ในระบบทางเดินอาหาร หรือบางระบบเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมการล้างพิษในระดับเซลล์
ความมีชีวิตชีวาลดลงเมื่อเสื่อมชรา
สัญญาณความเสื่อมชราที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่ ได้แก่ ความกระปรี้กระเปร่า ความสดชื่นมีชีวิตชีวาลดลง สมองเฉื่อย คิดช้า ไม่มีสมาธิ ความรู้สึกทางเพศลดลง นั่นเป็นเพราะความสามารถในการสร้างพลังงาน ในระดับเซลล์ลดลง ซึ่งในเซลล์แต่ละเซลล์ จะมีแหล่งพลังงานระดับเซลล์ที่เรียกว่า ไมโตคอนเดรีย จะเปลี่ยนอาหารและออกซิเจนให้เป็นพลังงานเพื่อนำไปใช้
ทั่วไปเรามักใช้อาหารที่สารกระตุ้น เช่น คาเฟอีน หรือน้ำตาล เพื่อเร่งให้เกิดความสดชื่น แต่เป็นเพียงชั่วคราว และหากใช้เป็นเวลานานในปริมาณที่สูง อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้น การจัดการให้ยีนแสดงออกอย่างเหมาะสม ทำให้การสร้างพลังงานในระดับเซลล์ กลับเป็นดังเช่นวัยหนุ่มสาว จึงเปรียบเหมือนกับการยกระดับพลังงาน ในร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพียงพอกับการทำกิจกรรมต่างๆ ของร่างกาย

ความอ่อนเยาว์ระดับเซลล์
การสร้างพลังงานระดับเซลล์ + การขจัดสารพิษในระดับเซลล์

ความโดดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่ง
ด้วยเทคโนโลยีจากประสบการณ์นานกว่า 30 ปี ด้านงานวิจัยด้านความเสื่อมชรา ระดับยีนของพันธมิตรทางวิทยาศาสตร์ ผนวกกับความเชี่ยวชาญ เรื่องสารอาหารจากธรรมชาติเพื่อสุขภาพ ทำให้ นู สกิน สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ด้วยเทคโนโลยีเอจล็อค ที่สามารถชี้เฉพาะ เป้าหมายยีน ที่เกี่ยวกับความอ่อนเยาว์ และจัดการให้กลุ่มยีนแห่งความอ่อนเยาว์ แสดงออกอย่างเหมาะสมดังเช่นในวัยหนุ่มสาว

