หากอยากทราบว่า Visceral fat คืออะไร ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่า Fat กันก่อน จริงๆ คำว่า Fat นี้ แปลว่า ไขมัน ไม่ใช่อ้วนอย่างที่หลายๆคนเข้าใจกัน ทั้งนี้ Fat หรือ ไขมัน จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
ไขมัน มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติทั่วๆไป และมีมากในอาหารประเภทมันสัตว์ และ มันพืช
หลังจากทำความเข้าใจกับไขมัน หรือ Fat แล้ว ทีนี้เรามารู้จักกับ Fat อีกตัวหนึ่งนั่นคือ Visceral fat ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ที่เราจะพูดถึงกันในบทความนี้ จริงๆแล้ว การที่คนเราอ้วนนั้น เกิดจากมีไขมันไปสะสมตามกล้ามเนื้อ และ ที่อวัยวะภายใน แต่ในกรณีนี้ เราจะมาพูดถึงการสะสมไขมันหน้าท้องกัน
ไขมันหน้าท้องนั้นมีอยู่ 2 ประเภท ที่เราจำเป็นต้องรู้จักคือ
สำหรับการสะสมไขมันในช่องท้องนี้ เกิดได้หลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักๆมาจากเหตุ 2 ประการคือ
ซึ่งการลดไขมันในช่องท้องนี้ ไม่สามารถลดได้อย่างง่ายดาย ไม่เหมือนไขมันหน้าท้อง เพราะการออกกำลังกาย ไม่สามารถช่วยลดไขมันนี้ได้มากนัก การลดไขมันชนิดนี้ สามารถทำได้โดยการเพิ่มระดับการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้สูงขึ้น ซึ่งการที่จะเพิ่มระดับการเผาผลาญพลังงานให้สูงขึ้น ก็หนีไม่พ้นการเพิ่มกล้ามเนื้อ และ การเพิ่มกล้ามเนื้อ ก็สามารถทำได้โดยการ ทานอาหารที่ให้โปรตีนสูง + ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และ มากพอ รวมทั้งต้องงดอาหาร ประเภทแป้ง และ น้ำตาลด้วย ดังนั้นถ้าจะสรุปเป็นภาษาชาวบ้านคือ ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์+ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การลดไขมันหน้าท้อง ทั้งไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) และ ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ต้องใช้ความตั้งใจจริง และ ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า กว่าที่เราจะสะสมไขมันได้ขนาดนี้ เราต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ และ เมื่อ ต้องการขจัดมันออกไป ย่อมต้องใช้เวลามากพอสมควรเช่นกัน ไม่ใช่ว่าสะสมมา 5 - 10 ปี แล้วจะให้เอามันออกไปหมดภายในระยะเวลา 5 - 10 สัปดาห์ มันย่อมเป็นไปไม่ได้ ที่สำคัญการที่จะลดไขมันชนิดนี้ ผู้ที่จะทำการลด จะต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทานอาหาร และ พฤติกรรม การดำเนินชีวิตด้วย แต่หากคุณไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย การที่จะลด มันก็ไม่สามารถเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
ดังนั้นเมื่อเข้าใจความจริงนี้ เราก็จะให้เวลาในการจัดการที่สมเหตุสมผล และ ไม่ใจร้อนต้องการผลลัพธ์เร็ว ๆ และ จะไม่ทำให้เราถอดใจไปก่อนจะสัมฤทธิ์ผลตามที่เราต้องการ
สำคัญที่สุดเราต้องตั้งเป้าหมายด้วยว่า เราต้องลดลดลงเท่าไหร่ ภายในระยะเวลาเท่าใด ซึ่งการตั้งเป้าหมาย จะช่วยให้เรามีความตั้งใจมากขึ้น
- ไขมันชนิดอิ่มตัว (Saturated Fats)
- ไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fats)
ไขมัน มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติทั่วๆไป และมีมากในอาหารประเภทมันสัตว์ และ มันพืช
หลังจากทำความเข้าใจกับไขมัน หรือ Fat แล้ว ทีนี้เรามารู้จักกับ Fat อีกตัวหนึ่งนั่นคือ Visceral fat ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ที่เราจะพูดถึงกันในบทความนี้ จริงๆแล้ว การที่คนเราอ้วนนั้น เกิดจากมีไขมันไปสะสมตามกล้ามเนื้อ และ ที่อวัยวะภายใน แต่ในกรณีนี้ เราจะมาพูดถึงการสะสมไขมันหน้าท้องกัน
