เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

DNA : The Next Wave on Discovery CHANNEL


พบกับนักวิทยาศาสตร์ใน Discovery CHANNEL


ดร.โจ ชาง หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ นู สกิน ร่วมกับ ดร.ริชาร์ด ไวน์ดรัช และ ดร.โทมัล พรอลล่า ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันไลฟ์เจน ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนต์สารคดีทางช่องดิสคัฟเวอรี่ ชาแนล ในชื่อตอนว่า DNA : The Next Wave โดยจะเริ่มออกอากาศในภูมิภาคเอเซีย และ แปซิฟิคใต้ ระหว่างวันที่ 22 และ 30 ธันวาคม 2555

เนื้อหาของเรื่อง จะกล่าวถึงเทคโนโลยีดีเอ็นเอ ในการเข้ามามีบทบาท ต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คน รวมถึงมุมมองของเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่มีต่อการแสดงออกของยีนส์และโภชนศาสตร์ที่มีผลต่อกระบวนการเสื่อมชรา

ดิสคัฟเวอรี่ ชาแนล เป็น 1 ในช่องออกอากาศสารคดีที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และ มีมากกว่า 186 ล้านรายที่เป็นสมาชิกในเอเซีย แปซิฟิค (ประเทศในแถบเอเซีย แปซิฟิค)
ตารางออกอากาศของประเทศไทย
29 ธันวาคม 55  เวลา 19:00 น.
30 ธันวาคม 55  เวลา 19:00 น.
27 กุมภาพันธ์ 56  เวลา 22:00 น.
28 กุมภาพันธ์ 56  เวลา 9:00 น. และ 15:00 น.

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

“โรคเมลิออยด์” - คุณหมอขอบอก


ในแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตด้วย “โรคเมลิออยด์” ไม่ต่ำกว่า 1,000 คน โดยเฉพาะในภาคอีสาน แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้จัก ไม่คุ้นชื่อโรคนี้ ทำให้ขาดความรู้ในการดูแลและป้องกันตัวเอง

นพ.ดิเรก ลิ้มมธุรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาสุขวิทยาเขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า โรคเมลิออยด์เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอยู่ในดินในน้ำบ้านเราเยอะที่สุดในโลก โรคนี้ทำให้ผู้ป่วยตายเป็นใบไม้ร่วงทุกปีในช่วงฤดูฝน พบมากในภาคอีสาน เชื้อแบคทีเรียนี้ก็อยู่ในดินของมัน เวลาคนไปสัมผัสดิน สัมผัสน้ำ หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อแบคทีเรียนี้เข้าไปทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นการติดโรคจากธรรมชาติ แต่โรคนี้ไม่ได้แพร่จากคนสู่คน

ที่น่ากลัวคือบ้านเราเกษตรกรทำนาด้วยเท้าเปล่ามือเปล่า ชาวนาจึงมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ โดยเชื้อจะผ่านเข้าทางผิวหนังได้โดยตรง ไม่ต้องมีแผลอะไร ทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด เข้าปอด สมอง เกิดภาวะติดเชื้อและเสียชีวิต ขณะเดียวกันเรื่องน้ำดื่มก็น่าห่วงเพราะจากการลงไปสัมผัสชีวิตชาวบ้าน พบว่า 50% ดื่มน้ำฝน 25% ดื่มน้ำบ่อ น้ำบาดาล 10% ดื่มน้ำประปาหมู่บ้าน ส่วนอีก 10% มีฐานะพอจะซื้อน้ำดื่มได้ โดยน้ำที่ชาวบ้านดื่มนั้นผลการตรวจพบว่า มีเชื้อนี้ปนเปื้อนอยู่ประมาณ 10% ซึ่งเป็นเชื้อที่อยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติอยู่แล้ว อย่างน้ำประปาหมู่บ้านหลายแห่งจะตรวจเฉพาะเชื้ออี.โคไล เป็นหลักไม่ได้ดูเชื้อนี้ พอชาวบ้านดื่มน้ำโดยไม่ต้ม ไม่ได้กรองอาจทำให้ได้รับเชื้อ ดังนั้นจึงอยากกระตุ้นให้ชาวบ้านต้มน้ำให้สะอาดก่อนดื่มทุกครั้งไม่ว่าน้ำบ่อ น้ำบาดาล หรือน้ำประปาหมู่บ้าน

ประมาณ 75% ของคนไข้มาโรงพยาบาลช่วงหน้าฝน โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงหว่านดำทำนา มิ.ย. ก.ค. อีกช่วงคือประมาณ ต.ค. พ.ย. เกี่ยวข้าว ปัจจัยหลัก คือ คนไข้ออกไปทำไร่ไถนา

อาการที่ปรากฏ คือ มีไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส นอกจากนี้อาจมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ปอดบวม ปอดอักเสบ ปวดท้อง ช็อก ซึ่งจะทำให้คนไข้เสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วภายใน 2 วัน

ถามว่าการวินิจฉัยยากหรือไม่ ตอบว่ายากเพราะอาการไม่จำเพาะ คือ ไข้สูง โลหิตเป็นพิษ มันเป็นเชื้ออะไรก็ได้ หมอจึงมักพูดว่าโลหิตเป็นพิษติดเชื้อ ถามว่า ณ วันนี้หมอรู้จักโรคนี้หรือไม่ หมอรู้จักดี ห้องปฏิบัติการรู้จักดี แต่คนไข้เท่านั้นที่ยังไม่รู้

พอคนไข้เสียชีวิตส่วนใหญ่หมอจะบอกว่าติดเชื้อในกระแสเลือด โลหิตเป็นพิษ หรือบางทีก็บอกว่าเป็นไข้โดยไม่ทราบสาเหตุแล้วเสียชีวิต เนื่องจากการวินิจฉัยยาก ต้องใช้เวลากว่าจะยืนยันผลได้ว่าเป็นโรคนี้อาจต้องใช้เวลานานถึง 7 วัน อีกทั้งไม่ค่อยมีการประชาสัมพันธ์โรคนี้ประชาชนจึงไม่ค่อยรู้

วิธีการรักษาหากสงสัยติดเชื้อในกระแสเลือด ต้องให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียทันที ระหว่างรอผลจากห้องปฏิบัติการ (แล็บ) จะไม่รอผลเลือด ถ้าผลแล็บออกมาว่าเป็นเชื้อเมลิออยด์ แล้วคนไข้ยังมีชีวิตอยู่ต้องให้ยาฆ่าเชื้อจนครบ 14 วันเป็นอย่างน้อย พออาการดีขึ้นแล้วก็ต้องให้ยารับประทานต่อเนื่องอีก 5 เดือน เพื่อฆ่าเชื้อในร่างกายออกให้หมด ถ้าฆ่าเชื้อไม่หมด คนไข้อาจเสี่ยงกลับมาเป็นซ้ำและทำให้เสียชีวิตได้ ต้องบอกว่าเชื้อตัวนี้ทนเหมือนวัณโรค แต่ดุกว่า

โอกาสป่วยตายกี่เปอร์เซ็นต์? นพ. ดิเรก กล่าวว่า อัตราการตายในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ เฉพาะภาคอีสานอัตราการตายสูงที่สุด ทั้งนี้ในแต่ละปีมีผู้ป่วยที่มีผลแล็บยืนยัน 2,000 ราย คาดว่าตัวเลขผู้ป่วยน่าจะมากกว่านี้ เพราะจำนวนผู้ป่วย 2,000 คนเป็นตัวเลขที่เพาะเชื้อขึ้น แต่มีส่วนหนึ่งที่เพาะเชื้อไม่ขึ้น

ปัจจุบันมีการวิจัยวัคซีนโรคนี้หรือไม่? นพ.ดิเรก กล่าวว่า เชื้อตัวนี้รุนแรงขนาดอเมริกาจัดเป็นอาวุธชีวภาพ เป็นหนึ่งในเชื้อแบคทีเรียที่นำไปทำอาวุธชีวภาพได้ อเมริกามีงบประมาณสำหรับทำวัคซีนเยอะมาก และพยายามพัฒนาวัคซีนตัวนี้อยู่ แต่ยังไปได้ไม่ไกลนัก ในประเทศไทยไม่มีงบประมาณวิจัยทำวัคซีนตัวนี้ ถ้าจะยืมจมูกประเทศอื่นหายใจก็คงไม่ได้ใช้ เพราะอเมริกาพัฒนาไปในทางป้องกันอาวุธชีวภาพให้ทหารของเขาได้ใช้ ไม่เหมือนกับวัคซีนที่เราอยากให้คนไทยได้ใช้ป้องกันชีวิตจริง ๆ ดังนั้นประเทศไทยควรสนใจตรงนี้ด้วย มิฉะนั้นก็มุ่งไปที่การรักษาอย่างเดียว ไม่มีวัคซีนใช้



ท้ายนี้อยากบอกว่าโรคเมลิออยด์เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ ในกรณีที่ต้องสัมผัสดินหรือน้ำ เช่น ทำนา ทำสวน จับปลา ควรใส่เครื่องป้องกัน เช่น รองเท้าบู๊ต ถุงมือยาง และควรทานอาหารที่สุกสะอาด ดื่มน้ำต้มสุก.



นวพรรษ บุญชาญ รายงาน


วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สีผิวคนไทย เหนือกว่าใครในโลก ไปเปลี่ยนสีผิวกันทำไม?

ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์, พลโท นพ.กฤษฎา ดวงอุไร, พ.ต.หญิง พญ. ภิญญาพัชร์ คเนจร ณ อยุธยา 


เมื่อกันยายนที่ผ่านมา สื่อชื่อดังของอังกฤษ อย่าง เดอะ การ์เดียน เล่นข่าวในทำนองว่า สาวไทยกำลังมีค่านิยมผิดเกี่ยวกับเรื่องสีผิว ต้องการปรับเปลี่ยนสีผิวให้ดูขาวอย่างสาวญี่ปุ่นและเกาหลี โดยสื่อดังกล่าวตั้งข้อสังเกตจากการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผิวในเมืองไทย ต่างก็อวดอ้างสรรพคุณว่า สามารถปรับเปลี่ยนให้ผิวขาวกระจ่างขึ้นได้ภายในระยะเวลารวดเร็ว ทั้งยังมิได้มีแค่ใช้ปรับผิวหน้าหรือผิวตัวเท่านั้น แม้กระทั่งจุดซ่อนเร้นก็ยังมี

ผิดไหม ถ้าอยากมีผิวขาว?...พลโท นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องมีสติ ที่สำคัญสาวไทยควรเข้าใจว่า เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ทำให้คนเรามีสีผิวต่างกัน และไม่อาจเปลี่ยนสีผิวได้อย่างถาวร

การที่คนต่างเชื้อชาติ ต่างเผ่าพันธุ์มีสีผิวไม่เหมือนกันนั้น มีปัจจัยสำคัญอยู่ข้อหนึ่ง คือ ถิ่นฐานที่อยู่ หากอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร สภาพอากาศก็จะเป็นเมืองร้อน แดดแรง ส่งผลให้ร่างกายต้องปรับตัว โดยจะมีการสร้างเม็ดสีขึ้นมามาก เพื่อเป็นเสมือนเกราะป้องกันผิวไหม้ เกิดริ้วรอย และมะเร็งผิวหนัง ฉะนั้น ประเทศใกล้เส้นศูนย์สูตร เช่น ไทย อินโดนีเซีย มาเลย์เซีย ผิวของผู้คนในประเทศดังกล่าวจึงมีสีออกเข้ม เพราะมีเม็ดสีมาก  

หากแบ่งความแตกต่างของสีผิวตามหลักทางการแพทย์แล้ว สามารถแยกได้ 6 ชนิด โดยชนิดที่ 1 ถือเป็นผิวที่ขาวที่สุด ชนิดถัดจากนั้น ผิวจะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ และที่ดำที่สุดคือชนิดที่ 6

พวกที่มีสีผิวชนิดที่ 1 เป็นของคนที่อยู่แถบขั้วโลก พวกเขามีผิวที่ขาวมาก แต่จะสร้างเม็ดสีได้ไม่ค่อยดี ไม่สามารถป้องกันผิวไหม้ได้ ขณะที่ดำที่สุดอย่างชนิดที่ 6 พบในผู้คนแถบเส้นศูนย์สูตร อย่างชาวนิโกร สำหรับผิวของคนไทยหรือแถบเอเชีย ถือว่าเป็นผิวที่ชนิด 3-5 มีการสร้างเม็ดสีได้ดี ผิวสวย ผิวแข็งแรง ริ้วรอยมาช้า มีเพียงแค่ปัญหาฝ้าเท่านั้นที่เกิดขึ้นได้ง่าย

หากถามว่า ทำไมสาวไทยจึงอยากเปลี่ยนสีผิว ให้ขาวอย่างสาวญี่ปุ่นและเกาหลี? พ.ต.หญิง พญ. ภิญญาพัชร์ คเนจร ณ อยุธยา อนุกรรมการประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ เชื่อว่า น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลจากนักแสดงและนักร้องญี่ปุ่น-เกาหลี ประกอบกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งต่างๆ มักพยายามชี้ว่า โอกาสที่ดีเป็นของคนผิวขาวเท่านั้น

ในอดีต เรื่องราวในทำนองนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโรมัน ฝรั่งแถบยุโรป มีความเชื่อว่า ขาวคือความดี ดำคือสิ่งไม่ดี โดยไม่มีตรงกลาง ทั้งยังส่งผลไปถึงเรื่องของสีผิวด้วย ในยุคนั้น คนขาวจะได้รับโอกาสที่ดีทางสังคมทุกด้าน ในทางตรงกันข้าม คนดำกลับถูกมองว่า เป็นทาส เมื่อเป็นเช่นนี้ คนในยุคนั้นจึงพยายามทำผิวให้ขาว

แต่แล้วค่านิยมดังกล่าวก็ค่อยๆ จางลง เมื่อ 'โคโค ชาแนล' ดีไซเนอร์แบรนด์ดังชาวฝรั่งเศส ลุกขึ้นมาปฏิวัติความคิดของผู้คน โดยชี้ว่า คนที่มีผิวขาวจวก ดูซีดเซียว ดูสุขภาพไม่ดี แต่คนที่มีผิวสีแทนต่างหากที่ดูดีกว่า จากนั้น เธอก็ยังนำนางแบบผิวสีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อนำเสนอเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ มีผลให้ความรู้สึกนึกคิดของคนเปลี่ยนไปและยอมรับคนผิวสีกันมากขึ้น

สู่ยุคปัจจุบัน ขณะที่สาวไทยกำลังคลั่งไคล้สีผิวขาวเกินธรรมชาติของตนเองนั้น ฝรั่งต่างชาติกำลังมองไปในทางลบ เห็นได้จากการตีข่าวของสื่อต่างชาติ มีนัยว่า คนเราขาดการสืบค้นข้อมูล และเชื่อคำกล่าวอ้างสรรพคุณโดยง่าย

อย่างไรก็ตาม ในคนที่อยากขาว ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังฯ แนะให้มีสติก่อนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ โดย ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ เตือนให้ตรวจดูส่วนผสมของผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด ที่ใช้แล้วไม่ก่ออันตรายต้องไม่มีสารต้องห้ามที่จัดว่าเป็นเครื่องสำอางผิดกฎหมาย อันประกอบด้วย ปรอท, ไฮโดรควินโนน, และกรดวิตามินเอ เนื่องจากสารเหล่านี้ใช้แล้วจะเกิดการสะสมในร่างกาย เป็นอันตรายต่อผิว โดยเฉพาะสารปรอท ก่อโรคไต ความจำเสื่อม และแขน-ขาอ่อนแรง

ดังนั้น ก่อนซื้อหรือใช้ผลิตภัณฑ์ควรตรวจสอบกับองค์การอาหารและยา (อย.) ว่า เป็นผลิตภัณฑ์ต้องห้ามหรือไม่ และควรติดตามข่าวสาร การประกาศผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง ที่ทางอย.มีการตรวจสอบอยู่สม่ำเสมอ

เมื่อทราบแล้วว่า เหตุใดคนเราจึงมีสีผิวต่างกัน การที่สาวไทยมิได้มีผิวขาวโอโม่เหมือนสาวญี่ปุ่น-เกาหลี ก็เพราะร่างกายต้องสร้างเม็ดสีขึ้นมาเป็นเกราะป้องกันรังสียูวีดังที่กล่าว หากรู้เช่นนี้แล้ว เรายังคิดจะทำลายเกราะป้องกันที่สำคัญนี้อีกหรือ?!.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์


วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

โรค Bechet คืออะไร? และ จะดูแลตัวเองอย่างไร?