ลักษณะของผลิตภัณฑ์และประโยชน์เบื้องต้น
  • เน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแห่งความเสื่อมชรา
  • ส่งเสริมให้เกิดการแสดงออกที่สมดุลของกลุ่มยีนแห่งความอ่อนเยาว์ ที่เกี่ยวกับการล้างพิษและการสร้างพลังงานในระดับเซลล์
  • ช่วยให้คุณรู้สึกอ่อนเยาว์สร้างความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง และเติมพลังให้กับความอ่อนเยาว์
  • ส่งเสริมพลังแห่งความอ่อนเยาว์ทั้ง 3 ด้าน-ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า สมองฉับไว มีสมาธิ เพื่อสุขภาพทางเพศ
  • ยกระดับพลังงานพื้นฐานให้แก่ร่างกาย
  • ส่งเสริมความสามารถของร่างกายเพื่อการล้างพิษในระดับเซลล์
  • ช่วยปกป้องและเสริมความแข็งแรงให้เซลล์เพื่อด้านการทำลายจากสารพิษจากภายนอกด้วยการปรับปรุงขบวนการ ปกป้องตัวเองให้ดีขึ้น
  • ช่วยให้เซลล์ทำงานได้อย่างปกติ
ผลิตภัณฑ์เหมาะกับใครบ้ืาง?
  • สำหรับผู้ที่อายุมากกว่า 18 ปี ที่เคยรู้สึกเหนื่อย ไม่สดชื่น เหมือนพลังทางร่างกาย ไม่ตอบสนองกับกิจกรรมี่ต้องการทำ หรือสำหรับทุกคน ที่ต้องการฟื้นฟูความสดชื่นและความอ่อนเยาว์
  • สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว และรับประทานยารักษาโรค แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเสริมอาหาร
ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำให้รับประทานร่วมกัน
  • ไลฟ์แพ็ก - สารอาหารที่ครบถ้วน ช่วยให้เซลล์ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระที่หลากหลาย จะช่วยปกป้องเซลล์ จากการทำลายของอนุมูลอิสระ จึงเหมาะสม ที่จะแนะนำให้รับประทานไลฟ์แพ็ก คู่กับ เอจล็อค อาร์สแควร์
  • ทีกรีน 97 - แนะนำให้รับประทานร่วม หากต้องการเสริมการปกป้องให้แก่เซลล์ยิ่งขึ้น
  • สำหรับผู้ที่เสริมอาหารด้วยคอร์ดีแม็กซ์ อาจเปลี่ยนมาเสริมอาหารด้วย อาร์สแควร์ แทนได้
  • ผลิตภัณฑ์เอจล็อคเพื่อผิวหน้า - เพื่อความครบถ้วนของการต้านความเสื่อมชราทั้งจากภายนอก และภายใน
คำถามที่พบบ่อย ageLOC R2
Q: ผลิตภัณฑ์เอจล็อค อาร์สแควร์ และเอจล็อค อาร์สแควร์ เอ็น หรือไนท์ แตกต่างกันหรือไม่ ทำไมจึงแนะนำให้รับประทานร่วมกัน
A: เอจล็อค อาร์สแควร์ ช่วยให้เกิดความสมดุลของการแสดงออกของยีนในสองส่วนที่เกี่ยวกับความอ่อนเยาว์ โดยเอจล็อคอาร์สแควร์ เดย์ จัดการการแสดงออกของกลุ่มยีนความอ่อนเยาว์ที่เกี่ยวกับการสร้างพลังงานในระดับเซลล์ ช่วยให้เซลล์สร้างพลังงานได้เพียงพอ ส่งผลดีต่อการทำงานของเซลล์ เอจล็อค อาร์แควร์ เอ็น หรือไนท์ จัดการการแสดงออกของกลุ่มยีนความอ่อนเยาว์ที่เกี่ยวกับการล้างพิษในระดับเซลล์ ช่วยขจัดสารพิษและของเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเซลล์ที่อาจตกค้างหรือสะสมที่อาจกีดขวางการทำงานที่สมบูรณ์ของเซลล์ ผสาน 2 คุณประโยชน์จากทั้งสองผลิตภัณฑ์ช่วยให้เซลล์ฟื้นฟู สู่ความอ่อนเยาว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Q: เราสามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เอจล็อค อาร์แสควร์ ทั้ง 2 รวมกันในครั้งเดียวได้หรือไม่
A: เอจล็อค อาร์สแควร์ เดย์ แนะนำให้รับประทานในตอนเช้า เพื่อส่งเสริมการสร้างพลังงานที่เพียงพอตลอดทั้งวัน ส่วน เอจล็อค อาร์สแควร์ เอ็นหรือไนท์ แนะนำให้รับประทานในตอนเย็นเพื่อส่งเสริมการล้างพิษระดับเซลล์ซึ่งร่างกายเราจะทำการฟื้นฟูในช่วงเวลากลางคืน

Q: มีงานวิจัยใดที่สามารถสนับสนุนว่าเอจล็อคอาร์สแควร์ จัดการการแสดงออกของยีน?
A: สารสำคัญในผลิตภัณฑ์เอจล็อค อาร์สแควร์แต่ละตัวมาจากการวิจัยเพื่อศึกษาถึงผลของสารสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของกลุ่มยีนเป้าหมายของสารสำคัญนั้น ว่าสอดคล้องกับความต้องการเพื่อเปลี่ยนการแสดงออกให้เป็นดังวัยหนุ่มสาวหรือไม่ เมื่อนักวิทยาศาตร์กำหนดกลุ่มยีนอ่อนเยาว์ที่เป็นเป้าหมายได้ และรู้ถึงการแสดงออกของกลุ่มยีนนั้นในช่วงวัุยหนุ่มสาวว่า เป็นอย่างไร สารอาหารจากธรรมชาติหลากหลายชนิดจะถูกนำมาทดสอบในห้องทดลอง เพื่อดูผลของสารอาหารต่อการแสดงออกของยีน และคัดเลือกสารอาหารที่มีผลเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของกลุ่มยีนเป้าหมาย ให้เป็นรูปแบบ วัยหนุ่มสาว ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวได้เคยถูกนำเสนอในการประชุมวิชาการหลายงาน รวมถึงการประชุมวิชาการ Gordon research Conference, CoLONGY และ 1st World Congress on targeting Mitochondria.

