เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ anti-Aging แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ anti-Aging แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

แคลซิมอร์ (CalciMor) คืออะไร

แคลซิมอร์ (CalciMor) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ครบถ้วนด้วยสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ซึ่งได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินดี วิตามินเค ทองแดง ซิลิคอนและสังกะสี

ประโยชน์ที่ได้รับ
ให้สารอาหารที่จำเป็นสำหรับเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

ส่วนประกอบ
  • วิตามิน ดี
  • วิตามิน เค
  • แคลเซียมซิเตรต
  • ไตรแคลเซียมฟอสเฟต
  • แมกนีเซียม ออกไซด์
  • แมกนีเซียม ซิเตรต
  • สังกะสี
  • ทองแดง
  • ซิลิคอน
ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  • ขนาดเล็ก ทานง่าย ดูดซึมได้สมบูรณ์
  • แคลเซียม 2 รูป (ซิเตรท, ฟอทเฟต) ดูดซึมง่ายกว่าทั่วไป (คาร์บอเนต)
  • มีวิตามิน และ แร่ธาตุอื่นๆ ที่จำเป็นต่อกระดูกครบถ้วน
    • วิตามิน ดี ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
    • แมกนีเซียมในสัดส่วนที่เหมาะสม (แคลเซียม : แมกนีเซียม = 2 : 1)
    • วิตามินเค สังกะสี ทองแดง ซิลิกอน ฟอสฟอรัส
  • ไม่มีน้ำตาล แลคโตส เกลือโซเดียม ก๊าซ สารจากข้าวสาลี หรือ นม จึงปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการแพ้
  • แตกตัวได้สมบูรณ์ในเวลา 45 นาทีในภาวะจำลองของกระเพาะอาหารตามมาตรฐานยา
ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
  • บำรุงกระดูกให้แข็งแรง ลดภาวะกระดูกพรุน โดยเฉพาะในวัยทอง และ ผู้ใช้ยาสเตียรอยด์
  • ผลดีอื่นๆ เช่น แคลเซียม และ วิตามินดี อาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม ช่วยป้องกันน้ำหนักเพิ่มขึ้น จำเป็นต่อกล้ามเนื้อ สารสื่อประสาท การแข็งตัวของเลือด ป้องกันการเกิดตะคริว

โคคิวเท็น (CoQ10) คืออะไร?


โคเอ็นไซม์คิวเทน (CoQ10) ที่ผ่านขบวนการผลิตเทคโนโลยีสิทธิบัตรเฉพาะ เพื่อให้ส่งผ่านโคเอ็นไซม์คิวเทนเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลิตภัณฑ์โคเอ็นไซม์คิว 10 ที่ดีเลือกอย่างไร?
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ โคเอ็นไซม์คิว 10 (CoQ10) ที่มีขั้นตอนการบรรจุ ที่ใช้เทคโนโลยีการบรรจุในแคปซูล (Encapsulation Technology) เพื่อที่จะห่อหุ้มโมเลกุล ของโคเอ็นไซม์คิว 10 (CoQ10) ในวงแหวนของโมเลกุลคาร์โบไฮเดรต ทำให้การกระจายตัวของโคเอ็นไซม์คิว 10 (CoQ10) ในลำไส้ดีขึ้น รวมทั้งการดูดซึมของสารอาหารสำคัญเข้าสู่ร่างกายดีขึ้นด้วย

โคเอ็นไซม์คิว 10 (CoQ10) ช่วยในเรื่องของการผลิตพลังงาน ระดับเซลล์เพื่อส่งเสริมการทำงานของอวัยวะ ต่าง ๆ ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวัยวะที่ต้องทำงานหนักได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจ
โคเอ็นไซม์คิว 10 (CoQ10) พบได้ในบริเวณเยื่อหุ้มเซลทั้งหมด นิวเคลียส และ ไมโตครอนเดรียของเซลล์ ระดับของโคเอ็นไซม์คิวเท็น จะอยู่ในระดับที่สูงที่สุดเมื่ออายุ 20 ปี หลังจากนั้นก็จะลดลงตามจำนวนอายุที่เพิ่มขึ้น
ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  • ใช้นาโนเทคโนโลยี ทำให้มีความคงตัวสูง
  • ละลายน้ำ และ ดูดซึมดีกว่ารูปทั่วไป 5 - 10 เท่า (ในท้องตลาดโคคิวเท็น (CoQ10) ละลายในน้ำมัน)
  • 29 มก. ของโคคิวเท็น จึงอาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ 150 - 300 มก. ของรูปแบบทั่วไป
ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
  • ให้พลังงานกับเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • มีผลดีต่อการลดระดับไขมันในเลือด ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
  • ช่วยให้หัวใจบีบตัวดีขึ้น มีผลดีต่อโรคหัวใจ และ ช่วยลดความดันโลหิต
  • ปกป้องผิวจากริ้วรอย และ แสงแดด
  • มีผลดีต่อสมอง และ ภาวะความผิดปรกติของสมอง เช่น อัลไซเมอร์ พาร์คินสัน ความจำเสื่อม เป็นต้น
  • บำรุงสุขภาพฟันและเหงือก

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

คอร์ดีแม็กซ์ ซีเอส - 4 (CordyMax CS-4) คืออะไร?

คอร์ดีแม็กซ์ซีเอส - 4 (CordyMaxCS-4) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากธรรมชาติ จากเห็ดคอร์ดีเซพ ไซเนนซิส ที่ชาวจีนรู้จักกันดีในชื่อ จิ้น ชุย เปา หรือ ถั่งเช่า ตามธรรมชาติ จะพบได้บนเทือกเขาสูงที่มีอากาศหนาวจัด ต้องใช้เวลา 5 - 7 ปีกว่าจะโตเต็มที่ สามารถนำมารับประทานได้ ฟาร์มาเน็กซ์ (Pharmanex) ร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน และ มหาวิทยาลัยในประเทศจีนค้นคว้าเพื่อหาสายพันธุ์เชื้อรา ที่เหมาะสมในการบ่มเพาะเห็ดคอร์ดีเซพ จากการศึกษา 15 ปีจากกว่า 200 สายพันธุ์ จนค้นพบเชื้อราสายพันธุ์ ซีเอส - 4 ที่ใช้เพาะเห็ดคอร์ดีเซพ ไซเนนซิสที่มีคุณสมบัติเหมือนเห็ด ที่เกิดเองตามธรรมชาติ ฟาร์มาเน็กซ์ (Pharmanex) ได้รับสิทธิบัตรจากรัฐบาลจีนให้มีสิทธิ์จำหน่าย คอร์ดีเซพ ไซเนนซิส ซีเอส - 4 นอกประเทศจีนเพียงผู้เดียว

ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  • CS-4 เป็นสายพันธุ์ ของเห็ดถั่งเช่าที่ดีที่สุด (ใกล้เคียงธรรมชาติ ให้สารสำคัญสูงสุด) คัดเลือกมาจากกว่า 200 สายพันธุ์ วิจัยร่วมกันระหว่าง รัฐบาลจีน และ สถาบันฟาร์มาเน็กซ์ (Pharmanex) นานกว่า 15 ปี
  • ฟาร์มาเน็กซ์ (Pharmanex) ได้รับเอกสิทธิ์ในการจำหน่าย จากประเทศจีนเพียงผู้เดียว
  • สารสำคัญสูงสุดตามเกณฑ์สากล (อะดีโนซีน > 0.14% และ แมนนิทอล > 5%)
  • เพาะปลูกโดยปราศจากสารปนเปื้อน เก็บเกี่ยวช่วงอายุ 5 - 7 ปี (โตเต็มที่)
  • มีการศึกษาทางคลินิกโดยใช้ผลิตภัณฑ์
  • รางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมจากรัฐบาลได้หวัน
  • อยู่ในตำรายา PDR (Physicians' Desk Reference)
  • เห็นถั่งเช่า เป็นสมุนไพรที่สงวนให้สำหรับจักรพรรดิ์จีนในสมัยโบราน มีมูลค่าแพงกว่าทองคำ

ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
  • บำรุงไต มีผลดีต่อภาวะไตอักเสบ และ โรคไตวายเรื้อรัง
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของปอด มีผลดีต่อภาวะหลอดลมอักเสบ และ โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังจากการสูบบุหรี่
  • ต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันภาวะผนังหลอดเลือดแข็งตัว และ อุดตัน
  • มีผลดีต่อการลดระดับน้ำตาล และ ไขมันในเลือด
  • ช่วยปรับสมดุลต่อภาวะฮอร์โมนเพศหญิงที่ผิดปรกติ ส่งเสริมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
  • ส่งเสริมสุขภาพภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
  • มีผลต่อการทำงานของตับ
  • ช่วยลดความเมื่อยล้า ปวดเมื่อย ภาวะนอนหลับยาก

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

ทีกรีน97 (Tegreen97) คืออะไร?


ผลิตภัณฑ์สารสกัดจากชาเขียวจากแหล่งใบชาเขียวที่ดีที่สุดในมณฑลเจ๋อเจียง ประเทศจีน ใช้วิธีการเก็บและสกัดที่เฉพาะเพื่อให้ได้สารสำคัญ-โพลีฟีนอลในปริมาณสูง ที่สุดถึง 97% และปราศจากคาเฟอีน
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
  1. เสริมการทำงานของระบบต่อต้านอนุมูลอิสระของร่างกาย 
  2. ปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์และสารพันธุกรรมของเซลล์ จากการทำลายของอนุมูลอิสระ
ส่วนประกอบสำคัญ 
  • ชาเขียวสกัด 250 มิลลิกรัม ( โพลีฟีนอล 97%)
ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  • คัดเลือกจากแหล่งชาอันดับหนึ่งของจีน ที่มณฑลเจ้อเจียง
  • สารสำคัญ "โพลีฟีนอล" สูงที่สุด 97% (ผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาดสกัดได้เพียง 50 - 65%)
  • ปราศจากคาเฟอีน จึงดีต่อสุขภาพ ต่างจากชาชงทั่วไป
  • ใน 1 แคปซูล ให้สารสำคัญเท่ากับชาเขียว 7 ถ้วย
  • มีการศึกษาทางคลินิก โดยใช้ผลิตภัณฑ์ (รวมถึงฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็ง)
  • รางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมจากรัฐบาลใต้หวัน อยู่ในตำรา PDR (Physicians' Desk Referance)
ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
  • ต่อต้านการเกิด และ ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง
  • ส่งเสริมสุขภาพระบบภูมิคุ้มกัน
  • ปกป้อง และ ส่งเสริมการทำงานของเซลล์ตับในการกำจัดสารพิษ
  • ส่งเสริมการเผาผลาญน้ำตาล และ ไขมันจากหลอดเลือด
  • ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
  • บำรุงสุขภาพผิว ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน และ อิลาสติน
  • มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง (สูงกว่า วิตามิน E 25 เท่า, วิตามิน C 100 เท่า)
  • ส่งเสริมความจำ และ การทำงานของสมอง
  • ส่งเสริมการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย มีผลดีในการควบคุมน้ำหนัก
  • อื่นๆ เช่น่ ทำลายสารพิษในลำใส้ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ส่งเสริมสุขภาพฟัน และ เหงือก เป็นต้น

วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

มารีน โอเมก้า (Marine Omega) คืออะไร?

มารีนโอเมก้า (Marine Omega) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาและน้ำมันคริลล์ ที่ให้กรดไขมันโอเมก้า – 3 ช่วยให้ร่างกายได้รับกรดไขมันจำเป็นอย่างสมดุล
คริลล์ (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Euphasia pacifica) เป็นสัตว์ทะเลรูปร่างคล้ายกุ้ง พบในมหาสมุทรแถบฝั่งตะวันตกของเกาะแวนคูเวอร์ แถบรัสเซีย แถบยูเครน แถบแอนตาร์คติกา และญี่ปุ่น น้ำมันคริลล์มีความโดดเด่นของส่วนประกอบที่มีอีพีเอและดีเอชเอในสัดส่วนสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระเช่น วิตามิน เอ อี และแอสทาแซนธิน รวมทั้งมีน้ำมันโอเมก้า – 3 และโอเมก้า – 9 (กรด โอเลอิค) สัดส่วนของโอเมก้า – 3 ต่อโอเมก้า – 6 ที่ได้จากน้ำมันคริลล์มีสัดส่วนที่สูงคือ 15:1 และยังมีสารฟลาโวนอยด์, แคโรทีนอยด์ ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมุลอิสระที่ประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามิน อีถึง 550 เท่า
ประโยชน์ต่อสุขภาพ 
  1. เพื่อการตอบสนองของระบบภูมิต้านทานที่ปกติ 
  2. ลดการเกิดการอักเสบ 
  3. ส่งเสริมสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด 
  4. ส่งเสริมการทำงานของสมองและสุขภาพของสมอง 
  5. ส่งเสริมการทำงานการเคลื่อนไหวของข้อ 
  6. ส่งเสริมสุขภาพของผิวหนัง
ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  • น้ำมันปลาคุณภาพสูง โดดเด่นด้วยการเพิ่มน้ำมันคริลล์
  • อยู่ในตำรายา PDR (Physicians' Desk Reference)
  • ให้โอเมก้า - 3 โดยมี EPA : DHA = 3 : 2  (อัตราส่วนเหมาะสม)
  • ปลาทะเลน้ำลึกคุณภาพ 4 ชนิด ปราศจากโลหะหนัก และ สารปนเปื้อน
  • เลมอนออยล์ ช่วยดับกลิ่นคาวของน้ำมันปลา
  • น้ำมันคริลล์
    • สารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพมากกว่าวิตามิน อี 550 เท่า (แอสต้าแซนทีน และ ฟลาโวนอยด์)
    • สารสำคัญช่วยปกป้องเซลล์ บำรุงระบบประสาทและสมอง (ฟอสโฟไลปิคสูง)
ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
  • ช่วยลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มระดับไขมันตัวดี (HDL)
  • ช่วยลดการอักเสบของทุกเนื้อเยื่อในร่างกาย (ลดไฟอักเสบ) บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
  • ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนัง และ เยื่อบุตา
  • ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และ หลอดเลือดได้กว่า 90%
  • ส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • บำรุงเซลล์สมอง ความจำ และ ระบบประสาท
  • สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันคริลล์ ช่วยต่อต้านความเสื่อมชราของทุกอวัยวะจากการทำลาย ของอนุมูลอิสระ

วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

ออพติมา โอเมก้า (Optima Omega) คืออะไร?