โรค Behçet's disease เป็นโรคที่วินิจฉัยเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1937 โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สาขาตจวิทยา (โรคผิวหนัง) ชาวตุรกี ชื่อ Hulusi Behcet เรียกว่า Morbus Behçet, หรือ Silk Road disease (โรคถนนผ้าไหม) เป็นโรคระบบภูมิคุ้มกันทำลายตนเองอย่างหนึ่ง เป้นโรคที่พบได้น้อยโดยมีอุบัติการณ์น้อยกว่า 1: 100,000 ต่อปี (ประเทศอังกฤษ) สาเหตุที่เรียกว่าโรคถนนผ้าไหมเพราะ เป็นโรคที่พบได้บ่อยตามเส้นทางสายใหม (ในสมัยโบราณ) คือเริ่มตั้งแต่ประเทศญี่ปุ่น ข้ามประเทศจีน ไปตะวันออกกลาง และ ถึงประเทศตุรกี ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 20 - 30 ปี

อาการเบื้องต้นของโรค Behçet's disease 
เป็นโรคที่มีการอักเสบเริ้อรัง ของอวัยวะหลายระบบโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการแสดงออกที่สำคัญคือ แผลในปากแบบแผลร้อนใน แผลที่อวัยวะเพศ ดวงตาอักเสบ และความผิดปกติของผิวหนัง อาการต่างๆมักหายได้เอง ยกเว้นที่ดวงตา มักรุนแรง และเรื้อรัง ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ไม่ชัด จนถึงขั้นตาบอด
อาการของระบบอื่นๆที่พบได้น้อย ได้แก่ ระบบทางเดินอาหาร และลำไส้ ระบบประสาท และระบบหลอดเลือด

การวินิจฉัย อาศัยเกณฑ์การวินิจฉัยโดยสมาคมแพทย์โรคข้อประเทศสหรัฐอเมริกา คือประกอบด้วย ประวัติแผลร้อนใน ในปาก เป็นมากกว่า 3 ครั้งต่อปี ร่วมกับ 2 ใน 4 ข้อ ของกลุ่มอาการ แผลที่อวัยวะเพศ ผื่น-ตุ่มที่ผิวหนัง ม่านตาอักเสบหรือหลอดเลือดที่จอประสาทตาอักเสบ และผลผลทดสอบ pathergy test เป็นบวก 

การรักษา โดยทั่วไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอวัยวะที่มีการอักเสบ โดยทั่วไปแพทย์มักจะให้ ยา colchicine แก่ผู้ป่วยทุกคน เพราะเป็นยาที่ปลอดภัย ราคาถูก เพื่อช่วยลดการอักเสบ และป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ มีการใช้ยา สเตียรอยด์ในโรคที่ขึ้นตา หรือมีหลอดเลือดอักเสบ มีการใช้ยา Azathioprine ยา Cyclosporin กรณีที่โรครุนแรง การพยากรณ์โรค ขึ้นอยู่กับความรุนแรง อวัยวะที่มีการอักเสบ และการตอบสนองต่อยา 

สาเหตุ ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ปัจจัยทางพันธุกรรม และการติดเชื้อในร่างกาย
การดูแลตัวเองเมื่อรู้ว่าเป็น Behçet's disease ไม่ดื่มเหล้า/สูบบุหรี่ ออกกำลังกาย ทานอาหารครบ 5 หมู่ ไม่ทานของสุกๆดิบๆ ไม่เครียด ทานยาตามที่หมอเจ้าของไข้แนะนำ

ที่มา : โรค Bechet, วิธีการดูแลตัวเอง ของโรค bechet

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำผิวขาวใส ระวังไตเสีย


สาวๆ ที่ชอบทำให้ผิวของตนเองขาวใสเกินจริง ระวังจะเข้าข่ายได้ไม่คุ้มเสีย โดยล่าสุด พล.ท.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เตือนถึงค่านิยมทำผิวให้ขาวใสเกินจริง อาจส่งผลอันตรายต่ออวัยวะภายในและทำผิวเสียได้

พล.ท.นพ.กฤษฎา บอกว่า ปัจจุบันกระแสความนิยมมีผิวขาว ซึ่งเห็นได้จากการโฆษณาของผลิตภัณฑ์ทำผิวขาว ไม่ได้เน้นปรับแค่ผิวหน้าและแขนขาเท่านั้น แต่ยังสร้างกระแสความขาวไปยังผิวบริเวณอื่นๆ เช่น ข้อพับแขน ข้อศอก หัวเข่า และจุดซ่อนเร้น ซึ่งโดยหลักการแล้ว คนเราไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเลย

เหตุที่ไม่ควรเปลี่ยนสีผิวให้ขาวเกินจริง พล.ท.นพ.กฤษฎา เล่าว่า การที่คนเรามีสีผิวที่ต่างกัน เพราะภายในผิวหนังมีเม็ดสี (เมลานิน) ที่ไม่เหมือนกัน โดยเม็ดสีที่ว่าจะมีหน้าที่ดูดกลืนรังสียูวีเอาไว้ ไม่ให้ผ่านมาทำอันตรายถึงผิวหนังชั้นในและอวัยวะภายใน ทั้งยังช่วยป้องกันผิวไหม้พอง มะเร็งผิวหนัง และไม่ให้ใยคอลลาเจนหรืออีลาสตินถูกทำลาย ผิวหนังที่มีใยคอลลาเจนสมบูรณ์จึงไม่มีริ้วรอย ทว่าฤทธิ์ของผลิตภัณฑ์ทำผิวขาวมักพยายามกำจัดปริมาณเม็ดสีเพื่อให้ผิวขาวขึ้น จึงถือเป็นการลดเกราะคุ้มกันตามธรรมชาติที่เรามีอยู่

สำหรับผู้ที่ใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ทำผิวขาว รวมถึงยาทารักษาฝ้า ซึ่งมีหลายประเภท เช่น ยาชนิดทา ซึ่งค่อนข้างปลอดภัยมากกว่ายาชนิดอื่นๆ โดยแนะให้ทาบางๆ เพื่อให้การดูดซึมลงไปเพียงแค่ผิวหนังชั้นต้น ดีกว่าให้ตัวยาซึมลึกเข้าสู่กระแสเลือด จะเกิดอันตรายกับอวัยวะในร่างกายได้ นอกจากนี้ ยาทาควรผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา หรืออย. ก่อน มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ โดยเฉพาะไต และผิวหนัง ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ใช้ยาชนิดรับประทานหรือฉีด เพราะจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายในได้ง่ายและเร็วกว่า

เมื่อรู้แล้วว่า การมีสีผิวตามธรรมชาติมีประโยชน์แค่ไหน การเปลี่ยนสีผิวให้ขาวเกินจริงจึงมิใช่เรื่องจำเป็น หากแต่การปกป้องผิวจากแสงแดดแรงร้อนต่างหากคือสิ่งที่ควรทำ แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ ควรป้องกันผิวด้วยการทาโลชันกันแดดอย่างสม่ำเสมอ กรณีใช้ที่จะสารช่วยให้ผิวขาว ควรใช้ชั่วคราว เพื่อมุ่งหวังผลเพียงฟื้นฟูสภาพสีผิวของเราให้กลับคืนสู่สภาพเดิมจะเหมาะสมกว่า.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ takecareDD@gmail.com

ที่มา : ทำผิวขาวใส ระวังไตเสีย

ไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) คืออะไร?

ไขมันไตรกลีเซอไรด์คืออะไร ไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันชนิดหนึ่งซึ่งร่างกายได้มาจากสองทาง ทางหนึ่งคือได้มาจากอาหารไขมันจากสัตว์เช่น เนื้อ หมู ไก่ ที่รับประทานเข้าไปโดยตรง อีกทางหนึ่งคือได้จากการที่ตับสังเคราะห์ขึ้นใช้เองในร่างกายจากวัตถุดิบอันได้แก่ น้ำตาล แป้ง และแอลกอฮอล์ ผู้ที่กินจุ กินอาหารที่มีไขมันสูง กินอาหารหวานหรือขนมหวานมาก ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อ้วน หรือขาดการออกกำลังกาย มักพบว่ามีไตรกลีเซอไรด์สูง ภาวะไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดเช่นกัน แต่วงการแพทย์ยังไม่ทราบว่ามันเป็นปัจจัยเสี่ยงเพราะตัวมันเอง หรือเพราะมันสัมพันธ์ผกผันกับเอ็ชดีแอล (คือเมื่อเอ็ชดีแอลในร่างกายต่ำ มักจะพบว่าไตรกลีเซอไรด์สูงเสมอ)

ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์เท่าไรจึงเรียกว่าสูง
โครงการศึกษาโคเลสเตอรอล แห่งชาติอเมริกัน (NCEP) กำหนดมาตรฐานระดับของไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดดังนี้มัน
< 150 mg/dlถือว่าพอดี (optimal)
150-199ถือว่าสูงคาบเส้น (borderline high)
200-499ถือว่าสูง (high)
>500ถือว่าสูงมาก (very high)
จะลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในร่างกายได้อย่างไร? การลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในร่างกาย ทำได้โดย
  1. ลดอาหารคาร์โบไฮเดรต เช่นน้ำตาล แป้ง เพราะอาหารในกลุ่มนี้หากเหลือใช้ จะถูกอินสุลินเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ 
  2. ออกกำลังกาย เพื่อเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตไม่ให้เหลือใช้ ซึ่งท่านสามารถอ่านรายละเอียดเรื่องการออกกำลังกายชนิดต่างๆได้จาก เอกสารแนะนำ 6: การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต 
  3. รับประทานไขมันโอเมก้า 3 ให้มาก ไขมันโอเมก้า 3 มีสามตัว ตัวแรกเรียกว่ากรดอัลฟาไลโนเลอิก (ALA) พบมากในน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันพืชอื่นบางชนิด ตัวที่สองเรียกว่า กรดไอโคสะเปนเตโนอิก (EPA) และตัวที่สามเรียกว่ากรดโดโคซาเฮกเซโนอิก (DHA) ทั้งสองตัวหลังนี้พบมากในน้ำมันปลาทุกชนิด โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำเย็น จึงแนะนำให้รับประทานปลาให้มาก หรือในกรณีที่ไม่ชอบรับประทานปลา แนะนำให้รับประทานน้ำมันปลาชนิดโอเมก้า 3 ซึ่งมีบรรจุเป็นแคปซูลขาย 
  4. เพิ่มอาหารเส้นใยชนิดละลายได้ อาหารกาก หรืออาหารเส้นใย (fiber) แบ่งออกเป็นสองชนิดคือชนิดไม่ละลาย (insoluble) เช่นพืชผักต่างๆ กับชนิดละลายได้ (soluble) ซึ่งได้จากธัญพืชทั้งเมล็ด หรือจากส่วนเคลือบรอบนอกเมล็ดของธัญพืชแบบไม่ขัดสี (whole grain) เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง โอ๊ต แบรนด์ ข้าวสาลีแบบโฮลวีท งานวิจัยในอาสาสมัครพบว่าเส้นใยชนิดละลายได้นี้ ช่วยลดไขมัน LDL ลดไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มไขมัน HDL 
  5. เลิกดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะแอลกอฮอล์นอกจากจะทำให้ตับต้องลดการเผาผลาญไขมันเพื่อใช้พื้นที่ของตับมาสลายพิษของแอลกอฮอล์แล้วในตัวเครื่องดื่มเอง ยังมีคาร์โบไฮเดรทซึ่งเป็นวัตถุดิบให้นำมาเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ได้ 
  6. รับประทานยาในกลุ่มไฟเบรท (fibrates) ซึ่งลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งการรักษาและการดูแลของแพทย์ เพราะยานี้ก็เหมือนยาลดไขมันตัวอื่น ที่มีฤทธิ์ข้างเคียงและมีผลเสียต่อร่างกายในด้านอื่นด้วย
ที่มา : สันต์ ใจยอดศิลป์. ไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride). Health.Co.Th Journal 2010:2:7-7.

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

10 วิธีการทำลายสมอง

สมอง เป็น อวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง เปรียบประดุจศูนย์บัญชาการการทำงานของร่างกาย การรู้จักบำรุงดูแลรักษาสมองให้ปฏิบัติงานได้ดี จึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งเรากลับมีพฤติกรรม ที่ทำร้ายสมองของตัวเองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ลองมาดูกันว่าอะไรบ้างที่เป็นพฤติกรรมทำร้ายสมอง
  1. ไม่ทานอาหารเช้า นอกจากทำให้ระดับน้ำตาล ในเลือดต่ำแล้ว ยังเป็นเหตุให้สารอาหาร ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
  2. กินอาหารมากเกินไป จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
  3. สูบบุหรี่ เป็นสา-เหตุให้สมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
  4. ทานของหวานมากเกินไป ของหวานจะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีน และ สารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
  5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมล-ภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
  6. การอดนอน ถ้าอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้
  7. นอนคลุมโปง การนอนแบบนี้จะเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองไปในตัว
  8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะกำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงาน ของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
  9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
  10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะการพูดเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
นิสัยทำร้ายสมองทั้งสิบอย่างนี้คัดมาฝากกันจาก “ต้นคิด” จดหมายข่าวรายเดือนของสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ เพื่อจะได้ช่วยกันหลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายสมองของตัวเอง.


วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เซลลูไลท์ (Cellulite) คืออะไร?

เซลลูไลท์ Cellulite คือ ลักษณะของ เซลล์ไขมัน ที่สะสมอยู่ชั้นบนของ ผิวหนัง โดยจะมีลักษณะ ขรุขระ คล้าย ผิวเปลือกส้ม เป็นก้อนนูน ไม่เรียบเนียน พบบ่อยมาก ในต้นขาและสะโพกของผู้หญิงเราแม้แถวๆ บริเวณช่วงก้น หรือหน้าท้องก็ยังมี แต่ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือต้นขา และสะโพก สืบเนื่องมาจากการบริโภคไขมันต่างๆ ที่เมื่ออายุมากขึ้นและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ก็จะเห็นเซลลูไลท์นี้ ปรากฏชัดเจนตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ที่พร้อมจะเพิ่ม และ พอกพูนขึ้นมาทีละน้อยๆ การนั่งมากๆในชีวิตประจำวัน จะทำให้เนื้อเยื่อ ที่เชื่อมต่อกันด้านและหนาอัน เป็นต้นเหตุแห่งผิวขนมจีน เป็นหยักๆ ลอนคลื่นไม่เรียบเนียนได้อีกด้วย

