เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Vitamin แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Vitamin แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โคลีน (Choline) คืออะไร?

โคลีน (Choline) เป็นสารอาหารสำคัญตัวหนึ่ง ที่จัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบี พบได้ในอาหาร โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปของ ฟอสฟา-ติดิลโคลีน (phosphatidylcholine) หรือโคลีนอิสระ (free choline) หากโคลีน รวมตัวกับไขมันที่เรียกว่าฟอสโฟลิปิด (phospholipid) จะได้เป็นฟอสฟาติดิลโคลีน (PC) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่พบมากที่สุดในเลซิทิน (Lecithin) ดังนั้นโคลีนจึงมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเลซิทิน

โคลีนมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร
โคลีนมีความจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายหลายอย่างคือ
  1. เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มสมอง กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท รวมทั้งไลโปโปรตีน (Lipoprotein)
  2. เป็นสารตั้งต้นในการสร้างอะเซททิลโคลีน(Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ใช้ในการส่งกระแสประสาท (Cholinergic neurotransmission) ของสมอง
  3. เป็นสารที่ให้กลุ่มเมทิล แก่สารอื่น (methyl donor)
โคลีนพบได้ในอาหารประเภทใด
อาหารที่มีโคลีนมาก พบได้ทั้งผลิตภัณฑ์ จากพืชและสัตว์ ได้แก่ ไข่แดง เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ สมอง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง จมูกข้าว ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เนื้อสัตว์ ปลา ฯลฯ ถั่วเหลืองเป็นแหล่งของโคลีนที่ปราศจากโคเลสเตอรอลและมีไขมันต่ำ

โคลีนมีบทบาทต่อสุขภาพอย่างไร
  1. ความจำและการเรียนรู้ของสมอง
    โคลีนเป็นสารที่ใช้ในการสร้างอะเซททิลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญของระบบประสาท เชื่อว่า การมีอะเซททิลโคลีนที่เพียงพอในสมอง จะช่วยป้องกันภาวะความจำเสื่อมได้
    การศึกษาในผู้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม (อัลไซเมอร์) ระยะเริ่มแรก พบว่าการให้โคลีนเป็นระยะเวลา 6 เดือนจะช่วยให้ความจำดีขึ้นได้ หรือการให้โคลีน ร่วมกับยาที่ใช้รักษา (cholinesterase inhibitors) ก็ทำให้มีการพัฒนา ความสามารถที่ต้องใช้ความจำด้วย
  2. การทำงานของตับ
    ถ้าขาดโคลีน จะทำให้ตับไม่สามารถเคลื่อนย้ายไขมันออกได้ ผลคือเกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะเซลล์ตับเสื่อม ตับแข็ง และมะเร็งตับได้
  3. ลดโคเลสเตอรอล และป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
    โคลีนจะช่วยเพิ่มระดับของ HDL (ไขมันดี) และลดระดับของ LDL (ไขมันเลว) และโคเลสเตอรอลรวม จึงมีผลป้องกัน ภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือด และโรคหลอดเลือดหัวใจ (Atherosclerosis and Cardiovascular disease)
รับประทานโคลีนเท่าไรดี
ปริมาณโคลีนที่ควรได้รับประจำวัน (Dietary Reference Intake ; DRI) มีดังนี้
  • ชาย 550 มก. / วัน
  • หญิง 425 มก. / วัน
  • หญิงตั้งครรภ์ 450 มก. / วัน
  • หญิงให้นมบุตร 550 มก. / วัน
ปริมาณสูงสุดที่บริโภคได้คือไม่เกิน 3.5 กรัม / วัน

ปัจจุบันนมผงดัดแปลงสำหรับทารกก็ได้มีการเติมโคลีน เช่นเดียวกับสารอาหารชนิดอื่นคือ EPA, DHA และ เลซิทิน เป็นต้น เพื่อให้มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองของเด็ก

ผลข้างเคียงของโคลีนมีไหม
ในผู้ใหญ่ ไม่ควรรับประทานโคลีนเกินวันละ 3.5 กรัม ขนาดที่สูงกว่านี้อาจทำให้มีอาการข้างเคียง คือ เหงื่อออกมาก ซึมเศร้า ความดันโลหิตต่ำ มีกลิ่นตัวคล้ายกลิ่นคาวปลา

ที่มา : หมอมวลชน

วิตามิน K (Vitamin K) คืออะไร?

Vitamin K (วิตามินเค) เป็นวิตามินประเภทที่ละลายในน้ำมัน, ไขมัน นอกจากร่างกายจะได้รับจากอาหารที่รับประทานแล้ว ยังสามารถผลิตขึ้นเองได้ในลำไส้เล็ก เป็นวิตามินที่ ทนต่อความเป็นกรด แต่ไม่ทนกรดแก่ ด่าง ที่ผสมแอลกอฮอล์ แสงสว่างและ สารเติมออกซิเจน อาหารที่มีวิตามิน เค ได้แก่ ผักกระเฉด กะหล่ำปลี บร็อคโคลี่ มะเขือเทศ หน่อไม้ฝรั่ง สาหร่ายทะเล น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันตับปลา ตับหมู นมวัวเนยแข็ง โยเกิร์ต ไข่แดง น้ำเหลืองอ้อย (Molasse) น้ำมันดอกคำฝอย และพืชผักที่มีใบสีเขียวอื่นๆ และ ผลิตได้โดยแบคทีเรียในลำไส้ เช่นกัน ดังนั้น วิตามิน เค สามารถแบ่งได้ เป็นกลุ่มใหญ่ๆดังนี้
  1. วิตามินเค I (Vitamin K I) หรือ ฟิลโลควิโนน (phylloquinone) เป็นรูปแบบที่พบในพืชและสัตว์ และ
  2. วิตามินเค II (Vitamin K II) หรือ เมนาควิโนน (menaquinone) เป็นรูปแบบที่พบในเนื้อเยื่อตับ และยังสามารถสร้างได้โดยแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในร่างกาย สำหรับ วิตามินเค III (Vitamin K III) หรือ เมนาไดโอน (menadione) นั้น เป็นโมเลกุลที่สังเคราะห์ขึ้น ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็น เมนาควิโนน โดยตับ
หน้าที่ของ Vitamin K (วิตามินเค) จำเป็นสำหรับ การสร้าง โปรทรอมบิน(Prothrombin), เกี่ยวข้องกับ ขบวนการ ฟอสโฟริเลชั่น (Phosphorylation) ในร่างกาย, ช่วยในการทำงานของตับ ให้ทำงานที่อย่างมี ประสิทธิภาพ

ภาวะเมื่อขาดวิตามินเค จะทำให้ โลหิตไหลไม่หยุด หรือ หยุดยาก เวลามีบาดแผล เลือดแข็งตัวช้า หรือ เลือดกำเดาออก มีการตกเลือด หรือเลือดออกภายใน เช่น ในลำไส้เล็ก เลือดออกมากับปัสสาวะ เลือดออกที่ตา เลือดออกหลังผ่าตัด หรือคลอดก่อนกำหนด ปริมาณที่ร่างกายต้องการ คือ 100 ไมโครกรัมต่อวัน

ภาวะวิตามินเคเป็นพิษ (Hypervitaminosis K) คือ การได้รับวิตามินเคมากเกินไป สามารถทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก และภาวะบิลิรูบินในเลือดต่ำในทารกได้

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน E (Vitamin E) คืออะไร?

วิตามินอี (Vitamin E) เป็นวิตามินที่ช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายหลายระบบ และเป็นแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยให้เซลล์ต่างๆ รอดอันตรายจากท็อกซิน ช่วยชะลอความแก่ได้

ประโยชน์
  • เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญ โดยมีออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญ ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดี
  • เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด ลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ
  • บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมาก
  • ช่วยในระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ตามปกติ
  • ช่วยให้ผิวพรรณสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้นและไม่อ่อนเพลียง่าย
แหล่งวิตามินอี

วิตามินอีมีมากในน้ำมันจากธัญพืชและถั่วประเภทเปลือกแข็ง การเก็บรักษาให้วิตามินอีควรเก็บให้พ้นจากความร้อนแสงแดด รวมทั้งออกซิเจนในอากาศ การขัดสี การบด จะทำให้ญพืชสูญเสียวิตามินอีไปจำนวนมาก

