เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ NEWS แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ NEWS แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คุณผอมแต่ซ่อนไขมันไว้หรือเปล่า?

“ฉันกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น ก็แค่เกิดมาผอม”….ในขณะที่คนมากมายต้องต่อสู้กับปัญหาน้ำหนักตัว เมื่อได้ยินใครบางคนพูดอย่างภาคภูมิใจว่า พวกเขารักษารูปร่างให้ผอมบางไว้ได้ง่ายดายขนาดไหน จะดีแค่ไหนถ้าคุณมีรูปร่างอย่างที่หวัง โดยไม่ต้องกังวลว่ากินอะไรเข้าไปบ้าง หรือจะต้องไปโหมออกกำลังกายอย่างหนักทีหลัง

แต่โชคร้ายที่แม้แต่คนรูปร่างผอมบางก็อาจเป็นโรคอ้วนได้ ถึงแม้รอบเอวคุณจะเล็กกิ่ว แขนขาจะเพรียวยาว แต่สิ่งที่อยู่ข้างในต่างหากที่สำคัญ ถ้าร่างกายของคุณมีกล้ามเนื้อไม่เพียงพอแถมยังมีไขมันมากเกินไป คุณก็อาจมีปัญหาสุขภาพตามมาได้ ความจริงก็คือการเป็นคนผอมไม่ได้หมายถึงการมีสุขภาพดีเสมอไป

ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ นายแพทย์ ดร. เดวิด ฮีเบอร์ ประธานสถาบันโภชนาการเฮอร์บาไลฟ์ และประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวในการสัมภาษณ์กลุ่มงานประชุมเฮอร์บาไลฟ์ เอ็กซ์ตร้าวาแกนซ่า กรุงเทพฯ ระบุว่า “แม้บางคนจะไม่จัดว่าอ้วนเมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่ที่จริงพวกเขาอาจเป็นโรคอ้วน เพราะมีอัตราส่วนของไขมันในร่างกายสูงเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว”

คนที่เป็นโรค “ผอมซ่อนอ้วน” ก็คือคนผอมที่สวมใส่เสื้อผ้าแล้วดูดี แต่ที่จริงแอบอ้วนอยู่ข้างใน และคนจำนวนมากที่เป็นโรคอ้วนแบบนี้มักไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญปัญหาสุขภาพอยู่ ดร. เดวิด ฮีเบอร์ เรียกภาวะนี้ว่า TOFI – Thin Outside, Fat Inside หรือผอมข้างนอกแต่อ้วนข้างใน ซึ่งแม้แต่คนที่มีดัชนีมวลกายปกติ (BMI) ก็อาจมีไขมันภายในร่างกายสูงได้อย่างน่าแปลกใจ (BMI หรือ Body Mass Index คือดัชนีวัดความอ้วนที่เป็นมาตรฐาน คำนวณได้โดยเอาน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงมีหน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง)

ปัจจุบันการวัดไขมันสามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่แม่นยำที่สุดคือการชั่งน้ำหนักในน้ำ (Underwater Weighing) แต่วิธีนี้มีราคาแพงและต้องทำในห้องปฏิบัติการเท่านั้น อีกทางเลือกหนึ่งในการวัดไขมันในปัจจุบัน คือการวัดค่า BIA หรือ Bioelectric Impedance Analysis โดยใช้เครื่องวัดไขมัน ซึ่งเป็นการวัดองค์ประกอบของร่างกายจากความต้านทานไฟฟ้า โดยอาศัยคุณสมบัติที่แตกต่างกันระหว่างไขมันกับกล้ามเนื้อ เมื่อได้ค่าความต้านทานออกมาแล้ว เครื่องจะนำไปคำนวณโดยอาศัยปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ส่วนสูง น้ำหนัก เพศ อายุ ฯลฯ แล้วแปลผลออกมา

นอกจากนี้ยังมีวิธีง่าย ๆ ที่ใช้กันทั่วไป คือใช้เครื่องวัดไขมันเฉพาะจุดซึ่งมีลักษณะเหมือนปากคีบขนาดใหญ่ คีบลงบนผิวหนังเพื่อวัดไขมันจากความหนาของผิวที่ถูกคีบขึ้น ตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณหน้าท้องซึ่งมีไขมันสะสมอยู่ภายใต้ แต่วิธีนี้อาจไม่ตอบโจทย์กับการวัดได้ทั้งหมด เนื่องจากไม่สามารถวัดไขมันที่อยู่ลึกลงไป หรือไขมันตามต้นขาและหน้าอกได้

ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ นพ.ดร. ฮีเบอร์ เน้นย้ำว่าเราไม่ควรกังวลกับไขมันที่เห็นภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ควรใส่ใจกับไขมันที่ซ่อนอยู่ภายในด้วย “คนที่มีระดับไขมันในร่างกายสูงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลายชนิด เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ และมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น”

“ในความเป็นจริง ไขมันภายในร่างกายเหล่านี้ถูกซ่อนอยู่ในไขมันที่ห่อหุ้มอวัยวะสำคัญ ซึ่งจะพอกพูนต่อเนื่องไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งาน และไปอออยู่รอบหัวใจ ไขมันชนิดนี้จึงเป็นอันตรายมากกว่าไขมันภายนอกซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง แถมคนที่มีไขมันชนิดนี้ยังดูผอมด้วย” ดร. ฮีเบอร์ กล่าวเสริม

ที่มา : คุณผอมแต่ซ่อนไขมันไว้หรือเปล่า?

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มะหาด ขาว หลอกลวง?

ด้วยความที่ผมเป็นคนขวางโลก ประกอบกับตอนเรียน จะโดนปลูกฝังให้เป็นคนช่างสงสัย
ผมเลยหาข้อมูลของมะหาด ว่ามันทำให้ขาวขึ้นจริงๆ หรือเพราะสารอะไร

สิ่งที่ผมค้นพบ ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยยิ่งกว่าเดิม
เพราะว่าทุกเว็บจะคัดลอกผลการวิจัยมาเหมือนกัน ดังนี้
มะหาด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Artocarpus lakoocha Roxb. ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นที่สามารถพบได้โดยทั่วไปในประเทศไทย ปกติแล้ว เรามักใช้เปลือก ราก และแก่น มาต้มดื่มหรือบดเป็นผงชง เพื่อลดไข้ ถ่ายพยาธิ ถอนพิษร้อน ส่วนที่เราใช้มาผสมในเครื่องสำอาง คือ สารสกัดจาก“แก่น” ค่ะ โดยมีการศึกษาวิจัยพบว่าสารธรรมชาติในกลุ่มสติลบีน (stilbene) หลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส หนึ่งในสารกลุ่มนี้คือ ออกซิเรสเวอราทรอล (oxyresveratrol หรือ trans-2,4,3,5- tetrahydroxystilbene ) ที่สกัดจากแก่นของมะหาด ยับยั้งการเกิดของเอนไซม์ไทโรซิเนสได้มากถึง 10 เท่า (กิตติศักดิ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ และคณะ แห่งคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) จากการทดลองในสัตว์และมนุษย์ในระยะสั้นพบว่า สามารถทำให้ผิวขาวได้มากขึ้น

รายละเอียดของการทดลองคือ ผลการทดลองพบว่า ครีมมะหาดมีประสิทธิภาพในการลดความเข้มของสีผิวในหนูตะเภา ต่อมาได้ทำการศึกษาในอาสาสมัครจำนวน 4 คน โดยทาสารสกัดจากแก่นมะหาดที่แขนวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ และทำการวัดค่าความเข้มของสีผิวด้วยเครื่อง Mexameter พบว่าแขนที่ทาด้วยสารสกัดจากแก่นมะหาดมีแนวโน้มให้ค่าความเข้มของสีผิวลดลง โดยไม่มีอาการแพ้หรือระคายเคือง ในที่สุดผู้วิจัยได้ศึกษาในอาสาสมัครจำนวนมากขึ้น คือ 60 คน ในระยะเวลา 12 สัปดาห์ โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 20 คน เป็นเพศหญิง อายุ 20–48 ปี มีสภาพผิวหนังปกติ จากการทาสารสกัดที่ต้นแขนของอาสาสมัครวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจาก ชะเอมและกรดโคจิก ผลการทดลองพบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจากมะหาด จะมีผิวขาวขึ้นเรื่อยๆ ความขาวของสีผิวจะเห็นผลในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์ และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญตามระยะเวลาที่ทำการทดลอง นอกจากนี้ ยังไม่พบอาการแพ้หรือระคายเคืองผิวแต่อย่างใด
และข้อความอีกชุด ที่มักถูกใช้โฆษณา คือ
ศูนย์ผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ศึกษาการใช้สารสกัด 5% oxyresveratrol จากสมุนไพรแก่นมะหาดในการรักษาฝ้า ได้ผลดีไม่แตกต่างจากยาทา 2% Hydroquinone (ยาทาฝ้าชนิดออกฤทธิ์แรงที่จ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น) และพบผลข้างเคียงเล็กน้อย
ถอดใจความออกมา จะเห็นว่า พูดถึงแต่ข้อดีจนน่าสงสัย นั่นก็คือ
  • ช่วยยับยั้งการสร้างเมลานิน ช่วยให้ขาวขึ้น
  • มีฤทธิ์รักษาฝ้าเทียบเท่าไฮโดรควิโนน
  • ไม่มีผลข้างเคียง หรือพบเพียงเล็กน้อย
ซึ่งบอกตรงๆ… ผมไม่เชื่อ!!!
ผมเลยค้นหาต้นตอของข้อมูล และได้ข้อมูลประกอบดังนี้
  • เคยมีการวิจัยมะหาดโดยแพทย์จุฬาฯ เมื่อปี 2551
  • ผู้จัดการออนไลน์ มีข่าว “มะหาด รักษาเริม” แต่ไม่มีข่าว “มะหาดทำให้ขาว” ตามที่เว็บขายสินค้ากล่าวอ้าง
  • ผลการวิจัยของคณะแพทย์ มศว.
    • รักษาฝ้าได้เทียบเท่าไฮโดรควิโนน
    • ไม่มีรายงานยืนยันว่าทำให้ขาว และผลในระยะยาว
    • ผลข้างเคียงเยอะ และเกิดอาการแพ้ได้
และผมมาเจอหลักฐานชิ้นสำคัญอีกชิ้นคือ บทสัมภาษณ์เจ้าของผลงานชิ้นนี้ บนเว็บ เดลินิวส์ : ชี้แจงกระแสใช้ 'มะหาด' เป็นสารช่วยให้ 'ผิวขาว' - X-RAY สุขภาพ

รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.ภาคภูมิ เต็งอำนวย ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมวิจัย
ซึ่งเนื้อข่าวยาวมาก ผมจึงตัดมาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจดังนี้
  • ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ผิวคนไทยจึงมีสีเข้ม
  • ค่านิยมอยากขาว ทำให้สินค้าจากเมืองนอกเป็นที่นิยม
  • เป็นเรื่องดี ถ้าหันมาใช้สินค้าไทย ( มะหาด )
  • รศ. ดร. ภาคภูมิ ตกใจที่เห็นข่าวสินค้ามะหาดอยู่มากมาย
  • ขั้นตอนและผลการวิจัย
    • แก่นมะหาดและสารสำคัญที่มีอยู่ คือ ออกซีเรสเวอราทรอล (oxyresveratrol)
    • ออกซีเรสเวอราทรอล สามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรสิเนส ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการสร้างเม็ดสีเมลานิน
    • เริ่มยืนยันผลในสัตว์ทดลองคือหนูตะเภา พบว่าทำให้สีผิวอ่อนจางลง
    • ขยายผลการทดลองมาเป็นอาสาสมัคร 60 คน พบว่าประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ ปวกหาดและออกซีเรสเวอราทรอลไม่แตกต่างกัน
  • ข้อจำกัด
    • ความคงตัว สารสกัดจากแก่นมะหาดที่ใช้เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จะมีสีเหลืองอ่อน ๆ ซึ่งเมื่อเก็บไว้ไม่เกิน 3 เดือน สีก็จะเข้มขึ้นจนท้ายสุดจะเป็นสีน้ำตาล นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ปริมาณออกซีเรสเวอราทรอลและฤทธิ์ในการต้านเอนไซม์ไทโรสิเนส พบว่าก็จะลดลงตามระยะเวลาด้วย
    • คุณภาพ ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา เปอร์เซ็นต์ของออกซีเรสเวอราทรอลต้องมากกว่า 80% ขึ้นไป ถึงจะมั่นใจได้ว่ามีฤทธิ์ต้านไทโรสิเนส
    • ทรัพยากร มะหาดเป็นไม้ยืนต้นซึ่งใช้เวลาหลายปีจึงจะโต และต้องโค่นต้นเพื่อเอาแก่นมาใช้ การจะผลิตสารจากแก่นมะหาดอย่างยั่งยืนต้องมีการวางแผนการเพาะปลูกที่ดี ไม่ใช่ตัดมาจากธรรมชาติอย่างเดียว
    • ผลจากการใช้ แก่นมะหาดจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไปและเปลี่ยนแปลงไม่มาก อย่างดีที่สุดคือช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาใกล้เคียงกับสภาพดั้งเดิมตามกรรมพันธุ์ของตน
นอกจากนี้ ผมได้รับข้อมูลจากการสนทนาในกลุ่มวงการความงาม
ได้ข้อมูลเพิ่มอีกคือ มะหาดขาวจริง แต่ต้องเป็นส่วนของ “แก่น”
แต่สินค้าที่วางขายปัจจุบัน ใช้ส่วนของ กิ่ง, ก้าน ซึ่งไม่มีส่วนช่วยให้ขาว

เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ผมจะสรุปให้ฟังสั้นๆง่ายๆดังนี้
  • สินค้าแต่ละล๊อต อาจมีคุณภาพไม่เท่ากัน เพราะแต่ละต้นมีประสิทธิภาพไม่เท่ากัน
  • สินค้ามะหาด ต้องประกอบด้วยออกซีเรสเวอราทรอล 80% ขึ้นไป ถึงจะช่วยให้ขาว
  • มะหาดที่แท้จริง จะค่อยๆขาว และขาวขึ้นไม่มาก และจะไม่ขาวกว่าสีผิวจริง ซึ่งอาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความต่าง
  • ยังไม่มีผลวิจัย ผลกระทบจากการใช้งานในระยะยาว
  • มีโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เพราะ 2 สถาบัน วิจัยได้ผลต่างกัน จึงควรปลอดภัยไว้ก่อน
  • ไม่ควรใช้แบบที่มีความเข้มข้นเกิน 5% เพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียงสูง
เมื่อได้หลักฐานข้อมูลที่ต้องการมาทั้งหมดแล้ว เครื่องหมายคำถามก็เกิดขึ้นในหัวผม

ผลวิจัยบอกว่า ขาวอย่างช้าๆ และมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความต่าง

แล้วที่วางขาย ใช้แล้วขาวทันที มันใส่อะไรในนั้น !

Source:

http://www.research.chula.ac.th/rs_news/2551/N006_22.htm

http://erk-erk.exteen.com/20120530/q-a-1
http://www.dailynews.co.th/article/1490/133547
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079892

ที่มาของบทความ : มะหาด ขาว หลอกลวง?

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

ระวังไข้หวัดนกสายพันธุ์ "เอช7เอ็น9" (H7N9)

ทั่วโลกกำลังจับตา กรณีพบประชาชนติดเชื้อและเสียชีวิตจาก ไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช7เอ็น9 (H7N9) ในประเทศจีน

ทั่วโลกกำลังจับตา กรณีพบประชาชนติดเชื้อและเสียชีวิตจาก ไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช7เอ็น9 (H7N9) ในประเทศจีน ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่เคยพบผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ดังกล่าว แต่ก็ประมาทไม่ได้ ด้วยเหตุนี้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค จึงได้เตรียมพร้อมรับมือ ระดมผู้เชี่ยวชาญทั้งภายในกระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัย กรมปศุสัตว์ และผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข เพื่อประเมินสถานการณ์เป็นระยะ ซึ่งในวันที่ 18 เม.ย.นี้จะมีการประชุมติดตามเรื่องนี้ โดย ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ ที่ปรึกษาคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และที่ปรึกษากรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าที่เป็นประธาน

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า ไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช 7 เอ็น 9 ที่พบในประเทศจีน เริ่มมีรายงานเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 19 ก.พ.-3 เม.ย. 2556

ต่อมาวันที่ 31 มี.ค. 2556 ทางการสาธารณสุขจีนได้ประกาศให้ทราบว่า ชันสูตรยืนยันได้ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เรียกชื่อเป็นทางการว่า โนเวล อินฟลูเอนซา เอ (เอช7เอ็น9) ไวรัส หรือ novel influenza A (H7N9) virus คำว่า โนเวล (novel) แปลว่า “ใหม่” ได้จากผู้ป่วยที่เจ็บหนักขั้นวิกฤติ 3 ราย

ตัวเลข ณ วันที่ 10 เม.ย. 2556 มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อดังกล่าว 33 ราย อยู่ในมณฑลเซี่ยงไฮ้ 15 ราย เจียงสู 10 ราย เจ้อเจียง 6 ราย และ อันฮุย 2 ราย ในจำนวนผู้ป่วย 33 ราย เสียชีวิตแล้ว 9 ราย ทุกรายไม่มีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยากัน

ทั้งนี้มีผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายที่ได้รับการชันสูตรยืนยันแล้วว่าติดเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช7เอ็น 9 ประมาณ 700 คน กำลังอยู่ในระหว่างการติดตามตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่

สำหรับการเกิดโรคเป็นกลุ่มก้อนหรือเป็น “คลัสเตอร์” นั้น มีรายงานว่าในครอบครัวหนึ่ง ที่อาจถือได้ว่าเป็นคลัสเตอร์เล็ก ๆ เป็นผู้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายแรก แต่ก็เป็นรายงานที่ไม่มีการชันสูตรยืนยันที่ชัดเจน

ในเจียงสู กำลังมีการสอบค้นผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วย แหล่งแพร่โรคที่ผู้ป่วยไปติดเชื้อมา และวิธีการที่ไปรับเชื้อมา กำลังอยู่ระหว่างการวิเคราะห์สอบค้นเช่นกัน เหตุการณ์ครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เอช7เอ็น9 ที่มีการชันสูตรยืนยันอย่างแน่ชัด

ไวรัสนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร นักวิทยาศาสตร์ด้านอณูวิทยาของจีน ได้ทำการวิเคราะห์แล้วทราบว่า ไวรัสเกิดจากการผสมทางพันธุกรรมที่เรียกกันว่า รีคอมบิเนชั่น (recombination) ของไวรัสเอช 9 เข้ากับไวรัสเอ็น 7 ของเป็ดไก่ตามบ้านของจีน จึงมีการกลายพันธุ์ ได้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่คือ เอช7เอ็น 9

ไวรัสสายพันธุ์นี้ ทำให้สัตว์ปีกติดเชื้อได้ง่าย แต่สัตว์ไม่ล้มเจ็บ และไม่ตาย ผิดกับไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 (H5N1) เมื่อไก่ติดเชื้อ จะล้มเจ็บและตายเรียบ การติดเชื้อสายพันธุ์ เอช7เอ็น9 จึงไม่มีข้อสังเกตว่า สัตว์ตัวใดจะติดเชื้อแล้ว หรือยังไม่ติดเชื้อ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงการติดเชื้อสายพันธุ์นี้ในมนุษย์มีอาการุนแรง ทำท่าว่าจะรุนแรงกว่าเอช5เอ็น1 ทั้งนี้ประเมินจากผู้ป่วยที่มีอยู่ไม่มาก แต่เสียชีวิตถึง 9 ราย ที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ต่างมีอาการหนักทั้งสิ้น

จากการสำรวจสุกร ยังไม่พบว่าติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ ปกติ สุกรจะไวต่อการติดเชื้อไข้หวัดนกและเป็นเหมือนถังผสมที่จะก่อให้เกิดกระบวนการรีคอมบิเนชั่น กลายเป็นสายพันธุ์ใหม่ได้ง่าย ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ มีการตรวจพบในไก่เป็น ๆ ในตลาดสดนครเซี่ยงไฮ้ ทางการจึงสั่งปิดตลาดสดและทำลายไก่ไปกว่า 3 แสนตัว นอกจากนั้น ยังตรวจพบเชื้อไวรัสได้ ในมูลนกพิราบ นกกระทา

ในแง่การรักษา ไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่เอช7เอ็น9 ยังไวต่อยาต้านโอเซลทามิเวียร์ และซานามิเวียร์ จึงน่าที่จะนำไปใช้รักษาได้เหมือนไข้หวัดนกเอช5เอ็น1 โดยในขณะนี้กำลังวิเคราะห์ประเมินผลการรักษาอยู่

ความเสี่ยงของประชาชนทั่วไป คือ

ในขณะนี้พอจะทราบว่าไวรัสมีอยู่ในสัตว์ชนิดใด แต่ แหล่งรังโรคที่แพร่เชื้อมาสู่มนุษย์ที่แท้จริงอยู่ที่ไหน และผู้ป่วยไปติดเชื้อมาได้โดยวิธีใด หรืออย่างไรนั้น ยังไม่ชัดเจน ความเสี่ยงในประเด็นนี้ ยังไม่มีคำอธิบาย

