เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รู้หรือไม่ น้ำหนัก 60 กก. ไม่จำเป็นต้องอ้วนเสมอไป


จากภาพบน 3 ภาพจะเห็นได้ว่าน้ำหนัก 56 กิโลกรัม มีสภาพที่ดูแล้วจะเห็นว่ามีไขมันส่วนเกินอยู่มากมาย แต่ในขณะที่น้ำหนัก 62.5 กิโลกรัม กลับดูหุ่นฟิต สวยงาม และ ไม่มีไขมันส่วนเกินใดๆเลย

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนเรื่อง ไขมัน และ กล้ามเนื้อ ว่า 2 สิ่งนี้ต่างกันอย่างไร?

ไขมัน จะมีมวลที่มากกว่ากล้ามเนื้อในน้ำหนักที่เท่ากัน
ดังภาพข้างล่างที่เป็นตาชั่ง ซึ่งจะเปรียบเทียบระหว่างไขมัน และ กล้ามเนื้อในน้ำหนักที่เท่ากัน (จากภาพไขมันมีสีเหลือง ส่วนเนื้อแดงมีสีแดงคล้ำ)

ดังนั้นคนที่มีน้ำหนักเยอะ (ตามภาพคือ 62.5 kg) เป็นภาพของคนที่ร่างกายปราศจากไขมันส่วนเกิน และ มีกล้ามเนื้ออยู่มาก ในขณะที่ตอนที่มีน้ำหนักน้อยกว่า (56 kg) ร่างกายเต็มไปด้วยไขมันส่วนเกิน

สำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักทั้งหลาย อยากให้ทุกๆ คนเวลาลดน้ำหนักอย่าสนใจแต่ตัวเลขน้ำหนักบนตาชั่งอย่างเดียว เพราะตัวเลขบนตาชั่งไม่ได้หมายความว่าจะทำให้คุณมีรูปร่างที่ดีเสมอไป

คุณต้องสนใจปริมาณน้ำหนักไขมัน และ ปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกายด้วย

ที่สำคัญ จำไว้เสมอว่า ถ้าคุณมีกล้ามเนื้อเยอะร่างกายคุณก็จะเผาผลาญพลังงานได้ดี โอกาศที่จะทำให้คุณกลับมาอ้วนอีกครั้งก็น้อยลง

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มะหาด ขาว หลอกลวง?

ด้วยความที่ผมเป็นคนขวางโลก ประกอบกับตอนเรียน จะโดนปลูกฝังให้เป็นคนช่างสงสัย
ผมเลยหาข้อมูลของมะหาด ว่ามันทำให้ขาวขึ้นจริงๆ หรือเพราะสารอะไร

สิ่งที่ผมค้นพบ ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยยิ่งกว่าเดิม
เพราะว่าทุกเว็บจะคัดลอกผลการวิจัยมาเหมือนกัน ดังนี้
มะหาด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Artocarpus lakoocha Roxb. ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นที่สามารถพบได้โดยทั่วไปในประเทศไทย ปกติแล้ว เรามักใช้เปลือก ราก และแก่น มาต้มดื่มหรือบดเป็นผงชง เพื่อลดไข้ ถ่ายพยาธิ ถอนพิษร้อน ส่วนที่เราใช้มาผสมในเครื่องสำอาง คือ สารสกัดจาก“แก่น” ค่ะ โดยมีการศึกษาวิจัยพบว่าสารธรรมชาติในกลุ่มสติลบีน (stilbene) หลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส หนึ่งในสารกลุ่มนี้คือ ออกซิเรสเวอราทรอล (oxyresveratrol หรือ trans-2,4,3,5- tetrahydroxystilbene ) ที่สกัดจากแก่นของมะหาด ยับยั้งการเกิดของเอนไซม์ไทโรซิเนสได้มากถึง 10 เท่า (กิตติศักดิ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ และคณะ แห่งคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) จากการทดลองในสัตว์และมนุษย์ในระยะสั้นพบว่า สามารถทำให้ผิวขาวได้มากขึ้น

รายละเอียดของการทดลองคือ ผลการทดลองพบว่า ครีมมะหาดมีประสิทธิภาพในการลดความเข้มของสีผิวในหนูตะเภา ต่อมาได้ทำการศึกษาในอาสาสมัครจำนวน 4 คน โดยทาสารสกัดจากแก่นมะหาดที่แขนวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ และทำการวัดค่าความเข้มของสีผิวด้วยเครื่อง Mexameter พบว่าแขนที่ทาด้วยสารสกัดจากแก่นมะหาดมีแนวโน้มให้ค่าความเข้มของสีผิวลดลง โดยไม่มีอาการแพ้หรือระคายเคือง ในที่สุดผู้วิจัยได้ศึกษาในอาสาสมัครจำนวนมากขึ้น คือ 60 คน ในระยะเวลา 12 สัปดาห์ โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 20 คน เป็นเพศหญิง อายุ 20–48 ปี มีสภาพผิวหนังปกติ จากการทาสารสกัดที่ต้นแขนของอาสาสมัครวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจาก ชะเอมและกรดโคจิก ผลการทดลองพบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจากมะหาด จะมีผิวขาวขึ้นเรื่อยๆ ความขาวของสีผิวจะเห็นผลในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์ และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญตามระยะเวลาที่ทำการทดลอง นอกจากนี้ ยังไม่พบอาการแพ้หรือระคายเคืองผิวแต่อย่างใด
และข้อความอีกชุด ที่มักถูกใช้โฆษณา คือ
ศูนย์ผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ศึกษาการใช้สารสกัด 5% oxyresveratrol จากสมุนไพรแก่นมะหาดในการรักษาฝ้า ได้ผลดีไม่แตกต่างจากยาทา 2% Hydroquinone (ยาทาฝ้าชนิดออกฤทธิ์แรงที่จ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น) และพบผลข้างเคียงเล็กน้อย
ถอดใจความออกมา จะเห็นว่า พูดถึงแต่ข้อดีจนน่าสงสัย นั่นก็คือ
  • ช่วยยับยั้งการสร้างเมลานิน ช่วยให้ขาวขึ้น
  • มีฤทธิ์รักษาฝ้าเทียบเท่าไฮโดรควิโนน
  • ไม่มีผลข้างเคียง หรือพบเพียงเล็กน้อย
ซึ่งบอกตรงๆ… ผมไม่เชื่อ!!!
ผมเลยค้นหาต้นตอของข้อมูล และได้ข้อมูลประกอบดังนี้
  • เคยมีการวิจัยมะหาดโดยแพทย์จุฬาฯ เมื่อปี 2551
  • ผู้จัดการออนไลน์ มีข่าว “มะหาด รักษาเริม” แต่ไม่มีข่าว “มะหาดทำให้ขาว” ตามที่เว็บขายสินค้ากล่าวอ้าง
  • ผลการวิจัยของคณะแพทย์ มศว.
    • รักษาฝ้าได้เทียบเท่าไฮโดรควิโนน
    • ไม่มีรายงานยืนยันว่าทำให้ขาว และผลในระยะยาว
    • ผลข้างเคียงเยอะ และเกิดอาการแพ้ได้
และผมมาเจอหลักฐานชิ้นสำคัญอีกชิ้นคือ บทสัมภาษณ์เจ้าของผลงานชิ้นนี้ บนเว็บ เดลินิวส์ : ชี้แจงกระแสใช้ 'มะหาด' เป็นสารช่วยให้ 'ผิวขาว' - X-RAY สุขภาพ

รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.ภาคภูมิ เต็งอำนวย ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมวิจัย
ซึ่งเนื้อข่าวยาวมาก ผมจึงตัดมาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจดังนี้
  • ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ผิวคนไทยจึงมีสีเข้ม
  • ค่านิยมอยากขาว ทำให้สินค้าจากเมืองนอกเป็นที่นิยม
  • เป็นเรื่องดี ถ้าหันมาใช้สินค้าไทย ( มะหาด )
  • รศ. ดร. ภาคภูมิ ตกใจที่เห็นข่าวสินค้ามะหาดอยู่มากมาย
  • ขั้นตอนและผลการวิจัย
    • แก่นมะหาดและสารสำคัญที่มีอยู่ คือ ออกซีเรสเวอราทรอล (oxyresveratrol)
    • ออกซีเรสเวอราทรอล สามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรสิเนส ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการสร้างเม็ดสีเมลานิน
    • เริ่มยืนยันผลในสัตว์ทดลองคือหนูตะเภา พบว่าทำให้สีผิวอ่อนจางลง
    • ขยายผลการทดลองมาเป็นอาสาสมัคร 60 คน พบว่าประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ ปวกหาดและออกซีเรสเวอราทรอลไม่แตกต่างกัน
  • ข้อจำกัด
    • ความคงตัว สารสกัดจากแก่นมะหาดที่ใช้เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จะมีสีเหลืองอ่อน ๆ ซึ่งเมื่อเก็บไว้ไม่เกิน 3 เดือน สีก็จะเข้มขึ้นจนท้ายสุดจะเป็นสีน้ำตาล นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ปริมาณออกซีเรสเวอราทรอลและฤทธิ์ในการต้านเอนไซม์ไทโรสิเนส พบว่าก็จะลดลงตามระยะเวลาด้วย
    • คุณภาพ ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา เปอร์เซ็นต์ของออกซีเรสเวอราทรอลต้องมากกว่า 80% ขึ้นไป ถึงจะมั่นใจได้ว่ามีฤทธิ์ต้านไทโรสิเนส
    • ทรัพยากร มะหาดเป็นไม้ยืนต้นซึ่งใช้เวลาหลายปีจึงจะโต และต้องโค่นต้นเพื่อเอาแก่นมาใช้ การจะผลิตสารจากแก่นมะหาดอย่างยั่งยืนต้องมีการวางแผนการเพาะปลูกที่ดี ไม่ใช่ตัดมาจากธรรมชาติอย่างเดียว
    • ผลจากการใช้ แก่นมะหาดจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไปและเปลี่ยนแปลงไม่มาก อย่างดีที่สุดคือช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาใกล้เคียงกับสภาพดั้งเดิมตามกรรมพันธุ์ของตน
นอกจากนี้ ผมได้รับข้อมูลจากการสนทนาในกลุ่มวงการความงาม
ได้ข้อมูลเพิ่มอีกคือ มะหาดขาวจริง แต่ต้องเป็นส่วนของ “แก่น”
แต่สินค้าที่วางขายปัจจุบัน ใช้ส่วนของ กิ่ง, ก้าน ซึ่งไม่มีส่วนช่วยให้ขาว

เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ผมจะสรุปให้ฟังสั้นๆง่ายๆดังนี้
  • สินค้าแต่ละล๊อต อาจมีคุณภาพไม่เท่ากัน เพราะแต่ละต้นมีประสิทธิภาพไม่เท่ากัน
  • สินค้ามะหาด ต้องประกอบด้วยออกซีเรสเวอราทรอล 80% ขึ้นไป ถึงจะช่วยให้ขาว
  • มะหาดที่แท้จริง จะค่อยๆขาว และขาวขึ้นไม่มาก และจะไม่ขาวกว่าสีผิวจริง ซึ่งอาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความต่าง
  • ยังไม่มีผลวิจัย ผลกระทบจากการใช้งานในระยะยาว
  • มีโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เพราะ 2 สถาบัน วิจัยได้ผลต่างกัน จึงควรปลอดภัยไว้ก่อน
  • ไม่ควรใช้แบบที่มีความเข้มข้นเกิน 5% เพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียงสูง
เมื่อได้หลักฐานข้อมูลที่ต้องการมาทั้งหมดแล้ว เครื่องหมายคำถามก็เกิดขึ้นในหัวผม

ผลวิจัยบอกว่า ขาวอย่างช้าๆ และมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความต่าง

แล้วที่วางขาย ใช้แล้วขาวทันที มันใส่อะไรในนั้น !

Source:

http://www.research.chula.ac.th/rs_news/2551/N006_22.htm

http://erk-erk.exteen.com/20120530/q-a-1
http://www.dailynews.co.th/article/1490/133547
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079892

ที่มาของบทความ : มะหาด ขาว หลอกลวง?

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เมื่อเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวก จะต้องทำอย่างไร?

บาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก โดยมากมักจะมีสาเหตุจากอุบัติเหตุ ความประมาท ขาดความระมัดระวัง ซึ่งกลไกการบาดเจ็บ จะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาที่ผิวหนังสัมผัสกับความร้อน อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บ ดีกรีความลึกของบาดแผล และขนาดความกว้างพื้นที่ของบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกนั้นๆ

บาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แบ่งเป็น 3 ระดับ โดยดูจากดีกรีความลึกของบาดแผล
  • ดีกรีความลึกระดับ 1 คือ บาดแผลอยู่แค่ เพียงผิวหนังชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น โดยปกติจะหายเร็วและไม่เกิดแผลเป็น
  • ดีกรีความลึกระดับ 2 คือ บาดเจ็บในบริเวณชั้นหนังแท้ บาดแผลประเภทนี้ถ้าไม่มีภาวะติดเชื้อแทรกซ้อน มักจะหายภายใน 2 - 3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความลึกของบาดแผล จากอุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดร่องรอยผิดปกติของบริเวณผิวหนัง หรืออาจมีโอกาสเกิดแผลเป็นแผลหดรั้งตามได้ หากได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง
    กรณีถูกไฟไหม้ หากบาดเจ็บไม่ลึกมาก ก็จะพบว่าบริเวณผิวหนังจะมีตุ่มพองใส เมื่อตุ่มพองนี้แตกออก บริเวณบาดแผลเบื้องล่าง จะเป็นสีชมพู และผู้ป่วยจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนมาก แต่ถ้าพยาธิสภาพค่อนข้างลึก จะพบว่าสีผิวหนังจะเปลี่ยนไปเป็นสีเหลืองหรือขาว ไม่ค่อยเจ็บ
  • ดีกรีความลึกระดับ 3 คือ ชั้นผิวหนังทั้งหมดถูกทำลายด้วยความร้อน บาดแผลเหล่านี้มักจะไม่หายเอง มีแนวโน้มการติดเชื้อของบาดแผลสูง และมีโอกาสเกิดแผลหดรั้งตามมาสูงมาก ถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง
สิ่งแรกที่ควรทำ เมื่อโดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
  • ล้างด้วยน้ำสะอาด ที่อุณหภูมิปกติ ซึ่งเชื่อว่าจะมีผล ช่วยลดการหลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณบาดแผลได้ 
  • หลังจากนั้นซับด้วยผ้าแห้งสะอาด แล้วสังเกตว่าถ้าผิวหนังมีรอยถลอก มีตุ่มพองใส หรือมีสีของผิวหนังเปลี่ยนไป ควรรีบไปพบแพทย์
    แต่ถ้าไฟไหม้ น้ำร้อนลวกบริเวณใบหน้า จะต้องได้รับการรักษา จากแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะบริเวณใบหน้ามักจะเกิดอาการระคายเคืองจากยาที่ใช้ ห้ามใส่ยาใดๆ ก่อนถึงมือแพทย์ เพราะผู้ป่วยแต่ละคนมีอาการตอบสนองต่อตัวยาไม่เหมือนกัน จะต้องขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์
ข้อห้าม เมื่อโดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก 
  • ไม่ควรใส่ตัวยา/สารใดๆ ทาลงบนบาดแผล ถ้าไม่แน่ใจในสรรพคุณที่ถูกต้องของยาชนิดนั้น โดยเฉพาะ ”ยาสีฟัน” “น้ำปลา” เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อบาดแผล เพิ่มโอกาสการเกิดบาดแผลติดเชื้อ และทำให้รักษาได้ยากขึ้น
โดยการรักษาเริ่มตั้งแต่
  • การใช้ยาทาในระยะเริ่มต้น 
  • การใส่ชุดผ้ารัด ในกรณีที่รอยแผลจากไฟไหม้น้ำร้อนลวก มีแนวโน้มที่จะนูนมากขึ้น และไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาทา 
  • ฉีดยาลบรอยแผลเป็น ซึ่งจะทำได้ในกรณีที่ เกิดรอยแผลนูนและไม่ตอบสนอง ต่อการใส่ชุดผ้ารัด 
  • ผ่าตัดแก้ไข โดยแพทย์จะต้องทำการประเมินลักษณะ และ ความรุนแรงของบาดแผล ทั้งนี้ขึ้นกับชนิด และ ความรุนแรงของบาดแผลหดรั้งเหล่านั้น
โดยทั่วไปช่วงอายุของผู้ป่วยไม่เป็นอุปสรรคในการรักษาบาดแผล และ วิทยาการการรักษา ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปมาก

เมื่อผ่านขั้นตอนการรักษาแล้ว อย่าละเลยที่จะดูแลตนเอง โดย
  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่นผล หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้ระคายเคือง 
  2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ทุกชนิด เพราะหากโดนบริเวณแผล ก็อาจทำให้คันหรือมีการติดเชื้อได้ง่าย 
  3. รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ เพื่อเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่บริเวณบาดแผลให้บาดแผลสมานปิดเร็วขึ้น 
  4. หมั่นทายา/รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญต้องรักษาความสะอาดแผลให้ดี
อุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้บ่อย ในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากความประมาทแทบทั้งสิ้น ถ้าต้องทำอาหาร และ อาจต้องสัมผัสของร้อน ควรระมัดระวังและป้องกันตนเองให้ดี ในบ้านที่มีเด็กเล็กควรระมัดระวังและจัดหาสถานที่ๆ วางวัสดุที่มีความร้อนให้เหมาะสมให้ห่างจากมือเด็กเอื้อมถึงได้ ส่วนบุคลากรที่ต้องทำงานกับเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเครื่องทำความร้อนต่างๆ ที่มีโอกาสสัมผัสกับเปลวไฟหรือเปลวเพลิงสูง ควรมีการป้องกันตนเองให้เหมาะสมด้วย เพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติภัยไฟไหม้ น้ำร้อนลวกนี้ครับ

บทความโดย : รศ.นพ.พรพรหม เมืองแมน
ภาควิชาศัลยศาสตร์
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

ที่มา : การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก











วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

เผยความลับทางวิทยาศาสตร์ เพื่อย้อนสู่ความอ่อนเยาว์

"เทคโนโลยีของ ageLOC ที่ใช้สารอาหารช่วยกระตุ้นการทำงานของยีนส์
หรือ รีเซ็ตกลุ่มยีนส์เพื่อให้กลับไปทำงานได้ดีเหมือนกับในช่วงเวลาอายุ 20 ปี"

ถ้าเป็นสมัยอดีต ความฝันที่ต้องการจะหยุดยั้งความชรา ดูจะมีความเป็นไปได้น้อยมากๆ หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ทุกวันนี้ความก้าวล้ำทางวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ช่วยให้เราเข้าใกล้ทฤษฎีการต่อต้านความชรามากขึ้น รวมไปถึงการได้ใช้ชีวิตแบบรู้สึกอ่อนเยาว์ พร้อมไปกับการมีสุขภาพที่ดี กับ ครอบครัวกับคนที่เรารักก็ดูจะมีสีสัน มีชีวิตชีวามากขึ้น

เคล็ดลับของการมีอายุที่ยืนยาวขึ้นนั้น มีอยู่หลายประการด้วยกัน เรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่ง คือ การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะจะนำไปสู่การเพิ่มพลังงานในร่างกาย และ การล้างสารพิษ รวมไปถึงทฤษฎีการต่อต้านอนุมูลอิสระ ก็ยังคงฮอตฮิตอยู่อย่างต่อเนื่อง

เริ่มจากทฤษฎีของความเสื่อมชรานั้น เป็นผลมาจากการสะสมสารพิษ ที่เกิดในระดับเซลล์ ซึ่งเป็นส่วนย่อยในร่างกาย อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น เป็นตัวการสร้างสารพิษตกค้างในร่างกาย และ มีส่วนเกี่ยวข้องกับ โรคที่เกี่ยวกับความชรา รวมไปถึง มะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และ อัลไซเมอร์ แม้ว่าในคนที่ยังเด็ก และ มีสุขภาพดีก็ยังมีการสร้างอนุมูลอิสระ จำนวนมาก ภายในเซลล์ จากกระบวนการสร้างพลังงานของไมโตรคอนเดรีย ให้ทำงานแย่ลงไปเรื่อยๆ และ สามารถทำให้กระบวนการผลิตพลังงงานแย่ลง นำไปสู่การแก่ตัวลงของเซลล์

อนุมูลอิสระที่มากเกินไปนั้น สามารถทำความเสียหายให้กับสารพันธุกรรม หรือ DNA ได้ ดังนั้นเพื่อที่จะลดความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระนั้น เป็นสิ่งสำคัญต่อกระบวนการ ชะลอวัยในการป้องกัน ทั้งไมโตรคอนเดรีย และ DNA รวมไปถึงวันนี้ เรามีเทคโนโลยีของเอจล็อค ที่ใช้สารอาหารช่วยกระตุ้นการทำงานของยีนส์ หรือ รีเซ็ตกลุ่มยีนส์ เพื่อให้กลับไปทำงานได้ดีเหมือนกับในช่วงเวลาอายุ 20 ปี ให้มากที่สุด เพียงเท่านี้ความรู้สึกสดชื่นมีเรี่ยวแรง พลังชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง ความคิดฉับไว ก็สามารถเกิดขึ้นกับคุณได้ไม่ว่าปัจจุบันตัวเลขของอายุคุณจะเป็นเท่าใดก็ตาม

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ฉันคือ "ตับ" เธอรู้จักฉันดีหรือยัง?


หวัดดี ฉันคือตับ ของคุณ

ให้ฉันเล่าให้คุณฟังว่า ฉันรักคุณมากเท่าใด 9 ข้อ
  1. ฉันสะสมธาตุเหล็กสำรองรวมทั้งวิตามิน และ แร่ธาตุ ต่างๆ ที่คุณต้องการ หากไม่มีฉัน คุณก็จะไม่มีเรี่ยวแรงที่อยู่ต่อไป 
  2. ฉันผลิตน้ำย่อย สำหรับย่อยอาหารให้คุณ หากไม่มีฉัน คุณก็สูญเสียอาหาร จนไม่มีอะไรเหลืออยู่ 
  3. ฉันทำหน้าที่ล้างพิษของพวกสารเคมีที่คุณมอบให้ฉัน ไม่ว่าจะเป็น แอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ ยาต่างๆ(ที่มีและไม่มีใบสั่งของแพทย์) รวมทั้งบรรดาสิ่งผิดกฏหมายทั้งหลาย หากไม่มีฉันแล้วนิสัยไม่ดีของคุณ ก็จะฆ่าคุณไปแล้ว 
  4. ฉันเก็บพลังงานเหมือนแบตเตอรี่ โดยสะสมน้ำตาล(คาร์โบไฮเดรท , กลูโคส และ ไขมัน) ไว้ให้คุณเมื่อคุณต้องการมัน หากไม่มีฉัน ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณจะลดลงต่ำมาก จนทำให้คุณล้มพับไป 
  5. ฉันสร้างเลือดให้ระบบต่างๆ ของคุณ ก่อนที่คุณจะเกิดเสียอีก หากไม่มีฉันแล้วก็คงจะไม่มีคุณอยู่ที่นี่ 
  6. ฉันผลิตโปรทีนใหม่ที่ร่างกายของคุณต้องการเพื่อการมี สุขภาพดีและเจริญเติบโต หากไม่มีฉันแล้วคุณก็จะไม่เจริญเติบโตอย่างที่ควร 
  7. ฉันกลั่นกรองสารพิษจากอากาศ ไอเสียรถยนต์ และสารเคมี ที่คุณหายใจเข้าไป หากไม่มีฉันแล้วคุณก็จะเหมือนถูกวางยาพิษโดยมลภาวะเหล่านั้น 
  8. ฉันผลิตสารทำให้เลือดแข็งตัว ถ้าคุณบังเอิญไปโดนอะไรบาด หากไม่มีฉันแล้วคุณจะต้องตายเพราะเลือดไหลไม่หยุด 
  9. ฉันคอยต่อสู้ ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ โจมตีคุณ ไม่ว่าจะเชื้อหวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่ อะไรก็ตาม ฉันจะน็อคมันให้ตายหมด หรือ ไม่ก็ทำให้มันอ่อนแรงลง หากไม่มีฉันแล้วคุณก็เหมือนเป้านิ่ง รอให้สารพัดโรคโจมตี
ดูซิว่า ฉันรักคุณแค่ไหน?

แล้วคุณล่ะ รักฉันบ้างไหม?

ขอให้ฉันบอกวิธีง่ายๆ ที่จะ รัก ฉัน , ตับ ของคุณ

อย่ากดฉันให้ต้องจมลงในน้ำเบียร์ แอลกอฮอล์ หรือ ไวน์ เลย สำหรับบางคนแล้วเพียงแก้วเดียว ก็ทำให้ฉันเป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิต

ระวังบรรดา "ยา" ทั้งหลาย ยาทุกอย่างมาจากสารเคมี และเมื่อคุณเอามันมนผสมกันเข้า โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ มันก็กลายเป็นยาพิษที่สามารถทำลายฉันได้อย่างดีทีเดียวละ

ฉันเป็นแผลเป็นง่าย เมื่อเป็นแล้ว เป็นอย่างถาวรเสียด้วย บางครั้งยาก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ การกินยาเกินความจำ เป็น เป็นนิสัยไม่ดี บรรดาสารเคมีเหล่านั้น สามารถทำลายตับได้

จงระวังบรรดากระป๋องสเปรย์ทั้งหลาย จำไว้ว่า ฉันจะต้องล้างพิษทุกอย่าง ที่คุณหายใจเอาเข้าไปด้วย ดังนั้นเวลาคุณทำความสะอาดอะไรด้วยพวกสเปรย์ ต้องให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือสวมหน้ากากด้วย อันตรายเพิ่มเป็นสองเท่า สำหรับพวกสเปรย์ฆ่าแมลง ฆ่าเชื้อรา สี และสารเคมี

ระวังว่าคุณหายใจเอาอะไรเข้าไป ระวังว่าอะไรโดนผิวหนังคุณด้วย ยาฆ่าแมลงที่คุณฉีดต้นไม้ พุ่มไม้นั้น สามารถผ่านผิวหนังของคุณเข้ามาโจมตีฉันได้ด้วย ป้องกันผิวหนังของคุณโดยการสวมถุงมือ ใส่เสื้อแขนยาว หมวก หน้ากากทุกครั้ง ที่คุณฉีดยาฆ่าแมลง

คำเตือน ฉันไม่สามารถ และ ไม่บอกคุณด้วยว่าฉันประสพกับปัญหา จนกระทั่งเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของทั้งฉันและคุณเสียแล้ว

จงจำไว้ว่า ฉันไม่ใช่ประเภทขี้บ่น ให้ฉันทำงานหนักเกินไปโดยอัด ยา แอลกอฮล์ และ บรรดาอาหารขยะ สามารถทำร้ายฉันได้!

นี่อาจเป็นการเตือนครั้งเดียวที่คุณจะได้รับ โปรดฟังคำแนะนำฟรี พาฉันไปให้คุณหมอตรวจ การตรวจเลือด สามารถบอกปัญหาบางอย่างได้

ถ้าฉันยังอ่อนนุ่ม และไม่เป็นตะปุ่มตะป่ำ แสดงว่าฉันยังดีอยู่ ถ้าคุณหมอสงสัย การอัลตร้าเซาวนด์ หรือ ซีที แสกน ช่วยได้

อายุของฉัน กับอายุของคุณ ขึ้นอยู่กับว่า คุณดูแลฉันดีแค่ไหน

คราวนี้คุณรู้แล้วละซี ว่าฉันรักคุณแค่ไหน ได้โปรดดูแลฉันหน่อยด้วยความรักและผูกพัน

จาก เพื่อนร่วมชีวิตผู้สงบเงียบ และคู่รักนิรันดร ของคุณ

ที่มา : รอบรู้

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สีผิวคนไทย เหนือกว่าใครในโลก ไปเปลี่ยนสีผิวกันทำไม?

ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์, พลโท นพ.กฤษฎา ดวงอุไร, พ.ต.หญิง พญ. ภิญญาพัชร์ คเนจร ณ อยุธยา 


เมื่อกันยายนที่ผ่านมา สื่อชื่อดังของอังกฤษ อย่าง เดอะ การ์เดียน เล่นข่าวในทำนองว่า สาวไทยกำลังมีค่านิยมผิดเกี่ยวกับเรื่องสีผิว ต้องการปรับเปลี่ยนสีผิวให้ดูขาวอย่างสาวญี่ปุ่นและเกาหลี โดยสื่อดังกล่าวตั้งข้อสังเกตจากการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผิวในเมืองไทย ต่างก็อวดอ้างสรรพคุณว่า สามารถปรับเปลี่ยนให้ผิวขาวกระจ่างขึ้นได้ภายในระยะเวลารวดเร็ว ทั้งยังมิได้มีแค่ใช้ปรับผิวหน้าหรือผิวตัวเท่านั้น แม้กระทั่งจุดซ่อนเร้นก็ยังมี

ผิดไหม ถ้าอยากมีผิวขาว?...พลโท นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องมีสติ ที่สำคัญสาวไทยควรเข้าใจว่า เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ทำให้คนเรามีสีผิวต่างกัน และไม่อาจเปลี่ยนสีผิวได้อย่างถาวร

การที่คนต่างเชื้อชาติ ต่างเผ่าพันธุ์มีสีผิวไม่เหมือนกันนั้น มีปัจจัยสำคัญอยู่ข้อหนึ่ง คือ ถิ่นฐานที่อยู่ หากอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร สภาพอากาศก็จะเป็นเมืองร้อน แดดแรง ส่งผลให้ร่างกายต้องปรับตัว โดยจะมีการสร้างเม็ดสีขึ้นมามาก เพื่อเป็นเสมือนเกราะป้องกันผิวไหม้ เกิดริ้วรอย และมะเร็งผิวหนัง ฉะนั้น ประเทศใกล้เส้นศูนย์สูตร เช่น ไทย อินโดนีเซีย มาเลย์เซีย ผิวของผู้คนในประเทศดังกล่าวจึงมีสีออกเข้ม เพราะมีเม็ดสีมาก  

หากแบ่งความแตกต่างของสีผิวตามหลักทางการแพทย์แล้ว สามารถแยกได้ 6 ชนิด โดยชนิดที่ 1 ถือเป็นผิวที่ขาวที่สุด ชนิดถัดจากนั้น ผิวจะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ และที่ดำที่สุดคือชนิดที่ 6

พวกที่มีสีผิวชนิดที่ 1 เป็นของคนที่อยู่แถบขั้วโลก พวกเขามีผิวที่ขาวมาก แต่จะสร้างเม็ดสีได้ไม่ค่อยดี ไม่สามารถป้องกันผิวไหม้ได้ ขณะที่ดำที่สุดอย่างชนิดที่ 6 พบในผู้คนแถบเส้นศูนย์สูตร อย่างชาวนิโกร สำหรับผิวของคนไทยหรือแถบเอเชีย ถือว่าเป็นผิวที่ชนิด 3-5 มีการสร้างเม็ดสีได้ดี ผิวสวย ผิวแข็งแรง ริ้วรอยมาช้า มีเพียงแค่ปัญหาฝ้าเท่านั้นที่เกิดขึ้นได้ง่าย

หากถามว่า ทำไมสาวไทยจึงอยากเปลี่ยนสีผิว ให้ขาวอย่างสาวญี่ปุ่นและเกาหลี? พ.ต.หญิง พญ. ภิญญาพัชร์ คเนจร ณ อยุธยา อนุกรรมการประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ เชื่อว่า น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลจากนักแสดงและนักร้องญี่ปุ่น-เกาหลี ประกอบกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งต่างๆ มักพยายามชี้ว่า โอกาสที่ดีเป็นของคนผิวขาวเท่านั้น

ในอดีต เรื่องราวในทำนองนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโรมัน ฝรั่งแถบยุโรป มีความเชื่อว่า ขาวคือความดี ดำคือสิ่งไม่ดี โดยไม่มีตรงกลาง ทั้งยังส่งผลไปถึงเรื่องของสีผิวด้วย ในยุคนั้น คนขาวจะได้รับโอกาสที่ดีทางสังคมทุกด้าน ในทางตรงกันข้าม คนดำกลับถูกมองว่า เป็นทาส เมื่อเป็นเช่นนี้ คนในยุคนั้นจึงพยายามทำผิวให้ขาว

แต่แล้วค่านิยมดังกล่าวก็ค่อยๆ จางลง เมื่อ 'โคโค ชาแนล' ดีไซเนอร์แบรนด์ดังชาวฝรั่งเศส ลุกขึ้นมาปฏิวัติความคิดของผู้คน โดยชี้ว่า คนที่มีผิวขาวจวก ดูซีดเซียว ดูสุขภาพไม่ดี แต่คนที่มีผิวสีแทนต่างหากที่ดูดีกว่า จากนั้น เธอก็ยังนำนางแบบผิวสีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อนำเสนอเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ มีผลให้ความรู้สึกนึกคิดของคนเปลี่ยนไปและยอมรับคนผิวสีกันมากขึ้น

สู่ยุคปัจจุบัน ขณะที่สาวไทยกำลังคลั่งไคล้สีผิวขาวเกินธรรมชาติของตนเองนั้น ฝรั่งต่างชาติกำลังมองไปในทางลบ เห็นได้จากการตีข่าวของสื่อต่างชาติ มีนัยว่า คนเราขาดการสืบค้นข้อมูล และเชื่อคำกล่าวอ้างสรรพคุณโดยง่าย

อย่างไรก็ตาม ในคนที่อยากขาว ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังฯ แนะให้มีสติก่อนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ โดย ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ เตือนให้ตรวจดูส่วนผสมของผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด ที่ใช้แล้วไม่ก่ออันตรายต้องไม่มีสารต้องห้ามที่จัดว่าเป็นเครื่องสำอางผิดกฎหมาย อันประกอบด้วย ปรอท, ไฮโดรควินโนน, และกรดวิตามินเอ เนื่องจากสารเหล่านี้ใช้แล้วจะเกิดการสะสมในร่างกาย เป็นอันตรายต่อผิว โดยเฉพาะสารปรอท ก่อโรคไต ความจำเสื่อม และแขน-ขาอ่อนแรง

ดังนั้น ก่อนซื้อหรือใช้ผลิตภัณฑ์ควรตรวจสอบกับองค์การอาหารและยา (อย.) ว่า เป็นผลิตภัณฑ์ต้องห้ามหรือไม่ และควรติดตามข่าวสาร การประกาศผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง ที่ทางอย.มีการตรวจสอบอยู่สม่ำเสมอ

เมื่อทราบแล้วว่า เหตุใดคนเราจึงมีสีผิวต่างกัน การที่สาวไทยมิได้มีผิวขาวโอโม่เหมือนสาวญี่ปุ่น-เกาหลี ก็เพราะร่างกายต้องสร้างเม็ดสีขึ้นมาเป็นเกราะป้องกันรังสียูวีดังที่กล่าว หากรู้เช่นนี้แล้ว เรายังคิดจะทำลายเกราะป้องกันที่สำคัญนี้อีกหรือ?!.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์


วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) คืออะไร?

ไขมันไตรกลีเซอไรด์คืออะไร ไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันชนิดหนึ่งซึ่งร่างกายได้มาจากสองทาง ทางหนึ่งคือได้มาจากอาหารไขมันจากสัตว์เช่น เนื้อ หมู ไก่ ที่รับประทานเข้าไปโดยตรง อีกทางหนึ่งคือได้จากการที่ตับสังเคราะห์ขึ้นใช้เองในร่างกายจากวัตถุดิบอันได้แก่ น้ำตาล แป้ง และแอลกอฮอล์ ผู้ที่กินจุ กินอาหารที่มีไขมันสูง กินอาหารหวานหรือขนมหวานมาก ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อ้วน หรือขาดการออกกำลังกาย มักพบว่ามีไตรกลีเซอไรด์สูง ภาวะไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดเช่นกัน แต่วงการแพทย์ยังไม่ทราบว่ามันเป็นปัจจัยเสี่ยงเพราะตัวมันเอง หรือเพราะมันสัมพันธ์ผกผันกับเอ็ชดีแอล (คือเมื่อเอ็ชดีแอลในร่างกายต่ำ มักจะพบว่าไตรกลีเซอไรด์สูงเสมอ)

ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์เท่าไรจึงเรียกว่าสูง
โครงการศึกษาโคเลสเตอรอล แห่งชาติอเมริกัน (NCEP) กำหนดมาตรฐานระดับของไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดดังนี้มัน
< 150 mg/dlถือว่าพอดี (optimal)
150-199ถือว่าสูงคาบเส้น (borderline high)
200-499ถือว่าสูง (high)
>500ถือว่าสูงมาก (very high)
จะลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในร่างกายได้อย่างไร? การลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในร่างกาย ทำได้โดย
  1. ลดอาหารคาร์โบไฮเดรต เช่นน้ำตาล แป้ง เพราะอาหารในกลุ่มนี้หากเหลือใช้ จะถูกอินสุลินเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ 
  2. ออกกำลังกาย เพื่อเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตไม่ให้เหลือใช้ ซึ่งท่านสามารถอ่านรายละเอียดเรื่องการออกกำลังกายชนิดต่างๆได้จาก เอกสารแนะนำ 6: การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต 
  3. รับประทานไขมันโอเมก้า 3 ให้มาก ไขมันโอเมก้า 3 มีสามตัว ตัวแรกเรียกว่ากรดอัลฟาไลโนเลอิก (ALA) พบมากในน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันพืชอื่นบางชนิด ตัวที่สองเรียกว่า กรดไอโคสะเปนเตโนอิก (EPA) และตัวที่สามเรียกว่ากรดโดโคซาเฮกเซโนอิก (DHA) ทั้งสองตัวหลังนี้พบมากในน้ำมันปลาทุกชนิด โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำเย็น จึงแนะนำให้รับประทานปลาให้มาก หรือในกรณีที่ไม่ชอบรับประทานปลา แนะนำให้รับประทานน้ำมันปลาชนิดโอเมก้า 3 ซึ่งมีบรรจุเป็นแคปซูลขาย 
  4. เพิ่มอาหารเส้นใยชนิดละลายได้ อาหารกาก หรืออาหารเส้นใย (fiber) แบ่งออกเป็นสองชนิดคือชนิดไม่ละลาย (insoluble) เช่นพืชผักต่างๆ กับชนิดละลายได้ (soluble) ซึ่งได้จากธัญพืชทั้งเมล็ด หรือจากส่วนเคลือบรอบนอกเมล็ดของธัญพืชแบบไม่ขัดสี (whole grain) เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง โอ๊ต แบรนด์ ข้าวสาลีแบบโฮลวีท งานวิจัยในอาสาสมัครพบว่าเส้นใยชนิดละลายได้นี้ ช่วยลดไขมัน LDL ลดไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มไขมัน HDL 
  5. เลิกดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะแอลกอฮอล์นอกจากจะทำให้ตับต้องลดการเผาผลาญไขมันเพื่อใช้พื้นที่ของตับมาสลายพิษของแอลกอฮอล์แล้วในตัวเครื่องดื่มเอง ยังมีคาร์โบไฮเดรทซึ่งเป็นวัตถุดิบให้นำมาเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ได้ 
  6. รับประทานยาในกลุ่มไฟเบรท (fibrates) ซึ่งลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งการรักษาและการดูแลของแพทย์ เพราะยานี้ก็เหมือนยาลดไขมันตัวอื่น ที่มีฤทธิ์ข้างเคียงและมีผลเสียต่อร่างกายในด้านอื่นด้วย
ที่มา : สันต์ ใจยอดศิลป์. ไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride). Health.Co.Th Journal 2010:2:7-7.

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

10 วิธีการทำลายสมอง

สมอง เป็น อวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง เปรียบประดุจศูนย์บัญชาการการทำงานของร่างกาย การรู้จักบำรุงดูแลรักษาสมองให้ปฏิบัติงานได้ดี จึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งเรากลับมีพฤติกรรม ที่ทำร้ายสมองของตัวเองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ลองมาดูกันว่าอะไรบ้างที่เป็นพฤติกรรมทำร้ายสมอง
  1. ไม่ทานอาหารเช้า นอกจากทำให้ระดับน้ำตาล ในเลือดต่ำแล้ว ยังเป็นเหตุให้สารอาหาร ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
  2. กินอาหารมากเกินไป จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
  3. สูบบุหรี่ เป็นสา-เหตุให้สมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
  4. ทานของหวานมากเกินไป ของหวานจะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีน และ สารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
  5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมล-ภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
  6. การอดนอน ถ้าอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้
  7. นอนคลุมโปง การนอนแบบนี้จะเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองไปในตัว
  8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะกำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงาน ของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
  9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
  10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะการพูดเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
นิสัยทำร้ายสมองทั้งสิบอย่างนี้คัดมาฝากกันจาก “ต้นคิด” จดหมายข่าวรายเดือนของสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ เพื่อจะได้ช่วยกันหลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายสมองของตัวเอง.


วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เซลลูไลท์ (Cellulite) คืออะไร?

เซลลูไลท์ Cellulite คือ ลักษณะของ เซลล์ไขมัน ที่สะสมอยู่ชั้นบนของ ผิวหนัง โดยจะมีลักษณะ ขรุขระ คล้าย ผิวเปลือกส้ม เป็นก้อนนูน ไม่เรียบเนียน พบบ่อยมาก ในต้นขาและสะโพกของผู้หญิงเราแม้แถวๆ บริเวณช่วงก้น หรือหน้าท้องก็ยังมี แต่ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือต้นขา และสะโพก สืบเนื่องมาจากการบริโภคไขมันต่างๆ ที่เมื่ออายุมากขึ้นและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ก็จะเห็นเซลลูไลท์นี้ ปรากฏชัดเจนตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ที่พร้อมจะเพิ่ม และ พอกพูนขึ้นมาทีละน้อยๆ การนั่งมากๆในชีวิตประจำวัน จะทำให้เนื้อเยื่อ ที่เชื่อมต่อกันด้านและหนาอัน เป็นต้นเหตุแห่งผิวขนมจีน เป็นหยักๆ ลอนคลื่นไม่เรียบเนียนได้อีกด้วย