ออพติมา โอเมก้า (Optima Omega) เป็นแหล่งสำคัญของกรดไขมันโอเมก้า - 3 ที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ อีพีเอ และดีเอชเอ ที่ได้จากปลาทะเลน้ำลึก 4 ชนิด ( ปลาแซลมอน, ปลาซาร์ดีน, ปลาแมคเคอเรล,ปลาแอนโชวี) ช่วยให้ร่างกายได้รับกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า - 3 อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังประกอบด้วยกระเทียมสกัด

ประโยชน์ต่อสุขภาพ
  • เสริมกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า - 3 เพื่อให้ร่างกายได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3อย่างเพียงพอและสมดุล
ส่วนประกอบสำคัญ
  • น้ำมันปลา ( อีพีเอ 150 มิลลิกรัม,ดีเอชเอ 100 มิลลิกรัม) 
  • กระเทียมสกัด 
  • วิตามิน อี
ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  • น้ำมันปลาคุณภาพสูง โดดเด่นด้วยการเพิ่มสารสกัดจากกระเทียม
  • ให้โอเมก้า - 3 โดยมี EPA : DHA =3 : 2 (อัตราส่วนที่เหมาะสม)
  • ปลาทะเลน้ำลึกคุณภาพ 4 ชนิดปราศจากโลหะหนัก และ สารปนเปื้อน
  • เลมอนออยล์ ช่วยดับกลิ่นคาวของน้ำมันปลา
  • รางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมจากรัฐบาลไต้หวัน
  • น้ำมันกระเทียม
"มีผลดีในการลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน"

ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
  • ช่วยลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มระดับไขมันตัวดี (HDL)
  • ช่วยลดการอักเสบของทุกเนื้อเยื่อในร่างกาย (ลดไฟอักเสบ) บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
  • ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนัง และ เยื่อบุตา
  • ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และ หลอดเลือดได้มากกว่า 90%
  • ส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • บำรุงเซลล์สมอง ความจำ และ ระบบประสาท
  • น้ำมันกระเทียมยังมีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อโรค และ การกลายพันธุ์ของเซลล์

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เอจล็อค ศาสตร์แห่งการชะลอวัย (THE SCIENCE OF AGELOC)

เทคโนโลยีสิทธิบัตรทางวิทยาศาสตร์
อีกขั้นของการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่งของศาสตร์แห่งการต่อต้านริ้วรอย โดยความร่วมมือระหว่าง นู สกิน และ นักวิทยาศตร์ระดับโลก เพื่อศึกษาค้นคว้าวิจัย ถึงแหล่งกำเหนิดของยีนส์ ที่เป็นส่วนสำคัญของ ต้นตอจุดกำเหนิดของริ้วรอยแห่งวัย หรือ ที่เรียกว่า เออาร์ ซูเปอร์มาร์คเกอร์ (age related super markers/arSuperMarkers) พร้อมค้นพบนวัตกรรมที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง "เอจล็อก (ageLOC)" ที่มีคุณสมบัติโดยตรงกับ เออาร์ ซูเปอร์มาร์คเกอร์

จากการค้นพบนี้ ทำให้ นู สกิน สามารถบ่งชี้ และ วิเคราะห์ถึง เออาร์ ซูเปอร์มาร์คเกอร์ หรือ กลุ่มยีนส์แห่งความอ่อนเยาว์ (Youth Genes Clusters) โดยยีนส์กลุ่มนี้มีหน้าที่หลักในการกำหนดริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งมีเพียง เอจล็อค ที่เป็นสิทธิบัตรทางวิทยาศาสตร์ของ นู สกิน เท่านั้น ที่เข้าใจถึงวิธีการทำงานของยีนส์กลุ่มนี้ ที่จะย้อนกลับกระบวนการทำงานเหมือนเช่นวัยเยาว์

สำหรับการค้นพบที่ยิ่งใหญ่นี้ เกิดขึ้นจากความร่วมือ ของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำระดับโลก เพื่อพัฒนาศาสตร์แห่งการต่อต้านริ้วรอยแห่งวัย รวมถึงการศึกษาด้านพันธุศาสตร์ที่ใช้เงินลงทุนวิจัยหลายล้านเหรียญสหรัฐ

เข้าถึงแหล่งกำเหนิด
จากหลักทางวิทยาศาสตร์ได้มีการค้นพบเกี่ยวกับยีนส์ของมนุษย์ แต่สำหรับ นู สกิน เราก้าวไปถึง เอจล็อค (ageLOC) ซึ่งเป็นอีกขั้นของศาสตร์การค้นพบ โดยความสำเร็จนี้เกิดขึ้น จากความร่วมมือระหว่าง นู สกิน และ ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านความชราโดยเฉพาะ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทางพันธุ์ศาสตร์ ที่ได้ร่วมกันศึกษา และ เข้าใจถึงหลักการของแต่ละกลุ่มหลักของยีนส์ การจำแนกหน้าที่การทำงานของยีนส์แต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มยีนส์แห่งความอ่อนเยาว์ (Youth Genes Clusters) ซึ่งเป็นต้นตอของการก่อเกิดริ้วรอยแห่งวัยที่สำคัญ นู สกิน เชื่อว่าการค้นพบ และ การจำแนกหน้าที่การทำงานของกลุ่มยีนส์เหล่านี้ จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำเราออกจากต้นเหตุที่แท้จริงของริ้วรอย

ทั้งผลการวิจัยทางการแพทย์ การวิเคราะห์กลุ่มยีนส์ รวมถึงการทุ่มเทค้นคว้าเทคโนโลยี เอจล็อค ที่เป็นเหมือนสะพานเชื่อมให้นักวิทยาศาสตร์ของ นู สกิน ได้ก้าวไปอีกชั้น สู่การค้นพบระบบการทำงานของกลุ่มยีนส์แห่งความอ่อนเยาว์ และ กระบวนการนี้ ก็มีผลโดยตรงต่อริ้วรอยที่ปรากฎบนผิวของเราด้วยเช่นกัน โดยวิทยาการ เอจล็อค ของ นู สกิน จะสามารถเข้าไปปรับกระบวนการทำงานของกลุ่มยีนส์เหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น พร้อมการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ให้ผิวอย่างสมดุลย์

กำเนิดใหม่แห่งความสมดุล
ความสำคัญของการคืนความอ่อนเยาว์ไม่ใช่อยู่แค่การจำแนก หรือ วิเคราะห์กลุ่มยีนส์ แต่ สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ความสามารถในการปรับความสมดุลของกลุ่มยีนส์แห่งความอ่อนเยาว์ (Youth Genes Clusters) ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยีนส์ ในกลุ่มนี้จะมีการทำงานที่แตกต่างกันคือ ยีนส์กลุ่มหนึ่งต้องปรับการทำงานให้เพิ่มขึ้น ในขณะที่อีกกลุ่มต้องปรับการทำงานให้ลดลง และ ด้วยเทคโนโลยี เอจล็อค ที่เป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ นู สกิน คือ ศาสตร์เดียวที่มีความสามารถในการปรับสภาพของกลุ่มยีนส์ให้สมดุล เสมือนผิวกำเนิดใหม่ที่อ่อนเยาว์อีกครั้ง

ย้อนกระบวนการของกลุ่มยีนส์เพื่อกำเนิดใหม่ของผิวที่อ่อนเยาว์

กลุ่มยีนส์แห่งความอ่อนเยาว์ และ สัญญาณของความร่วงโรยทั้ง 8 ประการ
"เป็นที่ชัดเจนว่าการที่เราจะรักษาความอ่อนเยาว์ให้ปรากฎนั้น ยีนส์ก็ควรมีรูปแบบที่อ่อนเยาว์เช่นกัน ด้วยการวิเคราะห์เนื้อเยี่อของมนุษย์เกี่ยวกับพันธุศาสตร์ เราจึงเรียนรู้หน้าที่ความสำคัญของพฤติกรรม ของกลุ่มยีนส์ในการรักษาความอ่อนเยาว์"

ดร.โจเชฟ แชง (Dr.Joseph Chang)
หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ ประจำ นู สกิน
แผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์
ศาสตร์แห่งการค้นพบ
นู สกิน คือผู้นำของศาสตร์แห่งการต่อต้านความเสื่อมชรา ในการศึกษาของ นู สกิน ที่เกี่ยวกับกลุ่มยีนส์แห่งความอ่อนเยาว์ ทำให้ค้นพบอีกขั้น ของหลักการทางวิทยาศาสตร์ และ นำไปสู่การพัฒนาของผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอย ที่กลายเป็นนิยามใหม่ของวงการ จากการเก็บตัวอย่างผิวหนัง และ เนื้อเยื่อของมนุษย์ในห้องทดลอง ทำให้นู สกิน เข้าถึงวิธีการสำคัญในการ รักษาความสมดุลของยีนส์ให้คงสภาพเพื่อคืนความอ่อนเยาว์ ซึ่งที่จริงแล้ว ในการที่เราจะสามารถคงสภาพผิวที่อ่อนเยาว์ได้นั้น เราจะต้องทราบถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างถ่องแท้ เพื่อการฟื้นฟูกระบวนการทำงานของยีนส์ให้คงสภาพความอ่อนเยาว์ที่สมบูรณ์

ก้าวแห่งอนาคต
จากความร่วมมือของผู้ก่อตั้งสถาบันวิจัยยีนส์ ไลฟ์ เจน เทคโนโลยี (LifeGen Technologies) ดร.ริชาจ เวนเดิร์ช (Dr.Richard Weidruch), ดร.โทมัส โพรล์ลา (Dr.Tomas Prolla) และ นู สกิน ที่ทุ่มเวลากว่า 30 ปี ในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับกลุ่มยีนส์ที่มีผลต่อการปรากฎของริ้วรอย โดยผลการวิจัยแสดงให้เห็น ถึงการปฏิรูปใหม่ที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่คนเรารับประทานเข้าไป หรือที่เรียกว่า Caloric Restriction ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นกุญแจสำคัญที่นำเราเข้าถึงวิธีการรักษาความอ่อนเยาว์ โดยการค้นพบครั้งนี้ ถือเป็นการบุกเบิก และ เป็นบันทึกครั้งสำคัญของวงการวิทยาศาสตร์โลก

จากการศึกษาในเรื่องของการตอบสนองของยีนส์ และ เนื้อเยื่อต่างๆ ที่ได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ช่วยให้ นู สกิน สามารถชี้ชัด และ ยีนยันถึงความเกี่ยวข้องระหว่างยีนส์ และ ความเสื่อมชรา โดยต่อยอดกระบวนการที่เรียนรู้นี้ไปสู่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปอีกในอนาคต

นู สกิน ยังมุ่งมั่นการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง และ จับมือร่วมกับ สถาบันการวิจัยรายใหม่ๆเพิ่มขึ้น เพื่อให้เป็นความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงบทบาทที่แสดงให้เห็นของกลุ่มยีนส์ รวมถึงผลกระทบจากความแปรผันของสภาพผิว ตามกาลเวลาได้อย่างชัดเจน เราเชื่อในศาสตร์ของ เอจล็อค (ageLOC) ว่าจะเป็นคำตอบของการต่อต้านความเสื่อมชรา และ เป็นการบุกเบิกทางวิทยาศาสตร์ ที่เหนือความคาดหมาย ด้วยการจัดการต้นกำเนิดแห่งริ้วรอยที่แท้จริง



วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สารลูทีน (Lutein) คืออะไร?