คำถามที่ว่า โรคนี้จะเข้ามาในประเทศไทยหรือไม่ คงตอบได้ยาก เท่าที่ประเมินดู ยังมีความเสี่ยงน้อย แต่เข้าสู่ฤดูร้อน มีการเคลื่อนย้ายของนกป่ามาจากทางเหนือของทวีป จึงทำให้ทำนายได้ยากยิ่งขึ้น

ทั้งทางด้านสาธารณสุข ด้านสัตวสาธารณสุข (สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง) ต้องร่วมมือกันเฝ้าระวังอย่างเต็มที่และเข้มงวด ไม่ใช่เฝ้าระวังเฉพาะไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช7เอ็น9 เท่านั้น แต่ต้องไม่ละเลยในการเฝ้าระวังสายพันธุ์เดิมคือ เอช5เอ็น1 ด้วย เพราะยังมีการระบาดของสายพันธุ์นี้อยู่ทั้งในสัตว์และในมนุษย์ที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย และเตรียมความพร้อมทั้งด้านการเฝ้าระวัง ด้านการชันสูตรทางห้องปฏิบัติการ ให้คำแนะนำวางแนวทางการรักษาพยาบาล เตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม การให้ความรู้และคำแนะนำทางวิชาการที่ถูกต้องแก่ประชาชนโดยทั่วไปเพื่อให้ระวังป้องกันตัวเองโดยไม่ให้ตื่นตระหนก

มาตรการอนามัยส่วนบุคคล เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ยังต้องนำมาปฏิบัติอีก โดยเฉพาะการล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาด ล้างด้วยแอลกอฮอล์เจล ต้องเน้นให้ปฏิบัติเป็นกิจวัตร ไม่ไปสัมผัสสัตว์ปีกโดยไม่มีความจำเป็น โดยเฉพาะสัตว์ที่กำลังล้มป่วยหรือตาย การชำแหละสัตว์ที่กำลังล้มเจ็บ เพื่อนำไปประกอบอาหารต้องละเว้นอย่างเด็ดขาด ซากสัตว์ให้ฝังดินให้ลึกอย่างน้อยครึ่งเมตรและกลบด้วยปูนขาวก่อนจึงกลบด้วยดิน

องค์การอนามัยโลก ยังไม่จำกัดการเดินทางเข้าออกจากประเทศจีน ไม่ห้ามการทำมาค้าขายกับจีน และยังไม่แนะนำให้ตั้งจุดตรวจผ่านแดนแต่อย่างใด.

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ : ข้อมูล

ที่มา : ระวังไข้หวัดนกสายพันธุ์ "เอช7เอ็น9"

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

'โรคไขมันเกาะตับ' ตอน 2


ไขมันเกาะตับ (Nonalcoholic fatty liver disease (NAFLD) หมายถึงภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับโดยที่คนนั้นไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์หรือดื่มในปริมาณที่น้อยมาก โดยที่ไขมันจะทำให้เกิดการอักเสบของตับและเกิดพังผืด ซึ่งถ้าเป็นไปในระยะยาวก็กลายเป็นโรคตับแข็งได้

เมื่อเป็นโรคไขมันเกาะตับ จะมีการดำเนินโรคอย่างไร?
  1. ผู้ป่วยไขมันเกาะตับที่มีภาวะอักเสบหรือมีพังผืดร่วมด้วย พบว่าร้อยละ 20 หรือ 1 ใน 5 กลายเป็นตับแข็งและร้อยละ 37 เริ่มมีพังผืดในตับ  
  2. มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ถึงร้อยละ 10 เมื่อได้รับการวินิจฉัยโรคมานาน 10 ปีผู้ป่วยกลุ่มใดที่จะมีการดำเนินโรคไปเป็นตับแข็ง......?
โดยทั่วไปใช้เวลา 10-20 ปี กว่าจะเกิดตับแข็งและพบได้ 1 ใน 5 ของผู้ป่วยโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาวะต่าง ๆ ต่อไปนี้

โรคอ้วน (BMI ยิ่งสูง ยิ่งไม่ดี โดยเฉพาะค่า BMI ที่มากกว่า 35 กก./ม2)

เบาหวาน

อายุมากกว่า 45 ปี

ค่าการทำงานตับมีอัตราส่วน AST/ALT มากกว่า 1

ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพบว่าเป็นโรคตับแข็งได้เร็วขึ้นจุดมุ่งหมายของการรักษามีดังนี้คือ

ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง

โรคอ้วน

ป้องกันการเกิดภาวะตับแข็งด้วยการลดการอักเสบของตับ

ป้องกันการเกิดมะเร็งที่อาจพบแทรกซ้อนได้

โรคไขมันเกาะตับที่มีภาวะอักเสบหรือมีพัง ผืดร่วมด้วยจะรักษาได้หรือไม่? อย่างไร?
  1. มุ่งลดปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูงที่พบร่วมด้วยให้ดี 
  2. ต้องลงมือปฏิบัติโดยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวัน จึงจะได้ผลในการรักษา ดังนี้
    • งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลงจนเลิกดื่ม
    • ควบคุมอาหารที่มีพลังงานสูงเกินความต้องการร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
  3. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พบว่า มีผลต่อการลดภาวะอักเสบของตับได้อย่างชัดเจน ซึ่งยืนยันได้จากทั้งผลตรวจเลือดค่าทำงานตับหรือผลการเจาะตับ
    • เดินรอบสวนลุมพินี 2.5 กม. ใช้เวลา 20-30 นาที ได้ 3,100 ก้าว (150-280 กิโลแคลอรี ขึ้นกับ ความเร็วที่ใช้เดิน)
    • เดินให้ได้ 10,000 ก้าว/วัน จะได้ 450-800 กิโลแคลอรี หรือดูกิจกรรมที่ทำได้ดังในตารางที่ 1 
    • ควรวางเป้าหมายไว้ที่ 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ (ไม่ควรเกิน 1.6 กิโลกรัมต่อสัปดาห์) โดยเลือกกิจกรรมการออกกำลังกายที่เป็นการออกกำลังกายระดับปานกลาง 
    • การออกกำลังกายในระดับสูง (High intensity physical activity) จะช่วยเผาผลาญไขมันคิดเป็นพลังงานได้ประมาณ 2 เท่า ของการออกกำลังกายในระดับปานกลางแต่อาจจะมีผลเสียต่อข้อและกระดูก
การขี่จักรยานมักต้องใช้ระยะเวลานานกว่าการเดินเร่งหรือวิ่ง เพราะเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ลงน้ำหนัก (Non-Weight-Bearing)

ส่วนวิธีประเมินผลว่าเป็นการออกกำลังกายในระดับ moderate intensity physical activity หรือไม่ทำได้ดังนี้

ให้ใช้อัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งคำนวณจากค่า (220 ลบ อายุ) คูณ (ร้อยละ 50-70) เช่น ผู้ป่วยอายุ 40 ปี เมื่อออกกำลังกายในระดับปานกลางแล้วควรมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ (220–40) x 0.5 = 90 หรือ (220–40) x 0.7 = 126 หรือมีอัตราการเต้นของหัวใจระหว่าง 90-126 ครั้ง/นาที

ข้อมูลจาก
  1. นายแพทย์สมบัติ ตรีประเสริฐสุข ศูนย์โรคตับและปลูกถ่ายตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
  2. นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์ 
ที่มา : 'โรคไขมันเกาะตับ' ตอน 2 - ชีวิตและสุขภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

"โรคไขมันเกาะตับ" ตอน 1

ปัจจุบันสังคมไทยโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย มีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตประจำวันไปเป็นแบบสังคมคนเมืองสมัยใหม่ ที่มีพฤติกรรมการกิน เปลี่ยนแปลงไปโดยบริโภคอาหารปรุงสำเร็จมากขึ้น บริโภคอาหาร ขนมหวาน มันเพิ่มขึ้น กินผักผลไม้น้อยลง ทำงานในตึกหรือ ออฟฟิศมากขึ้น และไม่มีเวลาออกกำลังกาย ลักษณะดังกล่าว ทำให้มีปัญหาโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลของโครงการคนไทยไร้พุง ที่สนับสนุนโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยอายุ 20-29 ปี ภาวะโรคอ้วนเพิ่มจากร้อยละ 2.9 เป็นร้อยละ 21.7 หรือเพิ่มขึ้น 7.5 เท่า และในกลุ่มอายุ 40-49 ปี เพิ่มขึ้น 1.7 เท่า นอกจากนี้ยังมีข้อมูลผลการสำรวจของกรมอนามัย ในประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศของปี พ.ศ. 2550 พบว่ามีภาวะอ้วนลงพุงในเพศชายร้อยละ 24 และเพศหญิงร้อยละ 61.5 ซึ่งเป็นปัญหาที่มีความสำคัญ นอกจากนี้ภาวะโรคอ้วนและโรคไขมันตับยังมีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก โดยพบว่าความชุกของโรคอ้วนในปี ค.ศ.2006 ของสหรัฐอเมริกา มีสูงถึงร้อยละ 20-30 และกลุ่มนี้จะพบความชุกของโรคไขมันตับได้สูงถึงร้อยละ 70-80 ดังนั้นการแนะนำให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงหลักการรักษาที่สำคัญและทำได้ด้วยตนเองก็คือ การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย จะเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่สำคัญที่ช่วยลดทั้งปัญหาโรคอ้วนและไขมันตับได้ โดย ในบทความในตอนที่ 1 จะแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักไขมันตับในเบื้องต้น รวมถึงหลักการคุมอาหาร ลดน้ำหนักอย่างไร ให้ได้ผลโรคไขมันเกาะตับคืออะไร

ไขมันเกาะตับ (Nonalcoholic fatty liver disease (NAFLD) หมายถึงภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับโดยที่คนนั้นไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์หรือดื่มในปริมาณที่น้อยมาก โดยที่ไขมันจะทำให้เกิดการอักเสบของตับและเกิดพังผืด ซึ่งถ้าเป็นไปในระยะยาวก็กลายเป็นโรคตับแข็งได้ ภาวะไขมันเกาะตับพบบ่อยแค่ไหน

มีความชุกของโรคไขมันเกาะตับ (NAFLD) สูงถึงร้อยละ 40 ของประชากรทั่วไป

ไขมันเกาะตับพบได้บ่อยขึ้นในคนบางกลุ่ม เช่น
  • คนอ้วนพบถึงร้อยละ 37-90
  • ผู้ป่วยเบาหวานพบร้อยละ 50-62
ภาวะไขมันเกาะตับมักมีโรคที่พบร่วมด้วย โดยเฉพาะภาวะอ้วนลงพุงหรือเมตาโบลิค ซินโดรม (Metabolic syndrome)

เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินพบได้ 1 ใน 3

ไขมันในเลือดสูงพบได้ 2 ใน 3

โรคอ้วนใช้เกณฑ์ดัชนีมวลกาย มากกว่า 28 กก./เมตร2 คำนวณโดยดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว (กก.)