สาเหตุ ของการเกิด เซลลูไลท์
  1. ฮอร์โมน จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะหญิงมีฮอร์โมนตัวหนึ่ง ที่เรียกว่า เอสโดเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่ทำให้ผู้หญิง สามารถมีบุตรได้ นอกจากนี้ก็ยังทำให้ผิวพรรณของผู้หญิง เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้นอีกด้วย
  2. การขาดออกกำลังกาย การเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อเนื่อง
  3. การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ มีระบบการ ไหลหมุนเวียนของโลหิตที่ไม่ดี ตลอดจนเสื้อผ้าที่ฟิดแน่นจนเกินไป
  4. กรรมพันธ์ แต่ต่างจากกรรมพันธ์ ในเรื่องของเล็บ หรือสีและลักษณะเส้นผม ตรงที่เราสามารถต่อกร หรือเปลี่ยนแปลงสภาพเจ้าเซลลูไลท์ได้
  5. ดื่มน้ำน้อย เพราะน้ำช่วยการทำงาน ของระบบขับของเสีย และช่วยขับพิษออกจากร่างกาย กำหนดว่าควรดื่มน้ำแปดแก้วต่อวัน เป็นอย่างน้อย
  6. การลดความอ้วนแบบผอมด่วนฮวบฮาบ จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเกิดเซลลูไลท์ อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจากร่างกายเกิดการตอบรับว่า ไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ และต้องพยายามสะสมสารอาหารในร่างกาย เพื่อความอยู่รอด การสะสมอาหารและไขมันนี่เอง ที่ทำให้ช่วยก่อเซลลูไลต์ ไขมันเหล่านี้ จะกั้นเส้นเลือด และติดหนึบอยู่ในเนื้อเยื่อ จึงทำให้ระบบกำจัดสารพิษ และ ของเสียไร้ประสิทธิภาพ
  7. การสูบบุหรี่ ทำร้ายทั้งผิวทั้งปอด ทำให้ผิวอ่อนแอ เส้นเลือดฝอยหดตัว และยังทำให้เนื้อเยื่อ ที่เชื่อมต่อกันถูกทำลาย อันเป็นผลให้เกิด คลื่นเซลลูไลท์
  8. ความเครียด เป็นผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวหนัก เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อ ก็ขมวดเกร็งตามไปด้วย ความตึงเครียด ยังไปขวางเนื้อเยื่อ ไม่ให้กำจัดของเสีย และล้างเลือดให้สะอาด
  9. การใช้ยาลดความอ้วน ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงาน ตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบชำระเลือด อันนำไปสู่ปัญหาเซลลูไลท์ ยามคุมกำเนิด ประเภทรับประทาน ซึ่งไปเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เซลไขมันขยายตัว และเก็บน้ำจนบวม ร่างกายก็ไม่มีน้ำ พอที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย สุดท้ายก็กลายเป็นเซลลูไลท์
วิธีกำจัด และ ป้องกันการเกิดเซลลูไลท์ ที่นิยมทำกันในปัจจุบัน 
  1. Mesotherapy เป็นวิธีการที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการกำจัด เซลล์ลูไลท์ การลดน้ำหนัก การรักษาด้วย Mesotherapy คือ การฉีด สารสกัด จาก ถั่วเหลือง และ วิตามิน ชนิดต่างๆ โดยสารเหล่านี้ จะ ทำให้ เซลล์ไขมัน มีลักษณะทางกายภาพเปลี่ยนไป ทำให้การสะสมของ ไขมัน ลดลงและยังเป็นการกระตุ้นให้ ไขมัน สะสมถูกปล่อยออกมาด้วย
  2. Carboxy คือ การลด ไขมัน เฉพาะที่ด้วย ก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซที่ละลายน้ำได้ดี สลายตัวได้เร็ว และพบว่าเมื่อฉีด คาร์บอนไดออกไซด์ เข้าไปยัง ชั้น ไขมัน ใต้ผิวหนัง จะช่วยเพิ่มการขยายตัวของเส้นเลือดและทำให้เซลล์ ไขมัน สลายตัวและถูกกำจัดออกไป นี้นับเป็นเทคนิคใหม่ในการขจัด เซลลูไลท์ หรือ ลดไขมัน เฉพาะส่วนที่ไม่ต้องการ อย่างเช่น บริเวณ หน้าท้อง ใต้ท้องแขน สะโพก น่อง บริเวณ ก้น บริเวณ น่อง ที่โต หรือ สะโพก ที่ใหญ่เกินไป
  3. ออกกำลังกาย อย่าลืมว่าการออกกำลังกายนั้น นอกจากทำให้ร่างการแข็งแรงแล้ว ยังทำให้ระบบในร่างกายปรับสภาพความสมดุลได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเดินเร็วๆ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ หรือการเต้นแอโรบิค ซึ่งควรออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30-40 นาทีขึ้นไปจะดีมากทีเดียว การออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกายออกไปได้ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม อีกทั้งกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆ ของร่างกายก็ยังกระชับได้สัดส่วนอีกด้วย
  4. การขัดถูผิว การขัดผิว ด้วยแปรงหรือใย ขัดผิว ระหว่างอาบน้ำ จะเป็นการช่วยเรื่อง การระบายของเหลว และกระตุ้น ระบบหมุนเวียนโลหิต และน้ำเหลืองได้ดีขึ้น รวมทั้งยังช่วยกำจัดสารพิษออกจาก ผิวหนัง การ ขัดผิว ควรจะขัดในลักษณะ เคลื่อนที่เป็นวงกลม นอกจากนี้ควรใช้เจลอาบน้ำ หรือสบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง หรือเกิดการระคายเคือง โดยทั่วไปใช้เวลาในการขัดถูผิว 2 - 3 นาที
  5. เลือกรับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น ผักและผลไม้ที่มีกากใยมากๆ จะช่วยในเรื่องของระบบ ขับถ่าย และควรงดรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต แป้ง น้ำตาล อาหารรสเค็ม ไขมันสัตว์ กาแฟ แอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้ยากที่จะขจัดออกจากร่างกาย
  6. การออกกำลังกาย การที่ น้ำหนัก ของร่างกายขึ้น หรือลดลงเร็วเกินไป ผิวจะเสียการยืดหยุ่น และเกิดรอยย่นของ เซลลูไลท์ ส่วนการออกกำลังกายจะช่วยทำให้ เซลลูไลท์ ที่สะสมอยู่สลายตัว และ กระชับขึ้นการออกกำลังกายที่ได้ผลดีนั้น ได้แก่ การเดินออกกำลัง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เป็นต้น
  7. ใช้ครีมหรือโลชั่นนวดขจัดเซลลูไลท์ ครีม หรือ โลชั่นทาผิว ที่ใช้ช่วยในการขจัด เซลลูไลท์ โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนี้ ต้องได้รับการทดสอบแล้วว่า สามารถทำให้ เซลลูไลท์ ดูเบาบางลงได้ และยังช่วยในการปรับสภาพผิวได้ด้วย ซึ่งการนวดจะช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น และยังเป็นการทำให้ น้ำมันซึมสู่ผิวหนังได้ดีขึ้น การนวด ช่วยกระตุ้นประสิทธิภาพ ระบบการกำจัดของเสีย ของร่างกาย ด้วยการจัดการกล้ามเนื้อ เร่งการไหลเวียนโลหิต และระบบต่อมน้ำเหลืองที่ช่วยย่อยไขมัน การนวดเฉพาะส่วน ในบริเวณที่ปกติ การไหลเวียนเป็นไปไม่สะดวกเช่น หัวเข้าด้านในและต้นขาจะให้ผลยอดเยี่ยม ลองนวดขาตัวเองเป็นรูปวงกลม พร้อมทั้งบีบปั้นเนื้อส่วนนั้นไปพร้อมๆกัน วันละ 2-3 นาทีเพื่อละลายไขมันและกำจัดพิษ
และหากคุณอยากรู้ว่า คุณมีเจ้าเซลลูไลท์นี้หรือไม่ ลองจับผิวด้วยการใช้มือบีบเข้าหากัน ที่ปรากฏเป็นผิวขรุขระเหมือนผิวลูกกอล์ฟ หรือผิวส้มนั่นละ เซลลูไลท์ในตัวคุณ ถ้าคุณมีก็อย่ารั้งรอที่จะออกกำลังกาย และลดการบริโภคตามใจปากกันได้แล้ว


วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ อาหารเสริมสุขภาพ

เนื่องด้วยทุกวันนี้ มีผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" ในท้องตลาดอยู่มากมายหลากหลายผลิตภัณฑ์ แล้ว เราจะทราบได้อย่างไรว่า "อาหารเสริมสุขภาพ" เหล่านั้นจะสามารถทานได้อย่างวางใจ และ แน่ใจได้ว่า ปลอดภัยต่อสุขภาพของเรา

ดังนั้นผมจึงขอรวบรวม "ธรรมนูญ" ว่าด้วย การเลือกผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" ให้ผู้อ่านได้พิจารณากันว่า เราควรจะเลือก "อาหารเสริมสุขภาพ" กันอย่างไร จึงจะปลอดภัยกับตัวเรามากที่สุด ซึ่ง "ธรรมนูญ" ที่ว่านี้ มีด้วยกัน 8 ข้อ ดังนี้
  1. เป็นสารอาหารที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด หมายความว่า ต้องเป็นสารอาหารที่สกัดออกมาจากธรรมชาติ ไม่มีการปรุงแต่งของสารเคมีเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ต้องไม่มีส่วนผสมของสารกันบูด, กันหืน, กันเชื้อรา
  2. มีปริมาณสารอาหารหลากหลาย หมายความว่า ไม่ใช่ได้รับสารอาหารแค่ 1 หรือ 2 ชนิด เพราะสารอาหารนั้นจะต้องมีการทำงานเป็นเครือข่าย เสมอ สารอาหาร ไม่สามารถทำงานด้วยตัวมันเองเดี่ยวๆได้เลย เช่น Vitamin C จะต้องทำงานร่วมกับ Vitamin A และ Vitamin E เสมอ
  3. ทำงานเป็นเครือข่าย และ จับคู่ได้ถูก หมายความว่า ไม่ใช่แค่มีปริมาณสารอาหารที่หลากหลาย แต่จับคู่การทำงานไม่ถูก ก็ไม่เกิดประโยชน์เช่นกัน เช่น ถ้าหากบอกว่า มีสารอาหารหลากหลาย แต่ สารอาหารเหล่านั้นไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ เช่น บอกว่ามี  Vitamin A และ Vitamin E แต่ไม่มี Vitamin C  Vitamin A และ Vitamin E ก็ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ในทางกลับกันอาจจะได้รับผลลัพท์ ในด้านที่ไม่น่าพอใจกลับมาแทน นอกจากวิตามันแล้ว เกลือแร่ ก็สำคัญ เช่น หากเราทาน แคลเซียม (Calcium) อย่างเดียว โดยไม่มี แมกนีเซียม (Magnesium) ก็ไม่ได้ เพราะร่างกายไม่สามารถดูดซึม แคลเซียม (Calcium) เข้าสู่ร่างกายได้ และ หากไม่มี วิตามิน D ร่างกายก็ไม่สามารถดึง แคลเซียม (Calcium) ที่อยู่ในกระดูกออกมาใช้งานได้เช่นกัน โดยปรกติแล้วอัตราส่วนระหว่าง แคลเซียม (Calcium) กับ แมกนีเซียม (Magnesium) ต้องเป็น 2:1 เสมอ เช่น ทาน แคลเซียม (Calcium) 1000 มิลลิกรัม จะต้องทาน แมกนีเซียม (Magnesium) 500 มิลลิกรัมร่วมด้วยเสมอ เพราะหากเราไม่มี แมกนีเซียม (Magnesium) เป็นตัวพา แคลเซียม (Calcium) เข้ากระดูก แคลเซียม (Calcium) จะสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของกระดูก และ มีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกงอกได้อย่างง่ายดาย
  4. ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ หมายความว่า ต้องได้รับสารอาหารไม่ขาดไม่เกิน จากที่ร่างกายต้องการ เช่น ร่างกายต้องการ Vitamin C วันละ 1000 มิลลิกรัม เราก็ต้องทาน Vitamin C ให้ได้วันละ 1000 มิลลิกรัม ตามที่ร่างกายต้องการ แต่ ที่สำคัญ คือ ร่างกายสามารถรับ Vitamin C ได้ครั้งละไม่เกิน 500 มิลลิกรัมเท่านั้น ถ้าทานมากกว่านั้น ร่างกายจะขับทิ้งทางปัสสาวะ ทำให้วิตามินส่วนที่เหลือ สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้นในการรับ Vitamin C ที่ถูกต้องคือ ได้รับวันละ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 500 มิลลิกรัม
  5. ร่างกายสามารถดูดซึม และ นำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หมายความว่า ไม่ต้องรอย่อยด้วยน้ำย่อย เพราะ เกลือแร่ ส่วนใหญ่เมื่อโดนน้ำกรดในกระเพาะอาหารแล้ว เกลือแร่ เหล่านั้นมักจะสูญสลายไปมากกว่า 50% เสมอ ดังนั้น เราต้องเลือกผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ทันที
  6. ไม่มีการเหลือตกค้างอยู่ในร่างกาย หมายความว่า เมื่อทานเข้าไปแล้วร่างกายสามารถนำไปใช้งานได้หมด ไม่เหลือตกค้างอยู่ในร่างกาย หรือ ถ้าใช้งานไม่หมด ร่างกายสามารถขับออกได้ โดยไม่มีผลกระทบใดๆกับร่างกาย และ สามารถทานต่อเนื่องได้ตลอดไป ไม่จำเป็นต้องทาน 3 เดือน เว้น 1 เดือน (กรณี ผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" อะไรที่บอกว่าให้ทาน 3 เดือน เว้น 1 เดือน นั้น ส่วนใหญ่แล้วหมายความว่า จะเป็นสารอาหารที่สังเคราะห์ขึ้นมาจากสารเคมี ซึ่งร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ได้หมด และ ไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงต้องมีช่วงพัก เพื่อให้ร่างกายขับสารพิษตกค้างเหล่านั้นออกมาได้)
  7. มีความปลอดภัยสูง ซึ่งจะต้องได้รับการรับรองจากองค์กรกลางที่น่าเชื่อถือ หมายความว่า ต้องได้รับการไว้วางใจจากองค์กรกลาง และ เป็นสากล ว่าทานแล้วไม่มีผลกระทบต่อร่างกายจริง องค์กรกลางที่น่าสนใจเช่น โอลิมปิคสากล, ConsumerLab, PDR หรือ (Physical Desk Reference), Banned Substances Control Group (BSCG)
  8. วัดผลได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ หมายความว่า ในการใช้ หรือ ทานผลิตภัณฑ์ "อาหารเสริมสุขภาพ" ผู้ที่ทานไปแล้ว ต้องสามารถตรวจสอบได้ว่า ทานไปแล้วได้ผลดีจริงๆ โดยการตรวจสอบนั้นต้องตรวจวัดโดยใช้หลักฐาน ทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ไม่ใช่ รู้สึกไปเอง หรือ ให้คนอื่นบอก เพราะการที่ไม่สามารถตรวจวัดได้นั้น ไม่ใช่หลักการทางวิทยาศาสตร์


วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เห็ดถั่งเช่าคืออะไร? และ มีข้อดีอย่างไร?

"คุณแม่ของดิฉันเริ่มมีภาวะการทำงานของไตเสื่อม คุณหมอแจ้งว่าหากตรวจครั้งต่อไปแล้ว การทำงานของไตยังไม่ดีขึ้น อาจต้องมีการล้างไต มีคนแนะนำให้รับประทานผลิตภัณฑ์จากเห็ดคอร์ดีเช็พส์ หรือ ถั่งเช่า ประมาณ 2 เดือน ได้ไปพบกับแพทย์อีกครั้งหนึ่ง พบว่าภาวะการทำงานของไตเริ่มดีขึ้น จึงยังไม่ต้องล้างไต ดิฉันอยากทราบว่าประโยชน์ของเห็นถั่งเช่าค่ะ ว่าดีต่อสุขภาพด้านอื่นๆอย่างไร"
เห็ดคอร์ดีเซ็พส์ ไซเนเชีส หรือ เห็ดถั่งเช่าเป็นพืชสมุนไพร ที่มีการใช้ทางการแพทย์แผนจีนมาเป็นเวลาหลายพันปี ปกติจะเป็นสมุนไพรที่หายากมาก และ ราคาสูง ทีมนักวิทยาศาสตร์ของฟาร์มาเน็กซ์ได้ศึกษาวิจัย และ พบว่า สายพันธุ์ที่ดีที่สุดได้แก่ พันธุ์ซีเอส-4 ซึ่งมีประสิทธิภาพ และคุณประโยชน์เทียบเท่ากับถั่งเช่าที่พบได้ในธรรมชาติ มีผลงานวิจัย เกี่ยวกับประโยชน์ของถั่งเช่า และ พบว่าถั่งเช่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน บางเท่านเรียกถั่งเช่าว่า เป็นสมุนไพร แห่งการต้านการเสื่อมชรา ประโยชน์ดังกล่าวได้แก่
  • ดีต่อระบบทางเดินหายใจ ปอด ช่วยให้ร่างกายนำออกซิเจนไปใช้ได้ดีขึ้น ช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีพลัง ทนต่อภาวะเครียด หรือ การออกกำลังกายที่หักโหมได้ดี
  • ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
    • ช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
    • ช่วยลดการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ช่วยให้ไขมันดี เอชดีแอล (HDL) เพิ่มขึ้น
    • ช่วยดูแลระดับความดันเลือดให้ปกติ
  • มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • ดูแลสุขภาพการทำงานของไต
  • ดีต่อสุขภาพดานสมรรถภาพทางเพศ
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาว่ามีประโยชน์ต่อการทำงานของตับและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

หมายเหตุ : ผู้มีโรคประจำตัวและต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์หรือรับประทานยาโรคประจำตัว แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเสริมอาหาร

ที่มา : เอกสารสุขต่อเนื่อง ประจำเดือนพฤศจิกายน 2555

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เซรุ่ม คืออะไร?