สาเหตุ ของการเกิด เซลลูไลท์
  1. ฮอร์โมน จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะหญิงมีฮอร์โมนตัวหนึ่ง ที่เรียกว่า เอสโดเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่ทำให้ผู้หญิง สามารถมีบุตรได้ นอกจากนี้ก็ยังทำให้ผิวพรรณของผู้หญิง เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้นอีกด้วย
  2. การขาดออกกำลังกาย การเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อเนื่อง
  3. การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ มีระบบการ ไหลหมุนเวียนของโลหิตที่ไม่ดี ตลอดจนเสื้อผ้าที่ฟิดแน่นจนเกินไป
  4. กรรมพันธ์ แต่ต่างจากกรรมพันธ์ ในเรื่องของเล็บ หรือสีและลักษณะเส้นผม ตรงที่เราสามารถต่อกร หรือเปลี่ยนแปลงสภาพเจ้าเซลลูไลท์ได้
  5. ดื่มน้ำน้อย เพราะน้ำช่วยการทำงาน ของระบบขับของเสีย และช่วยขับพิษออกจากร่างกาย กำหนดว่าควรดื่มน้ำแปดแก้วต่อวัน เป็นอย่างน้อย
  6. การลดความอ้วนแบบผอมด่วนฮวบฮาบ จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเกิดเซลลูไลท์ อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจากร่างกายเกิดการตอบรับว่า ไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ และต้องพยายามสะสมสารอาหารในร่างกาย เพื่อความอยู่รอด การสะสมอาหารและไขมันนี่เอง ที่ทำให้ช่วยก่อเซลลูไลต์ ไขมันเหล่านี้ จะกั้นเส้นเลือด และติดหนึบอยู่ในเนื้อเยื่อ จึงทำให้ระบบกำจัดสารพิษ และ ของเสียไร้ประสิทธิภาพ
  7. การสูบบุหรี่ ทำร้ายทั้งผิวทั้งปอด ทำให้ผิวอ่อนแอ เส้นเลือดฝอยหดตัว และยังทำให้เนื้อเยื่อ ที่เชื่อมต่อกันถูกทำลาย อันเป็นผลให้เกิด คลื่นเซลลูไลท์
  8. ความเครียด เป็นผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวหนัก เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อ ก็ขมวดเกร็งตามไปด้วย ความตึงเครียด ยังไปขวางเนื้อเยื่อ ไม่ให้กำจัดของเสีย และล้างเลือดให้สะอาด
  9. การใช้ยาลดความอ้วน ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงาน ตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบชำระเลือด อันนำไปสู่ปัญหาเซลลูไลท์ ยามคุมกำเนิด ประเภทรับประทาน ซึ่งไปเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เซลไขมันขยายตัว และเก็บน้ำจนบวม ร่างกายก็ไม่มีน้ำ พอที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย สุดท้ายก็กลายเป็นเซลลูไลท์
วิธีกำจัด และ ป้องกันการเกิดเซลลูไลท์ ที่นิยมทำกันในปัจจุบัน 
  1. Mesotherapy เป็นวิธีการที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการกำจัด เซลล์ลูไลท์ การลดน้ำหนัก การรักษาด้วย Mesotherapy คือ การฉีด สารสกัด จาก ถั่วเหลือง และ วิตามิน ชนิดต่างๆ โดยสารเหล่านี้ จะ ทำให้ เซลล์ไขมัน มีลักษณะทางกายภาพเปลี่ยนไป ทำให้การสะสมของ ไขมัน ลดลงและยังเป็นการกระตุ้นให้ ไขมัน สะสมถูกปล่อยออกมาด้วย
  2. Carboxy คือ การลด ไขมัน เฉพาะที่ด้วย ก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซที่ละลายน้ำได้ดี สลายตัวได้เร็ว และพบว่าเมื่อฉีด คาร์บอนไดออกไซด์ เข้าไปยัง ชั้น ไขมัน ใต้ผิวหนัง จะช่วยเพิ่มการขยายตัวของเส้นเลือดและทำให้เซลล์ ไขมัน สลายตัวและถูกกำจัดออกไป นี้นับเป็นเทคนิคใหม่ในการขจัด เซลลูไลท์ หรือ ลดไขมัน เฉพาะส่วนที่ไม่ต้องการ อย่างเช่น บริเวณ หน้าท้อง ใต้ท้องแขน สะโพก น่อง บริเวณ ก้น บริเวณ น่อง ที่โต หรือ สะโพก ที่ใหญ่เกินไป
  3. ออกกำลังกาย อย่าลืมว่าการออกกำลังกายนั้น นอกจากทำให้ร่างการแข็งแรงแล้ว ยังทำให้ระบบในร่างกายปรับสภาพความสมดุลได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเดินเร็วๆ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ หรือการเต้นแอโรบิค ซึ่งควรออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30-40 นาทีขึ้นไปจะดีมากทีเดียว การออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกายออกไปได้ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม อีกทั้งกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆ ของร่างกายก็ยังกระชับได้สัดส่วนอีกด้วย
  4. การขัดถูผิว การขัดผิว ด้วยแปรงหรือใย ขัดผิว ระหว่างอาบน้ำ จะเป็นการช่วยเรื่อง การระบายของเหลว และกระตุ้น ระบบหมุนเวียนโลหิต และน้ำเหลืองได้ดีขึ้น รวมทั้งยังช่วยกำจัดสารพิษออกจาก ผิวหนัง การ ขัดผิว ควรจะขัดในลักษณะ เคลื่อนที่เป็นวงกลม นอกจากนี้ควรใช้เจลอาบน้ำ หรือสบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง หรือเกิดการระคายเคือง โดยทั่วไปใช้เวลาในการขัดถูผิว 2 - 3 นาที
  5. เลือกรับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น ผักและผลไม้ที่มีกากใยมากๆ จะช่วยในเรื่องของระบบ ขับถ่าย และควรงดรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต แป้ง น้ำตาล อาหารรสเค็ม ไขมันสัตว์ กาแฟ แอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้ยากที่จะขจัดออกจากร่างกาย
  6. การออกกำลังกาย การที่ น้ำหนัก ของร่างกายขึ้น หรือลดลงเร็วเกินไป ผิวจะเสียการยืดหยุ่น และเกิดรอยย่นของ เซลลูไลท์ ส่วนการออกกำลังกายจะช่วยทำให้ เซลลูไลท์ ที่สะสมอยู่สลายตัว และ กระชับขึ้นการออกกำลังกายที่ได้ผลดีนั้น ได้แก่ การเดินออกกำลัง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เป็นต้น
  7. ใช้ครีมหรือโลชั่นนวดขจัดเซลลูไลท์ ครีม หรือ โลชั่นทาผิว ที่ใช้ช่วยในการขจัด เซลลูไลท์ โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนี้ ต้องได้รับการทดสอบแล้วว่า สามารถทำให้ เซลลูไลท์ ดูเบาบางลงได้ และยังช่วยในการปรับสภาพผิวได้ด้วย ซึ่งการนวดจะช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น และยังเป็นการทำให้ น้ำมันซึมสู่ผิวหนังได้ดีขึ้น การนวด ช่วยกระตุ้นประสิทธิภาพ ระบบการกำจัดของเสีย ของร่างกาย ด้วยการจัดการกล้ามเนื้อ เร่งการไหลเวียนโลหิต และระบบต่อมน้ำเหลืองที่ช่วยย่อยไขมัน การนวดเฉพาะส่วน ในบริเวณที่ปกติ การไหลเวียนเป็นไปไม่สะดวกเช่น หัวเข้าด้านในและต้นขาจะให้ผลยอดเยี่ยม ลองนวดขาตัวเองเป็นรูปวงกลม พร้อมทั้งบีบปั้นเนื้อส่วนนั้นไปพร้อมๆกัน วันละ 2-3 นาทีเพื่อละลายไขมันและกำจัดพิษ
และหากคุณอยากรู้ว่า คุณมีเจ้าเซลลูไลท์นี้หรือไม่ ลองจับผิวด้วยการใช้มือบีบเข้าหากัน ที่ปรากฏเป็นผิวขรุขระเหมือนผิวลูกกอล์ฟ หรือผิวส้มนั่นละ เซลลูไลท์ในตัวคุณ ถ้าคุณมีก็อย่ารั้งรอที่จะออกกำลังกาย และลดการบริโภคตามใจปากกันได้แล้ว


วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความจริงเรื่องมะเร็งปากมดลูกภัยร้ายที่ป้องกันได้

“มะเร็ง ปากมดลูกเหรอ ก็เป็นโรคที่น่ากลัวนะ แต่ฉันคิดว่าฉันไม่เป็นหรอก” เพื่อนๆ คิดแบบนี้อยู่หรือเปล่าคะ? จะใช่หรือไม่คงประมาทไม่ได้แล้ว หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า “โรคมะเร็งปากมดลูก” เป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันได้ง่าย……

รู้จักมะเร็งปากมดลูก
หลายคนอาจคิดว่า หากคนในครอบครัว ไม่เคยมีประวัติเป็นมะเร็งปากมดลูก ในฐานะสมาชิกของบ้านก็คง ไม่มีโอกาสเป็น แต่เพื่อนๆ ทราบกันไหมว่า มะเร็งปากมดลูกไม่ใช่โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่เกิดจากการได้รับเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งจะอยู่ตรงผิวหนังบริเวณอวัยวะ มะเร็งปากมดลูก จึงติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เมื่อผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศชาย และหญิงสัมผัสกัน โดยทั่วไปแล้ว เมื่อผู้ชายติดเชื้อเอชพีวี จะไม่มีอาการรุนแรงอะไร บางรายอาจเป็นหูดที่อวัยวะเพศ แต่สามารถถ่ายทอดเชื้อไวรัสนี้ ไปยังคู่นอนผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ ป้องกัน

ผู้หญิงกับโรคมะเร็งปากมดลูก
สำหรับผู้หญิงเรามักถูกบอกว่า การมีคู่นอนหลายคน ทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งดูเหมือนจะให้ข้อมูลด้านเดียวไปหน่อย เพราะจริงๆ แล้ว ถ้าผู้หญิงเรามีคู่นอนคนเดียว แต่เขามีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายคนเราก็ เสี่ยงติดเชื้อไวรัสเอชพีวีเหมือนกัน

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สูบบุหรี่เป็นประจำ ก็ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง ร่างกายกำจัดเชื้อไวรัส เอชพีวีออกไปได้ยาก หรือมีลูกตอนอายุน้อยๆ อวัยวะภายในยังเติบโตไม่เต็มที่ ทำให้เซลล์ตรงปากมดลูกระคายเคือง เป็นแผลได้ง่าย

อาการเมื่อได้รับเชื้อไวรัสเอช พีวี
ภายหลังปากมดลูกเกิดการติดเชื้อเอชพีวี เซลล์บริเวณปากมดลูกนี้จะเกิดการอักเสบ พบว่าผู้หญิงร้อยละ 60 ที่ติดเชื้อ หรือพูดง่ายก็คือ ในผู้หญิงร้อยคนที่ติดเชื้อจะมีอยู่ 60 คนที่ร่างกายสามารถกำจัดเชื้อออกไป ภายในเวลาประมาณ 2-4 ปี

โดยจากข้อมูลวิชาการ รศ.นพ.วิชัย เติมรุ่งเรืองเลิศ ภาควิชาสูติศาสตร์ นรีเวชวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอก ไว้ว่า จากการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า 46% ในกลุ่มผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ กับผู้ชายเพียงคนเดียว เกิดการติดเชื้อเอชพีวีได้ เนื่องจากอีกฝ่ายมีคู่นอนมากกว่าหนึ่ง ลักษณะทั่วไปในระยะแรกจะไม่ปรากฏอาการ ผู้ป่วยสามารถสังเกตสิ่งผิดปกติทางกายได้ หากพบมีเลือดออกผิดปกติ เช่น มีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ มีเลือดออกหลังจากหมดประจำเดือนแล้ว หรือมีอาการตกขาวปะปนกับเลือด เป็นต้น อาการเหล่านี้ ควรได้รับการตรวจให้รู้ชัดเจน เกี่ยวกับอาการผิดปกติที่เกิด ขึ้น

อย่าเพิ่งตกใจป้องกันง่าย และรักษาหายได้แค่ดูแลตัวเอง
เนื่องจากโรคมะเร็งปากมดลูกป้องกันได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และ ตรวจภายใน หรือเรียกกันว่าตรวจแป๊ปเสมียร์ เป็นประจำ ด้วยเหตุที่โรคนี้ไม่สามารถมองเห็นได้เอง เพราะปากมดลูกอยู่ภายในร่างกาย การตรวจจากคุณหมอ เป็นแนวทางป้องกันที่เหมาะสม ถ้าตรวจพบเสียแต่เนิ่นๆ ดังนั้นผู้หญิงเราควรไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกๆ 3 ปี ยิ่งตรวจพบเร็วเท่าไร ยิ่งเพิ่มโอกาสการรักษาที่ได้ผลและหายขาดเร็วเท่านั้นค่ะ เพราะกว่าที่เชื้อไวรัสเอชพีวีจะไปทำลายเซลล์ที่ปากมดลูก และเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็งก็ใช้เวลานานประมาณ 10 ปีทีเดียว เราจึงมีเวลาตรวจหาเชื้อและรักษานานทีเดียว

จะว่าไปแล้วผู้หญิงเรายังรู้สึกเขินอาย และกลัวเจ็บเรื่องของตรวจภายใน ทำให้เมื่อมาพบแพทย์ อาการก็ลุกลามไปเสียแล้ว เพื่อนๆ ลองคิดบวกลบระหว่างความเขินอายกับสุขภาพชีวิตที่แข็งแรง สิ่งไหนคือความจำเป็นในชีวิตมากกว่ากันนะ แน่นอนว่า!!เพื่อนๆคงมีคำตอบนั้นอยู่ในใจแล้วจริงไหม? มะเร็งปากมดลูก ภัยร้ายที่ป้องกันได้

ที่มา : FW Mail


วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำความรู้จักมะเร็งร้ายอีกชนิด ‘จีสต์’ ฝันร้ายของระบบทางเดินอาหาร แตกต่างจากมะเร็งกระเพาะ ลำไส้อย่างไร?


แพทย์หญิงสุดสวาท เลาหวินิจ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย


เราอาจคุ้นหูโรคมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ แต่หากเอ่ยถึง 'มะเร็งจีสต์' จะมีกี่คนรู้จัก?

ที่งานแถลงข่าว 10 ปี แห่งนวัตกรรมการรักษาโรคมะเร็งจีสต์ แพทย์หญิงสุดสวาท เลาหวินิจ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย เล่าว่า มะเร็งจีสต์ (GIST : Gastrointestinal Stromal Tumor) หรือมะเร็งเนื้อเยื่อ ในทางเดินอาหารชนิดจีสต์ เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งของระบบทางเดินอาหาร เกิดขึ้นได้ตามส่วนต่างๆ ของระบบทางเดินอาหาร มักพบป่วยในคนวัย 50 ปีขึ้นไป

คีย์เวิร์ดสำคัญที่ทำให้มะเร็งชนิดนี้แตกต่างไปจากมะเร็งกระเพาะ มะเร็งลำไส้ หรือมะเร็งส่วนอื่นของทางเดินอาหารทั่วไป คือ มะเร็งจีสต์จะต้องเกิดจากความผิดปกติของโปรตีนชนิดหนึ่งชื่อ คิท (KIT) ที่อยู่บนผิวของเซลล์ปกติ คอยทำหน้าที่ส่งสัญญาณภายในเซลล์ เพื่อแจ้งให้เซลล์ขยายตัวเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

ทว่า เมื่อเซลล์ชื่อ คิท ผิดปกติ สัญญาณจะถูกส่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้การแบ่งตัวของเซลล์เกิดความผิดปกติ เป็นเหตุให้เนื้องอกยิ่งเจริญเติบโตขึ้นนั่นเอง ทั้งนี้ในการวินิจฉัยให้รู้แน่ชัด โดยพยาธิแพทย์จะต้องนำชิ้นเนื้อตัวอย่างไปตรวจในห้องปฏิบัติการณ์ด้วยการย้อมสีโปรตีนคิท หากพบว่าเป็นมะเร็งจีสต์ ผลการตรวจโปรตีนคิทมักจะเป็นค่าบวก

สำหรับมะเร็งจีสต์นั้น ในอเมริกา พบป่วย 4,000–5,000 รายต่อปี ในไทยพบป่วยปีละ 250 ราย ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับมะเร็งของระบบทางเดินอาหารชนิดอื่น แต่มีอัตราการเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี

อาการของโรค มักไม่แสดงให้เห็นในขณะที่เนื้องอกมีขนาดเล็ก แต่แพทย์อาจตรวจพบโดยบังเอิญ หรือผู้ป่วยเริ่มมีอาการเพราะเนื้องอกโตขึ้น ดังเช่นกรณีของนายสำราญ สมใจ ผู้ป่วยมะเร็งจีสต์ ร่วมเล่าถึงอาการที่เกิดขึ้นกับตนเองว่ามีทั้งปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร รู้สึกอิ่มเร็วหลังจากรับประทานอาหารไปเล็กน้อย น้ำหนักลด มีปัญหาในการกลืนอาหาร อุจจาระมีเลือดปน คลำเจอก้อนในช่องท้อง

อย่างไรก็ตาม การรักษามีหลายวิธี บางรายผ่าตัดชิ้นเนื้อในช่องท้องออกไป แต่โอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำก็มีค่อนข้างสูง หรือจะใช้วิธีแบบดั้งเดิม คือ การรักษาด้วยเคมีบำบัด และการฉายรังสี แต่สำหรับผู้ป่วยมะเร็งจีสต์ กลับพบว่า มีการดื้อต่อการฉายรังสีและเคมีบำบัด และโรคมักกลับเป็นซ้ำอีกหรือมีการแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆ ได้

ปัจจุบันการรักษามะเร็งจีสต์มีความก้าวหน้ามากขึ้น หากก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ อาจทำให้แพทย์ไม่สามารถผ่าตัดได้ทันที ต้องลดขนาดก้อนมะเร็งโดยให้ผู้ป่วยรับประทานยา ที่สำคัญคือ ยายับยั้งเอนไซม์ไทโรซีน ไคเนส

กระทั่งก้อนมะเร็งลดลง จึงทำการผ่าตัดออก จากนั้นจะให้การรักษาเสริมด้วยยากลุ่มออกฤทธิ์ต่อเป้าหมาย หรือออกฤทธิ์เฉพาะเซลล์มะเร็ง ไม่ทำลายเซลล์ดี ยากลุ่มดังกล่าวเรียกว่า ทาร์เก็ต เธอร์ราปี (Targeted Therapy) เช่น ยาอิมมาตินิบ ให้กับผู้ป่วยหลังผ่าตัดก้อนมะเร็งจีสต์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค และลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของยาที่ใช้รักษานั้นมีราคาค่อนข้างแพง แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าผู้ป่วยที่ทุนทรัพย์ไม่พร้อมจะหมดทางเข้าถึงยา เพราะยังมีโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติจีแพป โดยโนวาร์ตีส เป็นการมอบยาอิมมาตินิบให้ผู้ป่วยมะเร็งจีสต์ทั่วโลก แบบไม่คิดมูลค่า ซึ่งผู้ป่วยสอบถามได้จากแพทย์ผู้รักษา ปัจจุบัน มีผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการกว่า 50,000 รายในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ส่วนในไทยช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งจีสต์ ไปแล้ว 524 คน

เมื่อใครๆ ต่างก็ไม่อยากป่วยด้วยโรคมะเร็ง ขออย่าละเลยการตรวจสุขภาพ และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย หากผิดปกติควรปรึกษาแพทย์โดยด่วน โดยเฉพาะมะเร็ง รู้ทันโรคเร็วเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มโอกาสหาย.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ takecareDD@gmail.com