ส่วนสูง (เมตร)2

หรือใช้เส้นรอบเอว ก็ช่วยบ่งชี้โรคอ้วนได้โดยดูจากเส้นรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว ในผู้ชายหรือมากกว่า 32 นิ้ว ในผู้หญิง

การวินิจฉัยภาวะไขมันเกาะตับ

มีความผิดปกติของค่าทำงานตับ

มีประวัติดื่มแอลกอฮอล์น้อยมากคือ น้อยกว่า 20 กรัม/วัน หรือไม่ดื่มเลย และไม่พบสาเหตุอื่น ๆ ของตับอักเสบ เช่น ยา สมุนไพร โรคตับจากไวรัส เป็นต้น

ผลการเจาะตับมีลักษณะพยาธิวิทยาที่พบไขมันแทรกอยู่เกินร้อยละ 5 และ/หรือมีการอักเสบร่วมด้วย

ผลตรวจอัลตราซาวด์พบว่ามีไขมันเกาะตับ

หมายเหตุ แอลกอฮอล์ 10 กรัม/วัน = เบียร์ 350 มล. หรือ ไวน์ 120 มล. หรือบรั่นดี 45 มล. ซึ่งเรียกว่า 1 ดริ๊งค์ (drink)สามารถวินิจฉัยภาวะไขมันเกาะตับได้อย่างไรบ้าง?
  1. การเจาะตับ
  2. การตรวจเลือดเพื่อแยกสาเหตุอื่น
  3. ตรวจอัลตราซาวด์ตับ
เนื้อตับที่แพทย์เจาะมาช่วยบอกอะไรบ้าง?

ช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคไขมันเกาะตับ

ช่วยบอกความรุนแรงของโรคว่าเนื้อตับมีการอักเสบ มีพังผืดมากน้อยเพียงใดตับแข็งหรือไม่

ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยเชื่อว่ามีโรคที่รุนแรงจริงและลงมือปฏิบัติปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันถ้ากังวลและไม่ต้องการเจาะตับจะวินิจฉัยโรคนี้ได้หรือไม่.....? อย่างไร.....?

ปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีการตรวจหาพังผืดในตับ โดยไม่ต้องเจาะตับ ซึ่งก็มีหลายวิธีที่มีข้อมูลวิจัยสนับสนุนอยู่ เช่น การตรวจเลือด Fibrosis test ที่ช่วยจำแนกความรุนแรงของพยาธิวิทยาของตับได้ว่ามีพังผืดมากน้อยเพียงใด ปัญหาคือราคาแพงอยู่มาก นอกจากนี้ยังมีเครื่องวัดความยืดหยุ่นของตับหรือ Transient Elastrography (Fibro-scanR) ที่มีหลักการของเครื่องมือโดยใช้อุปกรณ์ส่งคลื่นความถี่ระดับ 50 Hz ผ่านบริเวณตำแหน่งที่ใช้ในการเจาะตับคือ บริเวณด้านสีข้างตัดกับแนวลิ้นปี่โดยให้ผู้ป่วยนอนหงาย คลื่นดังกล่าวจะวัดความยืดหยุ่นของตับในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังลงไปประมาณ 1-2.5 นิ้ว ส่วนขนาดของเนื้อตับที่ตรวจวัดก็มีขนาด 1 x 4 ซม. ซึ่งมีปริมาตรที่มากกว่าชิ้นเนื้อจากการเจาะตับถึง 100 เท่า ปัจจุบันสามารถตรวจได้ในโรงเรียนแพทย์หลายแห่ง รวมทั้งที่คณะแพทยศาสตร์จุฬาฯด้วย แต่ข้อจำกัดคือยังไม่มีใช้อย่างแพร่หลายและค่าที่วัดได้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้โดยเฉพาะในคนที่อ้วนมาก ๆ

ข้อมูลจาก นายแพทย์สมบัติ ตรีประเสริฐสุข ศูนย์โรคตับและปลูกถ่ายตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์.

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

ที่มา : "โรคไขมันเกาะตับ" ตอน 1 - ชีวิตและสุขภาพ

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

ชะลอวัย... ด้วยตัวเราเอง

ต้องยอมรับว่า วันนี้กระแสชะลอวัยมาแรง เพราะคนยุคใหม่ไม่เพียงแค่ต้องการการมีสุขภาพดียืนยาว เฉกเช่นในอดีตเท่านั้น แต่ยังต้องการคงความอ่อนเยาว์ ดูดีไว้ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

แล้วเราจะชะลอวัยกันอย่างไร?
ศ.น.พ.ธัมม์ทิวัตถ์ นรารัตน์วันชัย นายกสมาคม เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลในงานสัมมนาวิชาการ "แนวทางการดูแลสุขภาพให้ดูดีและอ่อนเยาว์" ซึ่งสมาคมเวชศาสตร์ชะลอวัยฯ ชมรมโภชนวิทยามหิดล วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก และ ผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองดีน่าได้จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ว่า แนวทางการดูแลสุขภาพให้ดูดีและอ่อนเยาว์นั้น ควร เริ่มต้นจากตัวเรา โดยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและปราศจากโรคต่างๆ เพราะเมื่อสุขภาพร่างกายอยู่ในภาวะที่แข็งแรง จิตใจเราจะไม่เครียด และจะส่งผลให้หน้าตาผิวพรรณดูเปล่งปลั่งอ่อนกว่าวัยด้วย ซึ่งเราทุกคนสามารถเรียนรู้ และนำไปปฏิบัติได้ ด้วยการดูแลสุขภาพ แบบองค์รวม และ ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตใหม่อย่างถูกต้อง เริ่มตั้งแต่เรื่องอาหาร ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพดีและอ่อนเยาว์ เราควรกินอาหารให้เป็นยา เพราะอาหารเป็นสิ่งที่เราต้องรับประทานเข้าไปทุกวัน การออกกำลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ

และต้องตัดพฤติกรรมที่บั่นทอนสุขภาพ คือ งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีน รวมถึงอาหารประเภททอด ปิ้ง หรือย่าง หลีกเลี่ยงแดดจัดในช่วง 09.00-15.00 น. และเลี่ยงภาวะตึงเครียดต่าง ๆ ที่จะทำให้สุขภาพจิตเสื่อมลง จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพของเราให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ด้าน ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล อาจารย์นักโภชนาการ จากชมรมโภชนวิทยามหิดล ระบุว่า ในการดูแลสุขภาพผิวพรรณให้ดูดีและอ่อนเยาว์ของ หนุ่ม - สาว ยุคใหม่ มักจะให้ความสำคัญกับการดูแลจากภายนอก การใช้เครื่องสำอางแพงๆ หรือการพึ่งนวัตกรรมใหม่ๆ ทางการแพทย์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการดูแลจากภายนอกจะช่วยได้เพียง 30% เพราะผิวหนังไม่ใช่กระเพาะอาหาร จึงไม่สามารถดูดซึมเครื่องสำอางได้ทั้งหมด

ส่วนการทำศัลยกรรม ก็เป็นการแก้ไขเฉพาะจุด แต่อวัยวะข้างใน หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีก็จะเสื่อมและถดถอยไปตามอายุที่มากขึ้น ทางที่ดีควรดูแลร่างกายทั้งระบบจากภายใน ด้วยการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงการที่เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผัก ผลไม้ และ งาดำ

โดยเฉพาะในงาดำนั้นจะมีทั้งแคลเซียมและไฟเบอร์สูง ซึ่งจะช่วยไปดักจับไขมัน และสารก่อมะเร็งต่างๆ ให้ขับออกจากร่างกายได้มากขึ้น อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระสูง ที่ได้จากวิตามินอีในงาดำ เป็นวิตามินอีจากธรรมชาติที่ได้จากอาหาร จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี มากกว่าการซื้อวิตามินอีสกัดมารับประทานเอง สารต้านอนุมูลอิสระในงาดำ จึงมีส่วนช่วยชะลอวัยได้โดยการที่ร่างกายสามารถขับของเสียได้เร็วกว่าเดิม ทำให้การสะสมของสารพิษในร่างกายลดลง ร่างกายทำงานน้อยลง

ซึ่งมีการศึกษาออกมาแล้วว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูง หรือการรับประทานผักผลไม้ จะดูมีความอ่อนเยาว์มากกว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่ำ และไม่เพียงแต่ชะลอวัยจากภายนอกเท่านั้น แต่ยังสามารถบำรุงจากภายในได้ด้วยสุขภาพจะดีและไม่เสื่อมสภาพเร็วอีกด้วย

สำหรับการออกกำลังกาย นอกจากจะมีส่วนช่วยให้เรามีสุขภาพดีแล้ว การออกกำลังกายทุกประเภทยังมีส่วนช่วยชะลอวัยให้กับเราได้ โดย ดร.คุณัตว์ พิธพรชัยกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยศิลปากร แนะนำว่า การออกกำลังกายที่ทำให้เราดู อ่อนเยาว์นั้น ต้องออกแบบต่อเนื่อง 20-60 นาที เพื่อให้ร่างกายได้มีการใช้ออกซิเจนและเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้ผิวได้รับออกซิเจนได้ในปริมาณที่สูงขึ้น ช่วยให้การเสื่อมสภาพ หรือการคงตัวของผิวได้ยาวนานขึ้น

จะเห็นว่าแค่เรารับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อ ผิวพรรณจะทำให้ร่างกายมีความอ่อนเยาว์ หากจะชะลอวัยก็ควรเริ่มต้นแต่วันนี้

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

DNA : The Next Wave on Discovery CHANNEL


พบกับนักวิทยาศาสตร์ใน Discovery CHANNEL


ดร.โจ ชาง หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ นู สกิน ร่วมกับ ดร.ริชาร์ด ไวน์ดรัช และ ดร.โทมัล พรอลล่า ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันไลฟ์เจน ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนต์สารคดีทางช่องดิสคัฟเวอรี่ ชาแนล ในชื่อตอนว่า DNA : The Next Wave โดยจะเริ่มออกอากาศในภูมิภาคเอเซีย และ แปซิฟิคใต้ ระหว่างวันที่ 22 และ 30 ธันวาคม 2555

เนื้อหาของเรื่อง จะกล่าวถึงเทคโนโลยีดีเอ็นเอ ในการเข้ามามีบทบาท ต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คน รวมถึงมุมมองของเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่มีต่อการแสดงออกของยีนส์และโภชนศาสตร์ที่มีผลต่อกระบวนการเสื่อมชรา

ดิสคัฟเวอรี่ ชาแนล เป็น 1 ในช่องออกอากาศสารคดีที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และ มีมากกว่า 186 ล้านรายที่เป็นสมาชิกในเอเซีย แปซิฟิค (ประเทศในแถบเอเซีย แปซิฟิค)
ตารางออกอากาศของประเทศไทย
29 ธันวาคม 55  เวลา 19:00 น.
30 ธันวาคม 55  เวลา 19:00 น.
27 กุมภาพันธ์ 56  เวลา 22:00 น.
28 กุมภาพันธ์ 56  เวลา 9:00 น. และ 15:00 น.