สารลูทีน (Lutein) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จัดอยู่ในกลุ่มสารที่มีสี ในตระกูลแคโรทีนอยด์ เป็นสารที่พบบริเวณตา ลูทีนเป็นแคโรทีนอยด์สีเหลือง ซึ่งมีส่วนอย่างมาก ในการต่อต้านสารต้านอนุมูลอิสระ ลูทีนพบได้ทั่วไปในผักใบเขียว ข้าวโพด และ ไข่แดง และมีส่วนสำคัญในการบำรุงสายตา โมเลกุลของลูทีนพบในปริมาณสูงในจุดของดวงตา โดยที่ ลูทีนจะฉาบบนผิวของเรตินา (Retina) บริเวณจุดรับภาพของลูกตา (macula) ซึ่งเป็ตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในจอประสาทตา เพราะเป็นจุดที่รูปภาพและแสงสว่าง ส่วนมากจะมาตกบริเวณนี้ ซึ่งเป็นส่วนที่จอตารับภาพได้ชัดเจนที่สุด ลูทีนจะช่วยในการดูดซับ แสงสีน้ำเงินในแถบสีการมองเห็น และช่วยปกป้องการทำลาย ของคลื่นสั้นที่มีต่อเยื่อบุผิวเรตินาจากการศึกษา พบว่า ระดับลูทีน 2.0 – 6.9 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดด่างในดวงตาได้
*ดังนั้นพอจะพูดได้ว่า สารลูทีนจะช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ในการป้องกันเยื่อแก้วตา (retina)
หน้าที่ของ Lutein
  1. Lutein ทำหน้าที่ช่วยให้มองภาพได้คมชัด และเห็นรายละเอียดของภาพดีขึ้น
  2. Lutein มีรายงานถึงผลการวิจัยที่ชัดเจนมากมาย สามรถลดอุบัติการณ์ โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุได้จริง
  3. Lutein ลดความเสี่ยง ในการเป็นโรค จุดรับภาพเสื่อม (Age - Related Mascular Degeneration หรือ AMD)
  4. Lutein ลดอุบัติการณ์โรคมะเร็งเต้านมในสตรี กลุ่มที่มีความเสี่ยง
  5. Lutein ลดกลไกการเกิด Plague ในผนักเส้นเลือด ทำให้ลดอัตราการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดตีบในสมอง
การรับประทานลูทีน ในปริมาณที่สูง จะมีอัตราเสี่ยงต่ำกว่า 43% สำหรับภาวะการเสื่อมของจอประสาทตา เมื่อเปรียบเทียบการรับประทานในปริมาณที่ต่ำ จากการศึกษากลุ่มตัวอย่าง จำนวน 876 คนซึ่งมีอายุ ระหว่าง 55-80 ปี การได้รับลูทีน และ ซีซานทีน ในอัตราสูง จะช่วยลดความเสี่ยง ของจอประสาทตาเสื่อมอย่างเฉียบพลันตามอายุได้

จากประสิทธิภาพของลูทีน ที่ช่วยชะลออาการจอประสาทตาเสื่อม ของผู้ใหญ่ จึงมีการศึกษาประโยชน์ของลูทีน ที่มีต่อการปกป้องจอประสาทตา ของทารก และ เด็ก เล็ก เพิ่มมากขึ้น

จากการศึกษาคนไข้จำนวน 421 คน แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับลูทีนและซีซานทีนในระดับสูงที่สุด จะมีส่วนสำคัญ ต่อการลดระดับอัตราเสี่ยงของความเสื่อม ของตาตามอายุได้

จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า หญิงและชายที่ได้รับ ลูทีนในระดับสูงที่สุด จะเป็นต้อกระจกในอัตราที่ต่ำกว่า ผู้ที่ไม่รับประทานลูทีนจากผัก แล ะผลไม้และสารลูทีนอาจช่วยป้องกันมะเร็งปอด มะเร็งสำไส้ และมะเร็งเต้านม พบว่าการรับประทานสารลูทีน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ในทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และการลดอัตราเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือ การตรวจพบการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ระยะเริ่มแรก การรับประทานผักที่อุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ ซึ่งประกอบด้วยลูทีนในปริมาณสูง จะมีความสัมพันธ์กับอัตราเสี่ยง ในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมที่ลดลง โดยเฉพาะสำหรับสตรีที่มีประวัติว่า มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเต้านม

ดังนั้นพอจะสรุปได้ว่า Lutein ประโยชน์ดังนี้
  1. ช่วยให้ตาแข็งแรง ป้องกันประสาทตาเสื่อม
  2. เพิ่มความแข็งแกร่ง ให้กับผนังหลอดเลือดใหญ่ และเส้นเลือดฝอย
  3. เป็นสารที่ช่วยเสริมสร้าง สุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
  4. ช่วยเสริมสร้างการมองเห็น โดยช่วยป้องกันการเสื่อมของ Mascular ที่จุดเล็กๆ ตรงกลางของที่รับแสงในตา (Retina) อันเป็นส่วนสำคัญของ Main pigment (สี) ในฉากรับแสงของตา จะช่วยป้องกันมิให้แสงอาทิตย์ทำลายเรตินา
  5. ป้องกันโรคจุดรับภาพเสื่อม หรือจอประสาทตาเสื่อม AMD (Age - Related Mascular Degeneration)
  6. ช่วยป้องกันและลดอาการของโรคต้อกระจก (Cataracts)
  7. ช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
  8. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (Free radical) ที่ทำลายเซลล์ตา ทำให้เซลล์แข็งแรง ช่วยชะลอความเสื่อมของตา
  9. ช่วยบำรุงระบบการไหลเวียนของเลือด และเส้นเลือดฝอยที่เลี้ยงตา
  10. เพิ่มสมรรถภาพในการมองเห็นได้ดีในที่มืด
  11. ช่วยแก้สายตาที่ไม่ดีและโรคเกี่ยวกับตา
ลูทีนถือเป็นสารอาหารที่มีความ สำคัญในการปกป้องจอประสาทตา โดยลูทีน จะทำงานร่วมกันกับกรดไขมันดีเอชเอ และ เอเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริม สร้างพัฒนาการด้านการมองเห็นของเด็ก โดยดีเอชเอและเอเอ จะทำหน้าที่เหมือนเป็นหลอดไฟ ส่วนลูทีน จะทำหน้าที่เหมือนเป็นสารเคลือบหลอดไฟ ไม่ให้เสื่อมเร็ว และนอกจากลูทีนจะพบมากในดวงตาของคนเราแล้ว ยังพบได้ในสมองในส่วนที่เกี่ยวกับการมองเห็นถึงร้อยละ 66 จึงเชื่อว่าลูทีนมีส่วนช่วยในการรับภาพ และ ส่งต่อไปยังสมองได้ดีขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สารอาหารลูทีนนี้ ร่างกายของคนเรา ไม่สามารถสังเคราะห์สารลูทีนขึ้นมาใช้เองได้ จะต้องกินเข้าไปเท่านั้น โดยพบมากในน้ำนมแม่ เด็กแรกเกิดที่ได้กินนมแม่นั้นจะได้รับลูทีน ผ่านทางน้ำนมโดยตรง หากไม่ได้รับสารอาหารที่ช่วยปกป้องดวงตาอย่างเพียงพอ

ดังนั้น การดูแลปกป้องดวงตา และเอาใจใส่เรื่องการกินอาหาร จะทำให้ลูกได้รับสารอาหารที่จำเป็น มีประโยชน์ต่อร่างกาย และมีพัฒนาการทางสายตาที่สมบูรณ์ จึงจำเป็นต้องให้ลูกได้ดื่มนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 1 ขวบ

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ริชิเอ็มเอ็กซ์ (ReishiMx) คืออะไร?



  1. รายละเอียดทั่วไป
    ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
    • ประกอบด้วยตัวเห็ด และ สปอร์เห็ด ที่ให้สารสำคัญสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป
    • สปอร์เห็ดแตก 100% ด้วยเทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะ
    • เพาะบนขอนไม้ที่เลียนแบบธรรมชาติ จึงปราศจากสารปนเปื้อน
    • กระบวนการสกัดลิขสิทธิ์ ช่วยให้สกัดได้สารสำคัญคงอยู่ในปริมาณสูง
    • ละลายน้ำ และ ออกฤทธิ์ได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป
    • มีการศึกษาทางคลินิกโดยใช้ผลิตภัณฑ์ มากกว่า 10 ฉบับ (รวมถึงฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็ง)
    • รางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมจากรัฐบาลไต้หวัน
    • อยู่ในตำรายา PDR (Physicians' Desk Reference)
    สารสำคัญที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าให้ประโยชน์ต่อสุขภาพที่สกัดได้จากเห็ดหลินจือได้แก่
    • โพลีแซคคาไรด์ : เห็ดหลินจือให้สารโพลีแซคคาไรด์ที่หลากหลายทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพต่างๆกัน
    • ไตรเทอร์ปีน : มีฤทธิ์ช่วยปกป้องตับซึ่งในเห็นหลินจือมีไตรเทอร์ปีนอยู่มากกว่า 200 ชนิด
    • นิวคลีโอไซด์ : มีอะดีโนซีนช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด
    • สารประกอบอื่นๆ : มีวิตามิน เกลือแร่ และ กรดอะมีโน ซึ่งกรดอะมีโนที่ได้นั้น ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้
  2. ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
    • ต่อต้านเซลล์มะเร็ง โดยยับยั้งการก่อตัว การแบ่งตัว และ การลุกลามของเซล์มะเร็ง
    • กระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกัน
    • ปกป้องและฟื้นฟูตับและไต
    • มีผลดีต่อโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่นโรคข้อรูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี โรคหืด และ ภูมิแพ้เป็นต้น
    • รักษาระดับน้ำตาลในเลือด รักษาความดันโลหิตให้เป็นปกติ
    • ส่งเสริมพลังงานของร่างกาย ลดความอ่อนเพลีย บำรุงสุขภาพโดยรวมที่ดี
    • บรรเทาอาการนอนไม่หลับ อาการปวดหัว ไมเกรน
    • มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
    • อื่นๆ เช่น มีผลดีต่อภาวะชัก โรคกระเพาะอาหาร ท้องผูก ริดสีดวงทวาร รอบเดือนผิดปรกติ เป็นต้น
  3. กระบวนการสกัดของ นูสกิน ที่แตกต่าง
    บริษัทฟาร์มาเน็กใช้วิธีสกัดสารสำคัญจากสปอร์ของเห็ดหลินจือ เพราะสปอร์ของเห็ดหลินจือ เป็นแหล่งที่มีสารโพลีแซคคาไรด์ และ ไตรเทอร์ปี อยู่มากที่สุด สารโพลีแซคคาไรด์ มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับไข่ และ มีเปลือกแข็งมาก ซึ่งทำให้การสกัดสารโพลีแซคคาไรด์ และ ไตรเทอร์ปีน ทำได้ยาก
    บริษัท ฟาร์มาเน็ก ได้ใช้วิธีการสกัดหลายขั้นตอน เพื่อให้สารสำคัญที่ได้มีความเข้มข้นสูง ซึ่งส่วนใหญ่สารสกัดที่ได้จากเห็นหลินจือ นั้น จะสกัดเพียงครั้งเดียว ทำให้ได้สารสำคัญที่น้อย บางครั้งไม่สามารถสกัดไตรเทอร์ปีนได้ นอกจากนี้ ฟาร์มาเน็ก ยังได้ใช้ เทคโนโลยีเฉพาะของบริษัท ในการทำให้เปลือกของสปอร์แตกออก ทำให้สกัดสารสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. ความปลอดภัยของผลิตภัณธ์ ซึ่ง ฟาร์มาเน็กซ์ใช้มาตรฐาน 6S ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
    • การคัดเลือก (Selection) : พืชสมุนไพรที่ฟาร์มาเน็กซ์เลือกใช้ จะต้องผ่านการตรวจสอบในด้านเป็นของแท้ นำไปใช้ประโยชน์ได้ และ มีความปลอดภัยในการใช้
    • การหาแหล่งวัตถุดิบ (Sourcing) : นักวิทยาศาสตร์ของฟาร์มาเน็กซ์ จะต้องตรวจสอบหาแหล่งของพืช รวมถึงพิจารณาคุณภาพของวัตถุดิบ แล้วทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ซึ่งจะทดสอบพืชดังกล่าว ณ สถานที่ที่ได้คัดเลือกไว้
    • การวิเคราะห์ทางโครงสร้างสารประกอบ (Structure) : ฟาร์มาเน็กซ์ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัย และ สถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียง ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา และ จีน ทำการวิเคราะห์หาโครงสร้าง ของสารประกอบธรรมชาติที่มีอยู่ในพืชที่คัดเลือกไว้ และ วิเคราะห์หาโครงสร้างของสารประกอบหลักที่ออกฤทธิ์ของพืชอย่างละเอียดถี่ถ้วน
    • การเข้มงวดด้านมาตรฐานของการผลิต (Standardization) : ฟาร์มาเน็กซ์คิดค้นขบวนการในการทำให้สารสำคัญเกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้การควบคุมคุณภาพมาตรฐานอย่างเข้มงวด และ พัฒนาขบวนการที่ช่วยเพิ่มความถูกต้องและ สามารถรับรองได้ว่าแต่ละผลิตภัณฑ์ ของฟาร์มาเน็กซ์ นั้นมีประสิทธิภาพจริง
    • ความปลอดภัยในการบริโภค (Safety) : ฟาร์มาเน็กซ์ เป็นผู้นำในด้านการกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวด เพื่อรับรองถึงความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้น โดยมีการตรวจสอบหาเชื้อ (Microbial Test) สารเคมี (Chemical) สารพิษ (Toxin) และ โลหะหนัก ที่มีอยู่ในแต่ละผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ และ ความปลอดภัยสูงสุดจากผลิตภัณฑ์ของฟาร์มาเน็กซ์
    • มีหลักฐานและผลการศึกษาทางคลีนิคสนับสนุน (Substantiation) : ฟาร์มาเน็กซ์พัฒนาทุกผลิตภัณฑ์ บนพื้นฐานของข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ และ การศึกษาทางคลินิก รวมทั้งสนับสนุนการวิจัยผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดอย่างจริงจัง ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเหล่านี้ได้รับการยอมรับ และ ตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำต่างๆเสมอ

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เห็ดถั่งเช่าคืออะไร? และ มีข้อดีอย่างไร?

"คุณแม่ของดิฉันเริ่มมีภาวะการทำงานของไตเสื่อม คุณหมอแจ้งว่าหากตรวจครั้งต่อไปแล้ว การทำงานของไตยังไม่ดีขึ้น อาจต้องมีการล้างไต มีคนแนะนำให้รับประทานผลิตภัณฑ์จากเห็ดคอร์ดีเช็พส์ หรือ ถั่งเช่า ประมาณ 2 เดือน ได้ไปพบกับแพทย์อีกครั้งหนึ่ง พบว่าภาวะการทำงานของไตเริ่มดีขึ้น จึงยังไม่ต้องล้างไต ดิฉันอยากทราบว่าประโยชน์ของเห็นถั่งเช่าค่ะ ว่าดีต่อสุขภาพด้านอื่นๆอย่างไร"
เห็ดคอร์ดีเซ็พส์ ไซเนเชีส หรือ เห็ดถั่งเช่าเป็นพืชสมุนไพร ที่มีการใช้ทางการแพทย์แผนจีนมาเป็นเวลาหลายพันปี ปกติจะเป็นสมุนไพรที่หายากมาก และ ราคาสูง ทีมนักวิทยาศาสตร์ของฟาร์มาเน็กซ์ได้ศึกษาวิจัย และ พบว่า สายพันธุ์ที่ดีที่สุดได้แก่ พันธุ์ซีเอส-4 ซึ่งมีประสิทธิภาพ และคุณประโยชน์เทียบเท่ากับถั่งเช่าที่พบได้ในธรรมชาติ มีผลงานวิจัย เกี่ยวกับประโยชน์ของถั่งเช่า และ พบว่าถั่งเช่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน บางเท่านเรียกถั่งเช่าว่า เป็นสมุนไพร แห่งการต้านการเสื่อมชรา ประโยชน์ดังกล่าวได้แก่
  • ดีต่อระบบทางเดินหายใจ ปอด ช่วยให้ร่างกายนำออกซิเจนไปใช้ได้ดีขึ้น ช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีพลัง ทนต่อภาวะเครียด หรือ การออกกำลังกายที่หักโหมได้ดี
  • ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
    • ช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
    • ช่วยลดการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ช่วยให้ไขมันดี เอชดีแอล (HDL) เพิ่มขึ้น
    • ช่วยดูแลระดับความดันเลือดให้ปกติ
  • มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • ดูแลสุขภาพการทำงานของไต
  • ดีต่อสุขภาพดานสมรรถภาพทางเพศ
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาว่ามีประโยชน์ต่อการทำงานของตับและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

หมายเหตุ : ผู้มีโรคประจำตัวและต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์หรือรับประทานยาโรคประจำตัว แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเสริมอาหาร

ที่มา : เอกสารสุขต่อเนื่อง ประจำเดือนพฤศจิกายน 2555

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไลโคปีน (Lycopene) คืออะไร?

