เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพความงาม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพความงาม แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

"ชะลอวัยด้วย เวชศาสตร์อายุรวัฒน์"

เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ (Anti – aging medicine) คือ ศาสตร์การชะลอวัย ศาสตร์แห่งการป้องกันโรค และทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวขึ้น จากการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ในการบำบัดรักษาโรค เพื่อสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการมีอายุยืน พร้อมกับการมีสุขภาพที่ดี ที่ไม่ใช่แค่การยืนอายุจากภายนอกด้วยการทำศัลยกรรม แต่คือการปรับ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และดูแลตัวเอง เพื่อสุขภาพที่ดีและยืนยาว บุคคลที่ทำให้คนไทยเราเริ่มรู้จักศาสตร์แห่งการชะลอวัยนั้น ไม่ใช่ใครอื่น นั่นคือ นพ.กฤษฎา ศิรามพุช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ เป็นบุคคลแรก ๆ ที่นำศาสตร์การแพทย์ตะวันตกนี้เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย ในต่างประเทศได้มีการศึกษากันมานานแล้ว เกี่ยวกับต้นตอของสิ่งที่เป็นหน่วยพื้นฐานของมนุษย์ นั่นคือระดับเซลล์ เนื่องจากเซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะและอวัยวะทำงานร่วมกันเป็นระบบ หลายระบบรวมกันเป็นร่างกายของสิ่งมีชีวิต ดังนั้นหากเราทำให้มีสุขภาพดีได้ตั้งแต่ระดับเซลล์แล้วร่างกายก็จะแข็งแรงสมบูรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้เริ่มมีการศึกษาอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนการตรวจบำบัดรักษาโรค ที่เรียกว่าเทคโนโลยีชีวภาพ (biomedical technology) ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดด้วยเซลล์ต้นกำเนิดและยีนบำบัด (stem cell and gene therapy) ที่มีบางแห่งได้เริ่มทดลองใช้แล้วหรือแม้แต่มีการเปิดธนาคารเก็บสเต็มเซลล์ด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับรักษาโรค เช่น การโคลนนิ่งเพื่อการรักษา (Therapeutic cloning) นาโนเทคโนโลยีและเวชศาสตร์นาโน (Nanotechnology and nano medicine) เพื่อใช้ในการวินิจัยและรักษาโรคได้ในระดับเซลล์

เวชศาสตร์เพื่อการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย รวมถึงการเปลี่ยนอวัยวะเทียมที่เข้ากับร่างกายได้เป็นอย่างดี ไม่ให้เกิดเน่าหรือเกิดการปฏิเสธของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และเทคโนโลยีเรื่องของโภชนาการ ฮอร์โมน และวิตามินต่าง ๆ

แปลง่าย ๆ คือเมื่อเรารู้ว่าเซลล์ส่วนไหนของร่างกายเราเสื่อม เราก็มุ่งเน้นไปที่การรักษาบำบัดเพื่อให้เซลล์ร่างกายส่วนนั้นสามารถกลับมาทำงานได้ดีดังเดิมนั่นเอง

แม้ขณะนี้เทคโนโลยีที่กล่าวมาทั้งหมด ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่มีอะไรที่เกินความพยายามของมนุษย์ และในปัจจุบันเริ่มมีการนำเอาวิทยาการเหล่านี้ออกมาใช้บ้างแล้ว