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

“โรคเมลิออยด์” - คุณหมอขอบอก


ในแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตด้วย “โรคเมลิออยด์” ไม่ต่ำกว่า 1,000 คน โดยเฉพาะในภาคอีสาน แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้จัก ไม่คุ้นชื่อโรคนี้ ทำให้ขาดความรู้ในการดูแลและป้องกันตัวเอง

นพ.ดิเรก ลิ้มมธุรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาสุขวิทยาเขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า โรคเมลิออยด์เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอยู่ในดินในน้ำบ้านเราเยอะที่สุดในโลก โรคนี้ทำให้ผู้ป่วยตายเป็นใบไม้ร่วงทุกปีในช่วงฤดูฝน พบมากในภาคอีสาน เชื้อแบคทีเรียนี้ก็อยู่ในดินของมัน เวลาคนไปสัมผัสดิน สัมผัสน้ำ หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อแบคทีเรียนี้เข้าไปทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นการติดโรคจากธรรมชาติ แต่โรคนี้ไม่ได้แพร่จากคนสู่คน

ที่น่ากลัวคือบ้านเราเกษตรกรทำนาด้วยเท้าเปล่ามือเปล่า ชาวนาจึงมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ โดยเชื้อจะผ่านเข้าทางผิวหนังได้โดยตรง ไม่ต้องมีแผลอะไร ทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด เข้าปอด สมอง เกิดภาวะติดเชื้อและเสียชีวิต ขณะเดียวกันเรื่องน้ำดื่มก็น่าห่วงเพราะจากการลงไปสัมผัสชีวิตชาวบ้าน พบว่า 50% ดื่มน้ำฝน 25% ดื่มน้ำบ่อ น้ำบาดาล 10% ดื่มน้ำประปาหมู่บ้าน ส่วนอีก 10% มีฐานะพอจะซื้อน้ำดื่มได้ โดยน้ำที่ชาวบ้านดื่มนั้นผลการตรวจพบว่า มีเชื้อนี้ปนเปื้อนอยู่ประมาณ 10% ซึ่งเป็นเชื้อที่อยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติอยู่แล้ว อย่างน้ำประปาหมู่บ้านหลายแห่งจะตรวจเฉพาะเชื้ออี.โคไล เป็นหลักไม่ได้ดูเชื้อนี้ พอชาวบ้านดื่มน้ำโดยไม่ต้ม ไม่ได้กรองอาจทำให้ได้รับเชื้อ ดังนั้นจึงอยากกระตุ้นให้ชาวบ้านต้มน้ำให้สะอาดก่อนดื่มทุกครั้งไม่ว่าน้ำบ่อ น้ำบาดาล หรือน้ำประปาหมู่บ้าน

ประมาณ 75% ของคนไข้มาโรงพยาบาลช่วงหน้าฝน โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงหว่านดำทำนา มิ.ย. ก.ค. อีกช่วงคือประมาณ ต.ค. พ.ย. เกี่ยวข้าว ปัจจัยหลัก คือ คนไข้ออกไปทำไร่ไถนา

อาการที่ปรากฏ คือ มีไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส นอกจากนี้อาจมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ปอดบวม ปอดอักเสบ ปวดท้อง ช็อก ซึ่งจะทำให้คนไข้เสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วภายใน 2 วัน

ถามว่าการวินิจฉัยยากหรือไม่ ตอบว่ายากเพราะอาการไม่จำเพาะ คือ ไข้สูง โลหิตเป็นพิษ มันเป็นเชื้ออะไรก็ได้ หมอจึงมักพูดว่าโลหิตเป็นพิษติดเชื้อ ถามว่า ณ วันนี้หมอรู้จักโรคนี้หรือไม่ หมอรู้จักดี ห้องปฏิบัติการรู้จักดี แต่คนไข้เท่านั้นที่ยังไม่รู้

พอคนไข้เสียชีวิตส่วนใหญ่หมอจะบอกว่าติดเชื้อในกระแสเลือด โลหิตเป็นพิษ หรือบางทีก็บอกว่าเป็นไข้โดยไม่ทราบสาเหตุแล้วเสียชีวิต เนื่องจากการวินิจฉัยยาก ต้องใช้เวลากว่าจะยืนยันผลได้ว่าเป็นโรคนี้อาจต้องใช้เวลานานถึง 7 วัน อีกทั้งไม่ค่อยมีการประชาสัมพันธ์โรคนี้ประชาชนจึงไม่ค่อยรู้

วิธีการรักษาหากสงสัยติดเชื้อในกระแสเลือด ต้องให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียทันที ระหว่างรอผลจากห้องปฏิบัติการ (แล็บ) จะไม่รอผลเลือด ถ้าผลแล็บออกมาว่าเป็นเชื้อเมลิออยด์ แล้วคนไข้ยังมีชีวิตอยู่ต้องให้ยาฆ่าเชื้อจนครบ 14 วันเป็นอย่างน้อย พออาการดีขึ้นแล้วก็ต้องให้ยารับประทานต่อเนื่องอีก 5 เดือน เพื่อฆ่าเชื้อในร่างกายออกให้หมด ถ้าฆ่าเชื้อไม่หมด คนไข้อาจเสี่ยงกลับมาเป็นซ้ำและทำให้เสียชีวิตได้ ต้องบอกว่าเชื้อตัวนี้ทนเหมือนวัณโรค แต่ดุกว่า

โอกาสป่วยตายกี่เปอร์เซ็นต์? นพ. ดิเรก กล่าวว่า อัตราการตายในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ เฉพาะภาคอีสานอัตราการตายสูงที่สุด ทั้งนี้ในแต่ละปีมีผู้ป่วยที่มีผลแล็บยืนยัน 2,000 ราย คาดว่าตัวเลขผู้ป่วยน่าจะมากกว่านี้ เพราะจำนวนผู้ป่วย 2,000 คนเป็นตัวเลขที่เพาะเชื้อขึ้น แต่มีส่วนหนึ่งที่เพาะเชื้อไม่ขึ้น

ปัจจุบันมีการวิจัยวัคซีนโรคนี้หรือไม่? นพ.ดิเรก กล่าวว่า เชื้อตัวนี้รุนแรงขนาดอเมริกาจัดเป็นอาวุธชีวภาพ เป็นหนึ่งในเชื้อแบคทีเรียที่นำไปทำอาวุธชีวภาพได้ อเมริกามีงบประมาณสำหรับทำวัคซีนเยอะมาก และพยายามพัฒนาวัคซีนตัวนี้อยู่ แต่ยังไปได้ไม่ไกลนัก ในประเทศไทยไม่มีงบประมาณวิจัยทำวัคซีนตัวนี้ ถ้าจะยืมจมูกประเทศอื่นหายใจก็คงไม่ได้ใช้ เพราะอเมริกาพัฒนาไปในทางป้องกันอาวุธชีวภาพให้ทหารของเขาได้ใช้ ไม่เหมือนกับวัคซีนที่เราอยากให้คนไทยได้ใช้ป้องกันชีวิตจริง ๆ ดังนั้นประเทศไทยควรสนใจตรงนี้ด้วย มิฉะนั้นก็มุ่งไปที่การรักษาอย่างเดียว ไม่มีวัคซีนใช้



ท้ายนี้อยากบอกว่าโรคเมลิออยด์เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ ในกรณีที่ต้องสัมผัสดินหรือน้ำ เช่น ทำนา ทำสวน จับปลา ควรใส่เครื่องป้องกัน เช่น รองเท้าบู๊ต ถุงมือยาง และควรทานอาหารที่สุกสะอาด ดื่มน้ำต้มสุก.



นวพรรษ บุญชาญ รายงาน


วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สีผิวคนไทย เหนือกว่าใครในโลก ไปเปลี่ยนสีผิวกันทำไม?

ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์, พลโท นพ.กฤษฎา ดวงอุไร, พ.ต.หญิง พญ. ภิญญาพัชร์ คเนจร ณ อยุธยา 


เมื่อกันยายนที่ผ่านมา สื่อชื่อดังของอังกฤษ อย่าง เดอะ การ์เดียน เล่นข่าวในทำนองว่า สาวไทยกำลังมีค่านิยมผิดเกี่ยวกับเรื่องสีผิว ต้องการปรับเปลี่ยนสีผิวให้ดูขาวอย่างสาวญี่ปุ่นและเกาหลี โดยสื่อดังกล่าวตั้งข้อสังเกตจากการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผิวในเมืองไทย ต่างก็อวดอ้างสรรพคุณว่า สามารถปรับเปลี่ยนให้ผิวขาวกระจ่างขึ้นได้ภายในระยะเวลารวดเร็ว ทั้งยังมิได้มีแค่ใช้ปรับผิวหน้าหรือผิวตัวเท่านั้น แม้กระทั่งจุดซ่อนเร้นก็ยังมี

ผิดไหม ถ้าอยากมีผิวขาว?...พลโท นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องมีสติ ที่สำคัญสาวไทยควรเข้าใจว่า เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ทำให้คนเรามีสีผิวต่างกัน และไม่อาจเปลี่ยนสีผิวได้อย่างถาวร

การที่คนต่างเชื้อชาติ ต่างเผ่าพันธุ์มีสีผิวไม่เหมือนกันนั้น มีปัจจัยสำคัญอยู่ข้อหนึ่ง คือ ถิ่นฐานที่อยู่ หากอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร สภาพอากาศก็จะเป็นเมืองร้อน แดดแรง ส่งผลให้ร่างกายต้องปรับตัว โดยจะมีการสร้างเม็ดสีขึ้นมามาก เพื่อเป็นเสมือนเกราะป้องกันผิวไหม้ เกิดริ้วรอย และมะเร็งผิวหนัง ฉะนั้น ประเทศใกล้เส้นศูนย์สูตร เช่น ไทย อินโดนีเซีย มาเลย์เซีย ผิวของผู้คนในประเทศดังกล่าวจึงมีสีออกเข้ม เพราะมีเม็ดสีมาก  

หากแบ่งความแตกต่างของสีผิวตามหลักทางการแพทย์แล้ว สามารถแยกได้ 6 ชนิด โดยชนิดที่ 1 ถือเป็นผิวที่ขาวที่สุด ชนิดถัดจากนั้น ผิวจะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ และที่ดำที่สุดคือชนิดที่ 6