ไลโคปีน (Lycopene) คือ แคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ ของสีแดงของมะเขือเทศ และแตงโม ที่มีโครงสร้างโมเลกุล ที่ยาวกว่าแคโรทีนอยด์ชนิดอื่นๆทำให้ ไลโคปีน เป็นแคโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูล อิสระซึ่งจะช่วยลดความผิดปกติ และความเสื่อมของเซลล์ อันเนื่องมาจากการทำลายของอนุมูลอิสระ

มีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่า ปริมาณไลโคปีนในร่างกายจะลดลงเมื่อ อายุมากขึ้น และพบว่าปริมาณสารไลโคปีนในร่างกาย มีความสัมพันธ์แบบผกผัน กับอัตราการเกิด โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้ป่วยที่มีปริมาณสารไลโคปีนในร่างกายต่ำ จะมีความเสี่ยงต่อ โรคมะเร็ง ต่อมลูกหมากเพิ่มขี้น
*ไลโคปีนช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก
ไลโคปีน มีมากในมะเขือเทศ จากการทดสอบ โดยให้ ผู้เข้ารับการทดสอบรับประทานมะเขือเทศ ในปริมาณสูงที่สุด 10 ครั้งต่อสัปดาห์ มีอัตราเสี่ยง ในการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากต่ำกว่า เมื่อเปรียบ เทียบกับผู้ที่รับประทานน้อยกว่า 1.5 ครั้งต่อสัปดาห์

การรับประทานมะเขือเทศในอัตราสูง จะช่วยลดอัตราการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ทุกประเภท ได้ถึง 35% และลดความรุนแรงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก 53%

สารสกัดจากมะเขือเทศ ที่ประกอบด้วยไลโคปีน 30 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยลดการเจริญเติบโต ของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในคนไข้ ภายหลังจากการรักษา โรคมาแล้ว 3 สัปดาห์

ความสำคัญของไลโคปีน
ไลโคปีน อาจจะมีส่วนสำคัญในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เต้านมและมะเร็งปากมดลูก โดยจะลดการเกิดเนื้องอก และยับยั้งการพัฒนา วงจรชีวิตของเซลล์ในช่วงต้น ของการเกิดเซลล์มะเร็ง (ระยะ G1) ไลโคปีนอาจช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

บุคคลที่มีสารสกัดพลาสมาไลโคปีน ที่สูงที่สุดจะมี เปอร์เซ็นต์ของการเกิดการหนาตัว ของหลอดเลือด IMT (intima-mediated thickness) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ของโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ระยะเริ่มต้นได้ต่ำสุด ถึง 90%

ดังนั้น การได้รับไลโคปีนในปริมาณที่สูงอาจช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

การรับประทานไลโคปีน สามารถลดอัตราเสี่ยงของการ เป็นกล้ามเนื้อหัวใจอุดตันต่ำกว่า 60%

สำหรับบุคคลที่ มีสารสกัดไลโคปีนสูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับ ผู้ที่มีสารสกัดไลโคปีนต่ำสุด ไลโคปีนอาจจะลดความรุนแรง ของการเผาไหม้ของผิวหนังจากแสงอาทิตย์

บุคคลที่รับประทานมะเขือเทศบด 40 กรัมต่อวัน ได้รับสารไลโคปีน 16 กรัมต่อวัน จะมีอัตราของอาการ เผาไหม้ของผิวหนังจากแสงอาทิตย์ลดลง 40% หลัง จากรับประทานมะเขือเทศติดต่อกันนาน 10 สัปดาห์

ageLOC R2 (เอจล็อค อาร์สแควร์)

ageLOC R2 (ageLOC R-SQUARED หรือ เอจล็อค อาร์สแควร์) คุณพร้อม ที่จะดูดี มีชีวิตชีวาเหมือนช่วงอ่อนเยาว์หรือยัง?

เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่เราต้องการคือ คงความสดใสดูอ่อนเยาว์ ทั้งภายนอกและภายใน ภายนอก คือผิวพรรณที่ปราศจากริ้วรอยก่อนวัย สัมผัสเรียบเนียน ดูเปล่งปลั่ง ส่วนภายในนั้นคือ ความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า มีพลังทั้งร่างกาย และ สมองพร้อมทำกิจกรรมต่างๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายเราไม่สามารถ ตอบสนองความต้องการได้อย่างตั้งใจ สัญญาณความแก่ที่สังเกตได้คือ เฉื่อยชา เซื่องซึม หงอยเหงา สูญเสียการควบคุมที่ดี ทั้งร่างกายและจิตใจ การแสดงออกของยีนจะเปลี่ยนแปลงไป และส่งผลต่อความรู้สึกอ่อนเยาว์ของร่างกายเรา เอจล็อค อาร์สแควร์ เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่พัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยีเอจล็อค เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของความเสื่อมชราจากภายในได้แก่ การล้างพิษในระดับเซลล์ และการสร้างพลังงานในระดับเซลล์ ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เอจล็อค อาร์สแควร์ เดย์ เพื่อจัดการกับยีนที่เกี่ยวกับการสร้างพลังงานระดับเซลล์ และอาร์สแควร์ เอ็น (หรือ อาร์สแควร์ ไนท์) เพื่อจัดการกับยีนที่เกี่ยวกับการล้างพิษในระดับเซลล์

สารพิษระดับเซลล์ต่อความเสื่อมชรา
หากคุณสังเกตว่าร่างกายเริ่มเฉื่อย ปวดเมื่อยตามตัว โดยหาสาเหตุอธิบายไม่ได้ นั่นเป็นเพราะ เมื่อร่างกายเสื่อมชรา ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ เพื่อขจัดของเสียลดลงทำให้มีของเสียสะสม ในเซลล์มากขึ้นเรื่อยๆ ของเสียเหล่านี้เป็นของเสียที่เกิดขึ้น จากการทำลายที่เกิดขึ้นในเซลล์ การเผาผลาญในเซลล์ ของเสียจากการเผาผลาญล้วนแต่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ และเร่งขบวนการเสื่อมชรา ผลิตภัณฑ์เพื่อการล้างพิษในท้องตลาด มักเน้นปัญหาสารพิษจากสิ่งแวดล้อม โดยพยายามแก้ปัญหาที่อาการ เช่น การล้างพิษทางลำไส้ ก็จำกัดเพียงการล้างพิษ ในระบบทางเดินอาหาร หรือบางระบบเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมการล้างพิษในระดับเซลล์
ความมีชีวิตชีวาลดลงเมื่อเสื่อมชรา
สัญญาณความเสื่อมชราที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่ ได้แก่ ความกระปรี้กระเปร่า ความสดชื่นมีชีวิตชีวาลดลง สมองเฉื่อย คิดช้า ไม่มีสมาธิ ความรู้สึกทางเพศลดลง นั่นเป็นเพราะความสามารถในการสร้างพลังงาน ในระดับเซลล์ลดลง ซึ่งในเซลล์แต่ละเซลล์ จะมีแหล่งพลังงานระดับเซลล์ที่เรียกว่า ไมโตคอนเดรีย จะเปลี่ยนอาหารและออกซิเจนให้เป็นพลังงานเพื่อนำไปใช้
ทั่วไปเรามักใช้อาหารที่สารกระตุ้น เช่น คาเฟอีน หรือน้ำตาล เพื่อเร่งให้เกิดความสดชื่น แต่เป็นเพียงชั่วคราว และหากใช้เป็นเวลานานในปริมาณที่สูง อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้น การจัดการให้ยีนแสดงออกอย่างเหมาะสม ทำให้การสร้างพลังงานในระดับเซลล์ กลับเป็นดังเช่นวัยหนุ่มสาว จึงเปรียบเหมือนกับการยกระดับพลังงาน ในร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพียงพอกับการทำกิจกรรมต่างๆ ของร่างกาย

ความอ่อนเยาว์ระดับเซลล์
การสร้างพลังงานระดับเซลล์ + การขจัดสารพิษในระดับเซลล์

ความโดดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่ง
ด้วยเทคโนโลยีจากประสบการณ์นานกว่า 30 ปี ด้านงานวิจัยด้านความเสื่อมชรา ระดับยีนของพันธมิตรทางวิทยาศาสตร์ ผนวกกับความเชี่ยวชาญ เรื่องสารอาหารจากธรรมชาติเพื่อสุขภาพ ทำให้ นู สกิน สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ด้วยเทคโนโลยีเอจล็อค ที่สามารถชี้เฉพาะ เป้าหมายยีน ที่เกี่ยวกับความอ่อนเยาว์ และจัดการให้กลุ่มยีนแห่งความอ่อนเยาว์ แสดงออกอย่างเหมาะสมดังเช่นในวัยหนุ่มสาว

ลักษณะของผลิตภัณฑ์และประโยชน์เบื้องต้น
  • เน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแห่งความเสื่อมชรา
  • ส่งเสริมให้เกิดการแสดงออกที่สมดุลของกลุ่มยีนแห่งความอ่อนเยาว์ ที่เกี่ยวกับการล้างพิษและการสร้างพลังงานในระดับเซลล์
  • ช่วยให้คุณรู้สึกอ่อนเยาว์สร้างความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง และเติมพลังให้กับความอ่อนเยาว์
  • ส่งเสริมพลังแห่งความอ่อนเยาว์ทั้ง 3 ด้าน-ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า สมองฉับไว มีสมาธิ เพื่อสุขภาพทางเพศ
  • ยกระดับพลังงานพื้นฐานให้แก่ร่างกาย
  • ส่งเสริมความสามารถของร่างกายเพื่อการล้างพิษในระดับเซลล์
  • ช่วยปกป้องและเสริมความแข็งแรงให้เซลล์เพื่อด้านการทำลายจากสารพิษจากภายนอกด้วยการปรับปรุงขบวนการ ปกป้องตัวเองให้ดีขึ้น
  • ช่วยให้เซลล์ทำงานได้อย่างปกติ
ผลิตภัณฑ์เหมาะกับใครบ้ืาง?
  • สำหรับผู้ที่อายุมากกว่า 18 ปี ที่เคยรู้สึกเหนื่อย ไม่สดชื่น เหมือนพลังทางร่างกาย ไม่ตอบสนองกับกิจกรรมี่ต้องการทำ หรือสำหรับทุกคน ที่ต้องการฟื้นฟูความสดชื่นและความอ่อนเยาว์
  • สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว และรับประทานยารักษาโรค แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเสริมอาหาร
ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำให้รับประทานร่วมกัน
  • ไลฟ์แพ็ก - สารอาหารที่ครบถ้วน ช่วยให้เซลล์ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระที่หลากหลาย จะช่วยปกป้องเซลล์ จากการทำลายของอนุมูลอิสระ จึงเหมาะสม ที่จะแนะนำให้รับประทานไลฟ์แพ็ก คู่กับ เอจล็อค อาร์สแควร์
  • ทีกรีน 97 - แนะนำให้รับประทานร่วม หากต้องการเสริมการปกป้องให้แก่เซลล์ยิ่งขึ้น
  • สำหรับผู้ที่เสริมอาหารด้วยคอร์ดีแม็กซ์ อาจเปลี่ยนมาเสริมอาหารด้วย อาร์สแควร์ แทนได้
  • ผลิตภัณฑ์เอจล็อคเพื่อผิวหน้า - เพื่อความครบถ้วนของการต้านความเสื่อมชราทั้งจากภายนอก และภายใน
คำถามที่พบบ่อย ageLOC R2
Q: ผลิตภัณฑ์เอจล็อค อาร์สแควร์ และเอจล็อค อาร์สแควร์ เอ็น หรือไนท์ แตกต่างกันหรือไม่ ทำไมจึงแนะนำให้รับประทานร่วมกัน
A: เอจล็อค อาร์สแควร์ ช่วยให้เกิดความสมดุลของการแสดงออกของยีนในสองส่วนที่เกี่ยวกับความอ่อนเยาว์ โดยเอจล็อคอาร์สแควร์ เดย์ จัดการการแสดงออกของกลุ่มยีนความอ่อนเยาว์ที่เกี่ยวกับการสร้างพลังงานในระดับเซลล์ ช่วยให้เซลล์สร้างพลังงานได้เพียงพอ ส่งผลดีต่อการทำงานของเซลล์ เอจล็อค อาร์แควร์ เอ็น หรือไนท์ จัดการการแสดงออกของกลุ่มยีนความอ่อนเยาว์ที่เกี่ยวกับการล้างพิษในระดับเซลล์ ช่วยขจัดสารพิษและของเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเซลล์ที่อาจตกค้างหรือสะสมที่อาจกีดขวางการทำงานที่สมบูรณ์ของเซลล์ ผสาน 2 คุณประโยชน์จากทั้งสองผลิตภัณฑ์ช่วยให้เซลล์ฟื้นฟู สู่ความอ่อนเยาว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Q: เราสามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เอจล็อค อาร์แสควร์ ทั้ง 2 รวมกันในครั้งเดียวได้หรือไม่
A: เอจล็อค อาร์สแควร์ เดย์ แนะนำให้รับประทานในตอนเช้า เพื่อส่งเสริมการสร้างพลังงานที่เพียงพอตลอดทั้งวัน ส่วน เอจล็อค อาร์สแควร์ เอ็นหรือไนท์ แนะนำให้รับประทานในตอนเย็นเพื่อส่งเสริมการล้างพิษระดับเซลล์ซึ่งร่างกายเราจะทำการฟื้นฟูในช่วงเวลากลางคืน