ที่มา : ‘มะเร็งจีสต์’ ฝันร้ายระบบทางเดินอาหาร

หวานซ่อนคม "รู้ทันสารแทนน้ำตาล"

หลายคน คงเคยมีข้อสงสัยว่า บรรดาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ที่โฆษณาว่ามีปริมาณน้ำตาล 0% นั้นหากดื่มเข้าไปแล้วจะทำให้อ้วน เหมือนกับเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลตามปกติหรือไม่

หวานซ่อนคม "รู้ทันสารแทนน้ำตาล"

ในเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบคำอธิบายว่าเหตุใด การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 0% จึงไม่สามารถทำให้หลายคนมีหุ่นผอมเพรียวตามที่ต้องการได้ ซ้ำร้ายอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย

สำหรับผู้ที่เคยดื่มจะพบว่า เครื่องดื่มที่กล่าวอ้างว่าไม่มีน้ำตาลหรือมีน้ำตาล 0% นั้งยังมีรสหวานเหมือนน้ำตาลอยู่ ซึ่งเป็นผลของสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล เช่น ขัณฑสกร, แอสปาเทม, ไซลิทอล, ซัคคาริน และ อื่นๆ

ซึ่งผู้ผลิตเครื่องดื่มจะนิยมใช้แอสปาเทม เนื่องจากมีรสชาติ ใกล้เคียงน้ำตาลทรายมากที่สุด และ ให้ความหวานประมาณ 200 - 300 เท่าของน้ำตาลทรายในปริมาณเดียวกัน

ดร.อามันดา เพน เจ้าของผลงานวิจัยซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสารโรคอ้วน อธิบายว่า การบริโภคน้ำตาลฟรุกโตส, สารให้ความหวาน และ น้ำตาลแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก จะส่งผลให้แบคทีเรียในลำไส้เกิดการเปลี่ยนแปลง และ สร้างความผิดปกติแก่การส่งสัญญาณอิ่ม และ กระบวนการเผาผลาญ

โดยตามปกติแบคทีเรียในลำไส้มีหน้าที่ย่อยอาหาร และ ให้กรดไขมันสายสั้นออกมา ซึ่งกรดไขมันนี้เป็นสิ่งที่ให้พลังงานกับร่างกาย และ แบคทีเรียชนิดเดียวกันนี้ นอกจากจะย่อยอาหารทั่วไปแล้ว ยังสามารถปรับตัวให้ย่อยสารให้ความหวานแทนน้ำตาล และ น้ำตาลแอลกอฮอล์ได้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น เท่ากับว่าร่างกายจะได้รับพลังงาน จากเครื่องดื่มน้ำตาล 0% เช่นเดียวกับเครื่องดื่มปกติ แต่เนื่องจากผู้บริโภคมักจะดื่มเครื่องน้ำตาล 0% ในปริมาณมากด้วยความเข้าใจว่าไม่มีน้ำตาล จึงทำให้บางกรณีร่างกายกลับได้พลังงานมากกว่าการดื่มเครื่องดื่มปกติเสียอีก

นอกจากจะให้พลังงานแล้ว กรดไขมันสายสั้นยังส่งผลต่อความรู้สึกอิ่มด้วย โดยการขัดขวางไม่ให้ร่างกายส่งสัญญาณอิ่มไปยังสมอง การขัดขวางดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการบริโภคอาหารมากเกินความจำเป็นในกรณีที่ดื่มเครื่องดื่มน้ำตาล 0% พร้อมกับรับประทานอาหาร

เมื่อรวมกับรสชาติหวาน ที่ลิ้นได้รับซึ่งหลอกสมองว่า กำลังจะได้รับพลังงาน แต่เมื่อได้น้อยกว่าปกติสมองจะสั่งให้ทานอาหารมากขึ้น เพื่อให้ได้พลังงานตามปกติ ยิ่งทำให้มีการบริโภคอาหารมากขึ้นไปอีก

ไม่เพียงเท่านี้ แม้ยังไม่มีหลักฐานอย่างเป็นทางการ แต่นักวิทยาศาสตร์กำลังสงสัยว่า กรดไขมันสายสั้นอาจมีความเกี่ยวข้องกับ การอักเสบของเยื่อบุผนังลำไส้ ซึ่งหากเยื่อบุผนังลำไส้อักเสบ และ ทะลุ แบคทีเรียในลำไส้จะสามารถหลุดเข้าสู่กระแสเลือด จนนำไปสู่โอกาสเกิดโรคอื่นๆ เช่น เบาหวานแบบที่ 2, โรคหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดหัวใจ

นี่เป็นเหตุที่อธิบายว่าเหตุใด ผู้ที่ตั้งใจดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 0% แทนเครื่องดื่มปกติเพื่อลดความอ้วน กลับมีน้ำหนักตัวและรอบเอวเพิ่มขึ้น

โดยสามารถเปรียบเทียบพบว่า ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 0% เฉลี่ยวันละประมาณ 2 กระป๋อง ในระยะเวลา 10 ปี คนกลุ่มนี้จะมีขนาดรอบเอวเพิ่มขึ้นมากกว่าผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแบบปกติ ถึง 5 เท่า

เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ด้วยการหันไปดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำผักผลไม้คั้นสดแทน

โรคกลีบกุหลาบ (pityriasis rosea) คืออะไร?

โรคกลีบกุหลาบมันเป็นยังไง

ภาพประกอบจาก Internet

โรคนี้มีชื่อเรียกว่า pityriasis rosea บางคนเรียกผื่นกุหลาบ สะเก็ดกุหลาบ กลีบกุหลาบ หัดดอกกุหลาบ โรคขุยกุหลาบหรือเรียกว่าหัด 100วัน ก้อมี เป็นอีกโรคที่พบได้บ่อย พบมากที่สุดในช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ พบได้เท่าๆ กันในทั้งหญิงและชายแต่อาจพบในหญิงสูงกว่าชายเล็กน้อย โดยยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดตอนนี้ที่ทราบได้สาเหตุน่าจะเป็นไวรัสชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า pityriasis rosea มาจากลักษณะของผื่น คือ pityriasis หมายถึงขุยบางๆ (fine scales) และ rosea แปลว่า สีดอกกุหลาบหรือสีชมพู แต่เนื่องจากลักษณะผื่นและสีที่ปรากฎ มักพบได้เป็นวงรีหรือวงกลมรูปไข่ จึงอาจเรียกว่า โรคกลีบกุหลาบ

อาการอย่างไรที่เรียกว่า โรคกลีบกุหลาบ
โรคกลีบกุหลาบ (pityriasis rosea, PR) เป็นโรคผิวหนังที่มีผื่นลักษณะเฉพาะ และมีอาการเฉียบพลัน เริ่มแรกคนไข้จะเริ่มสังเกตตนเอง พบว่ามีผื่นคันขนาดประมาณ 2-6 เซนติเมตร สีชมพูหรือสีน้ำตาล มีขุย ครั้งแรกมักจะเป็นปื้นโดดๆ ที่ผิวหนังบริเวณใดก็ได้ของร่างกาย แต่พบได้บ่อยที่ตามหน้าอกหรือหลัง เรียกว่าผื่นแจ้งข่าวเกิดขึ้นนำมาก่อน

ต่อมาอีกหลายวัน จะเกิดผื่นเป็นปื้นที่มีสะเก็ดเป็นขุยๆ ตามมา ส่วนมากมักพบได้ในบริเวณ ที่ปกคลุมด้วยเสื้อผ้า ผื่นจะมีรูปรีๆ และส่วนยาวจะขนานไปกับ เส้นแยกของผิวหนัง ที่มักนิยมเรียกรอยโรคที่เรียงดูเหมือนคล้ายต้นคริสต์มาส ("Christmas tree" pattern) อาการสำคัญของโรคนี้ คือ อาการคัน ผู้ป่วยบางคนยิ่งร้อน ยิ่งเหงื่อออกมากจะยิ่งคันมาก ในบางรายอาจมีไข้และอ่อนเพลีย ผื่นนี้จะค่อยๆจางลง และ หายไปได้เองภายใน 6-12 สัปดาห์ และเมื่อเป็นครั้งหนึ่งแล้วก็มักจะไม่เป็นอีก ติดต่อโดยการสัมผัส โรคนี้มักหายได้เอง ไม่รุนแรง

รอยผื่นจะมีรูปรี ๆ และส่วนยาวจะขนานไปกับเส้นแยกของผิวหนังที่มักนิยมเรียกรอยโรคที่เรียงดูเหมือนคล้ายต้นคริสต์มาส ("Christmas tree" pattern)

การวินิจฉัยควรตรวจรักษาโดยคุณหมอผิวหนังครับ ในวัยรุ่นหรือในผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงจะต้องแยกโรคจากผื่นจากซิฟิลิสระยะที่ 2 จึงจำเป็นต้องตรวจเลือดดูว่าบวกหรือไม่เพื่อความแน่นอน

การรักษาโรคกลีบกุหลาบ
โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงและอาการมักดีขึ้นเอง ผู้ป่วยแน่ใจสบายใจได้เลยครับว่าว่าโรคนี้จะทุเลาลงไปได้เอง ไม่มีการรักษาที่เฉพาะ แต่เรามักแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการถูกน้ำ ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือห้ามอาบน้ำอุ่นเด็ดขาด การมีเหงื่อออกและการสัมผัสสบู่ เพราะมักทำให้ผิวระคายเคือง และโรคมีอาการกำเริบ จะทำให้ผิวคุณจะยิ่งแห้งและคันมากขึ้น

ยาที่ใช้ในโรคกลีบกุหลาบ
  1. กลุ่มแรกเป็นยาเพื่อบำบัดอาการคัน ได้แก่ ยากลุ่มสตีรอยด์ในรูปยากิน คือ prednisolone ขนาดยา 5-60 มก./วัน วันละครั้ง หรือแบ่งขนาดยาเป็นวันละ 2-4 ครั้ง เมื่ออาการดีขึ้นให้ลดยา จนหมดในช่วงระยะเวลา 2 สัปดาห์. ข้อควรระวังคือห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์ ส่วนในรูปยาทา อาจให้ยาทา zinc oxide และ calamine lotion หรือสเตียรอยด์ทาเช่น hydrocortisone เพื่อลดอาการคันในบริเวณที่เป็นวันละ 2-4 ครั้ง แต่ตัวหลังนี่ ควรระวังถ้าทาเป็นบริเวณกว้างมาก
  2. ยากลุ่มปฏิชีวนะ คือ erythromycin ขนาดยาในผู้ใหญ่ 250 มก. ทุก 6 ชั่วโมง ก่อนอาหาร หรือ 500 มก.ทุก 12 ชั่วโมง
  3. ยากลุ่มต้านไวรัส ในรูปยากิน คือ acyclovir ขนาดยาในผู้ใหญ่ 800 มก. วันละ 5 ครั้ง ในเด็กขนาดยา 10-20 มก./กก. ทุก 6 ชั่วโมง นาน 5-10 วัน
  4. สุดท้ายในบางรายหมออาจให้การฉายแสง โดยฉายรังสียูวีบี (UV-B light therapy) อาจลดอาการคันได้
ที่มา : โรคกลีบกุหลาบ มันเป็นยังไงเหรอ โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล


วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

โรคเบาจืด รู้จักกันหรือเปล่า

ไม่รู้จักใช่ไหมล่ะ! ก็ส่วนใหญ่เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า "เบาหวาน" ส่วน "เบาจืด" นั้นฟังดูแปลกหู จนหลายคนออกอาการ งง???

ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับโรคเบาจืด ไปพร้อมๆ กันเลย

โรคเบาจืด (Diabetes Insipidus) เป็นโรคที่มีการสูญเสียหน้าที่การดูดกลับของน้ำที่ไต เนื่องจากมีระดับของฮอร์โมน ที่ทำหน้าที่ควบคุมการดูดกลับของน้ำลดลง

ส่วนสาเหตุที่ระดับฮอร์โมนลดลงนั้น อาจเกิดจากต่อมใต้สมองส่วนหลังถูกทำลาย มีเนื้องอกไปกด หรือเนื่องจากได้รับอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม กะโหลกศีรษะแตกไปทำลายเนื้อต่อม เป็นต้น

ลักษณะอาการของผู้ป่วยเบาจืด ที่พบบ่อย คือ ปัสสาวะมากและบ่อย (ในรายที่เป็นรุนแรงจะถ่ายปัสสาวะบ่อยทุกครึ่ง หรือหนึ่งชั่วโมงทั้งกลางวันและกลางคืน) มีการกระหายน้ำ และดื่มน้ำมาก เนื่องจากการสูญเสียของน้ำไปทางปัสสาวะมาก ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำตามที่ต้องการ จะกระวนกระวาย คอแห้ง ท้องผูก อ่อนเพลียมาก และอาจหมดสติ อาการที่เกิดอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันได้ค่ะ

ในการวินิจฉัยโรคเบาจืด แพทย์จะซักประวัติและการตรวจพิเศษบางอย่าง ส่วนการรักษาโรคนี้ อาจจำเป็ฯต้องรักษาที่ต้นเหตุในสมอง หรือการให้ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมการดูดกลับของน้ำที่ไต ทดแทนในผู้ป่วยที่ยังมีฮอร์โมนออกมาบ้าง

ส่วนการดูแลผู้ป่วยโรคเบาจืดนั้น นอกจากจะดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยา และปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด แล้ว ด้วยเหตุที่ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะบ่อยมาก จึงควรดูแลความสะอาดหลังการถ่ายปัสสาวะทุกครั้ง

ในกรณีผู้สูงอายุจำเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการลุกเดินไปห้องน้ำบ่อยๆ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนั้นควรดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกายอย่างเพียงพอ และสังเกตว่ามีอาการของการขาดน้ำหรือไม่ เช่น ริมฝีปากแห้ง ผิวแห้ง ตาลึกโหล เป็นต้น หากปรากฎอาการผิดปกติที่ไม่แน่ใจ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ

ทีนี้คงรู้จักโรคเบาจืดกันแล้วนะครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจากสวยด้วยแพทย์


วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ อาหารเสริมสุขภาพ

เนื่องด้วยทุกวันนี้ มีผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" ในท้องตลาดอยู่มากมายหลากหลายผลิตภัณฑ์ แล้ว เราจะทราบได้อย่างไรว่า "อาหารเสริมสุขภาพ" เหล่านั้นจะสามารถทานได้อย่างวางใจ และ แน่ใจได้ว่า ปลอดภัยต่อสุขภาพของเรา