แต่หากเราคิดแต่จะพึ่งพาวิทยาการเทคโนโลยีล้ำสมัยเพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถช่วยยืดอายุเราออกไปอย่างผู้มีสุขภาพดีได้ เราจะต้องชะลอวัยด้วยตัวเองควบคู่กันไปด้วย โดยทำได้ดังนี้
  • ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เป็นการเช็คร่างกายว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่
  • การจำกัดแคลอรี่ โดยการทานอาหารอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอาหารต้านชรานั้นมีอยู่ในสารพฤกษเคมีซึ่งมีอยู่ในพืชผักนานาชนิด ที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และเส้นใยซึ่งจะทำให้เราไม่อ้วน ไม่แก่เร็ว และไม่เกิดโรค
  • การดำเนินชีวิตที่เหมาะสม เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้ร่างกายทรุดโทรม อันเป็นการก่อสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารอนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นตัวการที่ทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพและสาเหตุของความชราเร็วกว่ากำหนด เช่น การนอนดึก ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ เป็นต้น
  • เรื่องของจิตใจ ต้องฝึกมองโลกในแง่ดี ทำจิตใจให้สงบ ไม่อารมณ์ฉุนเฉียว มีการศึกษาพบว่าหากเรามีความสุขจิตใจสงบ จะมีการหลั่งสารแห่งความสุขออกมา ทำให้ระบบในร่างกายจะทำงานเป็นอย่างปกติ ตรงกันข้ามกับคนที่มีความเครียดสูง หรืออารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ทำให้ใบหน้ามีริ้วรอย และเจ็บป่วยทางร่างกายง่าย ๆ ยกตัวอย่าง เช่น คนเป็นโรคกระเพาะเนื่องจากความเครียด ป่วยเป็นไมเกรนเพราะเครียดจัด เป็นต้น
เราไม่อาจปฏิเสธความแก่ชราที่เข้ามาเยือนในทุก ๆ วันได้ แต่เราสามารถชะลอมันออกไปได้ โดยเริ่มต้นจากตัวเราเอง ดูแลตัวเองซะตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป

ที่มา :  "ชะลอวัยด้วย เวชศาสตร์อายุรวัฒน์"

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปรนนิบัติผิวใสไกลสิว

ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาสิววันนี้หรือในอดีต คุณจะพบว่าผิวหน้าของคุณดูสุขภาพไม่ดี หรือกระทั่งไม่เปล่งปลั่งอย่างที่เคย นั่นเพราะสิวส่งผลกระทบต่อสภาพผิวโดยรวม ผลิตภัณฑ์เคลียร์ แอคชั่น จาก นู สกิน เป็นชุดที่ช่วยแก้ไขปัญหาสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวในอดีต หรือปัจจุบัน และยังเผยผิวหน้าที่กระจ่างใส แลดูสุขภาพดี ด้วยเทคโนโลยีอันก้าวล้ำ นักวิทยาศาสตร์ นู สกินผู้เชี่ยวชาญด้านผิว ร่วมมือกันพัฒนาชุดผลิตภัณฑ์ เคลียร์ แอคชั่น ที่ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด โทนเนอร์ และครีมบำรุงทั้งกลางวัน และกลางคืน เพื่อแก้ปัญหาสิวและรอยสิวอย่างตรงจุด

ดิฉันอายุ 35 ปีและมีลูก 1 คน ตลอดชีวิต ดิฉันต้องเผชิญกับปัญหาสิวที่ขึ้น ทั่วใบหน้า ซึ่งทำให้ขาดความมั่นใจมาก ดิฉันเริ่มใช้ เคลย์แพค และชุด เคลียร์ แอคชั่น สภาพผิวดีขึ้นเพียงใช้ 1 เดือน ผิวเริ่มเรียบเนียน เคลย์แพค ถือเป็นเพื่อนรักคนใหม่ของดิฉันเลย หลังจากนั้นดิฉันเริ่มใช้ชุดเอจล็อค ทรานส์ฟอร์เมชั่น และเครื่องกัลวานิค ซิสเต็มส์ ll ภายใน 6 เดือน เผยผิวใหม่จากการผลัดเซลล์ผิว เพิ่มความมั่นใจให้ดิฉันมากขึ้น ขอบคุณ นู สกินที่ช่วยเปลี่ยนชีวิต และยังทำให้ดิฉันดูอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าเดิม!

Andrea Soon Yun Nee
วัย 35 ปี นักธุรกิจชาวมาเลเซีย

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

ชะลอวัย... ด้วยตัวเราเอง

ต้องยอมรับว่า วันนี้กระแสชะลอวัยมาแรง เพราะคนยุคใหม่ไม่เพียงแค่ต้องการการมีสุขภาพดียืนยาว เฉกเช่นในอดีตเท่านั้น แต่ยังต้องการคงความอ่อนเยาว์ ดูดีไว้ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