Q: มีงานวิจัยใดที่สามารถสนับสนุนว่าเอจล็อคอาร์สแควร์ จัดการการแสดงออกของยีน?
A: สารสำคัญในผลิตภัณฑ์เอจล็อค อาร์สแควร์แต่ละตัวมาจากการวิจัยเพื่อศึกษาถึงผลของสารสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของกลุ่มยีนเป้าหมายของสารสำคัญนั้น ว่าสอดคล้องกับความต้องการเพื่อเปลี่ยนการแสดงออกให้เป็นดังวัยหนุ่มสาวหรือไม่ เมื่อนักวิทยาศาตร์กำหนดกลุ่มยีนอ่อนเยาว์ที่เป็นเป้าหมายได้ และรู้ถึงการแสดงออกของกลุ่มยีนนั้นในช่วงวัุยหนุ่มสาวว่า เป็นอย่างไร สารอาหารจากธรรมชาติหลากหลายชนิดจะถูกนำมาทดสอบในห้องทดลอง เพื่อดูผลของสารอาหารต่อการแสดงออกของยีน และคัดเลือกสารอาหารที่มีผลเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของกลุ่มยีนเป้าหมาย ให้เป็นรูปแบบ วัยหนุ่มสาว ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวได้เคยถูกนำเสนอในการประชุมวิชาการหลายงาน รวมถึงการประชุมวิชาการ Gordon research Conference, CoLONGY และ 1st World Congress on targeting Mitochondria.

Q: เอจล็อค อาร์สแควร์ จะมาแทนไลฟ์แพ็ก ใช่หรือไม่?
A: ไม่ใช่ เนื่องจากไลฟ์แพ็กเป็นผลิตภัณฑ์ที่อุดมด้วยสารอาหารจำเป็นเพื่อให้เซลล์ทำงานได้อย่างเหมาะสมและยังช่วยปกป้องเซลล์จากการทำงานได้อย่างเหมาะสม และยังช่วยปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระอีกด้วย นอกจากนี้การเสริมอาหารด้วย เอจล็อค อาร์สแควร์ ควบคู่กับไลฟ์แพ็ก ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เพื่อย้อนสู่ความอ่อนเยาว์

Q: เอจล็อค อาร์สแควร์ ปลอดภัยสำหรับการรับประทานในระยะยาวหรือไม่?
A: เอจล็อค อาร์สแควร์ มีส่วนประกอบของสารอาหารธรรมชาติ ที่มีความปลอดภัย ออกฤทธิ์เพื่อปรับการแสดงออกของยีนเพื่อให้เหมาะสม ไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของยีนแต่อย่างใด จึงมีความปลอดภัยในระยะยาว

วิธีการรับประทาน

เอจล็อค อาร์สแควร์ เดย์ รับประทานครั้งละ 6 แคปซูล ในตอนเช้า
ส่วนประกอบสำคัญ
  • เอจล็อค อาร์แควร์ เดย์ เบลนด์ 1135 มิลลิกรัม
  • เห็ดคอร์ดีเซ็พส์
  • สารสกัดทับทิม
  • สารสกัดโสม
เอจล็อค อาร์สแควร์ เอ็น หรือไนท์ รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล ในตอนเย็น
ส่วนประกอบสำคัญ
  • เอจล็อค อาร์สแควร์ เอ็น เบลนด์ 450 มิลลิกรัม
  • สารสกัดเมล็ดองุ่น
  • สารสกัดเรดออเรนจ์คอมเพล็กซ์
  • สารสกัดบรอคคอรี่
สรุปได้ว่าคุณประโยชน์เบื้องต้นที่สำคัญมีดังนี้
  1. จัดการปัญหาความเสื่อมชราที่ต้นเหตุ
  2. ส่งเสริมให้เกิดการแสดงออกที่ดีของยีน ที่เกี่ยวกับการขจัดสารพิษ และการสร้างพลังงานในระดับเซล
  3. ช่วยให้เซลทำงานได้อย่างปกติ
  4. ส่งเสริมให้ร่างกายสามารถขจัดของเสียจากขบวนการเผาผลาญในร่างกาย
  5. ช่วยปกป้องและเสริมความแข็งแรงให้เซล เพื่อต้านการทำลายจากสารพิษจากภายนอก ด้วยการปรับปรุงขบวนการปกป้องตัวเองให้ดีขึ้น
  6. ช่วยให้คุณรู้สึกอ่อนเยาว์ สดใส เจิดจ้า ด้วยการสร้างความมีชีวิต ชีวา และเติมพลังอ่อนเยาว์


ทำไมต้องทานอาหารเสริม? และ ทำไมไลฟ์แพ็ค (Lifepak) จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ทำไมเราต้องทานอาหารเสริม
ถ้าในปัจจุบัน เราได้รับประทานอาหารอย่างสมบูรณ์แล้ว คุณอาจสงสัยว่ามีความจำเป็นต้องกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพิเศษหรือไม่?
มีเหตุผล 2 - 3 ข้อที่สนับสนุนว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ดีต่างๆก็เป็นที่น่าสนใจ
  1. อาหาร ถ้าไม่ได้รับประทานอาหารสกัดจากธรรมชาติ คุณก็อาจจะขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน และ แร่ธาตุบางชนิด อาจสูญเสียไปในระหว่างการขนส่ง และการเก็บรักษา การเตรียมอาหาร และ การปรุงอาหาร หรือ มิฉะนั้น อาหารสดจากธรรมชาติบางชนิดก็อาจจะขาดสารอาหารที่สำคัญ เช่น ขาดสารโคลีน วิตามิน, แอลคาร์นิทีน ช่วยในการดักจับไขมันในร่างกาย หรือ แคลเซี่ยมในการเสริมสร้างกระดูก ขาดสารจำเป็นบางอย่างในผู้ทานมังสวิรัติ นอกจากนี้อาหารบางอย่างอาจก่อให้เกิดโทษในร่างกายได้อีก เช่น อาหารไขมันสูง อาหารมีเชื้อโรค ท็อกซิน อาหารใส่สารกันบูด ใส่สี อาหารรสเค็มจัด หวานจัด อาหารที่ปรุงโดยผู้ปรุงที่ขาดสำนึกและระวัง เรื่องสุขอนามัย ความสะอาดในการปรุงอาหาร
  2. มลภาวะจากสิ่งแวดล้อมมีมากขึ้น น้ำเสียจากโรงงานและบ้านเรือน กลิ่นเหม็นจากสิ่งปฏิกูล ควันพิษจากรถยนต์ และ โรงงานต่างๆ สารพิษเหล่านี้หากร่างกายได้รับเข้าไปบ่อยๆเป็นเวลานาน จะก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายได้อีกทางหนึ่ง และ ยังก่อให้เกิดโรคต่างๆนับไม่ถ้วน "เราต้องเตรียมร่างกายของเรา เพื่อการซ่อมแซมและปกป้องตัวเองจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ อันเป็นภาวะที่ร่างกายไม่เคยเผชิญมาก่อนในอดีต ในยุคนี้"
  3. ร่างกายตัวเอง สิ่ง ธรรมชาติได้ให้พลังชีวิต และ ความสมบูรณ์ของร่างกาย โดยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามอายุ ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ อวัยวะต่างๆของร่างกายสามารถทำงานได้ดี มีความต้านทานโรคสูง และ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพราะร่างกายมีขบวนการเผาผลาญพลังงานที่สมบูรณ์ ผลิตสารแอนติอ๊อกซิแด๊นได้มาก อย่างต่อเนื่อง ระบบฮอร์โมนปรกติดี แต่เมื่อร่างกายอ่อนแอลง หรือ มีอายุเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพที่กล่าวมาทั้งหมดจะเสื่อมถอยลง ในขณะที่คนเรายังมีการรับสารพิษต่างๆเข้าสู่ร่างกายเหมือนเดิม โดยประมาณ และ ร่างกายจะเริ่มลดการผลิตสารต่อต้านสารพิษต่างๆเมื่อเริ่มอายุประมาณ 30 ปี โดยที่ร่างกายยังคงผลิตสารอนุมูลอิสระ และสารพิษอื่นๆ แล้วยังรับสารพิษจากอาหารและสิ่งแวดล้อมในปริมาณเท่าเดิม ร่ายกายก็จะเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่พูดกันว่าการกินอาหารครบ 5 หมู่ หรือ การมีชีวิตกระฉับกระเฉงนั้น คือหลักการพื้นฐานของการมีสุขภาพที่ดี แต่เดี๋ยวนี้ เรารู้ว่าในบางเวลาของชีวิต มีบางครั้ง ที่เราต้องการสารอาหารเป็นพิเศษ ความเครียดหรือโรคภัยไข้เจ็บอาจทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเป็นสิ่งจำเป็น ชีวิตที่วุ่นวายสับสนการกินอาหารอย่างเร่งรีบ การกินอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น การฟื้นจากไข้ การวางแผนมีบุตร การกินอาหารมังสวิรัติ หรือ ภาวะชรา เหล่านี้ล้วนกดดันให้ร่างกายต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น นอกจากเงื่อนไขที่กล่าวข้างต้น ยังมีปัจจัยเพิ่มเติมที่คุณอาจไม่เคยคาดคิด เช่น ในอาหารประจำวันที่คุณกินอาจจะมีสารอาหารบางตัวไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ในภาวะเช่นนี้ คงเห็นชัดว่าการกินผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพเป็นประจำมีประโยชน์เพียงใด

ดังที่ นพ.กฤษดา ศิรามพุช กล่าวว่า มนุษย์เหมือนกองสารเคมี ที่มีสนิมแก่ จะขับออกมาจากร่างกายเราทุกๆเวลา ถ้าเราจะกินเพื่อต้านแก่ เราต้องกินให้มากกว่าปรกติ เราจะไม่พูดถึงวิตามินที่กินแค่ป้องกัน แต่ต้องกินเสริมเข้าไปด้วย ซึ่งคำพูดเก่าๆ You are what you eat! แต่ในปัจจุบันนี้เราได้ใช้คำพูดใหม่ You are what you are absorb! กันแล้วในปัจจุบัน

แล้วทำไมเราต้องเลือกไลฟ์แพ็ก เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

เพราะในไลฟ์แพ็ก มีสารอาหาร และ วิตามินเกลือแร่ที่ครบถ้วนและสมดุลบรรจุอยู่ในซองเพียง 1 ซอง ซึ่งไม่สามารถหาได้อีกแล้วในท้องตลาด
  • ไลฟ์แพ็กมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า 30 ชนิด มีหลากหลายในปริมาณที่เพียงพอใน หนึ่งวัน (1 ซอง ต่อ 1 มื้อ)
  • ไลฟ์แพ็กมีการใช้มารตรฐานการควบคุมคุณภาพระดับสูงที่เรียกว่า 6S
    1. คัดเลือก
    2. แหล่งวัตถุดิบ
    3. โครงสร้าง
    4. มาตรฐาน
    5. ความปลอดภัย
    6. ผลการศึกษาทางคลินิค
  • ไลฟ์แพ็ก จะดูแลภูมิคุ้มกัน หรือ ภูมิต้านทานในระดับหน่วยเซลล์ DNA แต่ละเซลล์มีเป็นล้านๆ ไม่ว่า สมอง, หัวใจ และ กล้ามเนื้อ ซึ่งถ้าเราวิเคราะห์ยี่ห้ออาหารเสริมที่มีอยู่ในท้องตลาด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะจัดจำหน่าย แยกเป็นสูตรย่อยๆ หลายๆสูตร ซึ่งจะต้องเสียเงินซื้อประมาณ 7,000 บาท เพื่อที่จะให้ได้สารอาหารครบถ้วนเท่ากับไลฟ์แพ็ก แต่เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสารอาหารเหล่านั้นดูดซึมเข้าร่างกายได้อย่างไร? หรือ มีการหักล้างวิตามินกันหรือไม่? และ มีหลายๆคน ที่เลือกที่จะดูแลตัวเอง แต่ก็ไม่รู้จะเลือกวิตามินสูตรไหนสำหรับดูแลร่างกายตัวเอง
  • ไลฟ์แพ็ก มีซองใส่วิตามินที่เก็บแบบสุญญากาศ ไม่ระเหยในบรรยากาศเลย
ตอนนี้คุณพร้อมที่จะกำจัดสนิมแก่ออกจากร่างกายด้วยวิตามินและเกลือแร่ประเภทไหน? จะดีกว่าไหม? ถ้าเราจะเลือกโดยไม่ต้องคิดมาก คิดให้ปวดหัว โดยเลือกไลฟ์แพ็กของนูสกิน


วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เฮสเพอริดิน (Hesperidin) คืออะไร?