เซรุ่ม เป็นภูมิคุ้มกันโรค ที่ฉีดเข้าร่างกาย เพื่อรักษาโรคได้ทันที อย่างเช่น เซรุ่ม กับการรักษาอาการของงูกัด แต่ก็มีข้อเสีย คือ ผู้ที่ได้รับเซรุ่มอาจเกิดอาการแพ้รุนแรงเกิดขึ้นได้

เซรุ่ม เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า serum. เป็นคำเรียกของเหลวใสสีเหลืองอ่อน ซึ่งลอยอยู่เหนือลิ่มเลือด ถ้าเจาะเลือดออกมาใส่หลอดแก้วตั้งทิ้งไว้ เลือดจะแข็งตัวเป็นลิ่มเลือดแล้วจะหดตัว, เซรุ่มจะลอยอยู่เหนือลิ่มเลือดนั้น.

เซรุ่มที่รู้จักกันทั่วไป คือ ของเหลวใสที่สกัดจากเลือดสัตว์บางชนิด เช่น เลือดม้า เลือดกระต่าย, โดยม้าหรือกระต่ายนั้นได้รับพิษงู หรือ ทอกซอยด์ (toxoid) ของเชื้อโรคบางชนิด เช่น โรคคอตีบ เพื่อให้ม้าหรือกระต่ายเกิดภูมิคุ้มกันพิษงูหรือโรคนั้น. เมื่อสกัดเซรุ่มจากเลือดม้า เลือดกระต่ายพวกนี้มาฉีดให้คน ก็จะแก้พิษงูหรือทำให้คนเกิดภูมิคุ้มกันโรคนั้น ๆ ได้

เซรุ่ม (Serum) เป็นภูมิคุ้มกันโรคที่ฉีดเข้าร่างกายแล้วร่างกายสามารถนำไปใช้รักษาโรคได้ทันที เพราะเซรุ่มเป็นแอนติบอดีที่ สัตว์สร้างขึ้น เซรุ่มอาจทำได้โดยฉีดเชื้อโรค ที่อ่อนฤทธิ์ลงแล้วเข้าไปใน ม้าหรือกระต่าย เมื่อม้าหรือกระต่ายสร้างแอนติบอดีขึ้นในเลือด เราจึงดูดเลือดม้าหรือกระต่ายที่เป็น น้ำใส ๆ ซึ่งมีแอนติบอดีอยู่ นำมาฉีดให้กับผู้ป่วย ตัวอย่างของเซรุ่ม เช่น เซรุ่มป้องกันโรคคอตีบ เซรุ่มป้องกันโรคบาดทะยัก เซรุ่มป้องกัน โรคไอกรน เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เซรุ่มแก้พิษงู เป็นต้น

การสร้างภูมิคุ้มกันโรคโดยการใช้วัคซีนหรือเซรุ่มนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนี้

ข้อดีของวัคซีน คือ ไม่เกิดอาการแพ้รุนแรง และทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคอยู่ได้นาน ส่วนข้อเสียของ
วัคซีน คือ ร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ได้ทันที
ข้อดีของเซรุ่ม คือ ร่างกายสามารถนำเซรุ่มไปใช้ต้านทานโรคได้ทันที แต่ก็มีข้อเสีย คือ ผู้ที่ได้รับเซรุ่มอาจเกิดอาการแพ้รุนแรงเกิดขึ้นได้

การนำวัคซีนหรือเซรุ่มเข้าสู่ร่างกายทำได้หลายวิธี คือ
  1. การฉีด เช่น วัคซีนป้องกันโรคไทฟอยด์ วัคซีนป้องกันวัณโรค เป็นต้น
  2. การกิน เช่น วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ
  3. การพ่น เช่น วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก
  4. การปลูกฝี เช่น วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ ปัจจุบันนี้ไม่ต้องปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษแล้ว เพราะองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศที่เมืองไนโรบี ประเทศเคนยา เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2522 ว่าไข้ทรพิษได้สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้แล้ว
ยกตัวอย่างเซรุ่ม
  • เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเป็นอย่างไร
    เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเป็นเซรุ่มส่วนของน้ำใสของเลือดที่ ได้จากม้าหรือคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า ในเซรุ่มจะมีโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันต่อโรคพิษสุนัขบ้าในปริมาณ ที่มากเซรุ่มจะไปทำลายเชื้อไวรัสในร่างกายของผู้ถูกสุนัขบ้ากัด โดยการฉีดรอบ ๆ แผลก่อนจะก่อโรค และก่อนที่ภูมิต้านทานของร่างกายจะสร้างขึ้น ด้วยเหตุนี้การให้เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้ผลดีที่สุด แต่เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจากเลือดม้า และศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย ได้ผลิตเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจากเลือดคน เพื่อใช้เองภายในประเทศ โดยขอรับบริจาคโลหิตจากคนที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าครบแล้วและต้อง การเข้าโครงการเพื่อทำบุญ กรุณาติดต่อ กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ทุกวันเวลาราชการ
  • เซรุ่มแก้พิษงู
    เซรุ่มคือสารซึ่งผลิตขึ้นจากพิษงู หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจกว่านั้น เซรุ่มก็คือน้ำเหลืองจากเลือดของสัตว์ เช่นม้า ที่ได้รับการฉีดพิษงู ที่ถูกผสมให้จางตามวิธีการ ทีละน้อย จนมีความต้านทานพิษงูได้ดี แล้วดูดเลือดจากม้า เอาน้ำเหลืองของเลือดซึ่งได้กลาย เป็นเซรุ่ม แล้ว มาฉีดคนที่ถูกงูกัดแก้พิษงูได้ ประเทศไทย มีหน่วยราชการ คือ สถานเสาวภา ของกองวิทยาศาสตร์ สภากาชาดไทย เป็นสถานที่ผลิตเซรุ่มที่มีชื่อเสียง นอกจากจะผลิตขึ้นใช้ภายในประเทศแล้ว หลายประเทศยังซื้อไปใช้ด้วย เซรุ่มที่ผลิตขึ้นในระยะแรก ๆ เป็นเซรุ่มชนิดน้ำ จะมีอายุใช้ได้ภายในเวลา 2 ปี นับจากเมื่อเสร็จจากกรรมวิธีการผลิต ต้องเก็บไว้ในห้องเย็นซึ่งยากต่อการรักษา ปัจจุบันการผลิตก้าวหน้าขึ้น คือสามารถผลิตเซรุ่มชนิดแห้งได้ เมื่อจะใช้ก็ผสมกับน้ำกลั่นเหมือนยาฉีดชนิดอื่น ๆ เซรุ่มแห้งมีอายุใช้ได้นานกว่า 5 ปี
ที่มา เซรุ่ม

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กลูต้าไธโอน (Glutathione) คืออะไร? สำคัญอย่างไร?


สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายเรา สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน โดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยตับ ในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย เช่น ตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ เมื่อรวมตัวกับสารกลูตาไธโอน จะช่วยให้ละลายน้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ในที่สุด สารพิษจำพวกโลหะหนักหรือสารกำจัดแมลง สามารถถูกขจัดออกจากร่างกายได้โดยการทำงานของกลูตาไธโอนร่วมกับตับ

กลูต้าไธโอน (Glutathione) ยังมีหน้าที่สำคัญอีกมากมายในร่างกาย เช่น สังเคราะห์โปรตีน ช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง

กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นสารประเภท Tripeptide ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine และ Glutamic acid หน้าที่หลักของสารตัวนี่ที่เด่นมีอยู่ 3 ประการ คือ
  1. Detoxification : กลูต้าไธโอน (Glutathione) ช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะ Glutathion-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกาย โดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้น และง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ
  2. Antioxidant : กลูต้าไทโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่
  3. Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิด เพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้กลูตาไทโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีนและ protaglandin
โดยสรุปสารกลูต้าไธโอน (Glutathione) จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับ วิตามินซีหรือวิตามินอี เมื่ออายุคนเรามากขึ้นปริมาณ กลูต้าไธโอน (Glutathione) ในร่างกายจะลดน้อยลง มีผลทำให้เซลล์และอวัยวะทุกส่วนเสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้าม นักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาว และมีสุขภาพแข็งแรง มักจะตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด

การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์จากสารกลูต้าไธโอน (Glutathione)

กลูต้าไธโอน (Glutathione) มีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรค เกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยามามากกว่า 30 ปี การรักษามักจะให้โดยการฉีดเข้าเส้น หรือเข้าที่กล้ามเนื้อ อาการข้างเคียงของยาดังกล่าวตอนนี้ยังไม่พบ แต่อย่างไรก็ตามพบว่า สารกลูตาไธโอนมีผลข้างเคียง ในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนัง เปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำ เป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงนี้จึงทำให้มีการแตกตื่น และนำกลูต้าไธโอนมาเตรียมเป็นยาเม็ด เพื่อใช้เป็นอาหารเสริม เพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู

ยาเม็ดกลูต้าไธโอน (Glutathione) ได้ผลจริงหรือ ?


ในวงการของอาหารเสริม มีการนำสารกลูต้าไธโอน (Glutathione) มาทำเป็นยาเม็ดในขนาดความแรงต่างๆ กัน เพื่อใช้ในการรับประทานเป็นอาหารเสริม โดยหวังผลว่า จะสามารถเสริม และทดแทนปริมาณกลูต้าไธโอน (Glutathione) ที่ร่างกายมีไม่พอหรือบกพร่องไป อันเนื่องมาจากสาเหตุของโรคต่างๆ

จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า สารกลูต้าไธโอน (Glutathione) จะไม่สามารถถูกดูดซึม จากกระเพาะอาหารได้ เพราะจะถูกย่อยสลาย และขับออกทางลำไส้ ดังนั้นการรับประทานยาเม็ดกลูต้าไธโอน (Glutathione) จึงไม่ได้รับประโยชน์เลย ไม่ว่าจะกินครั้งละหลายๆ เม็ดหรือในขนาดที่สูงมากๆ ก็ตาม

กลูต้าไธโอนช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือ?

ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ ของการใช้ยากลูต้าไธโอน (Glutathione) คือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสี ที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริม และเพิ่มความเข้มข้นของกลูต้าไธโอน ในกระแสเลือดให้มากๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผล เพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลาย และกำจัดออกจากร่างกาย ไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลง โดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อ เช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด

ภาวะที่ร่างกายขาดกลูต้าไธโอน (Glutathione)

เนื่องจากสารดังกล่าวร่างกายสร้างได้เอง แต่สภาวะที่ร่างกายอาจขาด หรือมีกลูต้าไธโอน (Glutathione) ไม่เพียงพอ เช่น เมื่อร่างกายมีโรคแทรกซ้อน ทำให้กลูต้าไธโอนลดน้อยลง ด้วยสาเหตุการถูกทำลายด้วยยารักษา หรือด้วยตัวโรคเอง หากร่างกายขาดหรือมีกลูตาไธโอนน้อย จะมีผลทำให้เกิดโรคตับอักเสบง่าย ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ มีโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อน ของระบบทางเดินหายใจ โรคหืด ผู้ที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับความบกพร่อง ของกลูต้าไธโอนมักจะมีปัญหาโรคแทรกซ้อน ทางระบบประสาท ผู้ที่ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ ปริมาณกลูต้าไธโอนในระบบเลือดจะต่ำมากๆ ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็เช่นกัน ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย

ลักษณะของกลูต้าไธโอน (Glutathione)
  • กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระภายในเซลล์พบมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ตับ (จนถึง 5 mM)
  • กลูต้าไธโอน (Glutathione) ถูกสังเคราะห์โดย Glutathione synthase โดยการใช้กรดอะมิโน 3 ชนิด : L-cysteine, L-glutamate และ glycine
  • ตามธรรมชาติมี 2 รูปแบบ ได้แก่ reduced Glutathione (GSH) และ oxidized Glutathione disulphide (GSSG)
  • อำนวยความสะดวกต่อการทำงานของภูมิคุ้มกัน
  • เป็นสาร mitochondrial antioxidant
  • เป็นสาร co-factor/ เอนไซม์ใน phase I enzymatic detoxification pathway
  • Phase II detoxification pathway
  • การป้องกันระบบประสาท
ผลข้างเคียง
  • ผิวหนังแดง
  • ความดันโลหิตต่ำ
  • หอบหืดเฉียบพลัน
  • อาจเกิด anaphylactic reaction จากการปนเปื้อนหรือความไม่บริสุทธิ์
สารที่ทำให้ขาดกลูต้าไธโอน (Glutathione)
  • การสูบบุหรี่
  • ดื่มแอลกอฮอล์
  • คาเฟอีน
  • ยาพาราเซตามอล
  • ยา
  • ออกกำลังกายหนัก
  • รังสี X Y และยูวี
  • Xenobiotics
  • Estradiol
บทบาทของกลูต้าไธโอน (Glutathione) ในยาแผนปัจจุบันและยาแผนทางเลือก
  • พิษจากยาพาราเซตามอล
  • โรคมะเร็ง
  • xenobiotics detoxification
  • โรคพาร์คินสัน
  • โรคอัลไซเมอร์
  • เพิ่มภูมิคุ้มกัน เอดส์ ต้านเชื้อไวรัส เชื้อ herpes simplex virus type I
  • โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
  • สูญเสียการได้ยินเนื่องจากเสียง
  • ผู้ชายที่เป็นหมัน
  • ออทิสติก
  • โรคเหนื่อยเรื้อรัง
  • โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
  • ความดันโลหิตสูง
  • metabolic syndrome
  • autoimmune thyroiditis
กลูต้าไธโอน (Glutathione) ในธรรมชาติ

พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากใน หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ใน ปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว จะพบมากใน Asparagus อะโวกาโด และ Walnut ร่างกายเราก็สามารถสร้างกลูต้าไทโอนได้ และมีสารหลายชนิดที่ช่วยเพิ่มการสร้างได้แก่ Alpha lipoic acid, Glutamine3, Methionine, Whey Protein, Vitamin B-6, Vitamin B-2 , Vitamin C4 และ Selenium

ดังนั้นควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิดๆ และขาดความเข้าใจ

ข้อมูลบางส่วนจาก : กลูต้าไธโอน(Glutathione) คืออะไร?? ช่วยให้ขาวได้ดั่งฝันจริงหรือ??, กลูต้าไธโอนคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร


มาตรฐาน ISO คืออะไร?