ดังนั้นผมจึงขอรวบรวม "ธรรมนูญ" ว่าด้วย การเลือกผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" ให้ผู้อ่านได้พิจารณากันว่า เราควรจะเลือก "อาหารเสริมสุขภาพ" กันอย่างไร จึงจะปลอดภัยกับตัวเรามากที่สุด ซึ่ง "ธรรมนูญ" ที่ว่านี้ มีด้วยกัน 8 ข้อ ดังนี้
  1. เป็นสารอาหารที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด หมายความว่า ต้องเป็นสารอาหารที่สกัดออกมาจากธรรมชาติ ไม่มีการปรุงแต่งของสารเคมีเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ต้องไม่มีส่วนผสมของสารกันบูด, กันหืน, กันเชื้อรา
  2. มีปริมาณสารอาหารหลากหลาย หมายความว่า ไม่ใช่ได้รับสารอาหารแค่ 1 หรือ 2 ชนิด เพราะสารอาหารนั้นจะต้องมีการทำงานเป็นเครือข่าย เสมอ สารอาหาร ไม่สามารถทำงานด้วยตัวมันเองเดี่ยวๆได้เลย เช่น Vitamin C จะต้องทำงานร่วมกับ Vitamin A และ Vitamin E เสมอ
  3. ทำงานเป็นเครือข่าย และ จับคู่ได้ถูก หมายความว่า ไม่ใช่แค่มีปริมาณสารอาหารที่หลากหลาย แต่จับคู่การทำงานไม่ถูก ก็ไม่เกิดประโยชน์เช่นกัน เช่น ถ้าหากบอกว่า มีสารอาหารหลากหลาย แต่ สารอาหารเหล่านั้นไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ เช่น บอกว่ามี  Vitamin A และ Vitamin E แต่ไม่มี Vitamin C  Vitamin A และ Vitamin E ก็ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ในทางกลับกันอาจจะได้รับผลลัพท์ ในด้านที่ไม่น่าพอใจกลับมาแทน นอกจากวิตามันแล้ว เกลือแร่ ก็สำคัญ เช่น หากเราทาน แคลเซียม (Calcium) อย่างเดียว โดยไม่มี แมกนีเซียม (Magnesium) ก็ไม่ได้ เพราะร่างกายไม่สามารถดูดซึม แคลเซียม (Calcium) เข้าสู่ร่างกายได้ และ หากไม่มี วิตามิน D ร่างกายก็ไม่สามารถดึง แคลเซียม (Calcium) ที่อยู่ในกระดูกออกมาใช้งานได้เช่นกัน โดยปรกติแล้วอัตราส่วนระหว่าง แคลเซียม (Calcium) กับ แมกนีเซียม (Magnesium) ต้องเป็น 2:1 เสมอ เช่น ทาน แคลเซียม (Calcium) 1000 มิลลิกรัม จะต้องทาน แมกนีเซียม (Magnesium) 500 มิลลิกรัมร่วมด้วยเสมอ เพราะหากเราไม่มี แมกนีเซียม (Magnesium) เป็นตัวพา แคลเซียม (Calcium) เข้ากระดูก แคลเซียม (Calcium) จะสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของกระดูก และ มีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกงอกได้อย่างง่ายดาย
  4. ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ หมายความว่า ต้องได้รับสารอาหารไม่ขาดไม่เกิน จากที่ร่างกายต้องการ เช่น ร่างกายต้องการ Vitamin C วันละ 1000 มิลลิกรัม เราก็ต้องทาน Vitamin C ให้ได้วันละ 1000 มิลลิกรัม ตามที่ร่างกายต้องการ แต่ ที่สำคัญ คือ ร่างกายสามารถรับ Vitamin C ได้ครั้งละไม่เกิน 500 มิลลิกรัมเท่านั้น ถ้าทานมากกว่านั้น ร่างกายจะขับทิ้งทางปัสสาวะ ทำให้วิตามินส่วนที่เหลือ สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้นในการรับ Vitamin C ที่ถูกต้องคือ ได้รับวันละ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 500 มิลลิกรัม
  5. ร่างกายสามารถดูดซึม และ นำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หมายความว่า ไม่ต้องรอย่อยด้วยน้ำย่อย เพราะ เกลือแร่ ส่วนใหญ่เมื่อโดนน้ำกรดในกระเพาะอาหารแล้ว เกลือแร่ เหล่านั้นมักจะสูญสลายไปมากกว่า 50% เสมอ ดังนั้น เราต้องเลือกผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ทันที
  6. ไม่มีการเหลือตกค้างอยู่ในร่างกาย หมายความว่า เมื่อทานเข้าไปแล้วร่างกายสามารถนำไปใช้งานได้หมด ไม่เหลือตกค้างอยู่ในร่างกาย หรือ ถ้าใช้งานไม่หมด ร่างกายสามารถขับออกได้ โดยไม่มีผลกระทบใดๆกับร่างกาย และ สามารถทานต่อเนื่องได้ตลอดไป ไม่จำเป็นต้องทาน 3 เดือน เว้น 1 เดือน (กรณี ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" อะไรที่บอกว่าให้ทาน 3 เดือน เว้น 1 เดือน นั้น ส่วนใหญ่แล้วหมายความว่า จะเป็นสารอาหารที่สังเคราะห์ขึ้นมาจากสารเคมี ซึ่งร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ได้หมด และ ไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงต้องมีช่วงพัก เพื่อให้ร่างกายขับสารพิษตกค้างเหล่านั้นออกมาได้)
  7. มีความปลอดภัยสูง ซึ่งจะต้องได้รับการรับรองจากองค์กรกลางที่น่าเชื่อถือ หมายความว่า ต้องได้รับการไว้วางใจจากองค์กรกลาง และ เป็นสากล ว่าทานแล้วไม่มีผลกระทบต่อร่างกายจริง องค์กรกลางที่น่าสนใจเช่น โอลิมปิคสากล, ConsumerLab, PDR หรือ (Physical Desk Reference), Banned Substances Control Group (BSCG)
  8. วัดผลได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ หมายความว่า ในการใช้ หรือ ทานผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" ผู้ที่ทานไปแล้ว ต้องสามารถตรวจสอบได้ว่า ทานไปแล้วได้ผลดีจริงๆ โดยการตรวจสอบนั้นต้องตรวจวัดโดยใช้หลักฐาน ทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ไม่ใช่ รู้สึกไปเอง หรือ ให้คนอื่นบอก เพราะการที่ไม่สามารถตรวจวัดได้นั้น ไม่ใช่หลักการทางวิทยาศาสตร์


วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สารลูทีน (Lutein) คืออะไร?

สารลูทีน (Lutein) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จัดอยู่ในกลุ่มสารที่มีสี ในตระกูลแคโรทีนอยด์ เป็นสารที่พบบริเวณตา ลูทีนเป็นแคโรทีนอยด์สีเหลือง ซึ่งมีส่วนอย่างมาก ในการต่อต้านสารต้านอนุมูลอิสระ ลูทีนพบได้ทั่วไปในผักใบเขียว ข้าวโพด และ ไข่แดง และมีส่วนสำคัญในการบำรุงสายตา โมเลกุลของลูทีนพบในปริมาณสูงในจุดของดวงตา โดยที่ ลูทีนจะฉาบบนผิวของเรตินา (Retina) บริเวณจุดรับภาพของลูกตา (macula) ซึ่งเป็ตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในจอประสาทตา เพราะเป็นจุดที่รูปภาพและแสงสว่าง ส่วนมากจะมาตกบริเวณนี้ ซึ่งเป็นส่วนที่จอตารับภาพได้ชัดเจนที่สุด ลูทีนจะช่วยในการดูดซับ แสงสีน้ำเงินในแถบสีการมองเห็น และช่วยปกป้องการทำลาย ของคลื่นสั้นที่มีต่อเยื่อบุผิวเรตินาจากการศึกษา พบว่า ระดับลูทีน 2.0 – 6.9 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดด่างในดวงตาได้
*ดังนั้นพอจะพูดได้ว่า สารลูทีนจะช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ในการป้องกันเยื่อแก้วตา (retina)
หน้าที่ของ Lutein
  1. Lutein ทำหน้าที่ช่วยให้มองภาพได้คมชัด และเห็นรายละเอียดของภาพดีขึ้น
  2. Lutein มีรายงานถึงผลการวิจัยที่ชัดเจนมากมาย สามรถลดอุบัติการณ์ โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุได้จริง
  3. Lutein ลดความเสี่ยง ในการเป็นโรค จุดรับภาพเสื่อม (Age - Related Mascular Degeneration หรือ AMD)
  4. Lutein ลดอุบัติการณ์โรคมะเร็งเต้านมในสตรี กลุ่มที่มีความเสี่ยง
  5. Lutein ลดกลไกการเกิด Plague ในผนักเส้นเลือด ทำให้ลดอัตราการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดตีบในสมอง
การรับประทานลูทีน ในปริมาณที่สูง จะมีอัตราเสี่ยงต่ำกว่า 43% สำหรับภาวะการเสื่อมของจอประสาทตา เมื่อเปรียบเทียบการรับประทานในปริมาณที่ต่ำ จากการศึกษากลุ่มตัวอย่าง จำนวน 876 คนซึ่งมีอายุ ระหว่าง 55-80 ปี การได้รับลูทีน และ ซีซานทีน ในอัตราสูง จะช่วยลดความเสี่ยง ของจอประสาทตาเสื่อมอย่างเฉียบพลันตามอายุได้

จากประสิทธิภาพของลูทีน ที่ช่วยชะลออาการจอประสาทตาเสื่อม ของผู้ใหญ่ จึงมีการศึกษาประโยชน์ของลูทีน ที่มีต่อการปกป้องจอประสาทตา ของทารก และ เด็ก เล็ก เพิ่มมากขึ้น

จากการศึกษาคนไข้จำนวน 421 คน แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับลูทีนและซีซานทีนในระดับสูงที่สุด จะมีส่วนสำคัญ ต่อการลดระดับอัตราเสี่ยงของความเสื่อม ของตาตามอายุได้

จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า หญิงและชายที่ได้รับ ลูทีนในระดับสูงที่สุด จะเป็นต้อกระจกในอัตราที่ต่ำกว่า ผู้ที่ไม่รับประทานลูทีนจากผัก แล ะผลไม้และสารลูทีนอาจช่วยป้องกันมะเร็งปอด มะเร็งสำไส้ และมะเร็งเต้านม พบว่าการรับประทานสารลูทีน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ในทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และการลดอัตราเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือ การตรวจพบการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ระยะเริ่มแรก การรับประทานผักที่อุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ ซึ่งประกอบด้วยลูทีนในปริมาณสูง จะมีความสัมพันธ์กับอัตราเสี่ยง ในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมที่ลดลง โดยเฉพาะสำหรับสตรีที่มีประวัติว่า มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเต้านม

ดังนั้นพอจะสรุปได้ว่า Lutein ประโยชน์ดังนี้
  1. ช่วยให้ตาแข็งแรง ป้องกันประสาทตาเสื่อม
  2. เพิ่มความแข็งแกร่ง ให้กับผนังหลอดเลือดใหญ่ และเส้นเลือดฝอย
  3. เป็นสารที่ช่วยเสริมสร้าง สุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
  4. ช่วยเสริมสร้างการมองเห็น โดยช่วยป้องกันการเสื่อมของ Mascular ที่จุดเล็กๆ ตรงกลางของที่รับแสงในตา (Retina) อันเป็นส่วนสำคัญของ Main pigment (สี) ในฉากรับแสงของตา จะช่วยป้องกันมิให้แสงอาทิตย์ทำลายเรตินา
  5. ป้องกันโรคจุดรับภาพเสื่อม หรือจอประสาทตาเสื่อม AMD (Age - Related Mascular Degeneration)
  6. ช่วยป้องกันและลดอาการของโรคต้อกระจก (Cataracts)
  7. ช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
  8. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (Free radical) ที่ทำลายเซลล์ตา ทำให้เซลล์แข็งแรง ช่วยชะลอความเสื่อมของตา
  9. ช่วยบำรุงระบบการไหลเวียนของเลือด และเส้นเลือดฝอยที่เลี้ยงตา
  10. เพิ่มสมรรถภาพในการมองเห็นได้ดีในที่มืด
  11. ช่วยแก้สายตาที่ไม่ดีและโรคเกี่ยวกับตา
ลูทีนถือเป็นสารอาหารที่มีความ สำคัญในการปกป้องจอประสาทตา โดยลูทีน จะทำงานร่วมกันกับกรดไขมันดีเอชเอ และ เอเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริม สร้างพัฒนาการด้านการมองเห็นของเด็ก โดยดีเอชเอและเอเอ จะทำหน้าที่เหมือนเป็นหลอดไฟ ส่วนลูทีน จะทำหน้าที่เหมือนเป็นสารเคลือบหลอดไฟ ไม่ให้เสื่อมเร็ว และนอกจากลูทีนจะพบมากในดวงตาของคนเราแล้ว ยังพบได้ในสมองในส่วนที่เกี่ยวกับการมองเห็นถึงร้อยละ 66 จึงเชื่อว่าลูทีนมีส่วนช่วยในการรับภาพ และ ส่งต่อไปยังสมองได้ดีขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สารอาหารลูทีนนี้ ร่างกายของคนเรา ไม่สามารถสังเคราะห์สารลูทีนขึ้นมาใช้เองได้ จะต้องกินเข้าไปเท่านั้น โดยพบมากในน้ำนมแม่ เด็กแรกเกิดที่ได้กินนมแม่นั้นจะได้รับลูทีน ผ่านทางน้ำนมโดยตรง หากไม่ได้รับสารอาหารที่ช่วยปกป้องดวงตาอย่างเพียงพอ

ดังนั้น การดูแลปกป้องดวงตา และเอาใจใส่เรื่องการกินอาหาร จะทำให้ลูกได้รับสารอาหารที่จำเป็น มีประโยชน์ต่อร่างกาย และมีพัฒนาการทางสายตาที่สมบูรณ์ จึงจำเป็นต้องให้ลูกได้ดื่มนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 1 ขวบ

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ริชิเอ็มเอ็กซ์ (ReishiMx) คืออะไร?



  1. รายละเอียดทั่วไป
    ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
    • ประกอบด้วยตัวเห็ด และ สปอร์เห็ด ที่ให้สารสำคัญสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป
    • สปอร์เห็ดแตก 100% ด้วยเทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะ
    • เพาะบนขอนไม้ที่เลียนแบบธรรมชาติ จึงปราศจากสารปนเปื้อน
    • กระบวนการสกัดลิขสิทธิ์ ช่วยให้สกัดได้สารสำคัญคงอยู่ในปริมาณสูง
    • ละลายน้ำ และ ออกฤทธิ์ได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป
    • มีการศึกษาทางคลินิกโดยใช้ผลิตภัณฑ์ มากกว่า 10 ฉบับ (รวมถึงฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็ง)
    • รางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมจากรัฐบาลไต้หวัน
    • อยู่ในตำรายา PDR (Physicians' Desk Reference)
    สารสำคัญที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าให้ประโยชน์ต่อสุขภาพที่สกัดได้จากเห็ดหลินจือได้แก่
    • โพลีแซคคาไรด์ : เห็ดหลินจือให้สารโพลีแซคคาไรด์ที่หลากหลายทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพต่างๆกัน
    • ไตรเทอร์ปีน : มีฤทธิ์ช่วยปกป้องตับซึ่งในเห็นหลินจือมีไตรเทอร์ปีนอยู่มากกว่า 200 ชนิด
    • นิวคลีโอไซด์ : มีอะดีโนซีนช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด
    • สารประกอบอื่นๆ : มีวิตามิน เกลือแร่ และ กรดอะมีโน ซึ่งกรดอะมีโนที่ได้นั้น ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้
  2. ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
    • ต่อต้านเซลล์มะเร็ง โดยยับยั้งการก่อตัว การแบ่งตัว และ การลุกลามของเซล์มะเร็ง
    • กระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกัน
    • ปกป้องและฟื้นฟูตับและไต
    • มีผลดีต่อโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่นโรคข้อรูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี โรคหืด และ ภูมิแพ้เป็นต้น
    • รักษาระดับน้ำตาลในเลือด รักษาความดันโลหิตให้เป็นปกติ
    • ส่งเสริมพลังงานของร่างกาย ลดความอ่อนเพลีย บำรุงสุขภาพโดยรวมที่ดี
    • บรรเทาอาการนอนไม่หลับ อาการปวดหัว ไมเกรน
    • มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
    • อื่นๆ เช่น มีผลดีต่อภาวะชัก โรคกระเพาะอาหาร ท้องผูก ริดสีดวงทวาร รอบเดือนผิดปรกติ เป็นต้น
  3. กระบวนการสกัดของ นูสกิน ที่แตกต่าง
    บริษัทฟาร์มาเน็กใช้วิธีสกัดสารสำคัญจากสปอร์ของเห็ดหลินจือ เพราะสปอร์ของเห็ดหลินจือ เป็นแหล่งที่มีสารโพลีแซคคาไรด์ และ ไตรเทอร์ปี อยู่มากที่สุด สารโพลีแซคคาไรด์ มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับไข่ และ มีเปลือกแข็งมาก ซึ่งทำให้การสกัดสารโพลีแซคคาไรด์ และ ไตรเทอร์ปีน ทำได้ยาก
    บริษัท ฟาร์มาเน็ก ได้ใช้วิธีการสกัดหลายขั้นตอน เพื่อให้สารสำคัญที่ได้มีความเข้มข้นสูง ซึ่งส่วนใหญ่สารสกัดที่ได้จากเห็นหลินจือ นั้น จะสกัดเพียงครั้งเดียว ทำให้ได้สารสำคัญที่น้อย บางครั้งไม่สามารถสกัดไตรเทอร์ปีนได้ นอกจากนี้ ฟาร์มาเน็ก ยังได้ใช้ เทคโนโลยีเฉพาะของบริษัท ในการทำให้เปลือกของสปอร์แตกออก ทำให้สกัดสารสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. ความปลอดภัยของผลิตภัณธ์ ซึ่ง ฟาร์มาเน็กซ์ใช้มาตรฐาน 6S ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
    • การคัดเลือก (Selection) : พืชสมุนไพรที่ฟาร์มาเน็กซ์เลือกใช้ จะต้องผ่านการตรวจสอบในด้านเป็นของแท้ นำไปใช้ประโยชน์ได้ และ มีความปลอดภัยในการใช้
    • การหาแหล่งวัตถุดิบ (Sourcing) : นักวิทยาศาสตร์ของฟาร์มาเน็กซ์ จะต้องตรวจสอบหาแหล่งของพืช รวมถึงพิจารณาคุณภาพของวัตถุดิบ แล้วทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ซึ่งจะทดสอบพืชดังกล่าว ณ สถานที่ที่ได้คัดเลือกไว้
    • การวิเคราะห์ทางโครงสร้างสารประกอบ (Structure) : ฟาร์มาเน็กซ์ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัย และ สถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียง ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา และ จีน ทำการวิเคราะห์หาโครงสร้าง ของสารประกอบธรรมชาติที่มีอยู่ในพืชที่คัดเลือกไว้ และ วิเคราะห์หาโครงสร้างของสารประกอบหลักที่ออกฤทธิ์ของพืชอย่างละเอียดถี่ถ้วน
    • การเข้มงวดด้านมาตรฐานของการผลิต (Standardization) : ฟาร์มาเน็กซ์คิดค้นขบวนการในการทำให้สารสำคัญเกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้การควบคุมคุณภาพมาตรฐานอย่างเข้มงวด และ พัฒนาขบวนการที่ช่วยเพิ่มความถูกต้องและ สามารถรับรองได้ว่าแต่ละผลิตภัณฑ์ ของฟาร์มาเน็กซ์ นั้นมีประสิทธิภาพจริง
    • ความปลอดภัยในการบริโภค (Safety) : ฟาร์มาเน็กซ์ เป็นผู้นำในด้านการกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวด เพื่อรับรองถึงความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้น โดยมีการตรวจสอบหาเชื้อ (Microbial Test) สารเคมี (Chemical) สารพิษ (Toxin) และ โลหะหนัก ที่มีอยู่ในแต่ละผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ และ ความปลอดภัยสูงสุดจากผลิตภัณฑ์ของฟาร์มาเน็กซ์
    • มีหลักฐานและผลการศึกษาทางคลีนิคสนับสนุน (Substantiation) : ฟาร์มาเน็กซ์พัฒนาทุกผลิตภัณฑ์ บนพื้นฐานของข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ และ การศึกษาทางคลินิก รวมทั้งสนับสนุนการวิจัยผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดอย่างจริงจัง ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเหล่านี้ได้รับการยอมรับ และ ตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำต่างๆเสมอ

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โคลีน (Choline) คืออะไร?