เฮสเพอริดิน (Hesperidin) คือ สารที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและเส้นเลือดดำ

เฮสเพอริดินมีส่วนสำคัญในการพัฒนาสุขภาพของ เส้นเลือดดำ โดยเฉพาะการลดการซึมผ่านและความ อ่อนแอของเส้นเลือดดำ โดยเฉพาะโรคที่สัมพันธ์กับ การเพิ่มการซึมผ่านเส้นเลือด เช่น ริดสีดวงทวาร ลักปิดลักเปิด แผลเน่าเปื่อยพุพอง แผลถลอก

การขาดเฮสเพอริดิน จะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของ เส้นเลือดฝอย ความอ่อนเพลีย และตะคริวที่ขาในเวลากลางคืน การเสริมเฮสเพอริดิน จะช่วยลดอาการบวมน้ำ หรือการบวมเนื่องจาก การสะสมของของเหลว โดยสาร เฮสเพอริดินจะทำงานดีที่สุดเมื่อมีวิตามินซีร่วมด้วย

เฮสเพอริดิน ที่รวมกับฟลาโวนอยด์ จากผลไม้จำพวกส้ม เช่น ไดออสมิน (Diosmin) มีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของเส้นเลือดดำขอด ริดสีดวงทวาร ได้โดยการช่วยลดความตึงและความยืดหยุ่นของเส้นเลือดดำ และช่วยลดการซึมผ่านของเส้นเลือดจึงสามารถลดอาการบวมน้ำได้

นอกจากนี้เฮสเพอริดิน ยังอาจจะลดระดับพลาสมาคอเลสเตอรอล

ที่มา : วิกิพีเดีย

TRA Complex

ที อาร์ เอ คอมเพล็กซ์ (TRA Complex)
ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วย ชาเขียวสกัด , แคลเซียม, โครเมียม, แอล-ธีเอนีน และ ฟอสฟาทิดิลเซอรีน
  • ชาเขียวสกัด (Green Tea Extract)
    มีส่วนช่วยให้ร่างกายมีระบบการเผาผลาญที่ดีขึ้น
    ช่วยให้ระบบการทำงานของกลูโคสและไขมันดีขึ้น รวมทั้งช่วยให้อินซูลินอยู่ในระดับปกติ
  • แคลเซียม(Calcium)
    แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการควบคุมน้ำหนัก หากมีระดับของแคลเซียมในปริมาณที่ต่ำจะทำให้อ้วนง่ายและน้ำหนักเกิน แคลเซียมยังมีส่วนช่วยให้ร่างกายมีระบบการเผาผลาญที่ดีขึ้นโดยเฉพาะกระบวนการเผาผลาญไขมัน
  • โครเมียม (Chromium)
    โครเมียมมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในช่วงปกติ จึงช่วยลดความอยากอาหารและการสะสมไขมันได้
  • ฟอสฟาทิดิลเซอรีน(Phosphatidylserine)
    มีความสามารถในการปรับการตอบสนองของร่างกายต่อความเครียด โดยการควบคุมระดับของฮอร์โมนคอร์ติซอลให้อยู่ในช่วงที่ปกติ
  • แอล-ธีเอนีน (L-theanine)
    เป็นกรดอะมิโนที่สกัดได้จากใบชาเขียวมีคุณสมบัติกระตุ้นให้เกิดคลื่นสมองอัลฟา ที่ช่วยให้เกิดความผ่อนคลายลดความเครียดโดยไม่ทำให้ง่วงซึม
หมายเหตุ
คอร์ทิซอล (Cortisol) - ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด หากระดับคอร์ทิซอลเพิ่มขึ้น มีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจะมีไขมันมาสะสมอยู่ที่หน้าท้องปริมาณมาก เนื่องมาจากคอร็ทิซอล (Cortisol) จะส่งสัญญาณมายังสมองให้เรารับประทานมากขึ้นโดยจะไปเพิ่มความอยากอาหาร และเซลล์ไขมันที่หน้าท้องเพื่อสะสมไขมันให้มากขึ้น ธีเอนีนและฟอสฟาทิดิลเซรีน มีส่วนช่วยลดความเครียด ช่วยให้ผ่อนคลาย จึงช่วยลดการเกิดสะสมของไขมัน และช่วยลดการสูญเสียกล้ามเนื้อในช่วงลดน้ำหนัก


TRA Shake (ทีอาร์เอ - เชค)

ที อาร์ เอ เชค (TRA Shake)
ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชนิดผง ที่มีส่วนประกอบของเวย์โปรตีนเข้มข้นและใยอาหารจากพืช มีให้เลือก 2 รสชาติ วนิลลาและช็อคโกแลต พลังงานต่อ 1 หน่วยบริโภค (2 ช้อน) 210 กิโลแคลอรี่

เวย์โปรตีนเข้มข้น (Whey Protein Concentrate)
เป็นโปรตีนที่ได้จากนม ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย (Essential amino acid) ที่ครบถ้วน ซึ่งร่างกายดูดซึมได้ง่าย กรดอะมิโนเหล่านี้ มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ พลังงานต่อ 1 หน่วยบริโภค ( 2 ช้อน) 210 กิโลแคลอรี่

ส่วนประกอบ
  • โปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน
  • วิตามิน 12 ชนิด วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 โฟเลต ไบโอติน กรดแพนโธทีนิค วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี
  • เกลือ แร่ 13 ชนิด แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ซีลีเนียม แมงกานีส โมลิบดีนัม ไอโอดีน สังกะสี ทองแดง โครเมียม โซเดียม โพแทสเซียม


อนุมูอิสระ (Free Redical) พิษร้ายใกล้ตัวคุณ

ทุกๆท่านคงจะได้ยินชื่อ อนุมูอิสระ หรือ Free Redical มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย (โดยเฉพาะกับโฆษณา เกี่ยวกับเครื่องสำอางค์ ของผู้หญิง) แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า จริงๆแล้ว อนุมูลอิสระคืออะไร และ จะมีผลอย่างไรต่อร่างกายบ้าง?

สำหรับท่านที่ยังไม่ทราบ ผมจะขอเล่าเรื่องของ อนุมูลอิสระให้ทุกๆท่านได้เข้าใจกัน อย่างถ่องแท้เสียก่อน

อนุมูอิสระ หรือ Free Redical
นั้นคือโมเลกุลหน่วยที่เล็กที่สุด ที่เราจะสามารถพบได้ (ณ.ปัจจุบันนี้) ซึ่งมันจะตรงเข้าโจมตีเซลล์ต่างๆในร่ายกายของคุณ

ก่อนอื่น เราต้องรู้ก่อนว่าร่างกายของเรานั้น ประกอบด้วยส่วนที่เล็กมากๆ จำนวนนับล้านๆ ซึ่งเราเรียกส่วนนี่ว่า เซลล์ ซึ่งเซลล์นั้นจะประกอบด้วยส่วนหลักๆ 3 ส่วนที่ได้รับผลกระทบจากอนุมูลอิสระโดยตรง (ส่วนประกอบอื่นๆ จะไม่พูดถึงเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่อาจจะกล่าวถึงในบทต่อๆไป) ซึ่งส่วนประกอบหลักๆ 3 ส่วนนี้ก็คือ
  1. ผนังเซลล์ หรือที่เรียกว่า Plasma Membrane
  2. นิวเคลียส Nucleus
  3. ไมโทคอนเรียร์ Mitochondria

จากภาพ Picture 01 รูปที่ 1 เมื่ออนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะตรงเข้าไปที่ผนังเซลล์ และทำลายผนังเซลล์ทันทีที่มันไปกระทบกับผนังเซลล์ ดังรูปที่ 2 และ 3 ใน Picture 01 ซึ่งการทำลายนี้จะเป็นการทำลายแบบโดมิโน่ หมายความว่า เมื่อเซลล์ที่ 1 ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ เซลล์ที่ 1 นั้นจะเข้าไปทำลายเซลล์ที่ 2 แเละเมื่อเซลล์ที่ 2 โดยทำลาย มันก็จะไปทำลายเซลล์ที่ 3 และจะทำลายต่อไปเรื่อยๆนั่นก็คือ เมื่อเซลล์โดนกระตุ้นโดยอนุมูลอิสระ เมื่อไหร่ เซลล์เหล่านั้นก็จะเกิดภาวะการทำลายตัวเองอย่างต่อเนื่องทันที และ เมื่ออนุมูลอิสระ ทำลายผนังเซลล์ได้แล้ว จุดหมายต่อไปก็คือ ทำลายสารพันธุกรรมหรือ DNA ดังรูปที่ 4 ใน Picture 01 มันจะทำลายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รับสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (จะกล่าวถึงสารต้านอนุมูลอิสระในบทต่อไป) เมื่อเซลล์โดนทำลายมากก็จะทำให้การแบ่งเซลล์นั้นผิดเพี้ยน ดังรูป Picture 02 จนในที่สุด ก็ก่อให้เกิดโรคที่เรียกว่าโรคแห่งความเสื่อมอย่างมากมาย โดยปัจจุบัน เรารู้ว่าโรคแห่งความเสื่อมที่เกิดจาก อนุมูลอิสระนั้นมีมากกว่า 3 หมื่น ชนิด ซึ่งโรคที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ โรคมะเร็ง, โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือด, โรคความดันโลหิตสูง
สำหรับโรคมะเร็ง ปัจจุบันนี้ข้อมูลจากสภากาชาดไทยได้สรุปอัตราผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งอยู่ที่ 25% ของประชากรทั้งประเทศ หมายความว่า ถ้ามีคนนั่งกันอยู่บริเวณเดียวกัน 4 คน จะมี 1 คนเป็นมะเร็งเสมอ และจากข้อมูลล่าสุด ผู้ที่เป็นมะเร็ง มีโอกาศรอดแค่ 1 ใน 3 เท่านั้นเอง (แต่อาจจะเพิ่มเป็น 1 ใน 2 ได้ ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยมะเร็งรู้ตัวก่อนที่การป่วยจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะลุกลาม)

นอกจากนี้ ยังมีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและอัตราการเสียชีวิตของผู้ที่ป่วยเป็น โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือด, โรคความดันโลหิตสูง ไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งสำหรับประเทศไทย ผู้ที่เสียชีวิตจากโรคที่กล่าวมาข้างต้นนั้นอยู่ที่ 5 คนต่อชั่วโมง
นักวิทยาศาสตร์ ได้วิจัยต่อไปจนพบว่าในวันหนึ่งๆ เซลล์ 1 เซลล์ในร่ายกายจะต้องถูกการทำลาย จากอนุมูลอิสระเป็น จำนวนมากกว่า 75,000 ครั้ง (แต่ถ้าหากใครก็ตามที่สูบบุหรี่ จะได้รับอนุมูลอิสระ มากถึง 10,000,000,000,000,000 ตัวต่อการสูบบุหรี่ 1 มวล)

สำหรับสาวๆทั้งหลายนั้น อนุมูลอิสระ มีผลที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการทำลาย โดยจะสังเกตุได้จากริ้วรอยบนใบหน้า (ซึ่งเป็นจุดที่ เครื่องสำอางค์ทั้งหลายให้ความสำคัญ และ เราจะรู้จัก อนุมูลอิสระจากเรื่องนี้ มากที่สุด)

จากเรื่องราวข้างบน ท่านอาจจะอยากทราบแล้วว่า อนุมูลอิสระ นั้นจริงๆแล้วมาจากที่ไหนบ้าง ก็จะขอบอกไว้เลยว่าอนุมูลอิสระนั้นมีอยู่รอบๆตัวเรา และ เราได้รับทุกวัน ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง
ตราบที่เรายังหายใจเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย

หลังจากที่รู้จักอนุมูลอิสระกันแล้ว คราวนี้ มารู้จักสารต้านอนุมูลอิสระกันบ้าง

สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งชื่อก็มีความหมายตรงตัวอยู่แล้ว คือ เอาไว้ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่เข้ามาในร่างกาย ของเรานั่นเอง ก่อนอื่นเราจะมาดูหน้าที่และการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระกันก่อนนะครับ จาก Picture 03 เราจะเห็นว่าสารต้านอนุมูลอิสระจะถูกแทนด้วยสีเขียว ในขณะที่อนุมูลอิสระจะถูกแทนที่ด้วยสีส้ม โดยจากรูปคุณจะเห็นได้ว่าตัวโมเลกุลของอนุมูลอิสระนั้น จะประกอบด้วยนิวเคลียส (จุดใหญ่สีส้มตรงกลาง) และ อิเล็คตรอน (จุดเล็กๆรอบๆจุดสีส้มใหญ่) และ สารต้านอนุมูลอิสระ ก็จะประกอบด้วยนิวเคลียส และ อิเล็คตรอนเช่นกัน แต่ลองสังเกตว่าตัวอนุมูลอิสระนั้นจะมีอิเล็คตรอนอยู่ไม่ครบคู่ เพราะฉะนั้นเมื่ออนุมูลอิสระเข้ามา ในร่างกายของเรา มันจะดึงเอาอิเล็คตรอนจากเซลล์เราไปใช้ ทำให้อนุภาคของเซลล์เรากลายเป็นอนุมูลอิสระ และ มีการทำลายอย่างต่อเนื่อง ทีนี้เมื่อร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) สารต้านอนุมูอิสระ (Anti-Auxident) ก็จะทำหน้าที่ในการปล่อยอิเล็คตรอน จำนวนหนึ่งไปให้กับ อนุมูลอิสระ ก่อนที่ อนุมูลอิสระ เหล่านั้นจะมีโอกาศได้ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อของเรา ทำให้อนุมูลอิสระเหล่านั้นหมดฤทธิ์ แต่โชคไม่ดีที่ ร่างกายของเรานั้นจะผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) ออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ร่ายกายของเราจำเป็นต้อง พึ่งพาสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) จากแหล่งอื่นๆ อีก ซึ่งได้แก่จากพืชผักทั้งหลาย ดังนั้นผู้ที่ทานผัก มาก จะมีโอกาศได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) ที่มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามร่างกายเรานั้นต้องการสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) ที่ค่อนข้างจะหลากหลาย (เพราะว่าอนุมูลอิสระ (Free Redical) ก็มีที่มาหลากหลายเช่นกัน) ดังนั้นการทานผักแค่ชนิดเดียวย่อมไม่เป็นผลดีแก่ร่างกายโดยรวม

สารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันนั้น ก็มีอยู่มากมาย เช่นสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในรูปของ Vitamin ได้แก่ Vitamin C, Vitamin E, CoQ10 ฯ หรือ สารต้านอนุมูลอิสระ โดยตรง ซึ่งได้แก่สารสกัดจากเมล็ดองุ่น, สารสกัดจากชาเขียว (โพลีฟีนอล), สารสกัดจากเห็นหลินจือ (โพลีเซ็คคาไลด์), กรดอัลฟ่าไลโปอิค, เบต้าแคโรธีน ฯ

ซึ่งสารอาหาร, Vitamin, เกลือแร่ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถขาดได้เลยในแต่ละวัน เพราะการขาดสารอาหาร อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมมีผลทำให้การปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระ ลดประสิทธิภาพลง

แหล่งที่มาของอนุมูลอิสระ

จากรูป Picture 05 จะเห็นได้ว่าอนุมูลอิสระนั้น เกิดจาก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายใน และ ปัจจัยภายนอก

ปัจจัยภายในหมายความว่าอย่างไร
ปัจจัยภายในหมายความว่า ร่างกายเรานั่นแหล่ะเป็นตัวสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมาเอง โดยเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น หลังจากที่เราหายใจเอาออกซิเจนเข้ามาในร่างกาย และเมื่อเม็ดเลือดแดง นำออกซิเจนเหล่านั้นส่งไปยัง เซลล์ ต่างๆ เซลล์ต่างๆ ก็จะนำออกซิเจนมาเผาผลาญสารอาหารที่เราทานเข้าไปเพื่อให้เกิดพลังงาน ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ และ ขั้นตอนนี้เองเราเรียกว่าการสันดาป ซึ่งการสันดาปนี้ เมื่อมันไม่สมบูรณ์ (มีโอกาศเกิดขึ้นได้สูง) ก็จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นมา โชคดีที่หากท่านเป็นบุคคลทั่วๆไปที่ไม่ใช่นักกีฬา ร่างกายก็จะสามารถขจัดอนุมูลอิสระเหล่านี้ออกไปได้ไม่ยากนัก โดยสิ่งที่เรียกว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือ Anti Oxidant (แต่ร่างกายก็ผลิตสารต่อต้านอนุมูลอิสระหรือ Anti Auxidant ได้ไม่มากนัก ดังนั้น จึงต้องพึ่งพา สารต่อต้านอนุมูลอิสระจากแหล่งอื่น ได้แก่ พวกพืชผักทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น มะเขือเทศ ที่ให้ไลโคปีน, แครอท ที่ให้สารเบต้าแคโรธีน หรือ ผักโขม ที่ให้กรดอัลฟ่าไลโปอิค ซึ่งจะกล่าวในตอนต่อไป) นี่คือปัจจัยภายในที่เกิด จากกระบวนการทั่วๆไปของร่างกายท่านเอง นอกจากนี้ หากท่านเป็นบุคคลที่ทำงานในบรรยากาศที่มีความเครียดสูง ร่างกายของท่านก็จะสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมา มากกว่าปรกติเช่นกัน ดังนั้น ขอให้ท่านจำไว้ว่า อนุมูลอิสระ ที่เกิดจากปัจจัยภายในนั้น เกิดขึ้นตลอดเวลา และ ท่านหลีกเลี่ยงได้ยากมาก

ปัจจัยภายนอกหมายความว่าอย่างไร
ปัจจัยภายนอกที่จะกล่าวถึง ก็คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากแสง UV ควันจากไอเสียรถยนต์ มลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรม ไอเสียจากรถยนต์ และ ที่สำคัญที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
ณ.ปัจจุบัน นั่นก็คือ จากอาหาร

คิดว่าอนุมูลอิสระที่เป็นปัจจัยภายนอกนั้น โดยส่วนใหญ่ทุกๆท่านจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่อยากจะกล่าวถึง และ เน้นหนักก็คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากอาหารที่เราทานเข้าไป อาจจะงงว่าทำไมอาหารที่ เราทานเพื่อประทังชีวิตนั้น จึงเป็นแหล่งของอนุมูลอิสระ

อยากจะให้ท่านทั้งหลาย ลองสังเกตุอาหารรอบๆโต๊ะตัวเองให้ละเอียดสักครั้ง ดังนี้
  1. เวลาทานอาหาร ท่านทานอาหารที่ไหน ที่บ้านหรือที่ร้านอาหาร หากเป็นที่บ้าน น่าเชื่อเหลือเกิน ว่าท่านจะปรุงอาหารได้อย่างสะอาดและถูกหลักอนามัย แต่ ท่านเคยรู้หรือไม่ว่า พืชผักที่ท่านทาน อยู่นั้นและเชื่อว่าเป็นแหล่งของเกลือแร่ วิตมินอย่างดีนั้น จริงๆแล้ว ท่านอาจจะไม่ทราบว่า เป็นแหล่งเก็บสะสม สารพิษอย่างดีด้วยเช่นกัน หากเป็นพืชผักชนิดทานใบ ท่านจะได้ยาฆ่าแมลงแน่ๆ ท่าน อาจจะบอกว่า ท่านล้างสะอาดดีแล้ว งั้นผมจะถามท่านกลับว่า ทราบได้อย่างไรว่าสะอาดดีแล้ว สารเคมีที่แฝงมากับผักและผลไม้นั้น ท่านไม่มีทางมองเห็นนอกจะต้องนำไปผ่านกรรมวิธีทางเคมี หรือการส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ หากท่านบอกว่าท่านซื้อพืชผักจากร้านขายผักปลอดสารพิษ ท่านทราบหรือไม่ว่าผักปลอดสารพิษนั้น เค้าปลูกกันอย่างไร จริงๆแล้วผักปลอดสารพิษ โดย ส่วนใหญ่แล้ว ก็ใช่ยาฆ่าแมลงอยู่นั่นเอง แต่การใช้ยาฆ่าแมลงของผักปลอดสารพิษนั้น จะใช้ในปริมาณ ที่ถูกจำกัด และ ใช้ก่อนที่จะเก็บผลผลิตเป็นเวลานานพอสมควร โดยเชื่อว่า เมื่อทิ้งไว้นานพอสมควรแล้ว สารเคมีเหล่านั้นจะสลายไปใน อากาศ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า เมื่อใช้สารเคมีบ่อยเข้าๆ สารเคมีเหล่านั้นก็จะสะสมในดิน จนทำให้ดินที่ใช้ปลูกพืชผักเหล่านั้น อุดมไปด้วยสารเคมีแล้วทีนี้ เวลาปลูกผักในดินเหล่านั้น พืชผักก็จะได้ รับสารเคมีที่อยู่ในดินต่อไป ส่วนถ้าเป็นพืชทานหัว เช่น แครอท, หัวใช้เท้า, มัน, มันเทศ ท่านจะได้รับยาฆ่าหญ้าแน่ๆ เพราะ การปลูกพืชเหล่า นี้เกษตรกรต้องใช้ยาฆ่าหญ้าเป็นจำนวนมากเพื่อควบคุมปริมาณของวัชพืช ไม่ให้มาทำลายผลผลิตเหล่านั้น
  2. นอกจากนี้ สำหรับท่านที่ชอบทานอาหารนอกบ้านและชอบทานอาหารพวกปิ้งย่าง ขอให้ท่านพึงระลึกเสมอว่า ท่านมีโอกาศป่วยเป็นมะเร็งสูงกว่าบุคคลทั่วไปอย่างน้อย 20 เท่า เพราะปรกติแล้วอาหารปิ้งย่างเหล่านั้น ก็ทำให้ท่านเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าปรกติอยู่แล้ว แต่หากปัจจุบัน อาหารปิ้งย่างหลายๆอย่างจะถูกหมักด้วยผงชูรส ซึ่งผงชูรสนั้น เมื่อได้รับความร้อนโดยตรงจากการปิ้ง หรือ ย่างจะทำให้ผงชูรสนั้นเปลี่ยนเป็นสารเคมีที่ส่งเสริมให้เกิดการเป็นมะเร็งได้ง่ายขึ้นอีก 20 เท่า
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับเรื่องของอนุมูลอิสระ จริงๆแล้ว ปัจจัยภายนอกที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระนั้นยังมีอีกหลายชนิด นอกจากอาหารที่กล่าวถึง ได้แก่อนุมูลอิสระจากแสง UV,
อนุมูลอิสระจากควันไอเสียรถยนต์, อนุมูลอิสระจากควันบุหรี่, อนุมูลอิสระจากมลพิษในอากาศที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งผมจะนำเสนอในบทต่อไป

อย่างไรก็ตาม ผมก็อยากให้ทุกๆท่านพึงระลึกไว้เสมอว่า เราต้องดูแลสุขภาพของเราให้ดีนะครับ จำไว้ว่า "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐนะครับ"

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

G3 คืออะไร? และ มีประโยชน์อย่างไรกับสุขภาพ?


Gâc (แก็ก) คือ เครื่องดื่มเสริมในรูปของ "นาโน" ตามธรรมชาติ ซึ่งให้การดูดซึมที่เพิ่มขึ้นกว่าผลิตภัณฑ์ที่คล้ายๆกันในตลาด ผลแก็ก ถูกนำมาใช้ในการบำรุงรักษาสุขภาพมา ตั้งแต่สมัยโบราน ซึ่งช่วยฟื้นฟูร่างกายในระดับเซลล์, ป้องกันการทำลาย DNA จากอนุมูลอิสระ ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่าง กาย ในอดีตมันถูกใช้สำหรับส่งเสริมการเจริญเติบโตของเด็ก รักษาโรคตาบอดกลางคืน และทาแผลที่ติดเชื้อและไหม้ เพื่อกระตุ้นให้แผลหายเร็ว และ เป็นปรกติเร็วขึ้น

Gâc (แก็ก) มีปริมาณของเบต้าแคโรทีน มากกว่าแครอท 10 เท่า มีไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศ 70 เท่า มีกรดไขมันสูงที่สุดในหมู่ผลไม้ซึ่งกรดไขมันช่วยให้แคโรทีนอยด์ถูก ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้สูงขึ้น นอกจากนี้เครื่องดื่ม G3 ยังประกอบด้วยสุดยอดผลไม้สกัดอีก 3 ชนิดคือ
  1. ผลซีลี่ คิงออฟไวตามิน ซี มี มากกว่าส้ม 60 เท่า พบในแถบภูเขาสูงตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
    • ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง
    • เสริมสร้างพลังงานและความสดชื่น
    • ส่งเสริมสุขภาพผิว
    • ส่งเสริมสุขภาพของหลอดเลือด
    • ชลอการเสื่อมของเซลล์
    • และมีวิตามิน และ สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆที่มีประสิทธิภาพ สูง
  2. สับปะรดไซบีเรี่ยน มีประวัติการนำมาใช้เพื่อการดูแลร่างกายมานานนับพันปี และ มีบันทึกกล่าวถึงในตำรับสมุนไพรของจีน บันทึกในอดีตกล่าวว่า มีประโยชน์ช่วยเสริมสร้างพลังงาน, ภูมิคุ้มกัน, เสริมสร้างการทำงานของตับ, สำหรับโรคผิวหนังบางชนิด
    • เสริมสร้างพลังงาน
    • เสริมสร้างการรักษาแผล
    • ปกป้องผิวจากการทำลายของแสงยูวี
    • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
    • ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
    • ดูแลเรื่องความดันโลหิต
    • เสริมสร้างสุขภาพของการย่อยอาหาร
    • เสริมสร้างสุขภาพของหลอดเลือด
    • เสริมสร้างสุขภาพของต่อมลูกหมาก
  3. ไชนีส ไลเซียม Lycium barbarum L. หรือรู้จักในนาม wolfberry หรือ the herb of longivety มีประวัติการใช้ที่ยาวนาน และเชื่อว่าเป็นผลไม้ที่ช่วยให้อายุยืนและสุขภาพดี มีบันทึกกล่าวไว้ว่า chinese lycium fruit ช่วยเสริมสร้างการมองเห็น, ป้องกันการปวดหัวเนื่องจากปัญหาที่มาจากตับและไต ประกอบด้วยซีแซนทีนมากกว่า 40 เท่าของข้าวโพดเหลือง ซึ่งเป็นแคโรทีนอยด์ประสิทธิภาพสูง สำคัญต่อสุขภาพดวงตา
    • ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง
    • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
    • เสริมสร้างพลังงาน
    • เสริมสร้างสุขภาพของดวงตา
    • เสริมสร้างสุขภาพของตับ,ปอด
    • บรรเทาอาการปวดศีรษะ
    • เสริมสร้างสุขภาพผิว
    • กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
    • มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด
  4. ผลไม้อื่นๆ นอกจากนี้ยังมีสารสกัดจากผลไม้อื่นๆอีก ได้แก่แอปเปิ้ล ลูกแพร องุ่น และ อะเซลาล่า เชอร์รี่
จะเห็นได้ว่าผลไม้ที่นำมาผสมเป็นเครื่องดื่ม G3 นั้น เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์สูง ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ G3 แตกต่างจากเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพต่างๆที่มีอยู่ในท้องตลาด

ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  1. รวมผลไม้สมุนไพรจีนหายาก 4 ชนิดที่ให้สารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้นกว่าผลไม้ทั่วไป 10 - 70 เท่า
  2. ให้สารอาหารมากกว่า 170 ชนิด ที่มีประโยชน์กับร่างกาย
  3. เป็นเจ้าแรก เจ้าเดียว และ เป็นสูตรที่จดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว
  4. นาโนธรรมชาติ Lipocarotene ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร 40%
  5. ดูดซึมเร็ซ เพิ่มระดับสารต้านอนุมูลอิสระได้อย่างรวดเร็ว และ มากกว่าน้ำมังคุด และ ลูกยอเกือบ 4 เท่า
  6. ปลอดภัยสูง เพราะมีการนำมาใช้นานกว่าพันปี มีบันทึกในตำรายาจีนโบราณ
  7. การศึกษาวิจัยกว่า 303 ฉบับ ขณะที่ผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้อื่นมีแค่ 100 กว่าฉบับ
  8. น้ำผลไม้ธรรมชาติ 100% ไม่เจือจาง ปราศจากสารเคมีแต่งกลิ่นและสี
ประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของผลไม้ทั้ง 4 ชนิด)
  1. ช่วยดูแลสุขภาพดวงตา มีผลดีต่อภาวะต้อกระจก, ต้อหิน, ดาแห้ง และ การมองเห็น
  2. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  3. ต้านการเสื่อมของเซลล์ ชะลอความเสื่อมชราของเซลล์ในร่างกาย โดยต่อต้านอนุมูลอิสระ และ กระตุ้นการสร้างเอนไซด์ต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ เช่น ซูเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเตส (SOD) คาตาเลส (CAT) และ กลูต้าไธโอน เพอร์ออกซิเตส (GPX)
  4. สุขภาพของกล้ามเนื้อ ปกป้องข้อ และเสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ
  5. ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และ หลอดเลือด ช่วยรักษาความดันโลหิตให้คงที่ และ ลดไขมันร้าย (LDL) รักษาระดับไขมันดี (HDL)
  6. ส่งเสริมสุขภาพของผิวหนัง โดยเฉพาะการปกป้องผิวด้วยการดูดซับรังสีจากแสงแดด
  7. ลดความเสี่ยงของการเกิดเซลล์มะเร็ง อันเนื่องมาจากการทำลายของอนุมูลอิสระ
  8. ช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เสริมสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย และลดความเครียด
  9. บรรเทาอาการปวดศีรษะ โดยเฉพาะโรคไมเกรน
  10. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
  11. เสริมสุขภาพของระบบประสาทและสมอง ป้องกันภาวะความจำเสื่อม และ ภาวะสมองขาดเลือด
  12. มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และ ต้านการอักเสบของเนื้อเยื่อ
  13. ส่งเสริมสมรรถภาพทางเพศ และ ต่อมลูกหมาก
  14. ช่วยเสริมสร้างกระบวนการสมานของบาดแผล
  15. ส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และ บำรุงตับ
  16. ส่งเสริมระบบขับถ่ายให้ทำงานดีขึ้น


สารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidant คืออะไร?

สารต้านอนุมูลอิสระ จำเป็นต่อร่างกายอย่างไร
"อาหาร" จัดได้ว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญโดยมีบทบาทในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งผลการศึกษาจากงานวิจัยทางคลินิก และระบาดวิทยา (เป็นงานวิจัยที่เก็บข้อมูล จากคนจำนวนมาก เพื่อหาความสัมพันธ์ ของปัจจัยที่มีผลต่อกัน เช่น ปัจจัยเรื่องอาหารกับการเกิดโรคเบาหวาน เป็นต้น) ได้ยืนยันว่า การบริโภค ผัก ผลไม้ ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีและพืชสมุนไพรต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญ ของสารต้านอนุมูลอิสระ นั้นช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง ที่กล่าวถึงข้างต้นได้

สารต้านอนุมูลอิสระคืออะไร
ในทางเคมีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือ สารประกอบที่สามารถป้องกัน หรือชะลอการเกิดกระบวนการออกซิเดชั่น กระบวนการออกซิเดชั่น มีได้หลายรูปแบบ เช่น กระบวนการออกซิเดชั่น ที่ทำให้เหล็กกลายเป็นสนิม ทำให้แอปเปิ้ลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หรือทำให้น้ำมันพืชเหม็นหืน หรือกระบวนการออกซิเดชั่น ที่เกิดในร่างกาย เช่น การย่อยสลายโปรตีน และไขมันจากอาหารที่กินเข้าไป มลพิษทางอากาศ การหายใจ ควันบุหรี่ รังสียูวี ล้วนทำให้เกิด อนุมูลอิสระขึ้นในร่างกายของเรา ซึ่งสร้างความเสียหาย ต่อร่างกายได้ ในความเป็นจริง ไม่มีสารประกอบ สารใดสารหนึ่ง สามารถป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นได้ทั้งหมด แต่ละกลไกอาจต้องใช้สารต้านอนุมูลอิสระที่แตกต่างกัน ในการหยุดกระบวนการออกซิเดชั่น ในอีกทางหนึ่ง กระบวนการออกซิเดชั่น เป็นกระบวนการที่สำคัญต่อร่างกาย เช่น เราใช้ออกซิเจน จากอากาศที่หายใจเข้าไปไปเผาผลาญอาหาร ที่ร่างกายได้รับ ให้เป็นพลังงาน สำหรับการทำงานของเซลล์ต่างๆ แต่ก็ทำให้เกิดอนุมูลอิสระเป็นผลพลอยได้ อนุมูลอิสระต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะทำปฏิกิริยากับโมเลกุลที่สำคัญในร่างกาย เช่น ไขมัน โปรตีน ดีเอ็นเอ ทำให้เกิดความเสียหายต่อโมเลกุลดังกล่าว ตัวอย่างเช่น เมื่ออนุมูลอิสระทำปฏิกิริยากับแอลดีแอล (LDL : low-density lipoprotein) ซึ่งเป็นโคเลสเตอรอลตัวเลว ทำให้เกิดออกซิไดซ์แอลดีแอล (oxidized LDL) ซึ่งมีหลักฐานยืนยันว่า ออกซิไดซ์แอลดีแอล เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด และเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหัวใจ

อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย เนื่องจากมีมูลเหตุจากออกซิเจน จึงมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า reactive oxygen species (ROS) อนุมูลอิสระที่สำคัญ ได้แก่
  1. ซูเปอร์ออกไซด์ แอนไอออน (superoxide anion) O2-l
  2. ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (hydrogen peroxide); H2O2
  3. ไฮดรอกซิลแรดดิเคิล (hydroxyl radical); lOH
บทบาทของสารต้านอนุมูลอิสระ
ทำไม การที่สารต้านอนุมูลอิสระ สามารถป้องกันหรือกำจัดอนุมูลอิสระได้จึงมีความสำคัญ มีงานวิจัยมากมายบ่งชี้ว่า สารต้านอนุมูลอิสระ สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหลายโรค โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง ที่สัมพันธ์กับอาหาร เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคสมอง (เช่น อัลไซเมอร์) เป็นต้น รวมทั้งช่วยชะลอ กระบวนการบางขั้นตอนที่ทำให้เกิดความแก่ โดยปกติร่างกายสามารถกำจัดอนุมูลอิสระ ก่อนที่มันจะทำอันตราย แต่ถ้ามีการสร้างอนุมูลอิสระเร็ว หรือมากเกินกว่าร่างกายจะกำจัดทัน อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อเซลล์ และเนื้อเยื่อได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สารต้านอนุมูลอิสระลดความเสียหาย ที่เกิดจากอนุมูลอิสระได้ ๒ ทาง คือ
  1. ลดการสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย
  2. ลดอันตรายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
แม้ว่าสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่สามารถแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว แต่สามารถชะลอให้ความเสียหาย เกิดช้าลงได้ โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง ซึ่งเป็นผลลัพธ์สะสม ที่เกิดจากเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกายถูกทำอันตราย และเสียหายเป็นปีๆ (โดยมากเป็นเวลาหลายสิบปี) เห็นได้จาก การรวบรวมความชุกของโรคว่าโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นมากในผู้ใหญ่วัยกลางคน หรือผู้สูงอายุ ดังนั้นบุคคลทุกเพศทุกวัย จึงควรได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ ให้พอเพียงต่อความต้องการในแต่ละวัน เพื่อให้เกิดความสมดุลในร่างกาย ระหว่างสารต้านอนุมูลอิสระ และอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น

สารต้านอนุมูลอิสระได้แก่อะไรบ้างและมีในอาหารประเภทใด
สารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารแอนติออกซิแดนซ์ (antioxidants) ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม บีตาแคโรทีน วิตามินเอ พฤกษาเคมีต่างๆ (phytochemicals) เช่น สารประกอบฟีโนลิก (polyphenol) จากชาและสมุนไพรบางชนิด ไอโซฟลาโวน (isoflavones) จากถั่วเหลือง เป็นต้น เพื่อให้ร่างกาย ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระพอเพียงกับความต้องการ เราควรกินผักผลไม้สีเข้ม เป็นประจำโดยล้างให้สะอาดทุกครั้ง นอกจากจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังจะได้รับใยอาหารด้วย ร่างกายของเราจำเป็นต้องได้รับใยอาหารเช่นกัน เนื่องจากใยอาหาร ช่วยในการขับถ่าย ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ ช่วยป้องกัน อาการท้องผูก ช่วยนำโคเลสเตอรอลออกจากร่างกาย เร่งการนำสารพิษ ที่อาจทำให้เป็นมะเร็งบางชนิด ออกจากร่างกายเร็วขึ้น สุดท้ายผู้เขียนขอแนะนำข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยดังนี้

ข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย
  1. กินผัก ผลไม้ ถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง เช่น (เต้าหู้หลอด เต้าหู้แผ่น) และธัญพืชเป็นประจำ
  2. ลดการกินไขมัน อย่าให้เกิน ร้อยละ ๓๐ ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน ลดไขมันจากสัตว์ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มีกรดไขมันกลุ่มทรานส์แฟตตีแอซิด (trans fatty acid) เช่น มาร์การีน เนยขาว โดนัต มันฝรั่งทอด เลือกใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fatty acid) สูง เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา น้ำมันมะกอก
  3. กินอาหารให้หลากหลาย กินปลา ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้ ลดปริมาณเนื้อแดงที่บริโภคลง
  4. ลดอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง ไม่ควรกินเกินวันละ ๓๐๐ มิลลิกรัม
  5. เพิ่มการกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าว ธัญพืช มันฝรั่ง
  6. ลดอาหารเค็ม ดื่มน้ำสะอาดวันละ ๑-๒ ลิตร
  7. ดื่มนมพร่องไขมัน
  8. รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
  9. ไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง
  10. งดสูบบุหรี่และลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สุรา เบียร์ ไวน์
อย่าลืม ออกกำลังกายทุกวันโดยไม่หักโหม

และ จำไว้เสมอว่า
สุขภาพดีคือการที่ร่างกายสามารถทำงานตามฟังก์ชั่นปรกติ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา : นิตยสาร หมอชาวบ้าน


วิตามิน (Vitamin) คืออะไร?

หลายๆคนคงเคยสงสัยว่า ในอาหารหลัก 5 หมู่ของมนุษย์เรานั้น ทำไมถึงมีการพูดถึง วิตามิน (Vitamin) กันบ่อยมาก และ ในปัจจุบัน ก็มีผลิตภัฑ์ประเภทเสริมอาหารเกิดขึ้นเยอะมาก ที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเน้นทางด้าน Vitamin เป็นหลัก

ดังนั้น เพื่อคลายความสงสัย วันนี้ผมจะขอมาสรุปให้อ่านกันคร่าวๆนะครับ ว่า วิตามิน (Vitamin) นั้น คืออะไร และ มีความสำคัญต่อร่างกายเราอย่างไรบ้าง
  • วิตามิน (Vitamins) คือ สารอินทรีย์ (Organic) ที่ไม่จัดอยู่ในพวกกรดอะมิโน กรดไขมัน และน้ำตาล เป็นสารที่สิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณไม่มาก แต่ร่างกายไม่สามารถขาดได้ เนื่องจาก วิตามินเป็นสารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง วิตามินจะถูกร่างกายของสิ่งมีชีวิตนำไปใช้ในการเจริญเติบโต ใช้ในการสืบพันธุ์ ทำให้การทำงานต่างๆของร่างกายมีความสมบูรณ์พร้อม ช่วยให้มีสุขภาพดี ถ้าร่างกายขาดวิตามิน ย่อมส่งผลกระทบ และอาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น จนบางครั้งอาจจะถึงชีวิตได้ หากขาดเป็นระยะเวลานาน ในขณะเดียวกันการได้รับวิตามินปริมากเกินไป ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็สามารถทำให้เกิดผลเสียแก่ร่างกายได้เช่นกัน

  • วิตามินแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆได้ดังต่อไปนี้
    1. วิตามินที่ละลายในน้ำ เช่น วิตามิน B1 หรือ Thiamine, วิตามิน B2 หรือ Riboflavin, วิตามิน B3 หรือ Niacin, วิตามิน B5 หรือ Pantothenic Acid, วิตามิน B6 หรือ Pyridoxine, วิตามิน B7 หรือ Biotin, วิตามิน B9 หรือ Folic Acid,วิตามิน B12 หรือ Cyanocobalamin, วิตามิน C หรือ Ascorbic Acid จากคุณสมบัติในการละลายในน้ำได้ของวิตามินในกลุ่มที่ ทำให้ร่างกายสูญเสียวิตามินกลุ่มนี้ไปทางเหงือและปัสสาวะ
    2. วิตามินที่ละลายในไขมัน คือ วิตามิน A หรือ Retinal, วิตามิน D หรือ Ergocalciferol และ Cholecalciferol, วิตามิน E หรือ Tocopherol และ Tocotrienol, และวิตามิน K หรือ Naphthoquinone จากคุณสมบัติในการละลายในไขมันนี้เอง วิตามินในกลุ่มนี้ถ้าได้ในปริมาณมาก และเป็นเวลานานจะสะสมในร่างกายได้ และร่างกายสามารถขับออกได้ช้า วิตามินจึงมีอันตรายถ้าใช้ไม่เหมาะสม
หวังว่าข้อมูลดังกล่าวนี้คงจะช่วยให้ผู้ที่สงสัย ได้คลายความสงสัยลงไปในระดับหนึ่งนะครับ

และ จำไว้เสมอว่า
สุขภาพดีคือการที่ร่างกายสามารถทำงานตามฟังก์ชั่นปรกติ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


.

.