ร่างกายคนเราต้องการวิตามินอีอยู่ที่วันละ 10-15 IU

แหล่งวิตามินในธรรมชาติจำนวนปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
น้ำมันเมล็ดฝ้ายน้ำหนัก 100 กรัม40 IU
น้ำมันดอกคำฝอยน้ำหนัก 100 กรัม31.5 IU
น้ำมันข้าวโพดน้ำหนัก 100 กรัม19 IU
น้ำมันถั่วเหลืองน้ำหนัก 100 กรัม14.4 IU
กะหล่ำปลีน้ำหนัก 100 กรัม6.4 IU
จมูกข้าวสาลี1 ช้อนโต๊ะ11-14 IU
เมล็ดทานตะวันน้ำหนัก 100 กรัม25 IU
ถั่วเปลือกแข็งประเภทอัลมอนด์น้ำหนัก 100 กรัม13.5 IU
มันเทศน้ำหนัก 100 กรัม6 IU
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์น้ำหนัก 100 กรัม4.6 IU
อะโวคาโด (เฉพาะเนื้อ)น้ำหนัก 100 กรัม4.5 IU
ปวยเล้งน้ำหนัก 100 กรัม3 IU

อันตรายจากการขาดวิตามินอี
  • โรคหัวใจกำเริบ วิตามินอีมีหน้าที่ในการจับสาร ที่เข้ามาทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขาดวิตามินอีทำให้สารเหล่านี้ เข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมันในเลือด ทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ก่อให้เกิดก้อนเลือด และที่สุดทำให้เกิดโรคหัวใจกำเริบได้
  • ระบบประสาทมีปัญหา ในกรณีของคนที่ร่างกายมีปัญหา ในการดูดซึมไขมัน และ ในเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด การได้รับวิตามินอีต่ำกว่าปริมาณที่กำหนด อาจทำให้เกิดความเสียหาย ต่อระบบประสาท และเป็นโรคโลหิตจางได้ เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดง ในร่างกายถูกทำลาย
อันตรายจากการได้รับวิตามินอีมากเกินไป หรือรับประทานเป็นประจำ

การได้รับวิตามินอีมากเกินไปจะทำให้รู้สึกปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนล้า ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย มีอาการอึดอัดในช่องท้อง ท้องร่วง หากร่างกายได้รับวิตามินอีสูงมากอาจขัดขวางการดูดซึมวิตามินเอซึ่งส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้า อย่างไรก็ตามผลการศึกษาระยะยาวในเพศชายวัยกลางคน กลับพบว่า การรับประทานวิตามิน อี (400 IU วันเว้นวัน) หรือวิตามิน ซี (500 mg ต่อวัน) ไม่ช่วยให้ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากหรือมะเร็งชนิดอื่นๆ ลดลงแต่อย่างใด Physicians’ Health Study II Randomized Controlled Trial มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงประสิทธิภาพของวิตามิน อี, ซี, และวิตามินรวม ในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคตา(ที่สัมพันธ์กับอายุ) รวมถึงผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น การศึกษานี้เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2541 และสิ้นสุดลงเมื่อสิงหาคม พ.ศ. 2551 (เฉพาะในส่วนของวิตามิน อี และ ซี) มีผู้เข้าร่วมในการศึกษาคือแพทย์ผู้ชาย ในประเทศสหรัฐอเมริกา อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 14,641 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่มที่ได้รับวิตามิน อี 400 IU วันเว้นวัน (n=3,659) กลุ่มที่ได้รับวิตามิน ซี 500 mg วันละครั้ง (n=3,673) กลุ่มที่ได้รับวิตามินเสริมทั้งสองชนิด (n=3,656) และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (n=3,653) จากการติดตามผลระยะยาวเป็นเวลา 8 ปี (117,711 person-years) ตรวจพบมะเร็งโดยรวมทุกชนิด 1,943 ราย แต่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก 1,008 ราย มีผู้เสียชีวิตระหว่างการศึกษา 1,661 ราย ในกลุ่มที่ได้รับวิตามิน อี และยาหลอก อัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก เท่ากับ 9.1 และ 9.5 [Hazard Ratio=0.97; 95%CI 0.85-1.09; P=.41] ส่วนอัตราการเกิดมะเร็งโดยรวมเท่ากับ 17.8 และ 17.3 ต่อ 1,000 person-years ตามลำดับ [Hazard Ratio=1.04; 95%CI 0.95-1.13; P=.41] ในกลุ่มที่ได้รับวิตามิน ซี เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก พบว่า อัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก เท่ากับ 9.4 และ 9.2 [Hazard Ratio=1.02; 95%CI 0.90-1.15; P=.80] ส่วนอัตราการเกิดมะเร็งโดยรวมเท่ากับ 17.6 และ 17.5 ต่อ 1,000 person-years ตามลำดับ [Hazard Ratio=1.01; 95%CI 0.92-1.10; P=.86] นอกจากนี้ ยังพบว่าการรับประทานวิตามิน อี หรือ ซี ไม่เกี่ยวข้องกันกับการเกิดมะเร็งเฉพาะที่ (site-specific cancers) เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และไม่มีผลต่ออาการข้างเคียงต่างๆ เช่น minor bleeding, GI symptoms, fatigue, drowsiness อย่างมีนัยสำคัญ

ที่มา : วิกิพีเดีย

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน D (Vitamin D) คืออะไร?

วิตามินดี (Vitamin D) (CALCIFEROL หรือ ERGOSTEROL) เป็นวิตามินที่ร่างกายต้องการ เพื่อการรักษาภาวะสมดุลของระดับแคลเซียม ในเลือดและในกระดูก เมื่อร่างกายได้รับแสงแดด ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้ เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด ในกรณีที่ไม่ถูกแดด จำเป็นจะต้องได้รับวิตามินดีจากอาหารให้มากขึ้น เมื่อได้รับแสงแดดพอ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมด้วยการรับประทานวิตามินดี ในรูปวิตามินรวม หรือรับประทานอาหารที่มีการเสริมด้วยวิตามินดี

วิตามินดี (Vitamin D) ที่เข้าร่างกาย จะถูกนำไปเก็บที่ตับเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้จะเก็บที่ผิวหนัง สมอง ตับอ่อน กระดูก และลำไส้ได้ วิตามินดีจะเสียง่ายเมื่อถูกออกซิเดชัน ละลายในตัวทำลายไขมัน และไม่ละลายน้ำ อาหารที่มีวิตามินดีพบได้ทั้งในพืชผัก ผลไม้ และในเนื้อเยื่อของสัตว์ แต่ดูเหมือนจะเป็นวิตามินชนิดเดียว ที่มีอยู่น้อยมากในพืชและผัก ที่พบมากได้แก่ น้ำมันตับปลา ไขมัน นม เนย ตับสัตว์ ตับปลาคอด (COD) ปลาทู ไข่แดง ปลาแซลมอน ปลาซาดีน ปลาแมคเคอร์เรก

วิตามินดี (Vitamin D) ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส มีความสำคัญในการสร้างกระดูก และฟันและการเจริญเติบโตตามปกติของเด็ก, วิตามินดีมีผลต่อการดูดซึมกลับของกรดอะมิโนที่ไต, ช่วยสังเคราะห์น้ำย่อยใน mucous membrane, ควบคุมปริมาณของแคลเซียม และฟอสฟอรัสในกระแสโลหิต ไม่ให้ต่ำลงจนถึงขีดอัตราย, เกี่ยวข้องกับการใช้ฟอสฟอรัสในร่างกาย, ช่วยสังเคราะห์ Mucopolysaccharide ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นในการสร้าง คอลลาเจน, เกี่ยวข้องกับการใช้ เกลือซิเตรทในร่างกาย อาจจำเป็นในการทำงานของระบบประสาท การเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือด

ถ้าขาดวิตามินดี (Vitamin D) ทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อนในเด็กเรียก Rickets และในผู้ใหญ่เรียกว่า Osteosarcoma มีปัญหาเกี่ยวกับการดูดซึมแคลเซียม เข้าร่างกาย รูปร่างจะไม่สมประกอบ น้ำหนักลด ฟันผุ เติบโตช้า กระดูกสันหลังโก่ง ข้อมือ เข่า และกระดูกข้อเท้าโต ความต้านทานต่อโรคต่าง ๆ ลดน้อยลง เช่นหวัด ปอดบวม วัณโรค กล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ขาดความคล่องแคล่ว ว่องไว ไม่กระฉับกระเฉง ไม่มีความกระปรี้กระเปร่า กล้ามเนื้อกระตุก ถ้าได้รับวิตามินดีมากเกินไป ทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เบื่ออาหาร ปัสสาวะมากผิดปกติและบ่อย กล้ามเนื้อไม่มีแรง รู้สึกเหนื่อยอ่อน มีหินปูนเกาะตามอวัยวะหรือเนื้อเยื่อของหัวใจ ผนังเส้นเลือดและปอด แต่อาการเหล่านี้นั้นจะหายภายใน 2 - 3 วันหลังจากหยุดวิตามิน