มาตรฐานไอเอสโอ(ISO)คืออะไร มีกี่ประเภท
ISO มาจากคำว่า International Standardization and Organization มีชื่อว่าองค์การมาตรฐานสากล หรือองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1946 หรือพ.ศ.2489 มีสำนักงานอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีวัตถุประสงค์คล้ายๆ กับองค์การการค้าอื่นๆ ของโลก คือจัดระเบียบการค้าโลก ด้วยการสร้างมาตรฐานขึ้นมา ใครเข้าระบบกติกานี้ถึงจะอยู่ได้

ช่วงที่ ISO ก่อตั้งขึ้น เป็นช่วงสงครามโลกก็เพิ่งจะจบลงใหม่ๆ ดังนั้นประเทศต่างๆ ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก ต่างคนต่างขายของ โดยมีระบบมาตรฐานไม่เหมือนกัน

จนกระทั่งในปี 2521 เยอรมนีเป็นตัวตั้งตัวตีให้ทั่วโลก มีมาตรฐานคุณภาพสินค้าเดียวกัน ส่วนองค์กรมาตรฐานโลกก็จัดตั้งระบบ ISO/TC176 ขึ้น

ต่อมาอีก1ปี อังกฤษพัฒนาระบบคุณภาพที่เรียกว่า BS5750 ใช้ในเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ จากนั้นในปี 2530 ISO จึงจัดวางระบบการบริหาร เพื่อการประกันคุณภาพที่สามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบเอกสาร หรือที่เรียกว่า อนุกรมมาตรฐาน ISO 9000 เป็นมาตรฐานที่กำหนดใช้ในทุกประเทศทั่วโลก

ตัวเลข 9000 เป็นชื่ออนุกรมหนึ่ง ที่แตกแยกย่อยความเข้มของมาตรฐาน งานออกเป็นอีก 3 ระดับ คือ ISO 9001 , ISO 9002 และ ISO 9003 นอกจากนี้ยังมีอีกอนุกรมหนึ่งคือ ISO 14000 เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมและระบบคุณภาพ

9000 เป็นแนวทางในการเลือก และกรอบในการเลือกใช้มาตรฐานชุดนี้ให้เหมาะสม

ISO 9001 มีระดับความเข้มมากที่สุด คือหน่วยงานที่จะได้รับอนุมัติว่า มีระบบคุณภาพมาตรฐานสากล ในระดับนี้จะต้องมีรูปแบบลักษณะ การทำงานในองค์กรตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ 20 ข้อ โดยมีการกำกับดูแลตั้งแต่การออกแบบ การพัฒนา การผลิตและการบริการ ยกตัวอย่างชื่อหัวข้อที่พอจะเข้าใจ เช่น กลวิธีทางสถิติ การตรวจสอบการย้อนกลับของผลิตภัณฑ์ การจัดเก็บการเคลื่อนย้าย เป็นต้น

ISO 9002 ก็จะเหลือเพียง 19 ข้อ ดูแลเฉพาะระบบการผลิต การติดตั้งและการบริการ (ตัดกลวิธีทางสถิติออกไป)

ส่วน ISO 9003 เหลือแค่ 16 ข้อ ดูแลเฉพาะการตรวจสอบขั้นสุดท้าย

9004 เป็นแนวทางในการบริหารระบบคุณภาพเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นต้น

ถ้าอธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ISO 9000 ก็คือ การกำหนดมาตรฐานสากลในการจัดระบบงานของหน่วยงานให้ตรงตามที่มาตรฐาน ISO 9000 กำหนดไว้

หน่วยงานที่คิดว่าตนเองจัดรูปแบบได้ตามที่ ISO 9000 กำหนดไว้แล้วจะมีหน่วยงานที่เข้ามาตรวจสอบ และออกใบรับรองให้อย่างเป็นทางการ คือ สมอ. หรือ สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ถนนพระราม 6 กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0-2202-3428 และ 0-2202-3431

อย่างไรก็ตามมีบริษัทต่างชาติที่เข้ามาเป็นผู้ตรวจสอบและสามารถออกใบรับรองให้ได้

ขั้นตอนการขอ ISO 9000 เริ่มจากการขอข้อมูล ยื่นคำขอ ตรวจประเมิน ออกใบรับรอง ตรวจติดตาม ตรวจประเมินใหม่

ส่วนการเตรียมระบบคุณภาพมี 4 ข้อใหญ่ๆ คือ
  1. ทบทวนสถานภาพกิจการปัจจุบัน
  2. จัดทำแผนการดำเนินงานและระบบเอกสาร
  3. นำระบบบริหารงานคุณภาพไปปฏิบัติ
  4. ตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบคุณภาพ
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเรื่องนี้ตกประมาณ 2-3 แสน ถ้าเป็นสินค้าหรือบริการส่งออก รัฐบาลจะช่วยออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง ส่วนเวลาดำเนินการจะประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี

ISO ใช้วัดคุณภาพ ทั้งด้าน
  1. โรงแรม ภัตตาคารและการท่องเที่ยว
  2. กลุ่มคมนาคม สนามบิน และการสื่อสาร
  3. สาธารณสุข โรงพยาบาล คลินิก
  4. ซ่อมบำรุง
  5. สาธารณูปโภคต่างๆ
  6. การจัดจำหน่าย
  7. มืออาชีพ การสำรวจ ออกแบบ ฝึกอบรม และที่ปรึกษา
  8. บริหารบุคลากร และบริการในสำนักงาน
  9. วิทยาศาสตร์ การวิจัยและพัฒนา
ที่มา : มาตรฐานไอเอสโอ(ISO)คืออะไร มีกี่ประเภท


วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คนอ้วน เสี่ยงต่อการเป็นโรคอะไรบ้าง?

ความอ้วนทำให้อัตราการเกิดโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ สูงขึ้น ซึ่งโรคเหล่านี้ ได้แก่
  1. ความดันโลหิตสูง คนอ้วนมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคความดันโลหิตสูงกว่าคนไม่อ้วน 2-9 เท่า และถ้าน้ำหนักตัวลดลงความดันโลหิตก็จะลดลงด้วย
  2. โรคเบาหวาน คนอ้วนเล็กน้อยจะมีโอกาสเกิดโรคเบาหวานได้มากกว่าคนทั่วไป 2 เท่า คนอ้วนปานกลางจะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น 5 เท่า และความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าในคนที่อ้วนมากๆ
  3. ความผิดปกติของระดับไขมันในหลอดเลือด คนอ้วนมักจะมีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และเอชดีแอลต่ำ จึงจะสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อโรคหัวใจขาดเลือด
  4. โรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคหลอดเลือดสมองตีบตันได้มากกว่าคนไม่อ้วน
  5. โรคเกี่ยวกับระบบหายใจ คนอ้วนมากจะทำให้เกิดความผิดปกติในการหายใจเข้าออกและกระบังลม ผลคือเกิดภาวะขาดออกซิเจน เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่านอนหงายจะมีอาการหายใจลำบาก บางครั้งหยุดหายใจเป็นพักๆ เวลานอนหลับ มีอาการปวดศีรษะในตอนเช้า ในเวลากลางวันจะมีอาการง่วงนอน หายใจช้า ระยะต่อไปหัวใจซีกขวาล้มเหลวและอาจเสียชีวิตได้
  6. โรคข้อเสื่อม คนอ้วนจะมีอาการของข้อเสื่อม กระดูกสันหลังเสื่อม ปวดเข่า ปวดหลัง เนื่องจากข้อต่างๆ ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ นอกจากนี้ คนอ้วนมักจะมีระดับกรดยูริคในเลือดสูงกว่าปกติและมีโอกาสเป็นโรคเก๊าต์ มากขึ้น
  7. โรคถุงน้ำดี คนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีสูงกว่าคนไม่อ้วน 3-4 เท่า
  8. โรคมะเร็งบางชนิด จากการศึกษาพบว่า คนที่เป็นโรคอ้วนจะเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่อ้วน เช่น โรคมะเร็งที่เกี่ยวกับฮอร์โมนและมะเร็งระบบทางเดินอาหาร มะเร็งของเยื่อบุมดลูก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งถุงน้ำดี
  9. ปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน เช่น โรคเชื้อราที่ผิวหนัง เส้นเลือดขอด อาการท้องผูก การคลอดบุตรมีปัญหา แผลผ่าตัดอาจจะหายช้ากว่าปกติ เป็นต้น


"ตับ" ใครคิดว่าไม่สำคัญ

ตับคืออะไร
ตับ เป็นอวัยวะที่พบในสัตว์ชนิดต่างๆ และมีบทบาทสำคัญ ในกระบวนการเมแทบอลิซึม รวมทั้งมีหน้าที่หลายประการในร่างกาย เช่นการสะสมไกลโคเจน การสังเคราะห์โปรตีนในพลาสมา การกำจัดพิษของยา และปฏิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆมากมาย ตับยังจัดเป็นต่อมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย โดยตับจะผลิตน้ำดี ซึ่งมีความสำคัญในกระบวนการย่อยอาหาร ในศัพท์ทางการแพทย์ คำที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับตับจะขึ้นต้นด้วยคำว่า hepato- หรือ hepatic ซึ่งมาจากคำในภาษากรีก hepar ซึ่งหมายถึงตับ

ลักษณะของตับ
ในทางมหกายวิภาคศาสตร์ จะแบ่งตับออกเป็นสี่กลีบ (lobes) ตามลักษณะที่ปรากฏบนพื้นผิว โดยเมื่อมองตับจากทางด้านหน้า จะเห็นว่าตับถูกแบ่งออกเป็นกลีบซ้าย (left lobe) และกลีบขวา (right lobe) หากมองตับจากทางด้านหลัง จะพบว่ามีอีกสองกลีบ คือ กลีบคอเดต (caudate lobe) ซึ่งอยู่ทางด้านบน และกลีบควอเดรต (quadrate lobe) ซึ่งอยู่ทางด้านล่าง ซึ่งทั้งสองกลีบดังกล่าวนี้ จะแบ่งแยกออกจากกันโดยร่องแนวขวาง (transverse fissure) หรือเรียกว่า พอร์ตา เฮปาติส (porta hepatis) ซึ่งเป็นบริเวณที่เป็นทางผ่านของหลอดเลือด และท่อน้ำดีของตับ ทั้งกลีบคอเดต และกลีบควอเดรตนี้ จะถูกแบ่งออกจากกลีบซ้าย โดยแนวของลิกาเมนตุม วีโนซุม (ligamentum venosum) และลิกาเมนตุม เทเรส เฮปาติส (ligamentum teres hepatis) ซึ่งเป็นโครงสร้างของหลอดเลือดตับในระยะเอมบริโอ ส่วนทางขวาจะมีรอยบุ๋มที่มีหลอดเลือดดำอินฟีเรียร์ เวนาคาวา (inferior vena cava) พาดผ่าน และแบ่งกลีบขวาออกจากกลีบคอเดตและกลีบควอเดรต

การไหลเวียนของเลือดในตับ
ตับจะได้รับเลือดที่มีออกซิเจนสูง มาทางหลอดเลือดแดงตับ (hepatic artery) นอกจากนี้ยังมีเลือด ที่นำมาจากลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และ ตับอ่อนผ่านทางหลอดเลือดดำซุพีเรียมีเซนเทอริค (superior mesenteric vein) และเลือดจากม้าม ผ่านทางหลอดเลือดดำม้าม (splenic vein) ซึ่งหลอดเลือดดำทั้งสอง จะรวมกันเป็นหลอดเลือดดำพอร์ทัล (portal vein) แล้วเข้าสู่ตับ เพื่อนำสารอาหาร และ สารเคมีอื่นๆ ที่ได้จากการดูดซึม จากทางเดินอาหาร และผลผลิตจากการทำลายเม็ดเลือดแดงจากม้าม เข้าสู่กระบวนการต่างๆ ภายในเซลล์ตับต่อไป สำหรับหลอดเลือดดำ ที่นำเลือดออกจากตับ คือหลอดเลือดดำตับ (hepatic vein) ซึ่งจะเทเลือดเข้าสู่หลอดเลือดดำอินฟีเรียร์ เวนาคาวา ต่อไป

หน้าที่ของตับ โดย นายแพทย์ประเสริฐ ทองเจริญ
ตับมีหน้าที่สำคัญหลายประการ อันได้แก่การสร้างน้ำดี ซึ่งออกมาในลำไส้ ช่วยให้อาหารประเภทไขมัน ถูกย่อยและดูดซึมง่ายขึ้น เก็บสำรองอาหาร โดยเก็บเอากลูโคส (GLUCOSE) ไปสะสมไว้ในเซลล์ตับ ในสภาพของกลัยโคเจน (GLYCOGEN) และจะเปลี่ยนกลัยโคเจน กลับออกมาเป็นกลูโคส ในกรณีที่ร่างกายต้องการใช้ได้ทันที สะสมวิตามินเอ ดี และวิตามินบีสิบสอง นอกจากนี้ยังกำจัดสารพิษ ที่ลำไส้ดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เมื่อสารพิษผ่านตับ ตับก็จะทำลาย สารพิษบางชนิดตับทำลายไม่ได้ตรงกันข้ามจะไปทำลายเซลล์ตับ เช่น แอลกอฮอล์ (ALCOHOL) คาร์บอนเตตราคลอไรด์ (CARBON TETRACHLORIDE) และคลอโรฟอร์ม (CHLOROFORM) เป็นต้น ตับจะทำหน้าที่สร้างวิตามิน เอ จากสารแคโรตีน (สารสีส้มที่มีอยู่ในแครอต และมะละกอ) ธาตุเหล็กและทองแดง จะถูกเก็บสะสมอยู่ที่ตับ เช่นเดียวกับวิตามิน เอ ดี และบีสิบสอง สร้างองค์ประกอบในการแข็งตัวของเลือด อาทิเช่น ไฟบริโนเจน (FIBRINOGEN) และโปรธรอมบิน(PROTHROMBIN) เป็นต้น และยังสร้างสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด อันได้แก่ เฮปาริน (HEPARIN) ทำหน้าที่ในการกิน และทำลายเชื้อโรค โดยมีเซลล์แมกโครฟาจ (MACROPHAGE) ที่อยู่ในตับ ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่าคุฟเฟอร์เซลล์ (KUPFFER'S CELL) และหน้าที่ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ เป็นแหล่งพลังงานสร้างความร้อนให้แก่ร่างกาย

ในขณะที่ทารกยังอยู่ในครรภ์ ตับจะทำหน้าที่เป็นอวัยวะสร้างเม็ดเลือดแดง ตับจะยุติหน้าที่นี้ โดยให้ไขกระดูกทำหน้าที่แทนในเวลาต่อมา นอกจากจะเป็นที่สร้างเม็ดเลือดแดงในระยะแรกแล้ว ในภาวะปกติคุฟเฟอร์เซลล์ที่บุเป็นผนังของแอ่งเลือดหรือไซนูซอยด์ (SINUSOID) จะทำหน้าที่ทำลายเม็ดเลือดด้วย ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของร่างกายทำหน้าที่สำคัญมากมาย ถ้าเซลล์ตับถูกทำลาย เสื่อมสภาพไปจะมีผลต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ตับเป็นอวัยวะที่มหัศจรรย์ในร่างกาย แม้ว่ามีเซลล์ตับที่ดีเหลืออยู่เพียงร้อยละ ๑๐-๑๕ แต่ตับก็ยังสามารถรับภาระหน้าที่ต่าง ๆ ของตนเองที่จะประคับประคองชีวิตได้

การดูแลรักษาตับ
  1. ไม่ดื่มสุรา เบียร์ หรือของมึนเมา
  2. ไม่ควรรับประทานยาพร่ำเพรื่อ เพราะสารเคมีจะทำลายตับได้
  3. ระวังอย่าสูดดมพวกละอองสเปรย์ต่างๆ
  4. สวมถุงมือ ใส่เสื้อแขนยาว สวมหมวกและหน้ากากทุกครั้ง ที่พ่นหรือผสมยาฆ่าแมลง
  5. ไม่สำส่อนทางเพศ
  6. ไม่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
  7. ไม่รับประทานอาหารดิบหรือสุกๆ ดิบๆ
  8. รับประทานอาหารที่สะอาดและน้ำต้มสุก มีภาชนะปิดอย่างมิดชิด
  9. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  10. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ข้อมูลบางส่วนจาก Wikipedia, หน้าที่ของตับ


อนุมูอิสระ (Free Redical) พิษร้ายใกล้ตัวคุณ

ทุกๆท่านคงจะได้ยินชื่อ อนุมูอิสระ หรือ Free Redical มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย (โดยเฉพาะกับโฆษณา เกี่ยวกับเครื่องสำอางค์ ของผู้หญิง) แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า จริงๆแล้ว อนุมูลอิสระคืออะไร และ จะมีผลอย่างไรต่อร่างกายบ้าง?