โคลีน (Choline) เป็นสารอาหารสำคัญตัวหนึ่ง ที่จัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบี พบได้ในอาหาร โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปของ ฟอสฟา-ติดิลโคลีน (phosphatidylcholine) หรือโคลีนอิสระ (free choline) หากโคลีน รวมตัวกับไขมันที่เรียกว่าฟอสโฟลิปิด (phospholipid) จะได้เป็นฟอสฟาติดิลโคลีน (PC) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่พบมากที่สุดในเลซิทิน (Lecithin) ดังนั้นโคลีนจึงมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเลซิทิน

โคลีนมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร
โคลีนมีความจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายหลายอย่างคือ
  1. เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มสมอง กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท รวมทั้งไลโปโปรตีน (Lipoprotein)
  2. เป็นสารตั้งต้นในการสร้างอะเซททิลโคลีน(Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ใช้ในการส่งกระแสประสาท (Cholinergic neurotransmission) ของสมอง
  3. เป็นสารที่ให้กลุ่มเมทิล แก่สารอื่น (methyl donor)
โคลีนพบได้ในอาหารประเภทใด
อาหารที่มีโคลีนมาก พบได้ทั้งผลิตภัณฑ์ จากพืชและสัตว์ ได้แก่ ไข่แดง เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ สมอง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง จมูกข้าว ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เนื้อสัตว์ ปลา ฯลฯ ถั่วเหลืองเป็นแหล่งของโคลีนที่ปราศจากโคเลสเตอรอลและมีไขมันต่ำ

โคลีนมีบทบาทต่อสุขภาพอย่างไร
  1. ความจำและการเรียนรู้ของสมอง
    โคลีนเป็นสารที่ใช้ในการสร้างอะเซททิลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญของระบบประสาท เชื่อว่า การมีอะเซททิลโคลีนที่เพียงพอในสมอง จะช่วยป้องกันภาวะความจำเสื่อมได้
    การศึกษาในผู้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม (อัลไซเมอร์) ระยะเริ่มแรก พบว่าการให้โคลีนเป็นระยะเวลา 6 เดือนจะช่วยให้ความจำดีขึ้นได้ หรือการให้โคลีน ร่วมกับยาที่ใช้รักษา (cholinesterase inhibitors) ก็ทำให้มีการพัฒนา ความสามารถที่ต้องใช้ความจำด้วย
  2. การทำงานของตับ
    ถ้าขาดโคลีน จะทำให้ตับไม่สามารถเคลื่อนย้ายไขมันออกได้ ผลคือเกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะเซลล์ตับเสื่อม ตับแข็ง และมะเร็งตับได้
  3. ลดโคเลสเตอรอล และป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
    โคลีนจะช่วยเพิ่มระดับของ HDL (ไขมันดี) และลดระดับของ LDL (ไขมันเลว) และโคเลสเตอรอลรวม จึงมีผลป้องกัน ภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือด และโรคหลอดเลือดหัวใจ (Atherosclerosis and Cardiovascular disease)
รับประทานโคลีนเท่าไรดี
ปริมาณโคลีนที่ควรได้รับประจำวัน (Dietary Reference Intake ; DRI) มีดังนี้
  • ชาย 550 มก. / วัน
  • หญิง 425 มก. / วัน
  • หญิงตั้งครรภ์ 450 มก. / วัน
  • หญิงให้นมบุตร 550 มก. / วัน
ปริมาณสูงสุดที่บริโภคได้คือไม่เกิน 3.5 กรัม / วัน

ปัจจุบันนมผงดัดแปลงสำหรับทารกก็ได้มีการเติมโคลีน เช่นเดียวกับสารอาหารชนิดอื่นคือ EPA, DHA และ เลซิทิน เป็นต้น เพื่อให้มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองของเด็ก

ผลข้างเคียงของโคลีนมีไหม
ในผู้ใหญ่ ไม่ควรรับประทานโคลีนเกินวันละ 3.5 กรัม ขนาดที่สูงกว่านี้อาจทำให้มีอาการข้างเคียง คือ เหงื่อออกมาก ซึมเศร้า ความดันโลหิตต่ำ มีกลิ่นตัวคล้ายกลิ่นคาวปลา

ที่มา : หมอมวลชน

วิตามิน K (Vitamin K) คืออะไร?

Vitamin K (วิตามินเค) เป็นวิตามินประเภทที่ละลายในน้ำมัน, ไขมัน นอกจากร่างกายจะได้รับจากอาหารที่รับประทานแล้ว ยังสามารถผลิตขึ้นเองได้ในลำไส้เล็ก เป็นวิตามินที่ ทนต่อความเป็นกรด แต่ไม่ทนกรดแก่ ด่าง ที่ผสมแอลกอฮอล์ แสงสว่างและ สารเติมออกซิเจน อาหารที่มีวิตามิน เค ได้แก่ ผักกระเฉด กะหล่ำปลี บร็อคโคลี่ มะเขือเทศ หน่อไม้ฝรั่ง สาหร่ายทะเล น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันตับปลา ตับหมู นมวัวเนยแข็ง โยเกิร์ต ไข่แดง น้ำเหลืองอ้อย (Molasse) น้ำมันดอกคำฝอย และพืชผักที่มีใบสีเขียวอื่นๆ และ ผลิตได้โดยแบคทีเรียในลำไส้ เช่นกัน ดังนั้น วิตามิน เค สามารถแบ่งได้ เป็นกลุ่มใหญ่ๆดังนี้
  1. วิตามินเค I (Vitamin K I) หรือ ฟิลโลควิโนน (phylloquinone) เป็นรูปแบบที่พบในพืชและสัตว์ และ
  2. วิตามินเค II (Vitamin K II) หรือ เมนาควิโนน (menaquinone) เป็นรูปแบบที่พบในเนื้อเยื่อตับ และยังสามารถสร้างได้โดยแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในร่างกาย สำหรับ วิตามินเค III (Vitamin K III) หรือ เมนาไดโอน (menadione) นั้น เป็นโมเลกุลที่สังเคราะห์ขึ้น ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็น เมนาควิโนน โดยตับ
หน้าที่ของ Vitamin K (วิตามินเค) จำเป็นสำหรับ การสร้าง โปรทรอมบิน(Prothrombin), เกี่ยวข้องกับ ขบวนการ ฟอสโฟริเลชั่น (Phosphorylation) ในร่างกาย, ช่วยในการทำงานของตับ ให้ทำงานที่อย่างมี ประสิทธิภาพ

ภาวะเมื่อขาดวิตามินเค จะทำให้ โลหิตไหลไม่หยุด หรือ หยุดยาก เวลามีบาดแผล เลือดแข็งตัวช้า หรือ เลือดกำเดาออก มีการตกเลือด หรือเลือดออกภายใน เช่น ในลำไส้เล็ก เลือดออกมากับปัสสาวะ เลือดออกที่ตา เลือดออกหลังผ่าตัด หรือคลอดก่อนกำหนด ปริมาณที่ร่างกายต้องการ คือ 100 ไมโครกรัมต่อวัน

ภาวะวิตามินเคเป็นพิษ (Hypervitaminosis K) คือ การได้รับวิตามินเคมากเกินไป สามารถทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก และภาวะบิลิรูบินในเลือดต่ำในทารกได้

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน E (Vitamin E) คืออะไร?

วิตามินอี (Vitamin E) เป็นวิตามินที่ช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายหลายระบบ และเป็นแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยให้เซลล์ต่างๆ รอดอันตรายจากท็อกซิน ช่วยชะลอความแก่ได้

ประโยชน์
  • เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญ โดยมีออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญ ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดี
  • เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด ลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ
  • บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมาก
  • ช่วยในระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ตามปกติ
  • ช่วยให้ผิวพรรณสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้นและไม่อ่อนเพลียง่าย
แหล่งวิตามินอี

วิตามินอีมีมากในน้ำมันจากธัญพืชและถั่วประเภทเปลือกแข็ง การเก็บรักษาให้วิตามินอีควรเก็บให้พ้นจากความร้อนแสงแดด รวมทั้งออกซิเจนในอากาศ การขัดสี การบด จะทำให้ญพืชสูญเสียวิตามินอีไปจำนวนมาก

ร่างกายคนเราต้องการวิตามินอีอยู่ที่วันละ 10-15 IU

แหล่งวิตามินในธรรมชาติจำนวนปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
น้ำมันเมล็ดฝ้ายน้ำหนัก 100 กรัม40 IU
น้ำมันดอกคำฝอยน้ำหนัก 100 กรัม31.5 IU
น้ำมันข้าวโพดน้ำหนัก 100 กรัม19 IU
น้ำมันถั่วเหลืองน้ำหนัก 100 กรัม14.4 IU
กะหล่ำปลีน้ำหนัก 100 กรัม6.4 IU
จมูกข้าวสาลี1 ช้อนโต๊ะ11-14 IU
เมล็ดทานตะวันน้ำหนัก 100 กรัม25 IU
ถั่วเปลือกแข็งประเภทอัลมอนด์น้ำหนัก 100 กรัม13.5 IU
มันเทศน้ำหนัก 100 กรัม6 IU
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์น้ำหนัก 100 กรัม4.6 IU
อะโวคาโด (เฉพาะเนื้อ)น้ำหนัก 100 กรัม4.5 IU
ปวยเล้งน้ำหนัก 100 กรัม3 IU

อันตรายจากการขาดวิตามินอี
  • โรคหัวใจกำเริบ วิตามินอีมีหน้าที่ในการจับสาร ที่เข้ามาทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขาดวิตามินอีทำให้สารเหล่านี้ เข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมันในเลือด ทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ก่อให้เกิดก้อนเลือด และที่สุดทำให้เกิดโรคหัวใจกำเริบได้
  • ระบบประสาทมีปัญหา ในกรณีของคนที่ร่างกายมีปัญหา ในการดูดซึมไขมัน และ ในเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด การได้รับวิตามินอีต่ำกว่าปริมาณที่กำหนด อาจทำให้เกิดความเสียหาย ต่อระบบประสาท และเป็นโรคโลหิตจางได้ เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดง ในร่างกายถูกทำลาย
อันตรายจากการได้รับวิตามินอีมากเกินไป หรือรับประทานเป็นประจำ

การได้รับวิตามินอีมากเกินไปจะทำให้รู้สึกปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนล้า ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย มีอาการอึดอัดในช่องท้อง ท้องร่วง หากร่างกายได้รับวิตามินอีสูงมากอาจขัดขวางการดูดซึมวิตามินเอซึ่งส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้า อย่างไรก็ตามผลการศึกษาระยะยาวในเพศชายวัยกลางคน กลับพบว่า การรับประทานวิตามิน อี (400 IU วันเว้นวัน) หรือวิตามิน ซี (500 mg ต่อวัน) ไม่ช่วยให้ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากหรือมะเร็งชนิดอื่นๆ ลดลงแต่อย่างใด Physicians’ Health Study II Randomized Controlled Trial มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงประสิทธิภาพของวิตามิน อี, ซี, และวิตามินรวม ในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคตา(ที่สัมพันธ์กับอายุ) รวมถึงผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น การศึกษานี้เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2541 และสิ้นสุดลงเมื่อสิงหาคม พ.ศ. 2551 (เฉพาะในส่วนของวิตามิน อี และ ซี) มีผู้เข้าร่วมในการศึกษาคือแพทย์ผู้ชาย ในประเทศสหรัฐอเมริกา อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 14,641 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่มที่ได้รับวิตามิน อี 400 IU วันเว้นวัน (n=3,659) กลุ่มที่ได้รับวิตามิน ซี 500 mg วันละครั้ง (n=3,673) กลุ่มที่ได้รับวิตามินเสริมทั้งสองชนิด (n=3,656) และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (n=3,653) จากการติดตามผลระยะยาวเป็นเวลา 8 ปี (117,711 person-years) ตรวจพบมะเร็งโดยรวมทุกชนิด 1,943 ราย แต่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก 1,008 ราย มีผู้เสียชีวิตระหว่างการศึกษา 1,661 ราย ในกลุ่มที่ได้รับวิตามิน อี และยาหลอก อัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก เท่ากับ 9.1 และ 9.5 [Hazard Ratio=0.97; 95%CI 0.85-1.09; P=.41] ส่วนอัตราการเกิดมะเร็งโดยรวมเท่ากับ 17.8 และ 17.3 ต่อ 1,000 person-years ตามลำดับ [Hazard Ratio=1.04; 95%CI 0.95-1.13; P=.41] ในกลุ่มที่ได้รับวิตามิน ซี เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก พบว่า อัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก เท่ากับ 9.4 และ 9.2 [Hazard Ratio=1.02; 95%CI 0.90-1.15; P=.80] ส่วนอัตราการเกิดมะเร็งโดยรวมเท่ากับ 17.6 และ 17.5 ต่อ 1,000 person-years ตามลำดับ [Hazard Ratio=1.01; 95%CI 0.92-1.10; P=.86] นอกจากนี้ ยังพบว่าการรับประทานวิตามิน อี หรือ ซี ไม่เกี่ยวข้องกันกับการเกิดมะเร็งเฉพาะที่ (site-specific cancers) เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และไม่มีผลต่ออาการข้างเคียงต่างๆ เช่น minor bleeding, GI symptoms, fatigue, drowsiness อย่างมีนัยสำคัญ

ที่มา : วิกิพีเดีย

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน D (Vitamin D) คืออะไร?