ข้อมูลทั่วไป

วิตามินดี (Vitamin D) จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินจำพวกละลายไขมัน ร่างกายได้รับวิตามินดีสองทางด้วยกันคือ รับประทานเข้าไป แล้วซึมในร่างกายทางลำไส้ และ โดยการที่ผิวหนังได้รับแสงแดด แล้วแสงอุลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ จะไปกระตุ้นคอเลสเตอรอลชนิดที่อยู่ในผิวหนัง ให้เปลี่ยนเป็นวิตามินดี โดยตับและไตจะเปลี่ยนให้เป็นวิตามินที่มีฤทธิ์ แล้วซึมเข้ากระแสโลหิตเลย ส่วนวิตามินดีที่ได้จากอาหาร จะซึมเข้าลำไส้ไปพร้อม ๆ กับอาหารพวกไขมันโดยการช่วยย่อยของน้ำดี วิตามินดี (Vitamin D) ที่เข้าร่างกายแล้วทั้งสองทาง จะถูกนำไปเก็บที่ตับเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้จะเก็บที่ผิวหนัง สมอง ตับอ่อน กระดูก และลำไส้ได้

วิตามินดี (Vitamin D) ที่บริสุทธิ์จะมีสีขาว เป็นผลึกที่ไม่มีกลิ่น ซึ่งสามารถละลายได้ในไขมัน และตัวทำละลายไขมันไม่ละลายในน้ำ จะคงทนต่อความร้อน (140 องศาเซลเซียส) คงทนต่อการออกซิเดชั่น กรดและด่างอ่อน แต่เสียง่ายเมื่อถูกอัลตราไวโอเลต ส่วนพวกสารแรกเริ่มของวิตามินดี จะเสียง่ายเมื่อถูกออกซิเดชั่น ละลายในตัวทำลายไขมัน และไม่ละลายน้ำเช่นเดียวกับวิตามินดี

ชนิดของวิตามินดี (Vitamin D)

วิตามินดีเป็นกรุ๊ปทางเคมี ของสารประกอบพวก สเทอรอล ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันโรคกระดูกอ่อน วิตามินดีจะถูกสร้างโดย ฉายแสงอัลตราไวโอเลต บนสารแรกเริ่ม รูปแบบของวิตามินดีมีประมาณ 10 หรือมากกว่า แต่มีเพียง 2 รูป ที่เกี่ยวข้องกับทางโภชนาการ
  • วิตามินดีสอง (ergocalciferol or calciferor or vitamin D2) สารแรกเริ่มคือ เออร์โกสเทอรอล (ergosterol) พบในยีสต์ เห็ด และพืช เมื่อได้รับแสงอัลตราไวโอเลต ในช่วงความถี่ 230 นาโนเมตร (nm) จะสามารถเปลี่ยนเป็นออร์โกแคลซิเฟอรอล หรือวิตามินดีสองได้
  • วิตามินดีสาม (cholecalciferol or activeted 7 dehydrocholesterol or vitamin D3) จะพบในเซลล์ของคนและสัตว์ โดยผิวหนังมีสาร 7-ดีไฮโดรคอเลสเทอรอล เมื่อถูกแสงอัลตราไวโอเลต จากแสงแดด หรือจากเครื่องมือ ในช่วงความถี่ 275-300 นาโนเมตร (nm) จะสามารถเปลี่ยนเป็นคอลีแคลซิเฟอรอล (cholecalciferol) หรือวิตามินดีสามได้ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นบนผิวหนังในชั้น กรานูโลซัม (granulosum) 7 - ดิไฮโดรคอลเลสเทอรอลสามารถสร้างขึ้นได้ จากคอเลสเทอรอลที่ผนังลำไส้เล็ก แล้วส่งผ่านไปยังผิวหนัง
จำนวนวิตามินดีที่เกิดขึ้นนี้ขึ้นกับสิ่งสำคัญ 2 อย่างคือ
  • จำนวนแสง U.V. จากแสงแดดตอนเช้า ฤดูหนาวอาจได้ไม่ถึง 1 ชม. ฤดูร้อนกลางวัน อาจได้แสงถึง 4 ชม. แสง U.V. นี้ไม่สามารถผ่านหมอกควัน ฝุ่นละออง กระจก หน้าต่าง ม่านกั้นประตูหน้าต่าง เสื้อผ้าและสีของผิวหนัง (melanin) จากการศึกษา ปริมาณของ วิตามินดีในเลือดที่ได้จากการสังเคราะห์ จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลในฤดูร้อนความเข้มข้น ของ วิตามินดีในเลือดจะสูงกว่าในฤดูหนาว
ประโยชน์ต่อร่างกาย
  1. วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส มีความสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน และการเจริญเติบโตตามปกติของเด็ก
  2. วิตามินดีมีผลต่อการดูดซึมกลับ ของกรดอะมิโนที่ไต ถ้าขาดวิตามินดี กรดอะมิโนในปัสสาวะจะเพิ่มขึ้น ถ้าวิตามินดีเพียงพออัตราการดูดซึม กลับกรดอะมิโนจะปกติ และในปัสสาวะจะลดปริมาณลง
  3. ช่วยสังเคราะห์น้ำย่อยใน mucous membrane ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้าย แบบ active transport ของแคลเซียมให้ข้ามเซลล์ไปได้ง่าย
  4. ควบคุมปริมาณของแคลเซียม และฟอสฟอรัสในกระแสโลหิต ไม่ให้ต่ำลงจนถึงขีดอันตราย เช่น แคลเซียมจะต้องอยู่ในเลือดประมาณ 7 มิลลิกรัม/เดซิลิตร โดยวิตามิน ดี จะกระตุ้นการดูดแคลเซียมในลำไส้ เพราะมิฉะนั้นแคลเซียม จะถูกขับออกจากร่างกายไปหมด และวิตามิน ดี จะกระตุ้นการนำเอา ฟอสฟอรัสมาใช้ โดยทำหน้าที่กระตุ้นตลอดเวลา
  5. เกี่ยวข้องกับการใช้ฟอสฟอรัสในร่างกาย
  6. ช่วยสังเคราะห์ Mucopolysaccharide ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นในการสร้าง คอลลาเจน
  7. เกี่ยวข้องกับการใช้คาร์โบไฮเดรต
  8. เกี่ยวข้องกับการใช้เกลือซิเตรทในร่างกาย
  9. หน้าที่โดยทางอ้อมก็คือ วิตามินดีจำเป็นในการทำงานของระบบประสาท การเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือด เพราะหน้าที่เหล่านี้จะสัมพันธ์กับ การมีอยู่และการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ของร่างกาย
แหล่งที่พบ
  1. พบได้ทั้งในพืชผัก ผลไม้ และในเนื้อเยื่อของสัตว์ แต่ดูเหมือนจะเป็นวิตามินชนิดเดียว ที่มีอยู่น้อยมากในพืชและผัก ที่พบมากได้แก่ น้ำมันตับปลา ไขมัน นม เนย ตับสัตว์ ตับปลาคอด (COD) ปลาทู ไข่แดง ปลาแซลมอน ปลาซาดีน ปลาแม็คเคอร์เรก
  2. นมเป็นอาหารที่นิยมเสริมวิตามินดี เพราะเป็นอาหารที่มี แคลเซียม ฟอสฟอรัสและไขมัน ที่จะช่วยเพิ่มอัตราการดูดซึมจากลำไส้เล็ก ปริมาวิตามินดีที่เสริม คือ 400 IU ต่อลิตร
  3. ปริมาณของวิตามินดีในอาหาร อาจเปลี่ยนแปลงได้มากตามฤดูกาล และภาวะแวดล้อมต่างๆ เช่น การถูกแสงแดดมากหรือน้อย อาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์มีวิตามินดีมากหรือน้อยเพียงใด เป็นต้น
ปริมาณที่แนะนำ
  1. ในการที่บุคคลต่าง ๆ ควรได้รับปริมาณวิตามิน ดี มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุหลายประการ เช่น ไขมันในอาหาร การสร้างน้ำดีจากตับ การดูดซึมของระบบทางเดินอาหาร ความบ่อยครั้งในการถูกแสงแดด และขึ้นอยู่กับปริมาณของสารมีสี และ เคราตินที่มีอยู่ที่ผิวหนัง ถ้าผิวขาวมีสารมีสีน้อย แสงอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์สามารถผ่านเข้าไปในชั้น Granulosum ของผิวหนังได้มาก ทำให้ 7 - dehydrocholesterol ซึ่งมีอยู่มากในชั้นนี้ ถูกเปลี่ยนเป็นวิตามิน ดี สามได้มาก ถ้าผิวเหลืองเนื่องจากมีเคราตินมาก หรือผิวดำเพราะมีสารมีสีมาก แสงอัลตราไวโอเลตจะผ่านเข้าไปได้น้อย ทำให้มีการสังเคราะห์วิตามิน ดีสามที่ผิวหนังน้อย
  2. วิตามิน ดี 2.5 ไมโครกรัม (100 ไอยู) สามารถป้องกันโรคกระดูกอ่อน และช่วยให้มีการดูดซึมของแคลเซียม ในลำไส้อย่างเพียงพอสำหรับ การสร้างความเจริญเติบโตของกระดูก และฟันในทารก แต่การกินวันละ 10 ไมโครกรัม (400 ไอยู) นั้นช่วยส่งเสริมการดูดซึมให้ดียิ่งขึ้น
  • ทารก 10 ไมโครกรัม
  • เด็ก 10 ไมโครกรัม
  • ผู้ใหญ่ 20 - 29 ปี 7.5 ไมโครกรัม
  • 30 - 60 ปี (หรือมากกว่า) 5 ไมโครกรัม
  • หญิงมีครรภ์ +5 ไมโครกรัม
  • หญิงให้นมบุตร +5 ไมโครกรัม
ผลของการได้รับมากไป
  • พบในรายที่บริโภค 300,000 - 800,000 I.U ต่อวันเป็นระยะเวลานาน วิตามิน ดี ประมาณ 30,000 I.U ต่อวัน หรือมากกว่านี้จะทำให้เป็นอันตราย สำหรับทารกและประมาณ 50,000 I.U ต่อวัน จะเป็นอันตรายสำหรับเด็ก อาการเริ่มต้นด้วยคลื่นไส้ อาเจียนท้องเดินปัสสาวะมากกว่าปกติ ทั้งกลางวันและกลางคืน กระหายน้ำจัด น้ำหนักตัวลด มีการสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูก และมีการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เพิ่มขึ้น ทำให้มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดและในปัสสาวะสูง ซึ่งแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่มีในเลือดอาจไปจับอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ รวมทั้งหลอดเลือดทำให้เป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ในรายที่เป็นมากอาจถึงตาย เพราะมีการล้มเหลวของไต ส่วนในรายที่ยังเป็นไม่มากนัก เพียงหยุดให้วิตามิน อาการต่างๆจะหายไป
  • อาการที่เกิดเนื่องจากร่างกายได้รับวิตามินดีมากเกินไป หรืออาการที่จำเป็นต้องสังเกต ขณะที่รับประทานวิตามินดี คือปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เบื่ออาหาร ปัสสาวะมากผิดปกติและบ่อย กล้ามเนื้อไม่มีแรง รู้สึกเหนื่อยอ่อน มีหินปูนเกาะตามอวัยวะหรือเนื้อเยื่อของหัวใจ ผนังเส้นเลือดและปอด แต่อาการเหล่านี้นั้นจะหายภายใน 2 - 3 วันหลังจากหยุดวิตามิน
  • เป็นที่น่าสนใจ ที่เด็กสามารถสร้างวิตามินมากเกินปกติได้ ซึ่งจะพบในเด็กที่ดื่มนมผสม (Fortified Milk) อาการเช่นนี้อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน กับยาอื่น ๆ ได้ อาการอีกอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าเด็กได้รับวิตามินดี ในขนาดธรรมดา ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้นำให้ทราบว่า เด็กมีแคลเซียมมากในร่างกาย (Hypercalcemia) และวิตามินในร่างกายมากเกินความต้องการแล้ว สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นโรคปวดตามข้อ รูมาตอยด์ อาไทรติส (Rheumatoid arthritis) ถ้ารับประทานวิตามิน ดีเกินขนาดทำให้มีแคลเซียมไปเกาะที่ผนังเส้นโลหิตแดง ซึ่งจะทำให้ไตปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นปกติ และทำให้ความดันโลหิตสูงด้วย
  • นายแพทย์ Arthur A.Knapp ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตา ชาวอเมริกา ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับวิตามินดี กับตา บอกว่าการที่คนได้รับวิตามิน ดีไม่พอจะทำให้เกิดสายตาสั้น (MYOPIA) และจุดใหญ่แล้วเนื่องจากความไม่สมดุลของแคลเซียม
ที่มา : วิกิพีเดีย


วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน C (Vitamin C) หรือ L-ascorbic acid คืออะไร

วิตามินซี (อังกฤษ: vitamin C) หรือ กรดแอล-แอสคอร์บิก (อังกฤษ: L-ascorbic acid) หรือ แอล-แอสคอร์เบต (อังกฤษ: L-ascorbate) เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับ จากการรับประทานเข้าไป วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถป้องกัน และ รักษาการอักเสบ อันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้

ประโยชน์
  • เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใย ทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
  • ช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
  • ช่วยป้องกัน การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (Mutation)
  • ช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตาย ในกรณีเด็กอ่อน (SIDS: Sudden Infant Death Syndrome)
  • ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
  • ช่วยคลายเครียด
  • การฉีดด้วยวิตามินซีปริมาณสูง อาจช่วยหยุดยั้งโรคมะเร็งได้ โดยวิตามิน อาจเข้าทำปฏิกิริยาทางเคมีในเซลล์ มะเร็ง ให้กลายเป็นกรดขึ้น ทำให้เนื้อร้ายชะงักและน้ำหนักลดไปได้
แหล่งวิตามินซี

แหล่งวิตามินซีมีมากในผัก ตระกูลกะหล่ำ การเก็บเกี่ยวผักผลไม้ตั้งแต่ยังไม่แก่จัด ไม่สุกดี หรือนำไปผ่านการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นการตากแห้ง หมักดอง จะทำลายวิตามินซีที่อยู่ในอาหารไปในปริมาณมาก

ความร้อนทำลายวิตามินซีได้ง่าย จึงไม่ควรต้มหรือผัดนานเกินไป แต่การแช่เย็นไม่ได้ทำให้ผักผลไม้สูญเสียวิตามินซีเพียงข้อเสีย

บางข้อมูลแนะนำว่าขนาดที่เหมาะสมมากที่สุดต่อวัน สำหรับผู้ใหญ่ คือ 250-500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง

แหล่งวิตามินในธรรมชาติจำนวนปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
อะเซโรลาเชอรี่น้ำหนัก 100 กรัม1600 มิลิกรัม(คาดว่าเกินจริงอยู่มาก)
ฝรั่งน้ำหนัก 100 กรัม230 มิลลิกรัม
สับปะรด1 ชิ้นใหญ่ (โดยเฉลี่ย)20-30 มิลลิกรัม
กะหล่ำดอกน้ำหนัก 100 กรัม49 มิลลิกรัม
บรอกโคลีน้ำหนัก 100 กรัม84 มิลลิกรัม
น้ำมะนาว1 แก้ว (100 กรัม)34 มิลลิกรัม
มันฝรั่งน้ำหนัก 100 กรัม21.3 มิลลิกรัม
กะหล่ำปลีน้ำหนัก 100 กรัม49 มิลลิกรัม
กล้วยชนิดต่างๆ1 ลูก (โดยเฉลี่ย)8.5 มิลลิกรัม
พริกหวาน1 เม็ด (โดยเฉลี่ย)100-120 มิลลิกรัม
ผักโขมน้ำหนัก 100 กรัม76.5 มิลลิกรัม
สตรอว์เบอร์รี่น้ำหนัก 100 กรัม77 มิลลิกรัม
มะเขือเทศน้ำหนัก 100 กรัม21.3 มิลลิกรัม
มะละกอน้ำหนัก 100 กรัม60 มิลลิกรัม

อันตรายจากการขาดวิตามินซี
  • ผู้ที่ขาดวิตามินซีมักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดตามข้อต่อของร่างกาย เลือดออกตามไรฟัน เจ็บกระดูก
  • แผลหายช้า เนื่องจากวิตามินซี ทำหน้าที่ต่อต้านการอักเสบ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ของร่างกาย การได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ จะทำให้เส้นเลือดในร่างกายอ่อนแอ และทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกายหายช้ากว่าปกติ
  • เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย คุณสมบัติของวิตามินซี คือ เป็นตัวต่อต้านสารก่อมะเร็ง และช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าร่างกายขาดวิตามินซี จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง และทำให้ติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ง่าย
  • เป็นโรคลักปิดลักเปิด ในกรณีของเด็ก หรือผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินซี น้อยกว่าวันละ 10 มิลลิกรัม อาจทำให้เป็นโรคลักปิดลักเปิดได้ หากร่างกายขาดวิตามินซีมากเกินปกติอาจทำให้มีลูกยาก เป็นโรคโลหิตจางและมีภาวะความผิดปกติทางจิตได้
อันตรายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป
  • เนื่องจากวิตามินซี มีหน้าที่ในการช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย การรับวิตามินซี ในปริมาณมากจะทำให้เกิดปัญหาการสะสมธาตุเหล็ก ตามกระดูกข้อต่อต่างๆ มากขึ้น
  • การได้รับวิตามินซีมากเกินไป อาจไปรบกวนการดูดซึมของทองแดง และซีลีเนียม หากได้รับวิตามินซีชนิดที่ไม่ได้บรรจุแคปซูล โดยการรับประทาน เกินวันละ 10,000 มิลลิกรัม อาจทำให้ท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ เนื่องจากวิตามินซี ที่มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด มักเป็นชนิดที่มีคุณสมบัติเป็นกรด หากต้องการหลีกเลี่ยงการระคายเคือง กระเพาะอาหาร ควรรับทานวิตามินซี ชนิดที่เป็น กลาง หรือเป็นกรดต่ำ (pH 7.6-8.0)
ที่มา : วิกิพีเดีย


วิตามิน B12 (Vitamin B12 [Cyanocobalamin]) คืออะไร?