พวกที่มีสีผิวชนิดที่ 1 เป็นของคนที่อยู่แถบขั้วโลก พวกเขามีผิวที่ขาวมาก แต่จะสร้างเม็ดสีได้ไม่ค่อยดี ไม่สามารถป้องกันผิวไหม้ได้ ขณะที่ดำที่สุดอย่างชนิดที่ 6 พบในผู้คนแถบเส้นศูนย์สูตร อย่างชาวนิโกร สำหรับผิวของคนไทยหรือแถบเอเชีย ถือว่าเป็นผิวที่ชนิด 3-5 มีการสร้างเม็ดสีได้ดี ผิวสวย ผิวแข็งแรง ริ้วรอยมาช้า มีเพียงแค่ปัญหาฝ้าเท่านั้นที่เกิดขึ้นได้ง่าย

หากถามว่า ทำไมสาวไทยจึงอยากเปลี่ยนสีผิว ให้ขาวอย่างสาวญี่ปุ่นและเกาหลี? พ.ต.หญิง พญ. ภิญญาพัชร์ คเนจร ณ อยุธยา อนุกรรมการประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ เชื่อว่า น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลจากนักแสดงและนักร้องญี่ปุ่น-เกาหลี ประกอบกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งต่างๆ มักพยายามชี้ว่า โอกาสที่ดีเป็นของคนผิวขาวเท่านั้น

ในอดีต เรื่องราวในทำนองนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโรมัน ฝรั่งแถบยุโรป มีความเชื่อว่า ขาวคือความดี ดำคือสิ่งไม่ดี โดยไม่มีตรงกลาง ทั้งยังส่งผลไปถึงเรื่องของสีผิวด้วย ในยุคนั้น คนขาวจะได้รับโอกาสที่ดีทางสังคมทุกด้าน ในทางตรงกันข้าม คนดำกลับถูกมองว่า เป็นทาส เมื่อเป็นเช่นนี้ คนในยุคนั้นจึงพยายามทำผิวให้ขาว

แต่แล้วค่านิยมดังกล่าวก็ค่อยๆ จางลง เมื่อ 'โคโค ชาแนล' ดีไซเนอร์แบรนด์ดังชาวฝรั่งเศส ลุกขึ้นมาปฏิวัติความคิดของผู้คน โดยชี้ว่า คนที่มีผิวขาวจวก ดูซีดเซียว ดูสุขภาพไม่ดี แต่คนที่มีผิวสีแทนต่างหากที่ดูดีกว่า จากนั้น เธอก็ยังนำนางแบบผิวสีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อนำเสนอเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ มีผลให้ความรู้สึกนึกคิดของคนเปลี่ยนไปและยอมรับคนผิวสีกันมากขึ้น

สู่ยุคปัจจุบัน ขณะที่สาวไทยกำลังคลั่งไคล้สีผิวขาวเกินธรรมชาติของตนเองนั้น ฝรั่งต่างชาติกำลังมองไปในทางลบ เห็นได้จากการตีข่าวของสื่อต่างชาติ มีนัยว่า คนเราขาดการสืบค้นข้อมูล และเชื่อคำกล่าวอ้างสรรพคุณโดยง่าย

อย่างไรก็ตาม ในคนที่อยากขาว ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังฯ แนะให้มีสติก่อนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ โดย ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ เตือนให้ตรวจดูส่วนผสมของผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด ที่ใช้แล้วไม่ก่ออันตรายต้องไม่มีสารต้องห้ามที่จัดว่าเป็นเครื่องสำอางผิดกฎหมาย อันประกอบด้วย ปรอท, ไฮโดรควินโนน, และกรดวิตามินเอ เนื่องจากสารเหล่านี้ใช้แล้วจะเกิดการสะสมในร่างกาย เป็นอันตรายต่อผิว โดยเฉพาะสารปรอท ก่อโรคไต ความจำเสื่อม และแขน-ขาอ่อนแรง

ดังนั้น ก่อนซื้อหรือใช้ผลิตภัณฑ์ควรตรวจสอบกับองค์การอาหารและยา (อย.) ว่า เป็นผลิตภัณฑ์ต้องห้ามหรือไม่ และควรติดตามข่าวสาร การประกาศผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง ที่ทางอย.มีการตรวจสอบอยู่สม่ำเสมอ

เมื่อทราบแล้วว่า เหตุใดคนเราจึงมีสีผิวต่างกัน การที่สาวไทยมิได้มีผิวขาวโอโม่เหมือนสาวญี่ปุ่น-เกาหลี ก็เพราะร่างกายต้องสร้างเม็ดสีขึ้นมาเป็นเกราะป้องกันรังสียูวีดังที่กล่าว หากรู้เช่นนี้แล้ว เรายังคิดจะทำลายเกราะป้องกันที่สำคัญนี้อีกหรือ?!.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์


วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำผิวขาวใส ระวังไตเสีย


สาวๆ ที่ชอบทำให้ผิวของตนเองขาวใสเกินจริง ระวังจะเข้าข่ายได้ไม่คุ้มเสีย โดยล่าสุด พล.ท.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เตือนถึงค่านิยมทำผิวให้ขาวใสเกินจริง อาจส่งผลอันตรายต่ออวัยวะภายในและทำผิวเสียได้

พล.ท.นพ.กฤษฎา บอกว่า ปัจจุบันกระแสความนิยมมีผิวขาว ซึ่งเห็นได้จากการโฆษณาของผลิตภัณฑ์ทำผิวขาว ไม่ได้เน้นปรับแค่ผิวหน้าและแขนขาเท่านั้น แต่ยังสร้างกระแสความขาวไปยังผิวบริเวณอื่นๆ เช่น ข้อพับแขน ข้อศอก หัวเข่า และจุดซ่อนเร้น ซึ่งโดยหลักการแล้ว คนเราไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเลย

เหตุที่ไม่ควรเปลี่ยนสีผิวให้ขาวเกินจริง พล.ท.นพ.กฤษฎา เล่าว่า การที่คนเรามีสีผิวที่ต่างกัน เพราะภายในผิวหนังมีเม็ดสี (เมลานิน) ที่ไม่เหมือนกัน โดยเม็ดสีที่ว่าจะมีหน้าที่ดูดกลืนรังสียูวีเอาไว้ ไม่ให้ผ่านมาทำอันตรายถึงผิวหนังชั้นในและอวัยวะภายใน ทั้งยังช่วยป้องกันผิวไหม้พอง มะเร็งผิวหนัง และไม่ให้ใยคอลลาเจนหรืออีลาสตินถูกทำลาย ผิวหนังที่มีใยคอลลาเจนสมบูรณ์จึงไม่มีริ้วรอย ทว่าฤทธิ์ของผลิตภัณฑ์ทำผิวขาวมักพยายามกำจัดปริมาณเม็ดสีเพื่อให้ผิวขาวขึ้น จึงถือเป็นการลดเกราะคุ้มกันตามธรรมชาติที่เรามีอยู่

สำหรับผู้ที่ใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ทำผิวขาว รวมถึงยาทารักษาฝ้า ซึ่งมีหลายประเภท เช่น ยาชนิดทา ซึ่งค่อนข้างปลอดภัยมากกว่ายาชนิดอื่นๆ โดยแนะให้ทาบางๆ เพื่อให้การดูดซึมลงไปเพียงแค่ผิวหนังชั้นต้น ดีกว่าให้ตัวยาซึมลึกเข้าสู่กระแสเลือด จะเกิดอันตรายกับอวัยวะในร่างกายได้ นอกจากนี้ ยาทาควรผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา หรืออย. ก่อน มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ โดยเฉพาะไต และผิวหนัง ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ใช้ยาชนิดรับประทานหรือฉีด เพราะจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายในได้ง่ายและเร็วกว่า

เมื่อรู้แล้วว่า การมีสีผิวตามธรรมชาติมีประโยชน์แค่ไหน การเปลี่ยนสีผิวให้ขาวเกินจริงจึงมิใช่เรื่องจำเป็น หากแต่การปกป้องผิวจากแสงแดดแรงร้อนต่างหากคือสิ่งที่ควรทำ แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ ควรป้องกันผิวด้วยการทาโลชันกันแดดอย่างสม่ำเสมอ กรณีใช้ที่จะสารช่วยให้ผิวขาว ควรใช้ชั่วคราว เพื่อมุ่งหวังผลเพียงฟื้นฟูสภาพสีผิวของเราให้กลับคืนสู่สภาพเดิมจะเหมาะสมกว่า.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ takecareDD@gmail.com

ที่มา : ทำผิวขาวใส ระวังไตเสีย

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำความรู้จักมะเร็งร้ายอีกชนิด ‘จีสต์’ ฝันร้ายของระบบทางเดินอาหาร แตกต่างจากมะเร็งกระเพาะ ลำไส้อย่างไร?


แพทย์หญิงสุดสวาท เลาหวินิจ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย


เราอาจคุ้นหูโรคมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ แต่หากเอ่ยถึง 'มะเร็งจีสต์' จะมีกี่คนรู้จัก?

ที่งานแถลงข่าว 10 ปี แห่งนวัตกรรมการรักษาโรคมะเร็งจีสต์ แพทย์หญิงสุดสวาท เลาหวินิจ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย เล่าว่า มะเร็งจีสต์ (GIST : Gastrointestinal Stromal Tumor) หรือมะเร็งเนื้อเยื่อ ในทางเดินอาหารชนิดจีสต์ เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งของระบบทางเดินอาหาร เกิดขึ้นได้ตามส่วนต่างๆ ของระบบทางเดินอาหาร มักพบป่วยในคนวัย 50 ปีขึ้นไป

คีย์เวิร์ดสำคัญที่ทำให้มะเร็งชนิดนี้แตกต่างไปจากมะเร็งกระเพาะ มะเร็งลำไส้ หรือมะเร็งส่วนอื่นของทางเดินอาหารทั่วไป คือ มะเร็งจีสต์จะต้องเกิดจากความผิดปกติของโปรตีนชนิดหนึ่งชื่อ คิท (KIT) ที่อยู่บนผิวของเซลล์ปกติ คอยทำหน้าที่ส่งสัญญาณภายในเซลล์ เพื่อแจ้งให้เซลล์ขยายตัวเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

ทว่า เมื่อเซลล์ชื่อ คิท ผิดปกติ สัญญาณจะถูกส่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้การแบ่งตัวของเซลล์เกิดความผิดปกติ เป็นเหตุให้เนื้องอกยิ่งเจริญเติบโตขึ้นนั่นเอง ทั้งนี้ในการวินิจฉัยให้รู้แน่ชัด โดยพยาธิแพทย์จะต้องนำชิ้นเนื้อตัวอย่างไปตรวจในห้องปฏิบัติการณ์ด้วยการย้อมสีโปรตีนคิท หากพบว่าเป็นมะเร็งจีสต์ ผลการตรวจโปรตีนคิทมักจะเป็นค่าบวก