สำหรับท่านที่ยังไม่ทราบ ผมจะขอเล่าเรื่องของ อนุมูลอิสระให้ทุกๆท่านได้เข้าใจกัน อย่างถ่องแท้เสียก่อน

อนุมูอิสระ หรือ Free Redical
นั้นคือโมเลกุลหน่วยที่เล็กที่สุด ที่เราจะสามารถพบได้ (ณ.ปัจจุบันนี้) ซึ่งมันจะตรงเข้าโจมตีเซลล์ต่างๆในร่ายกายของคุณ

ก่อนอื่น เราต้องรู้ก่อนว่าร่างกายของเรานั้น ประกอบด้วยส่วนที่เล็กมากๆ จำนวนนับล้านๆ ซึ่งเราเรียกส่วนนี่ว่า เซลล์ ซึ่งเซลล์นั้นจะประกอบด้วยส่วนหลักๆ 3 ส่วนที่ได้รับผลกระทบจากอนุมูลอิสระโดยตรง (ส่วนประกอบอื่นๆ จะไม่พูดถึงเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่อาจจะกล่าวถึงในบทต่อๆไป) ซึ่งส่วนประกอบหลักๆ 3 ส่วนนี้ก็คือ
  1. ผนังเซลล์ หรือที่เรียกว่า Plasma Membrane
  2. นิวเคลียส Nucleus
  3. ไมโทคอนเรียร์ Mitochondria

จากภาพ Picture 01 รูปที่ 1 เมื่ออนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะตรงเข้าไปที่ผนังเซลล์ และทำลายผนังเซลล์ทันทีที่มันไปกระทบกับผนังเซลล์ ดังรูปที่ 2 และ 3 ใน Picture 01 ซึ่งการทำลายนี้จะเป็นการทำลายแบบโดมิโน่ หมายความว่า เมื่อเซลล์ที่ 1 ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ เซลล์ที่ 1 นั้นจะเข้าไปทำลายเซลล์ที่ 2 แเละเมื่อเซลล์ที่ 2 โดยทำลาย มันก็จะไปทำลายเซลล์ที่ 3 และจะทำลายต่อไปเรื่อยๆนั่นก็คือ เมื่อเซลล์โดนกระตุ้นโดยอนุมูลอิสระ เมื่อไหร่ เซลล์เหล่านั้นก็จะเกิดภาวะการทำลายตัวเองอย่างต่อเนื่องทันที และ เมื่ออนุมูลอิสระ ทำลายผนังเซลล์ได้แล้ว จุดหมายต่อไปก็คือ ทำลายสารพันธุกรรมหรือ DNA ดังรูปที่ 4 ใน Picture 01 มันจะทำลายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รับสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (จะกล่าวถึงสารต้านอนุมูลอิสระในบทต่อไป) เมื่อเซลล์โดนทำลายมากก็จะทำให้การแบ่งเซลล์นั้นผิดเพี้ยน ดังรูป Picture 02 จนในที่สุด ก็ก่อให้เกิดโรคที่เรียกว่าโรคแห่งความเสื่อมอย่างมากมาย โดยปัจจุบัน เรารู้ว่าโรคแห่งความเสื่อมที่เกิดจาก อนุมูลอิสระนั้นมีมากกว่า 3 หมื่น ชนิด ซึ่งโรคที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ โรคมะเร็ง, โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือด, โรคความดันโลหิตสูง
สำหรับโรคมะเร็ง ปัจจุบันนี้ข้อมูลจากสภากาชาดไทยได้สรุปอัตราผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งอยู่ที่ 25% ของประชากรทั้งประเทศ หมายความว่า ถ้ามีคนนั่งกันอยู่บริเวณเดียวกัน 4 คน จะมี 1 คนเป็นมะเร็งเสมอ และจากข้อมูลล่าสุด ผู้ที่เป็นมะเร็ง มีโอกาศรอดแค่ 1 ใน 3 เท่านั้นเอง (แต่อาจจะเพิ่มเป็น 1 ใน 2 ได้ ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยมะเร็งรู้ตัวก่อนที่การป่วยจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะลุกลาม)

นอกจากนี้ ยังมีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและอัตราการเสียชีวิตของผู้ที่ป่วยเป็น โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือด, โรคความดันโลหิตสูง ไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งสำหรับประเทศไทย ผู้ที่เสียชีวิตจากโรคที่กล่าวมาข้างต้นนั้นอยู่ที่ 5 คนต่อชั่วโมง
นักวิทยาศาสตร์ ได้วิจัยต่อไปจนพบว่าในวันหนึ่งๆ เซลล์ 1 เซลล์ในร่ายกายจะต้องถูกการทำลาย จากอนุมูลอิสระเป็น จำนวนมากกว่า 75,000 ครั้ง (แต่ถ้าหากใครก็ตามที่สูบบุหรี่ จะได้รับอนุมูลอิสระ มากถึง 10,000,000,000,000,000 ตัวต่อการสูบบุหรี่ 1 มวล)

สำหรับสาวๆทั้งหลายนั้น อนุมูลอิสระ มีผลที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการทำลาย โดยจะสังเกตุได้จากริ้วรอยบนใบหน้า (ซึ่งเป็นจุดที่ เครื่องสำอางค์ทั้งหลายให้ความสำคัญ และ เราจะรู้จัก อนุมูลอิสระจากเรื่องนี้ มากที่สุด)

จากเรื่องราวข้างบน ท่านอาจจะอยากทราบแล้วว่า อนุมูลอิสระ นั้นจริงๆแล้วมาจากที่ไหนบ้าง ก็จะขอบอกไว้เลยว่าอนุมูลอิสระนั้นมีอยู่รอบๆตัวเรา และ เราได้รับทุกวัน ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง
ตราบที่เรายังหายใจเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย

หลังจากที่รู้จักอนุมูลอิสระกันแล้ว คราวนี้ มารู้จักสารต้านอนุมูลอิสระกันบ้าง

สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งชื่อก็มีความหมายตรงตัวอยู่แล้ว คือ เอาไว้ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่เข้ามาในร่างกาย ของเรานั่นเอง ก่อนอื่นเราจะมาดูหน้าที่และการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระกันก่อนนะครับ จาก Picture 03 เราจะเห็นว่าสารต้านอนุมูลอิสระจะถูกแทนด้วยสีเขียว ในขณะที่อนุมูลอิสระจะถูกแทนที่ด้วยสีส้ม โดยจากรูปคุณจะเห็นได้ว่าตัวโมเลกุลของอนุมูลอิสระนั้น จะประกอบด้วยนิวเคลียส (จุดใหญ่สีส้มตรงกลาง) และ อิเล็คตรอน (จุดเล็กๆรอบๆจุดสีส้มใหญ่) และ สารต้านอนุมูลอิสระ ก็จะประกอบด้วยนิวเคลียส และ อิเล็คตรอนเช่นกัน แต่ลองสังเกตว่าตัวอนุมูลอิสระนั้นจะมีอิเล็คตรอนอยู่ไม่ครบคู่ เพราะฉะนั้นเมื่ออนุมูลอิสระเข้ามา ในร่างกายของเรา มันจะดึงเอาอิเล็คตรอนจากเซลล์เราไปใช้ ทำให้อนุภาคของเซลล์เรากลายเป็นอนุมูลอิสระ และ มีการทำลายอย่างต่อเนื่อง ทีนี้เมื่อร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) สารต้านอนุมูอิสระ (Anti-Auxident) ก็จะทำหน้าที่ในการปล่อยอิเล็คตรอน จำนวนหนึ่งไปให้กับ อนุมูลอิสระ ก่อนที่ อนุมูลอิสระ เหล่านั้นจะมีโอกาศได้ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อของเรา ทำให้อนุมูลอิสระเหล่านั้นหมดฤทธิ์ แต่โชคไม่ดีที่ ร่างกายของเรานั้นจะผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) ออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ร่ายกายของเราจำเป็นต้อง พึ่งพาสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) จากแหล่งอื่นๆ อีก ซึ่งได้แก่จากพืชผักทั้งหลาย ดังนั้นผู้ที่ทานผัก มาก จะมีโอกาศได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) ที่มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามร่างกายเรานั้นต้องการสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) ที่ค่อนข้างจะหลากหลาย (เพราะว่าอนุมูลอิสระ (Free Redical) ก็มีที่มาหลากหลายเช่นกัน) ดังนั้นการทานผักแค่ชนิดเดียวย่อมไม่เป็นผลดีแก่ร่างกายโดยรวม

สารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันนั้น ก็มีอยู่มากมาย เช่นสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในรูปของ Vitamin ได้แก่ Vitamin C, Vitamin E, CoQ10 ฯ หรือ สารต้านอนุมูลอิสระ โดยตรง ซึ่งได้แก่สารสกัดจากเมล็ดองุ่น, สารสกัดจากชาเขียว (โพลีฟีนอล), สารสกัดจากเห็นหลินจือ (โพลีเซ็คคาไลด์), กรดอัลฟ่าไลโปอิค, เบต้าแคโรธีน ฯ

ซึ่งสารอาหาร, Vitamin, เกลือแร่ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถขาดได้เลยในแต่ละวัน เพราะการขาดสารอาหาร อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมมีผลทำให้การปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระ ลดประสิทธิภาพลง

แหล่งที่มาของอนุมูลอิสระ

จากรูป Picture 05 จะเห็นได้ว่าอนุมูลอิสระนั้น เกิดจาก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายใน และ ปัจจัยภายนอก

ปัจจัยภายในหมายความว่าอย่างไร
ปัจจัยภายในหมายความว่า ร่างกายเรานั่นแหล่ะเป็นตัวสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมาเอง โดยเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น หลังจากที่เราหายใจเอาออกซิเจนเข้ามาในร่างกาย และเมื่อเม็ดเลือดแดง นำออกซิเจนเหล่านั้นส่งไปยัง เซลล์ ต่างๆ เซลล์ต่างๆ ก็จะนำออกซิเจนมาเผาผลาญสารอาหารที่เราทานเข้าไปเพื่อให้เกิดพลังงาน ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ และ ขั้นตอนนี้เองเราเรียกว่าการสันดาป ซึ่งการสันดาปนี้ เมื่อมันไม่สมบูรณ์ (มีโอกาศเกิดขึ้นได้สูง) ก็จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นมา โชคดีที่หากท่านเป็นบุคคลทั่วๆไปที่ไม่ใช่นักกีฬา ร่างกายก็จะสามารถขจัดอนุมูลอิสระเหล่านี้ออกไปได้ไม่ยากนัก โดยสิ่งที่เรียกว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือ Anti Oxidant (แต่ร่างกายก็ผลิตสารต่อต้านอนุมูลอิสระหรือ Anti Auxidant ได้ไม่มากนัก ดังนั้น จึงต้องพึ่งพา สารต่อต้านอนุมูลอิสระจากแหล่งอื่น ได้แก่ พวกพืชผักทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น มะเขือเทศ ที่ให้ไลโคปีน, แครอท ที่ให้สารเบต้าแคโรธีน หรือ ผักโขม ที่ให้กรดอัลฟ่าไลโปอิค ซึ่งจะกล่าวในตอนต่อไป) นี่คือปัจจัยภายในที่เกิด จากกระบวนการทั่วๆไปของร่างกายท่านเอง นอกจากนี้ หากท่านเป็นบุคคลที่ทำงานในบรรยากาศที่มีความเครียดสูง ร่างกายของท่านก็จะสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมา มากกว่าปรกติเช่นกัน ดังนั้น ขอให้ท่านจำไว้ว่า อนุมูลอิสระ ที่เกิดจากปัจจัยภายในนั้น เกิดขึ้นตลอดเวลา และ ท่านหลีกเลี่ยงได้ยากมาก

ปัจจัยภายนอกหมายความว่าอย่างไร
ปัจจัยภายนอกที่จะกล่าวถึง ก็คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากแสง UV ควันจากไอเสียรถยนต์ มลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรม ไอเสียจากรถยนต์ และ ที่สำคัญที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
ณ.ปัจจุบัน นั่นก็คือ จากอาหาร

คิดว่าอนุมูลอิสระที่เป็นปัจจัยภายนอกนั้น โดยส่วนใหญ่ทุกๆท่านจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่อยากจะกล่าวถึง และ เน้นหนักก็คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากอาหารที่เราทานเข้าไป อาจจะงงว่าทำไมอาหารที่ เราทานเพื่อประทังชีวิตนั้น จึงเป็นแหล่งของอนุมูลอิสระ