วิตามินบี 12 (Cyanocobalamin) เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ ให้ระวัง การดูดซึมของบี12 สู่ร่างกายจะบกพร่อง และเป็นผลให้เกิดโรคโลหิตจาง ควรกินวิตามินชนิดนี้ ควบคู่กับแคลเซียมจะทำให้การดูดซึมสู่ร่างกายดีขึ้น

ประโยชน์
  • ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
  • ช่วยให้เด็กเติบโตและเจริญอาหาร
  • ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี
  • ช่วยให้สมองไม่ฟุ้งซ่าน ความจำดีและมีสมาธิ
แหล่งอาหาร
พบมากในตับ ไต รองลงมาได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่แดง และอาหารหมักดอง เช่น กะปิ น้ำปลา เต้าเจี้ยว อาหารที่มาจากพืชผักทั้งหมด ไม่มีวิตามิน บี 12 เลย ยกเว้นอาหารหมักดอง ผู้บริโภคมังสวิรัติชนิดเคร่งครัด จึงควรบริโภค อาหารที่ได้จากการหมักด้วย การขาดวิตามิน บี12 ต้องใช้เวลา 10-15 ปี หรือนานกว่านั้น เนื่องจากเป็นวิตามินที่ละลายน้ำเพียงชนิดเดียว ที่มีการสะสมในร่างกายได้มาก

อันตรายจากการขาดวิตามิน
โรคโลหิตจางชนิดเพอรืนิเซียส วิตามินบี 12 จะสามารถดูดซึมได้ดี ต้องประกอบด้วย กรดเกลือในกระเพาะอาหาร , intrinsic factorที่ผลิตจากกระเพาะอาหาร , เอนไซม์ทริปซินซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ผลิตจากตับอ่อน , ลำไส้เล็กต้องแข็งแรง เนื่องจากการดูดซึมวิตามินบี 12 จะเกิดขึ้นที่บริเวณลำไส้เล็กตอนปลาย โดยอาศัย intrinsic factor มีการเสื่อมหรือสูญเสีย ของประสาทสัมผัส มีอาการชาที่แขนและขา อารมณ์แปรปรวน ความจำเสื่อม มีปัญหาเรื่องการมองเห็น หรืออาจมีอาการอื่นๆขึ้นอยู่กับเส้นประสาท เส้นใดที่เกิดความเสียหาย จากการไม่มีการสร้างแผ่นไมอีลิน

ที่มา : วิกิพีเดีย

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน B9 (Vitamin B9 [Folic Acid]) คืออะไร?

กรดโฟลิก (อังกฤษ: folic acid) หรือ โฟลาซิน (อังกฤษ: folacin) หรือ วิตามินบี9 (อังกฤษ: vitamin B9) และ โฟเลต (อังกฤษ: folate) มีความสำคัญในด้านการรักษาโรคต่าง ๆ ตั้งแต่โรคเหน็บชาไปจนถึงโรคเกี่ยวกับสมอง

ประโยชน์
  • ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นกลูโคส
  • ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของโปรตีนและไขมัน
  • ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ตามปกติ
  • ช่วยให้กล้ามเนื้อในกระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยบำรุงผิวหนัง เส้นผม ตา ปาก และตับ
ที่มา วิกิพีเดีย

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน B7 (Vitamin B7 [Biotin]) คืออะไร?

ไบโอติน (อังกฤษ: biotin) หรือ วิตามินเอช (อังกฤษ: vitamin H) หรือ วิตามินบี7 (อังกฤษ: vitamin B7) เป็นวิตามินในกลุ่มวิตามินบี ซึ่งสามารถละลายน้ำได้ สำคัญต่อการเจริญของเซลล์ การผลิตกรดไขมัน และการเผาผลาญไขมันและกรดอะมิโน

ประโยชน์
  • ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นกลูโคส
  • ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของโปรตีนและไขมัน
  • ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ตามปกติ
  • ช่วยให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยบำรุงผิวหนัง เส้นผม ตา ปากและตับ
ที่มา : วิกิพีเดีย

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน B6 (Vitamin B6 [Pyridoxine]) คืออะไร?

วิตามินบี6 (อังกฤษ: vitamin B6) เป็นวิตามินที่มักใช้ร่วมกับบี1 และ บี12 ซึ่งวิตามินบี1 ทำงานกับคาร์โบไฮเดรต ส่วนวิตามินบี6 และบี12 ทำงานร่วมกับโปรตีนและไขมัน ร่างกายคนเรา ต้องการวิตามินบี6 ประมาณ 1.5 มิลลิกรัม

ประโยชน์
  • ช่วยเปลี่ยนกรดอะมิโนให้เป็นวิตามินบี3 หรือไนอะซิน
  • ช่วยร่างกายสร้างภูมิต้านทานแอนติบอดี และช่วยสร้างเซลล์โลหิตใด้ดียิ่งขึ้น
  • ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและแร่ธาตุแมกนีเซียม
  • ช่วยบรรเทาโรคที่เกิดจากระบบประสาทและผิวหนัง
  • ช่วยบรรเทาการคลื่นไส้อาเจียน
  • ช่วยบรรเทาอาการปากแห้งและคอแห้ง
  • ช่วยแก้การเป็นตะคริว แขนขาชาและช่วยขับปัสสาวะ
ปัจจุบันค้นพบว่าวิตามินบี6 มีหลายรูปแบบ ได้แก่
  • ไพริดอกซีน (pyridoxine: PN)
  • ไพริดอกซีน 5'-ฟอสเฟต (pyridoxine 5'-phosphate: PNP)
  • ไพริดอกซาล (pyridoxal: PL)
  • ไพริดอกซาล 5'-ฟอสเฟต (pyridoxal 5'-phosphate: PLP)
  • ไพริดอกซามีน (pyridoxamine: PM)
  • ไพริดอกซามีน 5'-ฟอสเฟต (pyridoxamine 5'-phosphate: PMP)
  • กรด 4-ไพริดอกซิก (4-pyridoxic acid: PA)

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน B5 (Vitamin B5 [Pantothenic Acid]) คืออะไร

กรดแพนโทเทนิก (อังกฤษ: pantothenic acid) หรือ วิตามินบี5 (อังกฤษ: vitamin B5) เป็นวิตามินในการสร้างความเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยสร้างเซลล์ใหม่และช่วยบำรุงระบบประสาท
ร่างกายคนเราต้องการวิตามินบี5 อย่างน้อย 200 มิลลิกรัม

ประโยชน์
  • ช่วยสร้างแอนติบอดีซึ่งเป็นตัวสำคัญของภูมิชีวิต
  • เมื่อร่างกายเปลี่ยนไขมัน ที่สะสมไว้ให้เป็นน้ำตาล เพื่อสร้างพลังงาน วิตามินบี5 จะเป็นตัวสำคัญในการเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาล
  • ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้ร่างกายหายจากการช็อกหลังการผ่าตัดใหญ่
  • ช่วนให้อาการอ่อนเพลียหายเร็วขึ้น
ที่มา : วิกิพีเดีย

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน B3 (Vitamin B3 [Niacin]) คืออะไร?

ไนอาซิน หรือ ไนอะซิน (อังกฤษ: niacin) หรือ กรดนิโคตินิก (อังกฤษ: nicotinic acid) หรือ วิตามินบี3 (อังกฤษ: vitamin B3) ซึ่งจำเป็นใน Lipid Metabolism,Tissue respiration และ Glycogenolysis Nicotinic Acid ในปริมาณสูงๆ จึงสามารถลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ โดยฤทธิ์ของยา จะทำให้ระดับ Triacylglycerol ใน Plasma และ VLDL ลดลงภายใน 1-4 วัน ส่วนฤทธิ์ในการลดระดับโคเลสเตอรอล และ LDL นั้น 5-7 วันจึงจะเห็นผล และนอกจากนั้น Nicotinic Acid ยังสามารถเพิ่ม HDL อีกด้วย จากการทดลอง ผลการลดระดับไขมันในเลือด จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดหลังรับประทานยา 5-7 สัปดาห์ ยาส่วนเกินที่รับประทานเข้าไป จะขับออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ

ประโยชน์
  • ช่วยทำลายพิษหรือท็อกซินจากมลพิษ แอลกอฮอล์และยาเสพติด
  • รักษาโรคทางจิตและโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง
  • ช่วยให้อาการต่างๆ ของผู้ป่วยเบาหวานดีขึ้น
  • ช่วยรักษาโรคปวดหัวไมเกรน
  • ช่วยบรรเทาโรคอาร์ไทรทิสหรือข้ออักเสบ
  • ช่วยกระตุ้นและแก้ไขความบกพร่องทางเพศ
  • ช่วยลดความดันโลหิตสูงประจำ
ที่มา : วิกิพีเดีย