แล้วเราจะชะลอวัยกันอย่างไร?
ศ.น.พ.ธัมม์ทิวัตถ์ นรารัตน์วันชัย นายกสมาคม เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลในงานสัมมนาวิชาการ "แนวทางการดูแลสุขภาพให้ดูดีและอ่อนเยาว์" ซึ่งสมาคมเวชศาสตร์ชะลอวัยฯ ชมรมโภชนวิทยามหิดล วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก และ ผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองดีน่าได้จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ว่า แนวทางการดูแลสุขภาพให้ดูดีและอ่อนเยาว์นั้น ควร เริ่มต้นจากตัวเรา โดยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและปราศจากโรคต่างๆ เพราะเมื่อสุขภาพร่างกายอยู่ในภาวะที่แข็งแรง จิตใจเราจะไม่เครียด และจะส่งผลให้หน้าตาผิวพรรณดูเปล่งปลั่งอ่อนกว่าวัยด้วย ซึ่งเราทุกคนสามารถเรียนรู้ และนำไปปฏิบัติได้ ด้วยการดูแลสุขภาพ แบบองค์รวม และ ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตใหม่อย่างถูกต้อง เริ่มตั้งแต่เรื่องอาหาร ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพดีและอ่อนเยาว์ เราควรกินอาหารให้เป็นยา เพราะอาหารเป็นสิ่งที่เราต้องรับประทานเข้าไปทุกวัน การออกกำลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ

และต้องตัดพฤติกรรมที่บั่นทอนสุขภาพ คือ งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีน รวมถึงอาหารประเภททอด ปิ้ง หรือย่าง หลีกเลี่ยงแดดจัดในช่วง 09.00-15.00 น. และเลี่ยงภาวะตึงเครียดต่าง ๆ ที่จะทำให้สุขภาพจิตเสื่อมลง จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพของเราให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ด้าน ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล อาจารย์นักโภชนาการ จากชมรมโภชนวิทยามหิดล ระบุว่า ในการดูแลสุขภาพผิวพรรณให้ดูดีและอ่อนเยาว์ของ หนุ่ม - สาว ยุคใหม่ มักจะให้ความสำคัญกับการดูแลจากภายนอก การใช้เครื่องสำอางแพงๆ หรือการพึ่งนวัตกรรมใหม่ๆ ทางการแพทย์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการดูแลจากภายนอกจะช่วยได้เพียง 30% เพราะผิวหนังไม่ใช่กระเพาะอาหาร จึงไม่สามารถดูดซึมเครื่องสำอางได้ทั้งหมด

ส่วนการทำศัลยกรรม ก็เป็นการแก้ไขเฉพาะจุด แต่อวัยวะข้างใน หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีก็จะเสื่อมและถดถอยไปตามอายุที่มากขึ้น ทางที่ดีควรดูแลร่างกายทั้งระบบจากภายใน ด้วยการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงการที่เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผัก ผลไม้ และ งาดำ

โดยเฉพาะในงาดำนั้นจะมีทั้งแคลเซียมและไฟเบอร์สูง ซึ่งจะช่วยไปดักจับไขมัน และสารก่อมะเร็งต่างๆ ให้ขับออกจากร่างกายได้มากขึ้น อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระสูง ที่ได้จากวิตามินอีในงาดำ เป็นวิตามินอีจากธรรมชาติที่ได้จากอาหาร จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี มากกว่าการซื้อวิตามินอีสกัดมารับประทานเอง สารต้านอนุมูลอิสระในงาดำ จึงมีส่วนช่วยชะลอวัยได้โดยการที่ร่างกายสามารถขับของเสียได้เร็วกว่าเดิม ทำให้การสะสมของสารพิษในร่างกายลดลง ร่างกายทำงานน้อยลง

ซึ่งมีการศึกษาออกมาแล้วว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูง หรือการรับประทานผักผลไม้ จะดูมีความอ่อนเยาว์มากกว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่ำ และไม่เพียงแต่ชะลอวัยจากภายนอกเท่านั้น แต่ยังสามารถบำรุงจากภายในได้ด้วยสุขภาพจะดีและไม่เสื่อมสภาพเร็วอีกด้วย

สำหรับการออกกำลังกาย นอกจากจะมีส่วนช่วยให้เรามีสุขภาพดีแล้ว การออกกำลังกายทุกประเภทยังมีส่วนช่วยชะลอวัยให้กับเราได้ โดย ดร.คุณัตว์ พิธพรชัยกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยศิลปากร แนะนำว่า การออกกำลังกายที่ทำให้เราดู อ่อนเยาว์นั้น ต้องออกแบบต่อเนื่อง 20-60 นาที เพื่อให้ร่างกายได้มีการใช้ออกซิเจนและเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้ผิวได้รับออกซิเจนได้ในปริมาณที่สูงขึ้น ช่วยให้การเสื่อมสภาพ หรือการคงตัวของผิวได้ยาวนานขึ้น

จะเห็นว่าแค่เรารับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อ ผิวพรรณจะทำให้ร่างกายมีความอ่อนเยาว์ หากจะชะลอวัยก็ควรเริ่มต้นแต่วันนี้

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สีผิวคนไทย เหนือกว่าใครในโลก ไปเปลี่ยนสีผิวกันทำไม?

ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์, พลโท นพ.กฤษฎา ดวงอุไร, พ.ต.หญิง พญ. ภิญญาพัชร์ คเนจร ณ อยุธยา 


เมื่อกันยายนที่ผ่านมา สื่อชื่อดังของอังกฤษ อย่าง เดอะ การ์เดียน เล่นข่าวในทำนองว่า สาวไทยกำลังมีค่านิยมผิดเกี่ยวกับเรื่องสีผิว ต้องการปรับเปลี่ยนสีผิวให้ดูขาวอย่างสาวญี่ปุ่นและเกาหลี โดยสื่อดังกล่าวตั้งข้อสังเกตจากการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผิวในเมืองไทย ต่างก็อวดอ้างสรรพคุณว่า สามารถปรับเปลี่ยนให้ผิวขาวกระจ่างขึ้นได้ภายในระยะเวลารวดเร็ว ทั้งยังมิได้มีแค่ใช้ปรับผิวหน้าหรือผิวตัวเท่านั้น แม้กระทั่งจุดซ่อนเร้นก็ยังมี

ผิดไหม ถ้าอยากมีผิวขาว?...พลโท นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องมีสติ ที่สำคัญสาวไทยควรเข้าใจว่า เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ทำให้คนเรามีสีผิวต่างกัน และไม่อาจเปลี่ยนสีผิวได้อย่างถาวร

การที่คนต่างเชื้อชาติ ต่างเผ่าพันธุ์มีสีผิวไม่เหมือนกันนั้น มีปัจจัยสำคัญอยู่ข้อหนึ่ง คือ ถิ่นฐานที่อยู่ หากอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร สภาพอากาศก็จะเป็นเมืองร้อน แดดแรง ส่งผลให้ร่างกายต้องปรับตัว โดยจะมีการสร้างเม็ดสีขึ้นมามาก เพื่อเป็นเสมือนเกราะป้องกันผิวไหม้ เกิดริ้วรอย และมะเร็งผิวหนัง ฉะนั้น ประเทศใกล้เส้นศูนย์สูตร เช่น ไทย อินโดนีเซีย มาเลย์เซีย ผิวของผู้คนในประเทศดังกล่าวจึงมีสีออกเข้ม เพราะมีเม็ดสีมาก  

หากแบ่งความแตกต่างของสีผิวตามหลักทางการแพทย์แล้ว สามารถแยกได้ 6 ชนิด โดยชนิดที่ 1 ถือเป็นผิวที่ขาวที่สุด ชนิดถัดจากนั้น ผิวจะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ และที่ดำที่สุดคือชนิดที่ 6

พวกที่มีสีผิวชนิดที่ 1 เป็นของคนที่อยู่แถบขั้วโลก พวกเขามีผิวที่ขาวมาก แต่จะสร้างเม็ดสีได้ไม่ค่อยดี ไม่สามารถป้องกันผิวไหม้ได้ ขณะที่ดำที่สุดอย่างชนิดที่ 6 พบในผู้คนแถบเส้นศูนย์สูตร อย่างชาวนิโกร สำหรับผิวของคนไทยหรือแถบเอเชีย ถือว่าเป็นผิวที่ชนิด 3-5 มีการสร้างเม็ดสีได้ดี ผิวสวย ผิวแข็งแรง ริ้วรอยมาช้า มีเพียงแค่ปัญหาฝ้าเท่านั้นที่เกิดขึ้นได้ง่าย

หากถามว่า ทำไมสาวไทยจึงอยากเปลี่ยนสีผิว ให้ขาวอย่างสาวญี่ปุ่นและเกาหลี? พ.ต.หญิง พญ. ภิญญาพัชร์ คเนจร ณ อยุธยา อนุกรรมการประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ เชื่อว่า น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลจากนักแสดงและนักร้องญี่ปุ่น-เกาหลี ประกอบกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งต่างๆ มักพยายามชี้ว่า โอกาสที่ดีเป็นของคนผิวขาวเท่านั้น