Q: เอจล็อค อาร์สแควร์ จะมาแทนไลฟ์แพ็ก ใช่หรือไม่?
A: ไม่ใช่ เนื่องจากไลฟ์แพ็กเป็นผลิตภัณฑ์ที่อุดมด้วยสารอาหารจำเป็นเพื่อให้เซลล์ทำงานได้อย่างเหมาะสมและยังช่วยปกป้องเซลล์จากการทำงานได้อย่างเหมาะสม และยังช่วยปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระอีกด้วย นอกจากนี้การเสริมอาหารด้วย เอจล็อค อาร์สแควร์ ควบคู่กับไลฟ์แพ็ก ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เพื่อย้อนสู่ความอ่อนเยาว์

Q: เอจล็อค อาร์สแควร์ ปลอดภัยสำหรับการรับประทานในระยะยาวหรือไม่?
A: เอจล็อค อาร์สแควร์ มีส่วนประกอบของสารอาหารธรรมชาติ ที่มีความปลอดภัย ออกฤทธิ์เพื่อปรับการแสดงออกของยีนเพื่อให้เหมาะสม ไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของยีนแต่อย่างใด จึงมีความปลอดภัยในระยะยาว

วิธีการรับประทาน

เอจล็อค อาร์สแควร์ เดย์ รับประทานครั้งละ 6 แคปซูล ในตอนเช้า
ส่วนประกอบสำคัญ
  • เอจล็อค อาร์แควร์ เดย์ เบลนด์ 1135 มิลลิกรัม
  • เห็ดคอร์ดีเซ็พส์
  • สารสกัดทับทิม
  • สารสกัดโสม
เอจล็อค อาร์สแควร์ เอ็น หรือไนท์ รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล ในตอนเย็น
ส่วนประกอบสำคัญ
  • เอจล็อค อาร์สแควร์ เอ็น เบลนด์ 450 มิลลิกรัม
  • สารสกัดเมล็ดองุ่น
  • สารสกัดเรดออเรนจ์คอมเพล็กซ์
  • สารสกัดบรอคคอรี่
สรุปได้ว่าคุณประโยชน์เบื้องต้นที่สำคัญมีดังนี้
  1. จัดการปัญหาความเสื่อมชราที่ต้นเหตุ
  2. ส่งเสริมให้เกิดการแสดงออกที่ดีของยีน ที่เกี่ยวกับการขจัดสารพิษ และการสร้างพลังงานในระดับเซล
  3. ช่วยให้เซลทำงานได้อย่างปกติ
  4. ส่งเสริมให้ร่างกายสามารถขจัดของเสียจากขบวนการเผาผลาญในร่างกาย
  5. ช่วยปกป้องและเสริมความแข็งแรงให้เซล เพื่อต้านการทำลายจากสารพิษจากภายนอก ด้วยการปรับปรุงขบวนการปกป้องตัวเองให้ดีขึ้น
  6. ช่วยให้คุณรู้สึกอ่อนเยาว์ สดใส เจิดจ้า ด้วยการสร้างความมีชีวิต ชีวา และเติมพลังอ่อนเยาว์


มาตรฐาน ISO คืออะไร?

มาตรฐานไอเอสโอ(ISO)คืออะไร มีกี่ประเภท
ISO มาจากคำว่า International Standardization and Organization มีชื่อว่าองค์การมาตรฐานสากล หรือองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1946 หรือพ.ศ.2489 มีสำนักงานอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีวัตถุประสงค์คล้ายๆ กับองค์การการค้าอื่นๆ ของโลก คือจัดระเบียบการค้าโลก ด้วยการสร้างมาตรฐานขึ้นมา ใครเข้าระบบกติกานี้ถึงจะอยู่ได้

ช่วงที่ ISO ก่อตั้งขึ้น เป็นช่วงสงครามโลกก็เพิ่งจะจบลงใหม่ๆ ดังนั้นประเทศต่างๆ ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก ต่างคนต่างขายของ โดยมีระบบมาตรฐานไม่เหมือนกัน

จนกระทั่งในปี 2521 เยอรมนีเป็นตัวตั้งตัวตีให้ทั่วโลก มีมาตรฐานคุณภาพสินค้าเดียวกัน ส่วนองค์กรมาตรฐานโลกก็จัดตั้งระบบ ISO/TC176 ขึ้น