สำหรับมะเร็งจีสต์นั้น ในอเมริกา พบป่วย 4,000–5,000 รายต่อปี ในไทยพบป่วยปีละ 250 ราย ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับมะเร็งของระบบทางเดินอาหารชนิดอื่น แต่มีอัตราการเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี

อาการของโรค มักไม่แสดงให้เห็นในขณะที่เนื้องอกมีขนาดเล็ก แต่แพทย์อาจตรวจพบโดยบังเอิญ หรือผู้ป่วยเริ่มมีอาการเพราะเนื้องอกโตขึ้น ดังเช่นกรณีของนายสำราญ สมใจ ผู้ป่วยมะเร็งจีสต์ ร่วมเล่าถึงอาการที่เกิดขึ้นกับตนเองว่ามีทั้งปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร รู้สึกอิ่มเร็วหลังจากรับประทานอาหารไปเล็กน้อย น้ำหนักลด มีปัญหาในการกลืนอาหาร อุจจาระมีเลือดปน คลำเจอก้อนในช่องท้อง

อย่างไรก็ตาม การรักษามีหลายวิธี บางรายผ่าตัดชิ้นเนื้อในช่องท้องออกไป แต่โอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำก็มีค่อนข้างสูง หรือจะใช้วิธีแบบดั้งเดิม คือ การรักษาด้วยเคมีบำบัด และการฉายรังสี แต่สำหรับผู้ป่วยมะเร็งจีสต์ กลับพบว่า มีการดื้อต่อการฉายรังสีและเคมีบำบัด และโรคมักกลับเป็นซ้ำอีกหรือมีการแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆ ได้

ปัจจุบันการรักษามะเร็งจีสต์มีความก้าวหน้ามากขึ้น หากก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ อาจทำให้แพทย์ไม่สามารถผ่าตัดได้ทันที ต้องลดขนาดก้อนมะเร็งโดยให้ผู้ป่วยรับประทานยา ที่สำคัญคือ ยายับยั้งเอนไซม์ไทโรซีน ไคเนส

กระทั่งก้อนมะเร็งลดลง จึงทำการผ่าตัดออก จากนั้นจะให้การรักษาเสริมด้วยยากลุ่มออกฤทธิ์ต่อเป้าหมาย หรือออกฤทธิ์เฉพาะเซลล์มะเร็ง ไม่ทำลายเซลล์ดี ยากลุ่มดังกล่าวเรียกว่า ทาร์เก็ต เธอร์ราปี (Targeted Therapy) เช่น ยาอิมมาตินิบ ให้กับผู้ป่วยหลังผ่าตัดก้อนมะเร็งจีสต์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค และลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของยาที่ใช้รักษานั้นมีราคาค่อนข้างแพง แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าผู้ป่วยที่ทุนทรัพย์ไม่พร้อมจะหมดทางเข้าถึงยา เพราะยังมีโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติจีแพป โดยโนวาร์ตีส เป็นการมอบยาอิมมาตินิบให้ผู้ป่วยมะเร็งจีสต์ทั่วโลก แบบไม่คิดมูลค่า ซึ่งผู้ป่วยสอบถามได้จากแพทย์ผู้รักษา ปัจจุบัน มีผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการกว่า 50,000 รายในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ส่วนในไทยช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งจีสต์ ไปแล้ว 524 คน

เมื่อใครๆ ต่างก็ไม่อยากป่วยด้วยโรคมะเร็ง ขออย่าละเลยการตรวจสุขภาพ และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย หากผิดปกติควรปรึกษาแพทย์โดยด่วน โดยเฉพาะมะเร็ง รู้ทันโรคเร็วเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มโอกาสหาย.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ takecareDD@gmail.com

ที่มา : ‘มะเร็งจีสต์’ ฝันร้ายระบบทางเดินอาหาร

หวานซ่อนคม "รู้ทันสารแทนน้ำตาล"

หลายคน คงเคยมีข้อสงสัยว่า บรรดาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ที่โฆษณาว่ามีปริมาณน้ำตาล 0% นั้นหากดื่มเข้าไปแล้วจะทำให้อ้วน เหมือนกับเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลตามปกติหรือไม่

หวานซ่อนคม "รู้ทันสารแทนน้ำตาล"

ในเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบคำอธิบายว่าเหตุใด การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 0% จึงไม่สามารถทำให้หลายคนมีหุ่นผอมเพรียวตามที่ต้องการได้ ซ้ำร้ายอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย

สำหรับผู้ที่เคยดื่มจะพบว่า เครื่องดื่มที่กล่าวอ้างว่าไม่มีน้ำตาลหรือมีน้ำตาล 0% นั้งยังมีรสหวานเหมือนน้ำตาลอยู่ ซึ่งเป็นผลของสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล เช่น ขัณฑสกร, แอสปาเทม, ไซลิทอล, ซัคคาริน และ อื่นๆ

ซึ่งผู้ผลิตเครื่องดื่มจะนิยมใช้แอสปาเทม เนื่องจากมีรสชาติ ใกล้เคียงน้ำตาลทรายมากที่สุด และ ให้ความหวานประมาณ 200 - 300 เท่าของน้ำตาลทรายในปริมาณเดียวกัน

ดร.อามันดา เพน เจ้าของผลงานวิจัยซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสารโรคอ้วน อธิบายว่า การบริโภคน้ำตาลฟรุกโตส, สารให้ความหวาน และ น้ำตาลแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก จะส่งผลให้แบคทีเรียในลำไส้เกิดการเปลี่ยนแปลง และ สร้างความผิดปกติแก่การส่งสัญญาณอิ่ม และ กระบวนการเผาผลาญ

โดยตามปกติแบคทีเรียในลำไส้มีหน้าที่ย่อยอาหาร และ ให้กรดไขมันสายสั้นออกมา ซึ่งกรดไขมันนี้เป็นสิ่งที่ให้พลังงานกับร่างกาย และ แบคทีเรียชนิดเดียวกันนี้ นอกจากจะย่อยอาหารทั่วไปแล้ว ยังสามารถปรับตัวให้ย่อยสารให้ความหวานแทนน้ำตาล และ น้ำตาลแอลกอฮอล์ได้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น เท่ากับว่าร่างกายจะได้รับพลังงาน จากเครื่องดื่มน้ำตาล 0% เช่นเดียวกับเครื่องดื่มปกติ แต่เนื่องจากผู้บริโภคมักจะดื่มเครื่องน้ำตาล 0% ในปริมาณมากด้วยความเข้าใจว่าไม่มีน้ำตาล จึงทำให้บางกรณีร่างกายกลับได้พลังงานมากกว่าการดื่มเครื่องดื่มปกติเสียอีก

นอกจากจะให้พลังงานแล้ว กรดไขมันสายสั้นยังส่งผลต่อความรู้สึกอิ่มด้วย โดยการขัดขวางไม่ให้ร่างกายส่งสัญญาณอิ่มไปยังสมอง การขัดขวางดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการบริโภคอาหารมากเกินความจำเป็นในกรณีที่ดื่มเครื่องดื่มน้ำตาล 0% พร้อมกับรับประทานอาหาร

เมื่อรวมกับรสชาติหวาน ที่ลิ้นได้รับซึ่งหลอกสมองว่า กำลังจะได้รับพลังงาน แต่เมื่อได้น้อยกว่าปกติสมองจะสั่งให้ทานอาหารมากขึ้น เพื่อให้ได้พลังงานตามปกติ ยิ่งทำให้มีการบริโภคอาหารมากขึ้นไปอีก

ไม่เพียงเท่านี้ แม้ยังไม่มีหลักฐานอย่างเป็นทางการ แต่นักวิทยาศาสตร์กำลังสงสัยว่า กรดไขมันสายสั้นอาจมีความเกี่ยวข้องกับ การอักเสบของเยื่อบุผนังลำไส้ ซึ่งหากเยื่อบุผนังลำไส้อักเสบ และ ทะลุ แบคทีเรียในลำไส้จะสามารถหลุดเข้าสู่กระแสเลือด จนนำไปสู่โอกาสเกิดโรคอื่นๆ เช่น เบาหวานแบบที่ 2, โรคหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดหัวใจ

นี่เป็นเหตุที่อธิบายว่าเหตุใด ผู้ที่ตั้งใจดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 0% แทนเครื่องดื่มปกติเพื่อลดความอ้วน กลับมีน้ำหนักตัวและรอบเอวเพิ่มขึ้น

โดยสามารถเปรียบเทียบพบว่า ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 0% เฉลี่ยวันละประมาณ 2 กระป๋อง ในระยะเวลา 10 ปี คนกลุ่มนี้จะมีขนาดรอบเอวเพิ่มขึ้นมากกว่าผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแบบปกติ ถึง 5 เท่า

เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ด้วยการหันไปดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำผักผลไม้คั้นสดแทน

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Clip VDO เตือนอย่าเชื่อน้ำมันรำข้าวรักษาสารพัดโรค

จากเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2010 ผมได้ Post เรื่อง อย.เตือนอย่าเชื่อน้ำมันรำข้าวรักษาสารพัดโรค มาวันนี้ผมไปเจอ File VDO ข่าว จากช่อง 7 และ ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆผู้อ่าน ก็เลยอยากเอามาแบ่งปันใน Blog

เชิญเพื่อนๆ ผู้อ่านชม Clip ข่าวได้เลยครับ

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มลพิษทางอากาศเป็นศัตรูร้ายต่อสตรี ไอเสียก่อมะเร็งเต้านม

อากาศเป็นพิษ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เป็นโรคภัยต่างๆ ยังอาจทำให้ผู้หญิงต้องเสี่ยงกับโรคที่ถึงตายอีกอย่างหนึ่ง เพราะมีการศึกษาพบว่า มลพิษจากยวดยานทำให้สตรีต้องเสี่ยงกับโรคมะเร็งเต้านมด้วย

นักวิจัยของสถานวิจัยเอ็มยูเอชวี มหาวิทยาลัยแมคกิลล์ และมหาวิทยาลัยแห่งมอนทรีล รายงานว่า "เราสังเกตพบอัตราการป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมได้เพิ่มขึ้นมาสักพักแล้ว โดยไม่มีใครรู้สาเหตุแท้จริง มีอยู่เพียงแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น ที่เกี่ยวพันถึงปัจจัยเสี่ยง เนื่องจากยังไม่มีใครเคยลองศึกษาถึงความเกี่ยวพันของอากาศเป็นพิษกับมะเร็งเต้านม โดยการใช้แผนที่มลพิษทางอากาศอย่างละเอียด เราจึงคิดกันที่จะสอบสวนเรื่องนี้"

ดร.มาร์ค โกลด์เบิร์ก ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวเปิดเผยผลการศึกษาว่า "เราได้พบความเกี่ยวพันระหว่าง การเป็นมะเร็งเต้านมของสตรีวัยหมดประจำเดือนแล้ว กับการสัมผัสกับก๊าซไนโตรเจน ไดออกไซด์ อันเป็นมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการจราจร" และเปิดเผยข้อมูลในนครมอนทรีลเป็นตัวอย่างว่า "ในมอนทรีลระดับของก๊าซนี้ จะอยู่ระหว่าง 5-30 ส่วนต่อพันล้าน เราได้พบว่าความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นอีกร้อยละ 25 ทุกที่ปริมาณก๊าซเพิ่มขึ้น 5 ส่วนต่อพันล้าน"

"อาจจะพูดเสียใหม่ได้ว่า สตรีที่อยู่ในบริเวณซึ่งมีปริมาณมลพิษสูงสุด จะเสี่ยงกับที่จะเป็นมะเร็งเต้านม สูงกว่าผู้ที่อยู่ในบริเวณที่มีมลพิษน้อยกว่ากันถึง 2 เท่า.