ในอดีต เรื่องราวในทำนองนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโรมัน ฝรั่งแถบยุโรป มีความเชื่อว่า ขาวคือความดี ดำคือสิ่งไม่ดี โดยไม่มีตรงกลาง ทั้งยังส่งผลไปถึงเรื่องของสีผิวด้วย ในยุคนั้น คนขาวจะได้รับโอกาสที่ดีทางสังคมทุกด้าน ในทางตรงกันข้าม คนดำกลับถูกมองว่า เป็นทาส เมื่อเป็นเช่นนี้ คนในยุคนั้นจึงพยายามทำผิวให้ขาว

แต่แล้วค่านิยมดังกล่าวก็ค่อยๆ จางลง เมื่อ 'โคโค ชาแนล' ดีไซเนอร์แบรนด์ดังชาวฝรั่งเศส ลุกขึ้นมาปฏิวัติความคิดของผู้คน โดยชี้ว่า คนที่มีผิวขาวจวก ดูซีดเซียว ดูสุขภาพไม่ดี แต่คนที่มีผิวสีแทนต่างหากที่ดูดีกว่า จากนั้น เธอก็ยังนำนางแบบผิวสีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อนำเสนอเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ มีผลให้ความรู้สึกนึกคิดของคนเปลี่ยนไปและยอมรับคนผิวสีกันมากขึ้น

สู่ยุคปัจจุบัน ขณะที่สาวไทยกำลังคลั่งไคล้สีผิวขาวเกินธรรมชาติของตนเองนั้น ฝรั่งต่างชาติกำลังมองไปในทางลบ เห็นได้จากการตีข่าวของสื่อต่างชาติ มีนัยว่า คนเราขาดการสืบค้นข้อมูล และเชื่อคำกล่าวอ้างสรรพคุณโดยง่าย

อย่างไรก็ตาม ในคนที่อยากขาว ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังฯ แนะให้มีสติก่อนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ โดย ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ เตือนให้ตรวจดูส่วนผสมของผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด ที่ใช้แล้วไม่ก่ออันตรายต้องไม่มีสารต้องห้ามที่จัดว่าเป็นเครื่องสำอางผิดกฎหมาย อันประกอบด้วย ปรอท, ไฮโดรควินโนน, และกรดวิตามินเอ เนื่องจากสารเหล่านี้ใช้แล้วจะเกิดการสะสมในร่างกาย เป็นอันตรายต่อผิว โดยเฉพาะสารปรอท ก่อโรคไต ความจำเสื่อม และแขน-ขาอ่อนแรง

ดังนั้น ก่อนซื้อหรือใช้ผลิตภัณฑ์ควรตรวจสอบกับองค์การอาหารและยา (อย.) ว่า เป็นผลิตภัณฑ์ต้องห้ามหรือไม่ และควรติดตามข่าวสาร การประกาศผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง ที่ทางอย.มีการตรวจสอบอยู่สม่ำเสมอ

เมื่อทราบแล้วว่า เหตุใดคนเราจึงมีสีผิวต่างกัน การที่สาวไทยมิได้มีผิวขาวโอโม่เหมือนสาวญี่ปุ่น-เกาหลี ก็เพราะร่างกายต้องสร้างเม็ดสีขึ้นมาเป็นเกราะป้องกันรังสียูวีดังที่กล่าว หากรู้เช่นนี้แล้ว เรายังคิดจะทำลายเกราะป้องกันที่สำคัญนี้อีกหรือ?!.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์


วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำผิวขาวใส ระวังไตเสีย


สาวๆ ที่ชอบทำให้ผิวของตนเองขาวใสเกินจริง ระวังจะเข้าข่ายได้ไม่คุ้มเสีย โดยล่าสุด พล.ท.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เตือนถึงค่านิยมทำผิวให้ขาวใสเกินจริง อาจส่งผลอันตรายต่ออวัยวะภายในและทำผิวเสียได้