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำไมต้องทานอาหารเสริม? และ ทำไมไลฟ์แพ็ค (Lifepak) จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ทำไมเราต้องทานอาหารเสริม
ถ้าในปัจจุบัน เราได้รับประทานอาหารอย่างสมบูรณ์แล้ว คุณอาจสงสัยว่ามีความจำเป็นต้องกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพิเศษหรือไม่?
มีเหตุผล 2 - 3 ข้อที่สนับสนุนว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ดีต่างๆก็เป็นที่น่าสนใจ
  1. อาหาร ถ้าไม่ได้รับประทานอาหารสกัดจากธรรมชาติ คุณก็อาจจะขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน และ แร่ธาตุบางชนิด อาจสูญเสียไปในระหว่างการขนส่ง และการเก็บรักษา การเตรียมอาหาร และ การปรุงอาหาร หรือ มิฉะนั้น อาหารสดจากธรรมชาติบางชนิดก็อาจจะขาดสารอาหารที่สำคัญ เช่น ขาดสารโคลีน วิตามิน, แอลคาร์นิทีน ช่วยในการดักจับไขมันในร่างกาย หรือ แคลเซี่ยมในการเสริมสร้างกระดูก ขาดสารจำเป็นบางอย่างในผู้ทานมังสวิรัติ นอกจากนี้อาหารบางอย่างอาจก่อให้เกิดโทษในร่างกายได้อีก เช่น อาหารไขมันสูง อาหารมีเชื้อโรค ท็อกซิน อาหารใส่สารกันบูด ใส่สี อาหารรสเค็มจัด หวานจัด อาหารที่ปรุงโดยผู้ปรุงที่ขาดสำนึกและระวัง เรื่องสุขอนามัย ความสะอาดในการปรุงอาหาร
  2. มลภาวะจากสิ่งแวดล้อมมีมากขึ้น น้ำเสียจากโรงงานและบ้านเรือน กลิ่นเหม็นจากสิ่งปฏิกูล ควันพิษจากรถยนต์ และ โรงงานต่างๆ สารพิษเหล่านี้หากร่างกายได้รับเข้าไปบ่อยๆเป็นเวลานาน จะก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายได้อีกทางหนึ่ง และ ยังก่อให้เกิดโรคต่างๆนับไม่ถ้วน "เราต้องเตรียมร่างกายของเรา เพื่อการซ่อมแซมและปกป้องตัวเองจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ อันเป็นภาวะที่ร่างกายไม่เคยเผชิญมาก่อนในอดีต ในยุคนี้"
  3. ร่างกายตัวเอง สิ่ง ธรรมชาติได้ให้พลังชีวิต และ ความสมบูรณ์ของร่างกาย โดยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามอายุ ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ อวัยวะต่างๆของร่างกายสามารถทำงานได้ดี มีความต้านทานโรคสูง และ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพราะร่างกายมีขบวนการเผาผลาญพลังงานที่สมบูรณ์ ผลิตสารแอนติอ๊อกซิแด๊นได้มาก อย่างต่อเนื่อง ระบบฮอร์โมนปรกติดี แต่เมื่อร่างกายอ่อนแอลง หรือ มีอายุเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพที่กล่าวมาทั้งหมดจะเสื่อมถอยลง ในขณะที่คนเรายังมีการรับสารพิษต่างๆเข้าสู่ร่างกายเหมือนเดิม โดยประมาณ และ ร่างกายจะเริ่มลดการผลิตสารต่อต้านสารพิษต่างๆเมื่อเริ่มอายุประมาณ 30 ปี โดยที่ร่างกายยังคงผลิตสารอนุมูลอิสระ และสารพิษอื่นๆ แล้วยังรับสารพิษจากอาหารและสิ่งแวดล้อมในปริมาณเท่าเดิม ร่ายกายก็จะเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่พูดกันว่าการกินอาหารครบ 5 หมู่ หรือ การมีชีวิตกระฉับกระเฉงนั้น คือหลักการพื้นฐานของการมีสุขภาพที่ดี แต่เดี๋ยวนี้ เรารู้ว่าในบางเวลาของชีวิต มีบางครั้ง ที่เราต้องการสารอาหารเป็นพิเศษ ความเครียดหรือโรคภัยไข้เจ็บอาจทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเป็นสิ่งจำเป็น ชีวิตที่วุ่นวายสับสนการกินอาหารอย่างเร่งรีบ การกินอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น การฟื้นจากไข้ การวางแผนมีบุตร การกินอาหารมังสวิรัติ หรือ ภาวะชรา เหล่านี้ล้วนกดดันให้ร่างกายต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น นอกจากเงื่อนไขที่กล่าวข้างต้น ยังมีปัจจัยเพิ่มเติมที่คุณอาจไม่เคยคาดคิด เช่น ในอาหารประจำวันที่คุณกินอาจจะมีสารอาหารบางตัวไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ในภาวะเช่นนี้ คงเห็นชัดว่าการกินผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพเป็นประจำมีประโยชน์เพียงใด

ดังที่ นพ.กฤษดา ศิรามพุช กล่าวว่า มนุษย์เหมือนกองสารเคมี ที่มีสนิมแก่ จะขับออกมาจากร่างกายเราทุกๆเวลา ถ้าเราจะกินเพื่อต้านแก่ เราต้องกินให้มากกว่าปรกติ เราจะไม่พูดถึงวิตามินที่กินแค่ป้องกัน แต่ต้องกินเสริมเข้าไปด้วย ซึ่งคำพูดเก่าๆ You are what you eat! แต่ในปัจจุบันนี้เราได้ใช้คำพูดใหม่ You are what you are absorb! กันแล้วในปัจจุบัน

แล้วทำไมเราต้องเลือกไลฟ์แพ็ก เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

เพราะในไลฟ์แพ็ก มีสารอาหาร และ วิตามินเกลือแร่ที่ครบถ้วนและสมดุลบรรจุอยู่ในซองเพียง 1 ซอง ซึ่งไม่สามารถหาได้อีกแล้วในท้องตลาด
  • ไลฟ์แพ็กมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า 30 ชนิด มีหลากหลายในปริมาณที่เพียงพอใน หนึ่งวัน (1 ซอง ต่อ 1 มื้อ)
  • ไลฟ์แพ็กมีการใช้มารตรฐานการควบคุมคุณภาพระดับสูงที่เรียกว่า 6S
    1. คัดเลือก
    2. แหล่งวัตถุดิบ
    3. โครงสร้าง
    4. มาตรฐาน
    5. ความปลอดภัย
    6. ผลการศึกษาทางคลินิค
  • ไลฟ์แพ็ก จะดูแลภูมิคุ้มกัน หรือ ภูมิต้านทานในระดับหน่วยเซลล์ DNA แต่ละเซลล์มีเป็นล้านๆ ไม่ว่า สมอง, หัวใจ และ กล้ามเนื้อ ซึ่งถ้าเราวิเคราะห์ยี่ห้ออาหารเสริมที่มีอยู่ในท้องตลาด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะจัดจำหน่าย แยกเป็นสูตรย่อยๆ หลายๆสูตร ซึ่งจะต้องเสียเงินซื้อประมาณ 7,000 บาท เพื่อที่จะให้ได้สารอาหารครบถ้วนเท่ากับไลฟ์แพ็ก แต่เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสารอาหารเหล่านั้นดูดซึมเข้าร่างกายได้อย่างไร? หรือ มีการหักล้างวิตามินกันหรือไม่? และ มีหลายๆคน ที่เลือกที่จะดูแลตัวเอง แต่ก็ไม่รู้จะเลือกวิตามินสูตรไหนสำหรับดูแลร่างกายตัวเอง
  • ไลฟ์แพ็ก มีซองใส่วิตามินที่เก็บแบบสุญญากาศ ไม่ระเหยในบรรยากาศเลย
ตอนนี้คุณพร้อมที่จะกำจัดสนิมแก่ออกจากร่างกายด้วยวิตามินและเกลือแร่ประเภทไหน? จะดีกว่าไหม? ถ้าเราจะเลือกโดยไม่ต้องคิดมาก คิดให้ปวดหัว โดยเลือกไลฟ์แพ็กของนูสกิน


วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน B2 (Vitamin B2 [Riboflavin]) คืออะไร?

ไรโบเฟลวิน (อังกฤษ: riboflavin) หรือ วิตามินบี2 (อังกฤษ: vitamin B2) ใช้ในการเจริญเติบโต เมื่อขาดจะกลายเป็นคนแคระเกร็น จำเป็นต่อเอนไซม์ และกระบวนการเมทาบอลิซึม ของสารอาหารต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะไขมัน ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดแข็งตัว ขจัดไขมันชนิดอิ่มตัวในเส้นเลือด เหตุนี้เองวิตามินบี2 จึงได้สมญาว่า "วิตามินป้องกันไขมัน" วิตามินบี2 ช่วยระงับอาการตาแฉะได้ จึงใช้เป็นส่วนประกอบในยาหยอดตา

วิตามิน A (Vitamin A) คืออะไร?