ไขมันหน้าท้องนั้นมีอยู่ 2 ประเภท ที่เราจำเป็นต้องรู้จักคือ
- ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ไขมันในส่วนนี้เป็นไขมันที่เรามองเห็นได้ เพราะมันจะสะสมอยู่ที่หน้าท้อง ทำให้ท้องเรานูนออกมา ซึ่งไขมันชนิดนี้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากนัก
- ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ไขมันชนิดนี้เป็นไขมันที่ไม่ทำให้พุงเรายื่นออกมา แต่มันจะอยู่ระหว่างกล้ามเนื้อท้อง กับ อวัยวะภายในของเรา และหากมีมากเกินไป มันก็จะไปสะสมอยู่ที่อวัยวะภายในของเราด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ความน่ากลัว ของไขมันในช่องท้องนี้ มันสามารถทำให้ อวัยวะภายในต่างๆของเรา เกิดการอักเสบในระดับเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุของ โรคเรื้อรังร้ายแรงต่างๆ ได้อย่างมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดในสมองตีบ เส้นเลือดในสมองแตก คลอเรสเตอรอลสูง
สำหรับการสะสมไขมันในช่องท้องนี้ เกิดได้หลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักๆมาจากเหตุ 2 ประการคือ
- มีความเครียดสูง
- ชอบทานอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลเป็นประจำ
ซึ่งการลดไขมันในช่องท้องนี้ ไม่สามารถลดได้อย่างง่ายดาย ไม่เหมือนไขมันหน้าท้อง เพราะการออกกำลังกาย ไม่สามารถช่วยลดไขมันนี้ได้มากนัก การลดไขมันชนิดนี้ สามารถทำได้โดยการเพิ่มระดับการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้สูงขึ้น ซึ่งการที่จะเพิ่มระดับการเผาผลาญพลังงานให้สูงขึ้น ก็หนีไม่พ้นการเพิ่มกล้ามเนื้อ และ การเพิ่มกล้ามเนื้อ ก็สามารถทำได้โดยการ ทานอาหารที่ให้โปรตีนสูง + ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และ มากพอ รวมทั้งต้องงดอาหาร ประเภทแป้ง และ น้ำตาลด้วย ดังนั้นถ้าจะสรุปเป็นภาษาชาวบ้านคือ ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์+ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การลดไขมันหน้าท้อง ทั้งไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) และ ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ต้องใช้ความตั้งใจจริง และ ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า กว่าที่เราจะสะสมไขมันได้ขนาดนี้ เราต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ และ เมื่อ ต้องการขจัดมันออกไป ย่อมต้องใช้เวลามากพอสมควรเช่นกัน ไม่ใช่ว่าสะสมมา 5 - 10 ปี แล้วจะให้เอามันออกไปหมดภายในระยะเวลา 5 - 10 สัปดาห์ มันย่อมเป็นไปไม่ได้ ที่สำคัญการที่จะลดไขมันชนิดนี้ ผู้ที่จะทำการลด จะต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทานอาหาร และ พฤติกรรม การดำเนินชีวิตด้วย แต่หากคุณไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย การที่จะลด มันก็ไม่สามารถเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
ดังนั้นเมื่อเข้าใจความจริงนี้ เราก็จะให้เวลาในการจัดการที่สมเหตุสมผล และ ไม่ใจร้อนต้องการผลลัพธ์เร็ว ๆ และ จะไม่ทำให้เราถอดใจไปก่อนจะสัมฤทธิ์ผลตามที่เราต้องการ
สำคัญที่สุดเราต้องตั้งเป้าหมายด้วยว่า เราต้องลดลดลงเท่าไหร่ ภายในระยะเวลาเท่าใด ซึ่งการตั้งเป้าหมาย จะช่วยให้เรามีความตั้งใจมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น