พล.ท.นพ.กฤษฎา บอกว่า ปัจจุบันกระแสความนิยมมีผิวขาว ซึ่งเห็นได้จากการโฆษณาของผลิตภัณฑ์ทำผิวขาว ไม่ได้เน้นปรับแค่ผิวหน้าและแขนขาเท่านั้น แต่ยังสร้างกระแสความขาวไปยังผิวบริเวณอื่นๆ เช่น ข้อพับแขน ข้อศอก หัวเข่า และจุดซ่อนเร้น ซึ่งโดยหลักการแล้ว คนเราไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเลย

เหตุที่ไม่ควรเปลี่ยนสีผิวให้ขาวเกินจริง พล.ท.นพ.กฤษฎา เล่าว่า การที่คนเรามีสีผิวที่ต่างกัน เพราะภายในผิวหนังมีเม็ดสี (เมลานิน) ที่ไม่เหมือนกัน โดยเม็ดสีที่ว่าจะมีหน้าที่ดูดกลืนรังสียูวีเอาไว้ ไม่ให้ผ่านมาทำอันตรายถึงผิวหนังชั้นในและอวัยวะภายใน ทั้งยังช่วยป้องกันผิวไหม้พอง มะเร็งผิวหนัง และไม่ให้ใยคอลลาเจนหรืออีลาสตินถูกทำลาย ผิวหนังที่มีใยคอลลาเจนสมบูรณ์จึงไม่มีริ้วรอย ทว่าฤทธิ์ของผลิตภัณฑ์ทำผิวขาวมักพยายามกำจัดปริมาณเม็ดสีเพื่อให้ผิวขาวขึ้น จึงถือเป็นการลดเกราะคุ้มกันตามธรรมชาติที่เรามีอยู่

สำหรับผู้ที่ใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ทำผิวขาว รวมถึงยาทารักษาฝ้า ซึ่งมีหลายประเภท เช่น ยาชนิดทา ซึ่งค่อนข้างปลอดภัยมากกว่ายาชนิดอื่นๆ โดยแนะให้ทาบางๆ เพื่อให้การดูดซึมลงไปเพียงแค่ผิวหนังชั้นต้น ดีกว่าให้ตัวยาซึมลึกเข้าสู่กระแสเลือด จะเกิดอันตรายกับอวัยวะในร่างกายได้ นอกจากนี้ ยาทาควรผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา หรืออย. ก่อน มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ โดยเฉพาะไต และผิวหนัง ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ใช้ยาชนิดรับประทานหรือฉีด เพราะจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายในได้ง่ายและเร็วกว่า

เมื่อรู้แล้วว่า การมีสีผิวตามธรรมชาติมีประโยชน์แค่ไหน การเปลี่ยนสีผิวให้ขาวเกินจริงจึงมิใช่เรื่องจำเป็น หากแต่การปกป้องผิวจากแสงแดดแรงร้อนต่างหากคือสิ่งที่ควรทำ แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ ควรป้องกันผิวด้วยการทาโลชันกันแดดอย่างสม่ำเสมอ กรณีใช้ที่จะสารช่วยให้ผิวขาว ควรใช้ชั่วคราว เพื่อมุ่งหวังผลเพียงฟื้นฟูสภาพสีผิวของเราให้กลับคืนสู่สภาพเดิมจะเหมาะสมกว่า.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ takecareDD@gmail.com

ที่มา : ทำผิวขาวใส ระวังไตเสีย

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เซลลูไลท์ (Cellulite) คืออะไร?

เซลลูไลท์ Cellulite คือ ลักษณะของ เซลล์ไขมัน ที่สะสมอยู่ชั้นบนของ ผิวหนัง โดยจะมีลักษณะ ขรุขระ คล้าย ผิวเปลือกส้ม เป็นก้อนนูน ไม่เรียบเนียน พบบ่อยมาก ในต้นขาและสะโพกของผู้หญิงเราแม้แถวๆ บริเวณช่วงก้น หรือหน้าท้องก็ยังมี แต่ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือต้นขา และสะโพก สืบเนื่องมาจากการบริโภคไขมันต่างๆ ที่เมื่ออายุมากขึ้นและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ก็จะเห็นเซลลูไลท์นี้ ปรากฏชัดเจนตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ที่พร้อมจะเพิ่ม และ พอกพูนขึ้นมาทีละน้อยๆ การนั่งมากๆในชีวิตประจำวัน จะทำให้เนื้อเยื่อ ที่เชื่อมต่อกันด้านและหนาอัน เป็นต้นเหตุแห่งผิวขนมจีน เป็นหยักๆ ลอนคลื่นไม่เรียบเนียนได้อีกด้วย