วิตามินเอ มีส่วนประกอบสำคัญของคอร์เนีย และยังมีผลต่อการเจริญเติบโต การสร้างกระดูก และระบบสืบพันธุ์ นอกจากนี้ ยังป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ ทำให้ผิวหนังและเส้นผมแข็งแรง
วิตามินเอ ค้นพบโดย ดร. อี.วี. แมคคอลลัม (E.V. McCollum) นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐอเมริกา
วิตามินเอ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
  1. อยู่ในรูปแบบวิตามินอยู่แล้ว (Proformed Vitamin A) หรือเรียกว่า Retinol ซึ่งได้มาจากเนื้อสัตว์ เช่น น้ำมันตับปลา
  2. กำลังจะเป็นวิตามินเอ (Provitamin A) หรือเรียกว่า Carotene เป็นสารที่เมื่อเข้าสู่รางกายจึงได้รับการเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ พบมาในผักสีต่างๆ เช่น แครอท ผักโขม
ประโยชน์
  1. ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness)
  2. ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง
  3. สร้างความต้านทานให้ระบบหายใจ
  4. ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น
  5. ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดการอักเสบของสิว และช่วยลบจุดด่างดำ
  6. ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์
แหล่งวิตามินเอ
ผักผลไม้ที่ให้วิตามินเอ ส่วนใหญ่จะมีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม เพราะมีเบต้าแคโรทีน และแคโรนอยด์ ที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอต่อไป เนื่องด้วยวิตามินเอ ในผักผลไม้มีความไวต่อออกซิเจนมาก ดังนั้นวิธีการต้มที่ป้องกันการสูญเสียวิตามินได้ดีทีสุดคือ ควรปิดฝาภาชนะขณะต้มและใส่น้ำน้อยๆ
ร่ายกายต้องการวิตามินเอในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU

แหล่งวิตามินในธรรมชาติจำนวนปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
ผักตำลึงน้ำหนัก 100 กรัม 18,608 IU
ยอดชะอม น้ำหนัก 100 กรัม10,066 IU
คะน้าน้ำหนัก 100 กรัม 9,300 IU
แครอท น้ำหนัก 100 กรัม 9,000 IU
ยอดกระถินน้ำหนัก 100 กรัม7,883 IU
ผักโขมน้ำหนัก 100 กรัม7,200 IU
ฟักทองน้ำหนัก 100 กรัม6,300 IU
มะม่วงสุก1 ผล(โดยเฉลี่ย)4,000 IU
บรอกโคลี1 หัว(โดยเฉลี่ย)3,150 IU
แคนตาลูบน้ำหนัก 100 กรัม 3,060 IU
แตงกวา1 กิโลกรัม1,750 IU
ผักกาดขาว น้ำหนัก 100 กรัม 1,700 IU
มะละกอสุก1 ชิ้นยาว(โดยเฉลี่ย)1,500 IU
หน่อไม้ฝรั่งน้ำหนัก 100 กรัม 810 IU
มะเขือเทศ น้ำหนัก 100 กรัม800 IU
พริกหวาน1 เม็ด(โดยเฉลี่ย)500-700 IU
แตงโม 1 ชิ้นใหญ่ 700-1,000 IU
กระเจี๊ยบเขียวน้ำหนัก 100 กรัม 470 IU

อันตรายจากการขาดวิตามินเอ
  • โรคผิวหนัง เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนสำคัญ ในการรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง ขาดวิตามินเอทำให้ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น หยาบกร้าน แห้งแตก โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณข้อศอก ตาตุ่มและข้อต่อด่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคผิวหนัง เช่น สิวและโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้
  • ตาฟาง หน้าที่ของวิตามินเอ คือช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืน หรือในที่แสงสว่างน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรง อาจทำให้ตาบอดได้
  • ความต้านทานโรคต่ำ วิตามินเอเป็นตัวช่วยสำคัญ ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรา ทำงานตามปกติ การขาดวิตามินเอจึงทำให้เกิดโรคติดเชื้อ ในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก ช่องปาก คอ และที่ต่อมน้ำลาย

อันตรายจากการได้รับวิตามินเอเกิน
  1. แท้งลูกหรือพิการ หญิงมีครรภ์ที่ได้รับวิตามินเอมากเกินไป มีความเสี่ยงต่อภาวะ ทารกในครรภ์คลอดออกมา พิการหรือแท้งได้ เนื่องจากวิตามินเอ มีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้เด็กมีความผิดปกติ ที่ทางเดินปัสสาวะ กระดูกผิดรูป หรือมีติ่งปูดออกมาที่บริเวณหู
  2. อ่อนเพลีย หากร่างกายได้รับวิตามินเอเกินครั้งละ 15,000 ไมโครกรัม จะมีผลทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและอาเจียนได้
  3. เจ็บกระดูกและข้อต่อ เบื่ออาหาร เซื่องซึม นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ผมร่วง ปวดศีรษะ ท้องผูก ทั้งหมดนี้เป็นโทษในระยะยาว ที่เกิดจากการรับประทานวิตามินเอมากเกินไป
ที่มา : วิกิพีเดีย

วิตามิน B1 (Vitamin B1 [Thiamine, Thiamin]) คืออะไร?

ไทอามีน หรือ ไทอามิน (อังกฤษ: thiamine, thiamin) หรือ วิตามินบี1 (อังกฤษ: vitamin B1) เป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องรับประทานอาหารหรืออาหารเสริม มีคุณสมบัติพิเศษคือไม่มีพิษตกค้าง ถ้ามีมากเกินไป ร่างกายจะขับออกมาทันที

ประโยชน์
  • จำเป็นต่อการทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบย่อย หัวใจและกล้ามเนื้อ
  • ช่วยให้เจริญอาหารและช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย
  • ช่วยแก้อาการเมาคลื่นและเมาอากาศ
  • ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตและรักษางูสวัดให้หายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้แข็งแรง
ที่มา : วิกิพีเดีย

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน (Vitamin) คืออะไร?

หลายๆคนคงเคยสงสัยว่า ในอาหารหลัก 5 หมู่ของมนุษย์เรานั้น ทำไมถึงมีการพูดถึง วิตามิน (Vitamin) กันบ่อยมาก และ ในปัจจุบัน ก็มีผลิตภัฑ์ประเภทเสริมอาหารเกิดขึ้นเยอะมาก ที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเน้นทางด้าน Vitamin เป็นหลัก

ดังนั้น เพื่อคลายความสงสัย วันนี้ผมจะขอมาสรุปให้อ่านกันคร่าวๆนะครับ ว่า วิตามิน (Vitamin) นั้น คืออะไร และ มีความสำคัญต่อร่างกายเราอย่างไรบ้าง
  • วิตามิน (Vitamins) คือ สารอินทรีย์ (Organic) ที่ไม่จัดอยู่ในพวกกรดอะมิโน กรดไขมัน และน้ำตาล เป็นสารที่สิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณไม่มาก แต่ร่างกายไม่สามารถขาดได้ เนื่องจาก วิตามินเป็นสารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง วิตามินจะถูกร่างกายของสิ่งมีชีวิตนำไปใช้ในการเจริญเติบโต ใช้ในการสืบพันธุ์ ทำให้การทำงานต่างๆของร่างกายมีความสมบูรณ์พร้อม ช่วยให้มีสุขภาพดี ถ้าร่างกายขาดวิตามิน ย่อมส่งผลกระทบ และอาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น จนบางครั้งอาจจะถึงชีวิตได้ หากขาดเป็นระยะเวลานาน ในขณะเดียวกันการได้รับวิตามินปริมากเกินไป ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็สามารถทำให้เกิดผลเสียแก่ร่างกายได้เช่นกัน

  • วิตามินแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆได้ดังต่อไปนี้
    1. วิตามินที่ละลายในน้ำ เช่น วิตามิน B1 หรือ Thiamine, วิตามิน B2 หรือ Riboflavin, วิตามิน B3 หรือ Niacin, วิตามิน B5 หรือ Pantothenic Acid, วิตามิน B6 หรือ Pyridoxine, วิตามิน B7 หรือ Biotin, วิตามิน B9 หรือ Folic Acid,วิตามิน B12 หรือ Cyanocobalamin, วิตามิน C หรือ Ascorbic Acid จากคุณสมบัติในการละลายในน้ำได้ของวิตามินในกลุ่มที่ ทำให้ร่างกายสูญเสียวิตามินกลุ่มนี้ไปทางเหงือและปัสสาวะ
    2. วิตามินที่ละลายในไขมัน คือ วิตามิน A หรือ Retinal, วิตามิน D หรือ Ergocalciferol และ Cholecalciferol, วิตามิน E หรือ Tocopherol และ Tocotrienol, และวิตามิน K หรือ Naphthoquinone จากคุณสมบัติในการละลายในไขมันนี้เอง วิตามินในกลุ่มนี้ถ้าได้ในปริมาณมาก และเป็นเวลานานจะสะสมในร่างกายได้ และร่างกายสามารถขับออกได้ช้า วิตามินจึงมีอันตรายถ้าใช้ไม่เหมาะสม
หวังว่าข้อมูลดังกล่าวนี้คงจะช่วยให้ผู้ที่สงสัย ได้คลายความสงสัยลงไปในระดับหนึ่งนะครับ

และ จำไว้เสมอว่า
สุขภาพดีคือการที่ร่างกายสามารถทำงานตามฟังก์ชั่นปรกติ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไลฟ์แพ็ค แอนไทเอจจิ้ง (LifePak Anti-Aging) คืออะไร?