ที่มา : ไทยรัฐ


วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

พบเด็กเกิดใหม่ป่วย ธาลัสซีเมีย รุนแรงปีละกว่า 4 พันราย

พบเด็กเกิดใหม่ป่่วย "ธาลัสซีเมีย"รุนแรงปีละกว่า4พันราย หนุนไทยเป็นศูนย์กลาง ป้องกันควบคุมรักษาโรคระดับเอเซีย

เมื่อเวลา 16.00น. วันที่ 10 พ.ย. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยภายหลังการเข้าเยี่ยมคารวะของนายพานอส อิงเกลซอส ประธานสมาพันธ์ธาลัสซีเมียนานาชาติ พญ.แอนดรูลา แอเลฟเธอเรียล ผอ.ฝ่ายการแพทย์สมาพันธ์ฯ ศ.นพ.สุทัศน์ ฟู่เจริญ ศูนย์วิจัยธาลัสซีเมีย มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะ เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือ ในการให้บริการแก่ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ว่า ประเทศไทยมีแผนยุทธศาสตร์ธาลัสซีเมียแห่งชาติ ปี 2550 – 2554 มีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประธานสมาพันธ์ธาลัสซีเมียนานาชาติ ได้แสดงความชื่นชมการแก้ไขปัญหาธาลัสซีเมียของประเทศไทย ที่มีความก้าวหน้าในการดูแลผู้ป่วย ทั้งมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ และการดูแลรักษาที่ดี

ขณะนี้ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาฟรี รวมทั้งยาสำคัญที่ใช้ในการรักษา 2 ใน 3 ชนิด ได้บรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งสมาพันธ์ธาลัสซีเมียนานาชาติ อยากเห็นไทยพัฒนาศูนย์ดูแลผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ขึ้นเป็นศูนย์ระดับชาติ และต้องการร่วมมือกับ ไทยพัฒนาศูนย์นี้ให้เป็นศูนย์ระดับภูมิภาคต่อไป เพื่อช่วยดูแลประเทศใกล้เคียงในแถบเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ลาว กัมพูชา พม่า ที่มีผู้ป่วยโรคนี้จำนวนมาก ได้มอบหมายให้ กรมอนามัยปรึกษาหารือ ในรายละเอียดกับสมาพันธ์ธาลัสซีเมีย นานาชาติ

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วย โรคธาลัสซีเมียปีละกว่า 21,500 ล้านบาท แต่หากเราสามารถควบคุมป้องกัน โดยการตรวจคัดกรองค้นหากลุ่มเสี่ยงได้ดี จะมีค่าใช้จ่ายเพียงปีละ 125 ล้านบาท จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาลงได้ เป็นอย่างมากทั้งนี้ประเทศไทยพบชายหญิง ที่มีพันธุกรรมโรคธาลัสซีเมียแอบแฝงในตัว 37% หรือประมาณ 24 ล้านคน และมีคู่สมรสเสี่ยงมีบุตรเป็นธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงปีละ 17,000 คู่ ในแต่ละปีจะมีเด็กเกิดใหม่เป็นธาลัสซีเมีย ชนิดรุนแรงที่ต้องรับการรักษา 4,253 ราย

ที่มา : ไทยรัฐ


วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ด่วน! อย.เพิกถอนยา Rosiglitazone เพราะไม่ปลอดภัย

อย.สั่งเพิกถอนยา Rosiglitazone จากบัญชียาหลักไทย พร้อมเรียกเก็บยาคืนจากท้องตลาดอย่างเร่งด่วน ด้าน สสส.-กพย.เผยยา Rosiglitazone แพง-เสี่ยงไม่ปลอดภัย ชี้ 30 ประเทศทั่วโลกร่วมแบนแล้ว

วันนี้ (9 พ.ค.) โรงแรมริชมอนด์ นนทบุรี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) จัดประชุมเรื่องความเสี่ยงในการใช้ยาของคนไทย : กรณีศึกษายาเบาหวานโรสิกลีตาโซน (Rosiglitazone) หลังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สั่งเพิกถอนจากบัญชียาหลักไทย พร้อมเรียกเก็บยาคืนจากท้องตลาดอย่างเร่งด่วน ซึ่งยาโรสิกลีตาโซน เป็นยาใหม่อยู่ในกลุ่ม thiazolidinedione ได้รับอนุมัติข้อบ่งใช้รักษาเบาหวานชนิดที่ 2 นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยโดยบริษัท แกล็กโซสมิทไคลน์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 ในรูปแบบยาเม็ดมีทั้งที่เป็นสูตรยาเดี่ยวและสูตรยาผสม ได้แก่ Rosiglitazone (Avandia®) Rosiglitazone+metformin (Avandamet®) และ Rosiglitazone+glimepiride (Avandaryl®)

ภญ.วิมล สุวรรณเกศาวงษ์ หัวหน้าศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย.กล่าวว่า สืบเนื่องจากปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาหน่วยงานกำกับดูแลด้านยา (Drug Regulatory Authority) ของประเทศต่างๆ ได้กำหนดมาตรการจัดการความเสี่ยงของยาโรสิกลีตาโซนเพิ่มเติม ซึ่งแบ่งเป็น 2 มาตรการ ได้แก่ การระงับการจำหน่าย และการจำกัดการใช้ยาอย่างเข้มงวด สำหรับประเทศไทย อย.ได้มีการแจ้งเตือน บุคลากรทางการแพทย์ถึงความเสี่ยงของการใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนประกอบของโรสิกลีตาโซนแล้ว และขอความร่วมมือให้สถานพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ให้ใช้ยาดังกล่าวเมื่อมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงเท่านั้น

ล่าสุด การประชุมคณะอนุกรรมการศึกษา และเฝ้าระวังอันตรายจากการใช้ยา ครั้งที่ 4/2553 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2553 ที่ประชุมมีมติ เสนอคณะกรรมการยาให้เพิกถอนทะเบียนตำรับยา ที่มีส่วนประกอบของโรสิกลีตาโซน เนื่องจากมีข้อมูลความเสี่ยงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยในสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศเจ้าของผลิตภัณฑ์มีการระงับการจำหน่าย และให้ยานี้ออกจากท้องตลาด และมีตัวยาอื่นที่สามารถใช้ทดแทนได้ และในช่วงระหว่างดำเนินการเสนอเพิกถอนทะเบียนตำรับยา ให้ขอความร่วมมือบริษัทผู้ผลิตและผู้นำเข้าฯ ในการระงับการจำหน่ายยาที่มีส่วนประกอบของโรสิกลีตาโซน และเรียกเก็บยาคืนจากท้องตลาดอย่างเร่งด่วน

ผศ.ภญ.ดร.ยุพดี ศิริสินสุข รองผู้จัดการแผนงานสร้างกลไก เฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวว่า สำหรับมาตรการในต่างประเทศ ในการตั้งรับยาโรสิกลีตาโซนนั้น ล่าสุด สำนักยาแห่งยุโรปรวม 27 ประเทศ ซูดาน อียิปต์ และอินเดีย มีการเพิกถอนรายชื่อยาโรสิกลีตาโซนไปแล้วจากตำหรับยา ขณะที่องค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration/FDA) จำกัดการใช้ยาในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ แม้ล่าสุด อย.จะสั่งให้มีการเพิกถอนโดยสมัครใจแล้ว แต่ผลกระทบที่เห็นได้ชัด คือ ปรากฏการณ์การเบิกจ่ายยาแพง โดยเฉพาะกลุ่มราชการที่สามารถเบิกค่ายาได้เต็มที่ กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก จึงอยากให้ผู้ป่วยตระหนักว่า การใช้ยาแพงไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยจะได้ยาดีและปลอดภัย หากไม่มีการตรวจสอบ

รศ.ภก.ดร.ณธร ชัยญาคุณาพฤกษ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยผลลัพธ์ทางเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวถึงการศึกษาวิจัยความคุ้มค่า ของการใช้ยาไพโอกลีตาโซน (Pioglitazone) เทียบกับยาโรสิกลีตาโซน (Rosiglitazone) ซึ่งในขณะที่ทำการศึกษาในปี 2004 นั้น แม้ยาไพโอกลีตาโซนจะมีราคาสูงกว่าโรสิกลีตาโซน แต่มีข้อมูลระบุว่าสามารถลดระดับไขมันได้ดีกว่า ส่งผลให้เกิดความปลอดภัยต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดที่สูงกว่า แต่ล่าสุดในช่วงปี 2007-2009 มีการวิจัยหลายฉบับ ที่แสดงให้เห็นผล เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจจากการใช้ยาโรสิกลีตาโซน เมื่อประกอบกับในท้องตลาดเริ่มมียาไพโอกลีตาโซน ที่เป็นยาสามัญจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่ายาโรสิกลีตาโซน ที่เป็นยาต้นฉบับ ฉะนั้นข้อมูลปัจจุบันจึงสนับสนุนว่ายาไพโอกลีตาโซน จัดเป็นยาทางเลือกที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ทั้งในแง่ความปลอดภัยและความคุ้มค่า

ภญ.วรสุดา ยูงทอง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวถึงสาเหตุที่ยาโรสิกลีตาโซน ถูกถอนออกจากบัญชียาหลัก และล่าสุด อย.ประกาศเพิกถอนแล้วนั้น เพราะเมื่อเทียบกับ pioglitazone แล้วมีข้อด้อยกว่าเรื่อง
  1. ไม่มี generic product คือ มีบรรจุในบัญชียาหลักทำให้ต้องนำเข้า ค่าใช้จ่ายสูง
  2. ต้องรับประทานวันละ 2 ครั้ง
  3. ข้อมูลประสิทธิภาพต่อ lipid profile ด้อยกว่า pioglitazone
  4. ซึ่งมีหลักฐานชี้ชวนว่าอาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย มีอาการปวดน้ำ โดยเฉพาะผู้หญิงมีความเสี่ยงในการเกิดกระดูกแตกหักได้ง่าย
ที่มา : ผู้จัดการ Online


.

.