สาเหตุ ของการเกิด เซลลูไลท์
  1. ฮอร์โมน จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะหญิงมีฮอร์โมนตัวหนึ่ง ที่เรียกว่า เอสโดเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่ทำให้ผู้หญิง สามารถมีบุตรได้ นอกจากนี้ก็ยังทำให้ผิวพรรณของผู้หญิง เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้นอีกด้วย
  2. การขาดออกกำลังกาย การเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อเนื่อง
  3. การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ มีระบบการ ไหลหมุนเวียนของโลหิตที่ไม่ดี ตลอดจนเสื้อผ้าที่ฟิดแน่นจนเกินไป
  4. กรรมพันธ์ แต่ต่างจากกรรมพันธ์ ในเรื่องของเล็บ หรือสีและลักษณะเส้นผม ตรงที่เราสามารถต่อกร หรือเปลี่ยนแปลงสภาพเจ้าเซลลูไลท์ได้
  5. ดื่มน้ำน้อย เพราะน้ำช่วยการทำงาน ของระบบขับของเสีย และช่วยขับพิษออกจากร่างกาย กำหนดว่าควรดื่มน้ำแปดแก้วต่อวัน เป็นอย่างน้อย
  6. การลดความอ้วนแบบผอมด่วนฮวบฮาบ จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเกิดเซลลูไลท์ อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจากร่างกายเกิดการตอบรับว่า ไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ และต้องพยายามสะสมสารอาหารในร่างกาย เพื่อความอยู่รอด การสะสมอาหารและไขมันนี่เอง ที่ทำให้ช่วยก่อเซลลูไลต์ ไขมันเหล่านี้ จะกั้นเส้นเลือด และติดหนึบอยู่ในเนื้อเยื่อ จึงทำให้ระบบกำจัดสารพิษ และ ของเสียไร้ประสิทธิภาพ
  7. การสูบบุหรี่ ทำร้ายทั้งผิวทั้งปอด ทำให้ผิวอ่อนแอ เส้นเลือดฝอยหดตัว และยังทำให้เนื้อเยื่อ ที่เชื่อมต่อกันถูกทำลาย อันเป็นผลให้เกิด คลื่นเซลลูไลท์
  8. ความเครียด เป็นผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวหนัก เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อ ก็ขมวดเกร็งตามไปด้วย ความตึงเครียด ยังไปขวางเนื้อเยื่อ ไม่ให้กำจัดของเสีย และล้างเลือดให้สะอาด
  9. การใช้ยาลดความอ้วน ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงาน ตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบชำระเลือด อันนำไปสู่ปัญหาเซลลูไลท์ ยามคุมกำเนิด ประเภทรับประทาน ซึ่งไปเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เซลไขมันขยายตัว และเก็บน้ำจนบวม ร่างกายก็ไม่มีน้ำ พอที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย สุดท้ายก็กลายเป็นเซลลูไลท์
วิธีกำจัด และ ป้องกันการเกิดเซลลูไลท์ ที่นิยมทำกันในปัจจุบัน 
  1. Mesotherapy เป็นวิธีการที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการกำจัด เซลล์ลูไลท์ การลดน้ำหนัก การรักษาด้วย Mesotherapy คือ การฉีด สารสกัด จาก ถั่วเหลือง และ วิตามิน ชนิดต่างๆ โดยสารเหล่านี้ จะ ทำให้ เซลล์ไขมัน มีลักษณะทางกายภาพเปลี่ยนไป ทำให้การสะสมของ ไขมัน ลดลงและยังเป็นการกระตุ้นให้ ไขมัน สะสมถูกปล่อยออกมาด้วย
  2. Carboxy คือ การลด ไขมัน เฉพาะที่ด้วย ก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซที่ละลายน้ำได้ดี สลายตัวได้เร็ว และพบว่าเมื่อฉีด คาร์บอนไดออกไซด์ เข้าไปยัง ชั้น ไขมัน ใต้ผิวหนัง จะช่วยเพิ่มการขยายตัวของเส้นเลือดและทำให้เซลล์ ไขมัน สลายตัวและถูกกำจัดออกไป นี้นับเป็นเทคนิคใหม่ในการขจัด เซลลูไลท์ หรือ ลดไขมัน เฉพาะส่วนที่ไม่ต้องการ อย่างเช่น บริเวณ หน้าท้อง ใต้ท้องแขน สะโพก น่อง บริเวณ ก้น บริเวณ น่อง ที่โต หรือ สะโพก ที่ใหญ่เกินไป