วิตามินดี (Vitamin D) (CALCIFEROL หรือ ERGOSTEROL) เป็นวิตามินที่ร่างกายต้องการ เพื่อการรักษาภาวะสมดุลของระดับแคลเซียม ในเลือดและในกระดูก เมื่อร่างกายได้รับแสงแดด ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้ เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด ในกรณีที่ไม่ถูกแดด จำเป็นจะต้องได้รับวิตามินดีจากอาหารให้มากขึ้น เมื่อได้รับแสงแดดพอ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมด้วยการรับประทานวิตามินดี ในรูปวิตามินรวม หรือรับประทานอาหารที่มีการเสริมด้วยวิตามินดี

วิตามินดี (Vitamin D) ที่เข้าร่างกาย จะถูกนำไปเก็บที่ตับเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้จะเก็บที่ผิวหนัง สมอง ตับอ่อน กระดูก และลำไส้ได้ วิตามินดีจะเสียง่ายเมื่อถูกออกซิเดชัน ละลายในตัวทำลายไขมัน และไม่ละลายน้ำ อาหารที่มีวิตามินดีพบได้ทั้งในพืชผัก ผลไม้ และในเนื้อเยื่อของสัตว์ แต่ดูเหมือนจะเป็นวิตามินชนิดเดียว ที่มีอยู่น้อยมากในพืชและผัก ที่พบมากได้แก่ น้ำมันตับปลา ไขมัน นม เนย ตับสัตว์ ตับปลาคอด (COD) ปลาทู ไข่แดง ปลาแซลมอน ปลาซาดีน ปลาแมคเคอร์เรก

วิตามินดี (Vitamin D) ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส มีความสำคัญในการสร้างกระดูก และฟันและการเจริญเติบโตตามปกติของเด็ก, วิตามินดีมีผลต่อการดูดซึมกลับของกรดอะมิโนที่ไต, ช่วยสังเคราะห์น้ำย่อยใน mucous membrane, ควบคุมปริมาณของแคลเซียม และฟอสฟอรัสในกระแสโลหิต ไม่ให้ต่ำลงจนถึงขีดอัตราย, เกี่ยวข้องกับการใช้ฟอสฟอรัสในร่างกาย, ช่วยสังเคราะห์ Mucopolysaccharide ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นในการสร้าง คอลลาเจน, เกี่ยวข้องกับการใช้ เกลือซิเตรทในร่างกาย อาจจำเป็นในการทำงานของระบบประสาท การเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือด

ถ้าขาดวิตามินดี (Vitamin D) ทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อนในเด็กเรียก Rickets และในผู้ใหญ่เรียกว่า Osteosarcoma มีปัญหาเกี่ยวกับการดูดซึมแคลเซียม เข้าร่างกาย รูปร่างจะไม่สมประกอบ น้ำหนักลด ฟันผุ เติบโตช้า กระดูกสันหลังโก่ง ข้อมือ เข่า และกระดูกข้อเท้าโต ความต้านทานต่อโรคต่าง ๆ ลดน้อยลง เช่นหวัด ปอดบวม วัณโรค กล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ขาดความคล่องแคล่ว ว่องไว ไม่กระฉับกระเฉง ไม่มีความกระปรี้กระเปร่า กล้ามเนื้อกระตุก ถ้าได้รับวิตามินดีมากเกินไป ทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เบื่ออาหาร ปัสสาวะมากผิดปกติและบ่อย กล้ามเนื้อไม่มีแรง รู้สึกเหนื่อยอ่อน มีหินปูนเกาะตามอวัยวะหรือเนื้อเยื่อของหัวใจ ผนังเส้นเลือดและปอด แต่อาการเหล่านี้นั้นจะหายภายใน 2 - 3 วันหลังจากหยุดวิตามิน

ข้อมูลทั่วไป

วิตามินดี (Vitamin D) จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินจำพวกละลายไขมัน ร่างกายได้รับวิตามินดีสองทางด้วยกันคือ รับประทานเข้าไป แล้วซึมในร่างกายทางลำไส้ และ โดยการที่ผิวหนังได้รับแสงแดด แล้วแสงอุลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ จะไปกระตุ้นคอเลสเตอรอลชนิดที่อยู่ในผิวหนัง ให้เปลี่ยนเป็นวิตามินดี โดยตับและไตจะเปลี่ยนให้เป็นวิตามินที่มีฤทธิ์ แล้วซึมเข้ากระแสโลหิตเลย ส่วนวิตามินดีที่ได้จากอาหาร จะซึมเข้าลำไส้ไปพร้อม ๆ กับอาหารพวกไขมันโดยการช่วยย่อยของน้ำดี วิตามินดี (Vitamin D) ที่เข้าร่างกายแล้วทั้งสองทาง จะถูกนำไปเก็บที่ตับเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้จะเก็บที่ผิวหนัง สมอง ตับอ่อน กระดูก และลำไส้ได้

วิตามินดี (Vitamin D) ที่บริสุทธิ์จะมีสีขาว เป็นผลึกที่ไม่มีกลิ่น ซึ่งสามารถละลายได้ในไขมัน และตัวทำละลายไขมันไม่ละลายในน้ำ จะคงทนต่อความร้อน (140 องศาเซลเซียส) คงทนต่อการออกซิเดชั่น กรดและด่างอ่อน แต่เสียง่ายเมื่อถูกอัลตราไวโอเลต ส่วนพวกสารแรกเริ่มของวิตามินดี จะเสียง่ายเมื่อถูกออกซิเดชั่น ละลายในตัวทำลายไขมัน และไม่ละลายน้ำเช่นเดียวกับวิตามินดี

ชนิดของวิตามินดี (Vitamin D)

วิตามินดีเป็นกรุ๊ปทางเคมี ของสารประกอบพวก สเทอรอล ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันโรคกระดูกอ่อน วิตามินดีจะถูกสร้างโดย ฉายแสงอัลตราไวโอเลต บนสารแรกเริ่ม รูปแบบของวิตามินดีมีประมาณ 10 หรือมากกว่า แต่มีเพียง 2 รูป ที่เกี่ยวข้องกับทางโภชนาการ
  • วิตามินดีสอง (ergocalciferol or calciferor or vitamin D2) สารแรกเริ่มคือ เออร์โกสเทอรอล (ergosterol) พบในยีสต์ เห็ด และพืช เมื่อได้รับแสงอัลตราไวโอเลต ในช่วงความถี่ 230 นาโนเมตร (nm) จะสามารถเปลี่ยนเป็นออร์โกแคลซิเฟอรอล หรือวิตามินดีสองได้
  • วิตามินดีสาม (cholecalciferol or activeted 7 dehydrocholesterol or vitamin D3) จะพบในเซลล์ของคนและสัตว์ โดยผิวหนังมีสาร 7-ดีไฮโดรคอเลสเทอรอล เมื่อถูกแสงอัลตราไวโอเลต จากแสงแดด หรือจากเครื่องมือ ในช่วงความถี่ 275-300 นาโนเมตร (nm) จะสามารถเปลี่ยนเป็นคอลีแคลซิเฟอรอล (cholecalciferol) หรือวิตามินดีสามได้ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นบนผิวหนังในชั้น กรานูโลซัม (granulosum) 7 - ดิไฮโดรคอลเลสเทอรอลสามารถสร้างขึ้นได้ จากคอเลสเทอรอลที่ผนังลำไส้เล็ก แล้วส่งผ่านไปยังผิวหนัง
จำนวนวิตามินดีที่เกิดขึ้นนี้ขึ้นกับสิ่งสำคัญ 2 อย่างคือ
  • จำนวนแสง U.V. จากแสงแดดตอนเช้า ฤดูหนาวอาจได้ไม่ถึง 1 ชม. ฤดูร้อนกลางวัน อาจได้แสงถึง 4 ชม. แสง U.V. นี้ไม่สามารถผ่านหมอกควัน ฝุ่นละออง กระจก หน้าต่าง ม่านกั้นประตูหน้าต่าง เสื้อผ้าและสีของผิวหนัง (melanin) จากการศึกษา ปริมาณของ วิตามินดีในเลือดที่ได้จากการสังเคราะห์ จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลในฤดูร้อนความเข้มข้น ของ วิตามินดีในเลือดจะสูงกว่าในฤดูหนาว
ประโยชน์ต่อร่างกาย
  1. วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส มีความสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน และการเจริญเติบโตตามปกติของเด็ก
  2. วิตามินดีมีผลต่อการดูดซึมกลับ ของกรดอะมิโนที่ไต ถ้าขาดวิตามินดี กรดอะมิโนในปัสสาวะจะเพิ่มขึ้น ถ้าวิตามินดีเพียงพออัตราการดูดซึม กลับกรดอะมิโนจะปกติ และในปัสสาวะจะลดปริมาณลง
  3. ช่วยสังเคราะห์น้ำย่อยใน mucous membrane ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้าย แบบ active transport ของแคลเซียมให้ข้ามเซลล์ไปได้ง่าย
  4. ควบคุมปริมาณของแคลเซียม และฟอสฟอรัสในกระแสโลหิต ไม่ให้ต่ำลงจนถึงขีดอันตราย เช่น แคลเซียมจะต้องอยู่ในเลือดประมาณ 7 มิลลิกรัม/เดซิลิตร โดยวิตามิน ดี จะกระตุ้นการดูดแคลเซียมในลำไส้ เพราะมิฉะนั้นแคลเซียม จะถูกขับออกจากร่างกายไปหมด และวิตามิน ดี จะกระตุ้นการนำเอา ฟอสฟอรัสมาใช้ โดยทำหน้าที่กระตุ้นตลอดเวลา
  5. เกี่ยวข้องกับการใช้ฟอสฟอรัสในร่างกาย
  6. ช่วยสังเคราะห์ Mucopolysaccharide ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นในการสร้าง คอลลาเจน
  7. เกี่ยวข้องกับการใช้คาร์โบไฮเดรต
  8. เกี่ยวข้องกับการใช้เกลือซิเตรทในร่างกาย
  9. หน้าที่โดยทางอ้อมก็คือ วิตามินดีจำเป็นในการทำงานของระบบประสาท การเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือด เพราะหน้าที่เหล่านี้จะสัมพันธ์กับ การมีอยู่และการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ของร่างกาย
แหล่งที่พบ
  1. พบได้ทั้งในพืชผัก ผลไม้ และในเนื้อเยื่อของสัตว์ แต่ดูเหมือนจะเป็นวิตามินชนิดเดียว ที่มีอยู่น้อยมากในพืชและผัก ที่พบมากได้แก่ น้ำมันตับปลา ไขมัน นม เนย ตับสัตว์ ตับปลาคอด (COD) ปลาทู ไข่แดง ปลาแซลมอน ปลาซาดีน ปลาแม็คเคอร์เรก
  2. นมเป็นอาหารที่นิยมเสริมวิตามินดี เพราะเป็นอาหารที่มี แคลเซียม ฟอสฟอรัสและไขมัน ที่จะช่วยเพิ่มอัตราการดูดซึมจากลำไส้เล็ก ปริมาวิตามินดีที่เสริม คือ 400 IU ต่อลิตร
  3. ปริมาณของวิตามินดีในอาหาร อาจเปลี่ยนแปลงได้มากตามฤดูกาล และภาวะแวดล้อมต่างๆ เช่น การถูกแสงแดดมากหรือน้อย อาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์มีวิตามินดีมากหรือน้อยเพียงใด เป็นต้น
ปริมาณที่แนะนำ
  1. ในการที่บุคคลต่าง ๆ ควรได้รับปริมาณวิตามิน ดี มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุหลายประการ เช่น ไขมันในอาหาร การสร้างน้ำดีจากตับ การดูดซึมของระบบทางเดินอาหาร ความบ่อยครั้งในการถูกแสงแดด และขึ้นอยู่กับปริมาณของสารมีสี และ เคราตินที่มีอยู่ที่ผิวหนัง ถ้าผิวขาวมีสารมีสีน้อย แสงอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์สามารถผ่านเข้าไปในชั้น Granulosum ของผิวหนังได้มาก ทำให้ 7 - dehydrocholesterol ซึ่งมีอยู่มากในชั้นนี้ ถูกเปลี่ยนเป็นวิตามิน ดี สามได้มาก ถ้าผิวเหลืองเนื่องจากมีเคราตินมาก หรือผิวดำเพราะมีสารมีสีมาก แสงอัลตราไวโอเลตจะผ่านเข้าไปได้น้อย ทำให้มีการสังเคราะห์วิตามิน ดีสามที่ผิวหนังน้อย
  2. วิตามิน ดี 2.5 ไมโครกรัม (100 ไอยู) สามารถป้องกันโรคกระดูกอ่อน และช่วยให้มีการดูดซึมของแคลเซียม ในลำไส้อย่างเพียงพอสำหรับ การสร้างความเจริญเติบโตของกระดูก และฟันในทารก แต่การกินวันละ 10 ไมโครกรัม (400 ไอยู) นั้นช่วยส่งเสริมการดูดซึมให้ดียิ่งขึ้น
  • ทารก 10 ไมโครกรัม
  • เด็ก 10 ไมโครกรัม
  • ผู้ใหญ่ 20 - 29 ปี 7.5 ไมโครกรัม
  • 30 - 60 ปี (หรือมากกว่า) 5 ไมโครกรัม
  • หญิงมีครรภ์ +5 ไมโครกรัม
  • หญิงให้นมบุตร +5 ไมโครกรัม
ผลของการได้รับมากไป
  • พบในรายที่บริโภค 300,000 - 800,000 I.U ต่อวันเป็นระยะเวลานาน วิตามิน ดี ประมาณ 30,000 I.U ต่อวัน หรือมากกว่านี้จะทำให้เป็นอันตราย สำหรับทารกและประมาณ 50,000 I.U ต่อวัน จะเป็นอันตรายสำหรับเด็ก อาการเริ่มต้นด้วยคลื่นไส้ อาเจียนท้องเดินปัสสาวะมากกว่าปกติ ทั้งกลางวันและกลางคืน กระหายน้ำจัด น้ำหนักตัวลด มีการสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูก และมีการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เพิ่มขึ้น ทำให้มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดและในปัสสาวะสูง ซึ่งแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่มีในเลือดอาจไปจับอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ รวมทั้งหลอดเลือดทำให้เป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ในรายที่เป็นมากอาจถึงตาย เพราะมีการล้มเหลวของไต ส่วนในรายที่ยังเป็นไม่มากนัก เพียงหยุดให้วิตามิน อาการต่างๆจะหายไป
  • อาการที่เกิดเนื่องจากร่างกายได้รับวิตามินดีมากเกินไป หรืออาการที่จำเป็นต้องสังเกต ขณะที่รับประทานวิตามินดี คือปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เบื่ออาหาร ปัสสาวะมากผิดปกติและบ่อย กล้ามเนื้อไม่มีแรง รู้สึกเหนื่อยอ่อน มีหินปูนเกาะตามอวัยวะหรือเนื้อเยื่อของหัวใจ ผนังเส้นเลือดและปอด แต่อาการเหล่านี้นั้นจะหายภายใน 2 - 3 วันหลังจากหยุดวิตามิน
  • เป็นที่น่าสนใจ ที่เด็กสามารถสร้างวิตามินมากเกินปกติได้ ซึ่งจะพบในเด็กที่ดื่มนมผสม (Fortified Milk) อาการเช่นนี้อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน กับยาอื่น ๆ ได้ อาการอีกอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าเด็กได้รับวิตามินดี ในขนาดธรรมดา ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้นำให้ทราบว่า เด็กมีแคลเซียมมากในร่างกาย (Hypercalcemia) และวิตามินในร่างกายมากเกินความต้องการแล้ว สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นโรคปวดตามข้อ รูมาตอยด์ อาไทรติส (Rheumatoid arthritis) ถ้ารับประทานวิตามิน ดีเกินขนาดทำให้มีแคลเซียมไปเกาะที่ผนังเส้นโลหิตแดง ซึ่งจะทำให้ไตปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นปกติ และทำให้ความดันโลหิตสูงด้วย
  • นายแพทย์ Arthur A.Knapp ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตา ชาวอเมริกา ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับวิตามินดี กับตา บอกว่าการที่คนได้รับวิตามิน ดีไม่พอจะทำให้เกิดสายตาสั้น (MYOPIA) และจุดใหญ่แล้วเนื่องจากความไม่สมดุลของแคลเซียม
ที่มา : วิกิพีเดีย


วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน C (Vitamin C) หรือ L-ascorbic acid คืออะไร

วิตามินซี (อังกฤษ: vitamin C) หรือ กรดแอล-แอสคอร์บิก (อังกฤษ: L-ascorbic acid) หรือ แอล-แอสคอร์เบต (อังกฤษ: L-ascorbate) เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับ จากการรับประทานเข้าไป วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถป้องกัน และ รักษาการอักเสบ อันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้

ประโยชน์
  • เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใย ทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
  • ช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
  • ช่วยป้องกัน การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (Mutation)
  • ช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตาย ในกรณีเด็กอ่อน (SIDS: Sudden Infant Death Syndrome)
  • ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
  • ช่วยคลายเครียด
  • การฉีดด้วยวิตามินซีปริมาณสูง อาจช่วยหยุดยั้งโรคมะเร็งได้ โดยวิตามิน อาจเข้าทำปฏิกิริยาทางเคมีในเซลล์ มะเร็ง ให้กลายเป็นกรดขึ้น ทำให้เนื้อร้ายชะงักและน้ำหนักลดไปได้
แหล่งวิตามินซี

แหล่งวิตามินซีมีมากในผัก ตระกูลกะหล่ำ การเก็บเกี่ยวผักผลไม้ตั้งแต่ยังไม่แก่จัด ไม่สุกดี หรือนำไปผ่านการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นการตากแห้ง หมักดอง จะทำลายวิตามินซีที่อยู่ในอาหารไปในปริมาณมาก

ความร้อนทำลายวิตามินซีได้ง่าย จึงไม่ควรต้มหรือผัดนานเกินไป แต่การแช่เย็นไม่ได้ทำให้ผักผลไม้สูญเสียวิตามินซีเพียงข้อเสีย

บางข้อมูลแนะนำว่าขนาดที่เหมาะสมมากที่สุดต่อวัน สำหรับผู้ใหญ่ คือ 250-500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง

แหล่งวิตามินในธรรมชาติจำนวนปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
อะเซโรลาเชอรี่น้ำหนัก 100 กรัม1600 มิลิกรัม(คาดว่าเกินจริงอยู่มาก)
ฝรั่งน้ำหนัก 100 กรัม230 มิลลิกรัม
สับปะรด1 ชิ้นใหญ่ (โดยเฉลี่ย)20-30 มิลลิกรัม
กะหล่ำดอกน้ำหนัก 100 กรัม49 มิลลิกรัม
บรอกโคลีน้ำหนัก 100 กรัม84 มิลลิกรัม
น้ำมะนาว1 แก้ว (100 กรัม)34 มิลลิกรัม
มันฝรั่งน้ำหนัก 100 กรัม21.3 มิลลิกรัม
กะหล่ำปลีน้ำหนัก 100 กรัม49 มิลลิกรัม
กล้วยชนิดต่างๆ1 ลูก (โดยเฉลี่ย)8.5 มิลลิกรัม
พริกหวาน1 เม็ด (โดยเฉลี่ย)100-120 มิลลิกรัม
ผักโขมน้ำหนัก 100 กรัม76.5 มิลลิกรัม
สตรอว์เบอร์รี่น้ำหนัก 100 กรัม77 มิลลิกรัม
มะเขือเทศน้ำหนัก 100 กรัม21.3 มิลลิกรัม
มะละกอน้ำหนัก 100 กรัม60 มิลลิกรัม

อันตรายจากการขาดวิตามินซี
  • ผู้ที่ขาดวิตามินซีมักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดตามข้อต่อของร่างกาย เลือดออกตามไรฟัน เจ็บกระดูก
  • แผลหายช้า เนื่องจากวิตามินซี ทำหน้าที่ต่อต้านการอักเสบ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ของร่างกาย การได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ จะทำให้เส้นเลือดในร่างกายอ่อนแอ และทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกายหายช้ากว่าปกติ
  • เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย คุณสมบัติของวิตามินซี คือ เป็นตัวต่อต้านสารก่อมะเร็ง และช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าร่างกายขาดวิตามินซี จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง และทำให้ติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ง่าย
  • เป็นโรคลักปิดลักเปิด ในกรณีของเด็ก หรือผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินซี น้อยกว่าวันละ 10 มิลลิกรัม อาจทำให้เป็นโรคลักปิดลักเปิดได้ หากร่างกายขาดวิตามินซีมากเกินปกติอาจทำให้มีลูกยาก เป็นโรคโลหิตจางและมีภาวะความผิดปกติทางจิตได้
อันตรายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป
  • เนื่องจากวิตามินซี มีหน้าที่ในการช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย การรับวิตามินซี ในปริมาณมากจะทำให้เกิดปัญหาการสะสมธาตุเหล็ก ตามกระดูกข้อต่อต่างๆ มากขึ้น
  • การได้รับวิตามินซีมากเกินไป อาจไปรบกวนการดูดซึมของทองแดง และซีลีเนียม หากได้รับวิตามินซีชนิดที่ไม่ได้บรรจุแคปซูล โดยการรับประทาน เกินวันละ 10,000 มิลลิกรัม อาจทำให้ท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ เนื่องจากวิตามินซี ที่มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด มักเป็นชนิดที่มีคุณสมบัติเป็นกรด หากต้องการหลีกเลี่ยงการระคายเคือง กระเพาะอาหาร ควรรับทานวิตามินซี ชนิดที่เป็น กลาง หรือเป็นกรดต่ำ (pH 7.6-8.0)
ที่มา : วิกิพีเดีย


วิตามิน B12 (Vitamin B12 [Cyanocobalamin]) คืออะไร?

วิตามินบี 12 (Cyanocobalamin) เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ ให้ระวัง การดูดซึมของบี12 สู่ร่างกายจะบกพร่อง และเป็นผลให้เกิดโรคโลหิตจาง ควรกินวิตามินชนิดนี้ ควบคู่กับแคลเซียมจะทำให้การดูดซึมสู่ร่างกายดีขึ้น

ประโยชน์
  • ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
  • ช่วยให้เด็กเติบโตและเจริญอาหาร
  • ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี
  • ช่วยให้สมองไม่ฟุ้งซ่าน ความจำดีและมีสมาธิ
แหล่งอาหาร
พบมากในตับ ไต รองลงมาได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่แดง และอาหารหมักดอง เช่น กะปิ น้ำปลา เต้าเจี้ยว อาหารที่มาจากพืชผักทั้งหมด ไม่มีวิตามิน บี 12 เลย ยกเว้นอาหารหมักดอง ผู้บริโภคมังสวิรัติชนิดเคร่งครัด จึงควรบริโภค อาหารที่ได้จากการหมักด้วย การขาดวิตามิน บี12 ต้องใช้เวลา 10-15 ปี หรือนานกว่านั้น เนื่องจากเป็นวิตามินที่ละลายน้ำเพียงชนิดเดียว ที่มีการสะสมในร่างกายได้มาก

อันตรายจากการขาดวิตามิน
โรคโลหิตจางชนิดเพอรืนิเซียส วิตามินบี 12 จะสามารถดูดซึมได้ดี ต้องประกอบด้วย กรดเกลือในกระเพาะอาหาร , intrinsic factorที่ผลิตจากกระเพาะอาหาร , เอนไซม์ทริปซินซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ผลิตจากตับอ่อน , ลำไส้เล็กต้องแข็งแรง เนื่องจากการดูดซึมวิตามินบี 12 จะเกิดขึ้นที่บริเวณลำไส้เล็กตอนปลาย โดยอาศัย intrinsic factor มีการเสื่อมหรือสูญเสีย ของประสาทสัมผัส มีอาการชาที่แขนและขา อารมณ์แปรปรวน ความจำเสื่อม มีปัญหาเรื่องการมองเห็น หรืออาจมีอาการอื่นๆขึ้นอยู่กับเส้นประสาท เส้นใดที่เกิดความเสียหาย จากการไม่มีการสร้างแผ่นไมอีลิน

ที่มา : วิกิพีเดีย

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน B9 (Vitamin B9 [Folic Acid]) คืออะไร?

กรดโฟลิก (อังกฤษ: folic acid) หรือ โฟลาซิน (อังกฤษ: folacin) หรือ วิตามินบี9 (อังกฤษ: vitamin B9) และ โฟเลต (อังกฤษ: folate) มีความสำคัญในด้านการรักษาโรคต่าง ๆ ตั้งแต่โรคเหน็บชาไปจนถึงโรคเกี่ยวกับสมอง

ประโยชน์
  • ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นกลูโคส
  • ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของโปรตีนและไขมัน
  • ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ตามปกติ
  • ช่วยให้กล้ามเนื้อในกระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยบำรุงผิวหนัง เส้นผม ตา ปาก และตับ
ที่มา วิกิพีเดีย

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เชื้อ "อีโคไล" คืออะไร?

ทำความรู้จัก "อีโคไล"
แบคทีเรียชนิดที่มีในร่างกายมนุษย์ส่วนใหญ่จะไม่ทำอันตรายต่อร่างกาย แต่สำหรับแบคทีเรียที่มีชื่อว่า อีโคไล หรือ Escherichia ซึ่งพบได้ในลำไล้ของมนุษย์และสัตว์ สามารถทำให้เกิดโรคหรืออาการต่างๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ และอาการท้องร่วง เป็นต้น แบคทีเรียชนิด อีโคไลจะมีชีวิตอยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป โดยเฉพาะในมูลสัตว์

หลักจากพบการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ระบาดในประเทศอังกฤษ วันนี้ Telegraph นำข้อมูลเกี่ยวกับแบคทีเรียชนิดนี้มาให้ได้รู้จักกันเพื่อเป็นการป้องกันและรับมือหากได้รับเชื้อชนิดนี้

เชื้ออีโคไล แพร่สู่คนได้อย่างไร
เชื่อแบคทีเรียอีโคไลจะแพร่สู่คนได้ จากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่ม ที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่ ซึ่งเชื้อชนิดนี้มักจะปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่ได้รับการปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ

จำนวนผู้ได้รับเชื้ออีโคไล
หน่วยงานด้านการป้องกันโรคในประเทศอังกฤษรายงานว่าในปี 2551 มีผู้ได้รับเชื้ออีโคไลและมีอาการป่วยที่เกิดจากการได้รับเชื้อ 950 ราย

การระบาดของเชื้ออีโคไล
การแพร่ระบาดของเชื้ออีโคไลเริ่มขึ้นในประเทศอังกฤษและคร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 20 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่รับประทานอาหารขณะร่วมพิธีในโบสถ์แห่งหนึ่งในปี 2539-2540

อาการของผู้ได้รับเชื้ออีโคไล
จะพบอาการแต่เริ่มท้องร่วงเล็กน้อย จนกระทั่งเกิดภาวะลำไส้อักเสบและมีอาการเลือดออกไม่หยุด เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและพบเลือดปนกับอุจจาระ

ระยะฟักตัวของเชื้ออีโคไล
ระยะฟักตัวของเชื้ออยู่ที่ประมาณ 3-8 วัน และจะปรากฏอาการในช่วง 3-4 วันหลังการได้รับเชื้อ แม้ว่าผู้ได้รับเชื้อจะสามารถนำเชื้อชนิดนี้ออกจากร่างกายได้ภายใน 1 สัปดาห์ แต่เชื้อส่วนที่หลงเหลือเพียงเล็กน้อยยังสามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ เช่นเกิดภาวะไตเสื่อม ซึ่งเกิดจากเซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย

ผู้เสี่ยงได้รับเชื้ออีโคไล
เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ จะเป็นผู้มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้ออีโคไลมากที่สุด เนื่องจากร่างกายของคนกลุ่มนี้จะมีความสามารถในการต้านทานเชื้อได้น้อยกว่าคนทั่วไป

การป้องกันและรักษาเมื่อได้รับเชื้ออีโคไล
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาอาการที่เกิดจากการได้รับเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้โดยตรง ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาแก้ปวดท้องได้ในเบื้องต้น แต่ไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดกลุ่มสเตอรอยด์ เช่นยาแอสไพริน เพราะยากลุ่มนี้จะมีผลทำลายไตของผู้รับประทาน นอกจากนี้เพื่อเป็นการป้องกันการได้รับเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มบรรจุกระป๋องและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ที่มา ทำความรู้จัก "อีโคไล"

วิตามิน B7 (Vitamin B7 [Biotin]) คืออะไร?

ไบโอติน (อังกฤษ: biotin) หรือ วิตามินเอช (อังกฤษ: vitamin H) หรือ วิตามินบี7 (อังกฤษ: vitamin B7) เป็นวิตามินในกลุ่มวิตามินบี ซึ่งสามารถละลายน้ำได้ สำคัญต่อการเจริญของเซลล์ การผลิตกรดไขมัน และการเผาผลาญไขมันและกรดอะมิโน

ประโยชน์
  • ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นกลูโคส
  • ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของโปรตีนและไขมัน
  • ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ตามปกติ
  • ช่วยให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยบำรุงผิวหนัง เส้นผม ตา ปากและตับ
ที่มา : วิกิพีเดีย

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน B6 (Vitamin B6 [Pyridoxine]) คืออะไร?

วิตามินบี6 (อังกฤษ: vitamin B6) เป็นวิตามินที่มักใช้ร่วมกับบี1 และ บี12 ซึ่งวิตามินบี1 ทำงานกับคาร์โบไฮเดรต ส่วนวิตามินบี6 และบี12 ทำงานร่วมกับโปรตีนและไขมัน ร่างกายคนเรา ต้องการวิตามินบี6 ประมาณ 1.5 มิลลิกรัม

ประโยชน์
  • ช่วยเปลี่ยนกรดอะมิโนให้เป็นวิตามินบี3 หรือไนอะซิน
  • ช่วยร่างกายสร้างภูมิต้านทานแอนติบอดี และช่วยสร้างเซลล์โลหิตใด้ดียิ่งขึ้น
  • ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและแร่ธาตุแมกนีเซียม
  • ช่วยบรรเทาโรคที่เกิดจากระบบประสาทและผิวหนัง
  • ช่วยบรรเทาการคลื่นไส้อาเจียน
  • ช่วยบรรเทาอาการปากแห้งและคอแห้ง
  • ช่วยแก้การเป็นตะคริว แขนขาชาและช่วยขับปัสสาวะ
ปัจจุบันค้นพบว่าวิตามินบี6 มีหลายรูปแบบ ได้แก่
  • ไพริดอกซีน (pyridoxine: PN)
  • ไพริดอกซีน 5'-ฟอสเฟต (pyridoxine 5'-phosphate: PNP)
  • ไพริดอกซาล (pyridoxal: PL)
  • ไพริดอกซาล 5'-ฟอสเฟต (pyridoxal 5'-phosphate: PLP)
  • ไพริดอกซามีน (pyridoxamine: PM)
  • ไพริดอกซามีน 5'-ฟอสเฟต (pyridoxamine 5'-phosphate: PMP)
  • กรด 4-ไพริดอกซิก (4-pyridoxic acid: PA)

แคลซิมอร์ (CalciMor) คืออะไร

CalciMor คือแคลเซียมพร้อมแร่ธาตุบำรุงกระดูก

ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  1. ขนาดเล็ก ทานง่าย ดูดซึมได้สมบูรณ์
  2. แคเซียม 2 รูป (ซิเตรท, ฟอทเฟต) ดูดซึมง่ายกว่าทั่วไป (คาร์บอเนต)
  3. มีวิตามิน และ แร่ธาตุอื่นๆที่จำเป็นต่อกระดูกครบถ้วน
      • วิตามินดี : ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
      • แมกนีเซียมในอัตราส่วนที่เหมาะสม (แคลเซียม + แมกนีเซียม = 2 : 1)
      • วิตามันเค สังกะสี ทองแดง ซิลิกอน ฟอสฟอรัส
  4. ไม่มีน้ำตาล แลคโตส เกลือโซเดียม ก๊าซ สารสกัดจากข้าวสาลี หรือ นม จึงปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  5. แตกตัวได้สมบูรณ์ภายในเวลา 45 นาที ในภาวะจำลองกระเพาะอาหาร ตามมาตรฐานยา
ประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์
  1. บำรุงกระดูกให้แข็งแรง ลดภาวะกระดูกพรุน โดยเฉพาะในวัยทอง และ ผู้ใช้ยาสเตียร์รอยด์
  2. ผลดีอื่นๆเช่น แคลเซียมและ วิตามิน D อาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม ช่วยป้องกันน้ำหนักเพิ่มขึ้น จำเป็นต่อกล้ามเนื้อ สารสื่อประสาท การแข็งตัวของเลือดป้องกันการเกิดตะคริว


วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เห็ดถั่งเช่าคืออะไร? และ มีข้อดีอย่างไร?

"คุณแม่ของดิฉันเริ่มมีภาวะการทำงานของไตเสื่อม คุณหมอแจ้งว่าหากตรวจครั้งต่อไปแล้ว การทำงานของไตยังไม่ดีขึ้น อาจต้องมีการล้างไต มีคนแนะนำให้รับประทานผลิตภัณฑ์จากเห็ดคอร์ดีเช็พส์ หรือ ถั่งเช่า ประมาณ 2 เดือน ได้ไปพบกับแพทย์อีกครั้งหนึ่ง พบว่าภาวะการทำงานของไตเริ่มดีขึ้น จึงยังไม่ต้องล้างไต ดิฉันอยากทราบว่าประโยชน์ของเห็นถั่งเช่าค่ะ ว่าดีต่อสุขภาพด้านอื่นๆอย่างไร"
เห็ดคอร์ดีเซ็พส์ ไซเนเชีส หรือ เห็ดถั่งเช่าเป็นพืชสมุนไพร ที่มีการใช้ทางการแพทย์แผนจีนมาเป็นเวลาหลายพันปี ปกติจะเป็นสมุนไพรที่หายากมาก และ ราคาสูง ทีมนักวิทยาศาสตร์ของฟาร์มาเน็กซ์ได้ศึกษาวิจัย และ พบว่า สายพันธุ์ที่ดีที่สุดได้แก่ พันธุ์ซีเอส-4 ซึ่งมีประสิทธิภาพ และคุณประโยชน์เทียบเท่ากับถั่งเช่าที่พบได้ในธรรมชาติ มีผลงานวิจัย เกี่ยวกับประโยชน์ของถั่งเช่า และ พบว่าถั่งเช่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน บางเท่านเรียกถั่งเช่าว่า เป็นสมุนไพร แห่งการต้านการเสื่อมชรา ประโยชน์ดังกล่าวได้แก่
  • ดีต่อระบบทางเดินหายใจ ปอด ช่วยให้ร่างกายนำออกซิเจนไปใช้ได้ดีขึ้น ช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีพลัง ทนต่อภาวะเครียด หรือ การออกกำลังกายที่หักโหมได้ดี
  • ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
    • ช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
    • ช่วยลดการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ช่วยให้ไขมันดี เอชดีแอล (HDL) เพิ่มขึ้น
    • ช่วยดูแลระดับความดันเลือดให้ปกติ
  • มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • ดูแลสุขภาพการทำงานของไต
  • ดีต่อสุขภาพดานสมรรถภาพทางเพศ
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาว่ามีประโยชน์ต่อการทำงานของตับและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

หมายเหตุ : ผู้มีโรคประจำตัวและต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์หรือรับประทานยาโรคประจำตัว แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเสริมอาหาร

ที่มา : เอกสารสุขต่อเนื่อง ประจำเดือนพฤศจิกายน 2555

.

.