ต่อมาอีก1ปี อังกฤษพัฒนาระบบคุณภาพที่เรียกว่า BS5750 ใช้ในเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ จากนั้นในปี 2530 ISO จึงจัดวางระบบการบริหาร เพื่อการประกันคุณภาพที่สามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบเอกสาร หรือที่เรียกว่า อนุกรมมาตรฐาน ISO 9000 เป็นมาตรฐานที่กำหนดใช้ในทุกประเทศทั่วโลก

ตัวเลข 9000 เป็นชื่ออนุกรมหนึ่ง ที่แตกแยกย่อยความเข้มของมาตรฐาน งานออกเป็นอีก 3 ระดับ คือ ISO 9001 , ISO 9002 และ ISO 9003 นอกจากนี้ยังมีอีกอนุกรมหนึ่งคือ ISO 14000 เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมและระบบคุณภาพ

9000 เป็นแนวทางในการเลือก และกรอบในการเลือกใช้มาตรฐานชุดนี้ให้เหมาะสม

ISO 9001 มีระดับความเข้มมากที่สุด คือหน่วยงานที่จะได้รับอนุมัติว่า มีระบบคุณภาพมาตรฐานสากล ในระดับนี้จะต้องมีรูปแบบลักษณะ การทำงานในองค์กรตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ 20 ข้อ โดยมีการกำกับดูแลตั้งแต่การออกแบบ การพัฒนา การผลิตและการบริการ ยกตัวอย่างชื่อหัวข้อที่พอจะเข้าใจ เช่น กลวิธีทางสถิติ การตรวจสอบการย้อนกลับของผลิตภัณฑ์ การจัดเก็บการเคลื่อนย้าย เป็นต้น

ISO 9002 ก็จะเหลือเพียง 19 ข้อ ดูแลเฉพาะระบบการผลิต การติดตั้งและการบริการ (ตัดกลวิธีทางสถิติออกไป)

ส่วน ISO 9003 เหลือแค่ 16 ข้อ ดูแลเฉพาะการตรวจสอบขั้นสุดท้าย

9004 เป็นแนวทางในการบริหารระบบคุณภาพเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นต้น

ถ้าอธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ISO 9000 ก็คือ การกำหนดมาตรฐานสากลในการจัดระบบงานของหน่วยงานให้ตรงตามที่มาตรฐาน ISO 9000 กำหนดไว้

หน่วยงานที่คิดว่าตนเองจัดรูปแบบได้ตามที่ ISO 9000 กำหนดไว้แล้วจะมีหน่วยงานที่เข้ามาตรวจสอบ และออกใบรับรองให้อย่างเป็นทางการ คือ สมอ. หรือ สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ถนนพระราม 6 กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0-2202-3428 และ 0-2202-3431

อย่างไรก็ตามมีบริษัทต่างชาติที่เข้ามาเป็นผู้ตรวจสอบและสามารถออกใบรับรองให้ได้

ขั้นตอนการขอ ISO 9000 เริ่มจากการขอข้อมูล ยื่นคำขอ ตรวจประเมิน ออกใบรับรอง ตรวจติดตาม ตรวจประเมินใหม่

ส่วนการเตรียมระบบคุณภาพมี 4 ข้อใหญ่ๆ คือ
  1. ทบทวนสถานภาพกิจการปัจจุบัน
  2. จัดทำแผนการดำเนินงานและระบบเอกสาร
  3. นำระบบบริหารงานคุณภาพไปปฏิบัติ
  4. ตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบคุณภาพ
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเรื่องนี้ตกประมาณ 2-3 แสน ถ้าเป็นสินค้าหรือบริการส่งออก รัฐบาลจะช่วยออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง ส่วนเวลาดำเนินการจะประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี

ISO ใช้วัดคุณภาพ ทั้งด้าน
  1. โรงแรม ภัตตาคารและการท่องเที่ยว
  2. กลุ่มคมนาคม สนามบิน และการสื่อสาร
  3. สาธารณสุข โรงพยาบาล คลินิก
  4. ซ่อมบำรุง
  5. สาธารณูปโภคต่างๆ
  6. การจัดจำหน่าย
  7. มืออาชีพ การสำรวจ ออกแบบ ฝึกอบรม และที่ปรึกษา
  8. บริหารบุคลากร และบริการในสำนักงาน
  9. วิทยาศาสตร์ การวิจัยและพัฒนา
ที่มา : มาตรฐานไอเอสโอ(ISO)คืออะไร มีกี่ประเภท


.

.