LifePak Anti-Aging ไลฟ์แพ็ก แอนตี้เอจจิ้ง คือ ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" เพื่อ เสริมสร้างสุขภาพร่างกาย ให้แข็งแรงในระยะยาว เพราะครบถ้วนด้วยสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง วิตามิน เกลือแร่ และสารไฟโตนิวเทรียนท์ (สารสกัดจากพืช ผัก ผลไม้) ในปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกาย และร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เต็มที่

ไลฟ์แพ็กได้รวมคุณค่า 5 สูตรในหนึ่งเดียว ได้แก่
  1. สูตรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ในปริมาณที่เหมาะสมและหลากหลาย และเพิ่มสารอาหารในการต้านความเสื่อมของเซลล์
  2. สูตรที่ให้วิตามิน บี ในสัดส่วนที่สมดุล
  3. สูตรที่มีสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่หลากหลาย
  4. สูตรสารอาหารที่จำเป็นต่อกระดูกที่แข็งแรง
  5. สูตรที่ช่วยเสริมเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ส่วนประกอบสำคัญ สารสำคัญ (Ingredients) :
  • วิตามิน (Vitamin) :
    • วิตามิน เอ (Vitamin A)
    • เบต้า - แคโรทีน (beta Carotene)
    • วิตามิน อี (Vitamin E)
    • วิตามิน ซี (Vitamin C),
    • วิตามิน บี 7 (ไบโอทิน (Biotin))
    • วิตามิน ดี 3 (Vitamin D3)
    • วิตามิน เค (Vitamin K)
    • วิตามิน บี 1 (Vitamin B1)
    • วิตามิน บี 5 (ไนอาซินกรดแพนโทธีนิค (Pantothenic acid))
    • วิตามัน บี 9 (โฟเลต (Folate))
    • วิตามิน บี 12 (Vitamin B12)
    • วิตามิน บี 2 (Vitamin B2)
    • วิตามิน บี 6 (Vitamin B6)
  • เกลือแร่ (Mineral) :
    • แคลเซียม (Calcium)
    • แมกนีเซียม (Magnesium)
    • ซีลีเนียม (Selenium)
    • สังกะสี (Zinc)
    • โครเมียม (Chromium)
    • ไอโอดีน (Iodine)
    • แมงกานีส (Manganese)
    • ทองแดง (Copper)
    • เหล็ก (Iron)
    • โมลิบดินั่ม (Molybdenum)
    • ซิลิคอน (Silicon) (Niacin),
  • สารสำคัญอื่นๆ (Other ingredients) :
    • คาทีชิน - ชาเขียวสกัด (Green Tea Extract,97%)
    • กรดแอลฟาไลโพอิค (Alpha - lipoic acid)
    • ไลโคพีน - สารสกัดจากมะเขือเทศ (Lycopene)
    • สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract)
    • ซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ (Citrus Bioflavonoids)
    • เคอร์ซิติน (Quercetin)
    • ลิวทีน -สารสกัดจากดอกแมริโกลด์ (Lutein)
    • อินอสิทอล (Inositol)
ไลฟ์แพ็ก lifepak คืออะไร
ไล ฟ์แพ็ก (lifepak) คือ ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" ที่ครบถ้วนด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ(สารต้านมะเร็ง) ประสิทะภาพสูง มีวิตามิน เกลือแร่ ไฟโตนิวเทรียนท์ (สารสกัดจากผักผลไม้) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง มีปริมาณสารอาหารที่เหมาะสมและร่างกายสามารถดุดซึมนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่างเต็มที่

ไลฟ์แพ็ก (lifepak) ประกอบด้วย อาหารเสริม 5 สูตรในหนี่งเดียว
  1. ไลฟ์แพ็ก (lifepak) มีสูตร สารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ต้านความเสื่อมของเซลล์ มี คาทีชิน กรดแอลฟา-ไลโปอิค ไลโคพีน วิตามินเอ เบต้า-แคโรทีน วิตามินอี วิตามินซี ซีลีเนียม สังกะสี ทองแดง
  2. ไลฟ์แพ็ก (lifepak) มีสูตร วิตามิน บี รวม ในสัดส่วนที่สมดุล มี วิตามิน บี1 วิตามิน บี2 วิตามิน บี6 วิตามิน บี12 ไนอาซิน โฟเลต ไบโอทิน กรดแพนโทธีนิค
  3. ไลฟ์แพ็ก (lifepak) มีสูตร สารสกัดจากพืช ผัก ผลไม้ (สาร ไฟโตนิวเทรียนท์) มี เบต้าแคโรทีน กรดแอลฟา-ไลโปอิค ซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ ลิวทีน ไลโคพีน สารสกัดจากเมล็ดองุ่น เคอร์ซิติน คาทีชิน
  4. ไลฟ์แพ็ก (lifepak) มีสูตร สารอาหารจำเป็นต่อการสร้างกระดูก มี แคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินดี วิตามินเค ซิลิคอน
  5. ไลฟ์แพ็ก (lifepak) มีสูตร เสริมเกลือแร่และ สารอาหารจำเป็นต่อร่างกายครบครัน มี ซีลีเนียม ทองแดง แมงกานิส โครเมียม โมลิบดินั่ม แมกนีเซียม ซิลิคอน ไอโอดีน เหล็ก แคลเซียม อินอสิทอล
8 คุณประโยชน์ที่ร่างกายได้รับ จากการเสริมอาหารด้วย Lifepak 5 สูตรในหนึ่งเดียว คือ
  1. ช่วยป้องกันการขาดสารอาหาร
  2. ปกป้องและชะลอการเสื่อมของเซลล์
  3. ส่งเสริมการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนเลือด
  4. บำรุงและเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
  5. ดูแลการเผาผลาญกลูโคสและอินซูลินที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  6. ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  7. ส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงในระยะยาว
  8. ส่งเสริมสุขภาพผิวพรรณ
ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" Lifepak ได้รับการรับรองความปลอดภัย, ประสิทธิภาพและคุณภาพในการควบคุมการผลิต จากสถาบันที่มีชื่อเสียง ในการตรวจสอบมาตรฐานระดับสูง ของผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" จากสถาบันระดับโลก เช่น

Physician's Desk Reference Guide (PDR) "อาหารเสริมสุขภาพ" Lifepak ได้ลงหนังสือ Physician's Desk Reference Guide (PDR) ซึ่งเป็นหนังสืออ้างอิงทางการแพทย์ ที่แพทย์ และ บุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลก ใช้เป็นหนังสืออ้างอิง ตั้งแต่ อดีต จนถึง ปัจจุบัน

ConsumerLab.com certication ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" Lifepak ได้รับการรับรอง ในด้านความถูกต้องของฉลาก และปราศจากสารปนเปื้อน รวมถึงสารต้องห้าม ตามโปรแกรมการตรวจสอบสารต้องห้าม ของนักกีฬา

Banned Substances Control Group (BSCG) รับรองว่า ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" Lifepak เป็นผลิตภัณฑ์ ที่ปราศจากสารกระตุ้น เช่น อีฟีดริน สารโด๊ป และสารสเตียรอยด์อื่นๆ ซึ่งเป็นสารต้องห้าม ตามข้อกำหนดของสถาบันการกีฬา ที่มีชื่อเสียงหลายสถาบัน เช่น คณะกรรมการโอลิมปิคนานาชาติ

ถ้าอยากได้สารอาหาร ที่เพียงพอสำหรับการดูแลสุขภาพ คุณอาจต้องรับประทานอาหารให้ได้ เท่ากับผัก และ ผลไม้ เท่ากับที่เห็นในภาพนี้ในแต่ละวัน หรือเลือกรับประทาน ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" Lifepak ง่ายๆ เพียงวันละ 2 ซอง


ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" Lifepak
ทานไลฟ์แพ็ก (lifepak) แล้วจะหมดห่วง จากโรคเรื้อรังต่างๆ ว่าแต่
วันนี้คุณทาน Lifepak แล้วหรือยัง


.

.