  3. ออกกำลังกาย อย่าลืมว่าการออกกำลังกายนั้น นอกจากทำให้ร่างการแข็งแรงแล้ว ยังทำให้ระบบในร่างกายปรับสภาพความสมดุลได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเดินเร็วๆ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ หรือการเต้นแอโรบิค ซึ่งควรออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30-40 นาทีขึ้นไปจะดีมากทีเดียว การออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกายออกไปได้ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม อีกทั้งกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆ ของร่างกายก็ยังกระชับได้สัดส่วนอีกด้วย
  4. การขัดถูผิว การขัดผิว ด้วยแปรงหรือใย ขัดผิว ระหว่างอาบน้ำ จะเป็นการช่วยเรื่อง การระบายของเหลว และกระตุ้น ระบบหมุนเวียนโลหิต และน้ำเหลืองได้ดีขึ้น รวมทั้งยังช่วยกำจัดสารพิษออกจาก ผิวหนัง การ ขัดผิว ควรจะขัดในลักษณะ เคลื่อนที่เป็นวงกลม นอกจากนี้ควรใช้เจลอาบน้ำ หรือสบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง หรือเกิดการระคายเคือง โดยทั่วไปใช้เวลาในการขัดถูผิว 2 - 3 นาที
  5. เลือกรับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น ผักและผลไม้ที่มีกากใยมากๆ จะช่วยในเรื่องของระบบ ขับถ่าย และควรงดรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต แป้ง น้ำตาล อาหารรสเค็ม ไขมันสัตว์ กาแฟ แอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้ยากที่จะขจัดออกจากร่างกาย
  6. การออกกำลังกาย การที่ น้ำหนัก ของร่างกายขึ้น หรือลดลงเร็วเกินไป ผิวจะเสียการยืดหยุ่น และเกิดรอยย่นของ เซลลูไลท์ ส่วนการออกกำลังกายจะช่วยทำให้ เซลลูไลท์ ที่สะสมอยู่สลายตัว และ กระชับขึ้นการออกกำลังกายที่ได้ผลดีนั้น ได้แก่ การเดินออกกำลัง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เป็นต้น
  7. ใช้ครีมหรือโลชั่นนวดขจัดเซลลูไลท์ ครีม หรือ โลชั่นทาผิว ที่ใช้ช่วยในการขจัด เซลลูไลท์ โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนี้ ต้องได้รับการทดสอบแล้วว่า สามารถทำให้ เซลลูไลท์ ดูเบาบางลงได้ และยังช่วยในการปรับสภาพผิวได้ด้วย ซึ่งการนวดจะช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น และยังเป็นการทำให้ น้ำมันซึมสู่ผิวหนังได้ดีขึ้น การนวด ช่วยกระตุ้นประสิทธิภาพ ระบบการกำจัดของเสีย ของร่างกาย ด้วยการจัดการกล้ามเนื้อ เร่งการไหลเวียนโลหิต และระบบต่อมน้ำเหลืองที่ช่วยย่อยไขมัน การนวดเฉพาะส่วน ในบริเวณที่ปกติ การไหลเวียนเป็นไปไม่สะดวกเช่น หัวเข้าด้านในและต้นขาจะให้ผลยอดเยี่ยม ลองนวดขาตัวเองเป็นรูปวงกลม พร้อมทั้งบีบปั้นเนื้อส่วนนั้นไปพร้อมๆกัน วันละ 2-3 นาทีเพื่อละลายไขมันและกำจัดพิษ
และหากคุณอยากรู้ว่า คุณมีเจ้าเซลลูไลท์นี้หรือไม่ ลองจับผิวด้วยการใช้มือบีบเข้าหากัน ที่ปรากฏเป็นผิวขรุขระเหมือนผิวลูกกอล์ฟ หรือผิวส้มนั่นละ เซลลูไลท์ในตัวคุณ ถ้าคุณมีก็อย่ารั้งรอที่จะออกกำลังกาย และลดการบริโภคตามใจปากกันได้แล้ว


.

.