อยากจะให้ท่านทั้งหลาย ลองสังเกตุอาหารรอบๆโต๊ะตัวเองให้ละเอียดสักครั้ง ดังนี้
  1. เวลาทานอาหาร ท่านทานอาหารที่ไหน ที่บ้านหรือที่ร้านอาหาร หากเป็นที่บ้าน น่าเชื่อเหลือเกิน ว่าท่านจะปรุงอาหารได้อย่างสะอาดและถูกหลักอนามัย แต่ ท่านเคยรู้หรือไม่ว่า พืชผักที่ท่านทาน อยู่นั้นและเชื่อว่าเป็นแหล่งของเกลือแร่ วิตมินอย่างดีนั้น จริงๆแล้ว ท่านอาจจะไม่ทราบว่า เป็นแหล่งเก็บสะสม สารพิษอย่างดีด้วยเช่นกัน หากเป็นพืชผักชนิดทานใบ ท่านจะได้ยาฆ่าแมลงแน่ๆ ท่าน อาจจะบอกว่า ท่านล้างสะอาดดีแล้ว งั้นผมจะถามท่านกลับว่า ทราบได้อย่างไรว่าสะอาดดีแล้ว สารเคมีที่แฝงมากับผักและผลไม้นั้น ท่านไม่มีทางมองเห็นนอกจะต้องนำไปผ่านกรรมวิธีทางเคมี หรือการส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ หากท่านบอกว่าท่านซื้อพืชผักจากร้านขายผักปลอดสารพิษ ท่านทราบหรือไม่ว่าผักปลอดสารพิษนั้น เค้าปลูกกันอย่างไร จริงๆแล้วผักปลอดสารพิษ โดย ส่วนใหญ่แล้ว ก็ใช่ยาฆ่าแมลงอยู่นั่นเอง แต่การใช้ยาฆ่าแมลงของผักปลอดสารพิษนั้น จะใช้ในปริมาณ ที่ถูกจำกัด และ ใช้ก่อนที่จะเก็บผลผลิตเป็นเวลานานพอสมควร โดยเชื่อว่า เมื่อทิ้งไว้นานพอสมควรแล้ว สารเคมีเหล่านั้นจะสลายไปใน อากาศ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า เมื่อใช้สารเคมีบ่อยเข้าๆ สารเคมีเหล่านั้นก็จะสะสมในดิน จนทำให้ดินที่ใช้ปลูกพืชผักเหล่านั้น อุดมไปด้วยสารเคมีแล้วทีนี้ เวลาปลูกผักในดินเหล่านั้น พืชผักก็จะได้ รับสารเคมีที่อยู่ในดินต่อไป ส่วนถ้าเป็นพืชทานหัว เช่น แครอท, หัวใช้เท้า, มัน, มันเทศ ท่านจะได้รับยาฆ่าหญ้าแน่ๆ เพราะ การปลูกพืชเหล่า นี้เกษตรกรต้องใช้ยาฆ่าหญ้าเป็นจำนวนมากเพื่อควบคุมปริมาณของวัชพืช ไม่ให้มาทำลายผลผลิตเหล่านั้น
  2. นอกจากนี้ สำหรับท่านที่ชอบทานอาหารนอกบ้านและชอบทานอาหารพวกปิ้งย่าง ขอให้ท่านพึงระลึกเสมอว่า ท่านมีโอกาศป่วยเป็นมะเร็งสูงกว่าบุคคลทั่วไปอย่างน้อย 20 เท่า เพราะปรกติแล้วอาหารปิ้งย่างเหล่านั้น ก็ทำให้ท่านเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าปรกติอยู่แล้ว แต่หากปัจจุบัน อาหารปิ้งย่างหลายๆอย่างจะถูกหมักด้วยผงชูรส ซึ่งผงชูรสนั้น เมื่อได้รับความร้อนโดยตรงจากการปิ้ง หรือ ย่างจะทำให้ผงชูรสนั้นเปลี่ยนเป็นสารเคมีที่ส่งเสริมให้เกิดการเป็นมะเร็งได้ง่ายขึ้นอีก 20 เท่า
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับเรื่องของอนุมูลอิสระ จริงๆแล้ว ปัจจัยภายนอกที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระนั้นยังมีอีกหลายชนิด นอกจากอาหารที่กล่าวถึง ได้แก่อนุมูลอิสระจากแสง UV,
อนุมูลอิสระจากควันไอเสียรถยนต์, อนุมูลอิสระจากควันบุหรี่, อนุมูลอิสระจากมลพิษในอากาศที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งผมจะนำเสนอในบทต่อไป

อย่างไรก็ตาม ผมก็อยากให้ทุกๆท่านพึงระลึกไว้เสมอว่า เราต้องดูแลสุขภาพของเราให้ดีนะครับ จำไว้ว่า "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐนะครับ"

ค่า ORAC หรือ Oxygen radical absorbance capacity คืออะไร?

ปัจจุบันนี้คำว่า สารต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidant กำลังเป็นที่รู้จัก และ เป็นที่นิยมในการเอาคำๆนี้มาโฆษณา กันอย่างกว้างขวาง ทำให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผลิตขึ้นมา แล้วใช้คำ คำนี้มาเป็น Wording ในการโฆษณาสินค้า ต่างก็ขายดิบขายดีกันอย่างเทน้ำเทท่า ทั้งๆที่ผลิตภัณฑ์บางยี่ห้อ มีสารต้านอนุมูลอิสระ จริง แต่การที่จะใช้ได้ผลหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะบางผลิตภัณฑ์มักจะอ้างผลจากการทดลองจากห้องทดลอง แต่ไม่สามารถหาผลลัพท์จากการทดลองใช้จริง จากแหล่งที่มา ที่น่าเชื่อถือ

มาวันนี้ ผมมีศัพท์ใหม่ในวงการ สารต้านอนุมูลอิสระ มาให้ทุกๆท่านได้ทำความเข้าใจกันอีกแล้วครับ ศัพท์คำนี้คือคำว่า ORAC (อ่านว่า โอ-แร็ค) หรือเป็นคำที่ย่อมาจาก Oxygen radical absorbance capacity

คำว่า ORAC หรือ Oxygen radical absorbance capacity มีความหมายตรงตัวว่า ปริมาณการดูดจับอนุมูลออกซิเจน

ดังนั้น สามารถกล่าวได้ว่า ORAC คือ วิธีการวัดศักยภาพ ของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะทำให้อนุมูลอิสระ ที่เกิดขึ้น กลายเป็นกลาง ซึ่งจากที่ทราบกันแล้วว่า อนุมูลอิสระคือปัจจัยที่ทำให้เรา แก่และเจ็บป่วย ปริมาณค่า ORAC ที่สูงกว่าหรือมากกว่า จะมีผลต่อต้านการทำลายของอนุมูลอิสระได้มากกว่า [The higher the ORAC value, the more effective the antioxidant’s capacity against free radical damage]

ORAC Score หรือคะแนนโอแรค ซึ่งหมายถึง คะแนนที่ได้จากการทดลองหาค่าความสามารถในการ ต้านอนุมูลอิสระของอาหาร จากห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ กรรมวิธีและกระบวนการในการตรวจหาค่า ORAC Score ของ อาหารแต่ละชนิดเป็นวิธีการมาตรฐาน ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ มีความสลับซับซ้อน และค่าที่ได้จากการทดลอง ก็สามารถใช้เป็นบรรทัดฐาน ในการประเมินประสิทธิภาพของอาหารแต่ละชนิด ที่มีความสามารถในการออกฤทธิ์ ต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาหารที่มีค่า ORAC Score สูงก็จะมีประสิทธิภาพในการต้านทาน และลดอุบัติการณ์ ของโรคร้ายหลายชนิดซึ่งมีสาเหตุจากอนุมูลอิสระ เช่น โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ เป็นต้น

"อาหารที่มีค่า ORAC Score สูงยังสามารถปกป้องเซลล์ และองค์ประกอบของเซลล์ ให้ปลอดภัยจากการถูกทำลายเสียหายจาก กระบวนการอ๊อกซิเดชั่น (Oxidative Damage)" ซึ่งเป็นผลมาจาก ปฏิกิริยาเคมีระหว่างอนุมูลของอ๊อกซิเจน และสารเคมีต่างๆ ที่สะสมอยู่ตาม ธรรมชาติภายในร่างกาย

กระบวนการเหล่านี้ แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองกับทุกๆคนในทุกๆวัน กิจวัตรประจำวันเช่นการทำงาน การรับประทานอาหาร อากาศที่ไม่บริสุทธิ์ แสงแดด และ คลื่นแม่เหล็กจากเครื่องใช้ไฟฟ้า แม้แต่กระบวนการย่อยอาหารที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ก็ล้วนเป็นกลไกที่สามารถสร้างอนุมูลของอ๊อกซิเจนขึ้นได้เอง
ดังนั้น ถ้าเราทานสารอาหารที่มีค่า ORAC สูง ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidant ปริมาณสูงด้วยเช่นกัน แต่ การวัดค่า ORAC นั้น เป็นการวัดค่า สารต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidant ที่ละลายได้เฉพาะในน้ำได้เท่านั้น (เช่น Vitamin B บางชนิด และ Vitamin C) ส่วนสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมันได้ ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยวิธีการนี้ (เช่น Vitamin A, Vitamin E, Vitamin D, Vitamin K ฯลฯ)
เพราะฉะนั้น หากผลิตภัณฑ์ใดที่กล่าวอ้างว่ามี ORAC SCORE สูง ก็ให้เข้าใจว่าเป็นการวัดค่า ORAC เฉพาะ สารต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidant ที่ละลายเฉพาะในน้ำเท่านั้น และ การตรวจสอบเป็นการตรวจสอบในห้อง LAB เท่านั้น


มาตรฐาน GMP คืออะไร?

GMP หรือ Good Manufacturing Practice คืออะไร
Good Manufacturing Practice (GMP) หมายถึง หลักเกณฑ์วิธีการที่ดี ในการผลิตอาหาร เป็นเกณฑ์หรือข้อกำหนดขั้นพื้นฐาน ที่จำเป็นในการผลิต และควบคุมเพื่อให้ผู้ผลิตปฏิบัติตาม และทำให้สามารถผลิตอาหารได้อย่างปลอดภัย โดยเน้นการป้องกัน และขจัดความเสี่ยง ที่อาจจะทำให้อาหารเป็นพิษ เป็นอันตรายหรือเกิดความไม่ปลอดภัยแก่ผู้บริโภค GMP มี 2 ประเภทดังนี้
  • GMP สุขลักษณะทั่วไป หรือ General GMP เป็นหลักเกณฑ์ที่นำไปใช้ปฏิบัติสำหรับอาหารทุกประเภท
  • GMP เฉพาะผลิตภัณฑ์ หรือ Specific GMP เป็นข้อกำหนดที่เพิ่มเติมจาก GMP ทั่วไปเพื่อมุ่งเน้นในเรื่องความเสี่ยง และความปลอดภัยของแต่ละผลิตภัณฑ์อาหารเฉพาะมากยิ่งขึ้น
หลักการของระบบ GMP
หลักการของ GMP จะครอบคลุมตั้งแต่ สถานที่ตั้งของสถานประกอบการ โครงสร้างอาคาร ระบบการผลิตที่ดี มีความปลอดภัย และมีคุณภาพได้มาตรฐานทุกขั้นตอน นับตั้งแต่เริ่มต้น วางแผนการผลิต ระบบควบคุม ตั้งแต่วัตถุดิบระหว่างการผลิต ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป การจัดเก็บการควบคุมคุณภาพ และการขนส่งจนถึงผู้บริโภค มีระบบบันทึกข้อมูล ตรวจสอบและติดตามผลคุณภาพผลิตภัณฑ์ รวมถึงระบบการจัดการที่ดี ในเรื่องสุขอนามัย (Sanitation และHygiene) เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย มีคุณภาพ และความปลอดภัย เป็นที่มั่นใจเมื่อถึงมือผู้บริโภค ทั้งนี้ GMP ยังเป็นระบบประกันคุณภาพขั้นพื้นฐาน ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ระบบประกันคุณภาพอื่นๆต่อไป เช่นระบบ HACCP (Hazards Analysis and Critical Control Points) และ ISO 9000 อีกด้วย

GMP ในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นับเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ ในการตรวจรับรองระบบ GMP อาหารในประเทศไทย รวมทั้งมีหน้าที่ในการตรวจติดตาม การปฏิบัติของผู้ประกอบการอาหาร และน้ำดื่มไทย ให้มีการปฏิบัติให้สอดคล้องกับ GMP ที่บังคับใช้ตามกฎหมาย

ระบบ GMP อาหารเข้ามาในประเทศ และเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี พ.ศ. 2529 ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ 6 และตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ดำเนินการเกี่ยวกับระบบ GMP ดังนี้ เริ่มจากการอบรม ทั้งกับผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ให้เข้าใจหลักการของระบบ จัดทำโครงการยกระดับ มาตรฐานการผลิตอาหารประเภทต่างๆ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้นำระบบ GMP มาใช้พัฒนา สถานที่ผลิตอาหารของประเทศเป็นครั้งแรก ในลักษณะส่งเสริม และยกระดับมาตรฐานการผลิต ในอุตสาหกรรมอาหาร แก่ผู้ประกอบการแบบสมัครใจ ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ 6 และตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ดำเนินการในเรื่องนี้ เป็นขั้นตอนตามลำดับกล่าวคือ เริ่มจากจัดทำโครงการฯ เสนอเพื่อให้สภาวิจัยฯ ให้ความเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์ GMP ของประเทศต่างๆ โดยจัดลำดับความสำคัญ ของผลิตภัณฑ์ ที่มีต่อการบริโภค และต่อเศรษฐกิจของประเทศ เช่นน้ำบริโภค เครื่องดื่มนมพร้อมดื่ม และ อาหารกระป๋องเป็นต้น จัดการฝึกอบรมให้กับผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ให้เข้าใจในหลักการของระบบ นอกจากนั้นมีการตรวจสอบ ก่อนและหลังการอบรมให้ความรู้ พร้อมทั้งมีการประเมินผล และออกใบเกียรติบัตรให้ เพื่อเป็นแรงจูงใจซึ่งการดำเนินการครั้งนั้น ทั้งหมดเพื่อประเมิน และกระตุ้นผู้ประกอบการ ให้มีความสนใจที่จะพัฒนา สถานที่ผลิตเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง

หลังจากนั้นในปี 2535 เป็นต้นมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยกองควบคุมอาหาร ได้มีมาตรการให้การรับรองระบบ GMP (Certificate GMP) แก่ผู้ประกอบการในลักษณะสมัครใจ

การบังคับใช้ GMP ตามกฎหมาย
GMP ที่นำมาเป็นมาตรการ บังคับใช้เป็นกฎหมายนั้น ได้นำแนวทางข้อกำหนดของ Codex มาประยุกต์ใช้ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของสากล แต่มีการปรับในรายละเอียดบางประเด็นหรือปรับให้ง่ายขึ้น (Simplify) เพื่อให้เหมาะสมกับ ศักยภาพของผู้ผลิตอาหารภายในประเทศ ให้สามารถปฏิบัติได้จริง แต่ยังมีข้อกำหนด ที่เป็นหลักการที่สำคัญเหมือนกับของ Codex แต่สามารถนำไปใช้ได้ กับสถานประกอบการทุกขนาด ทุกประเภท ทุกผลิตภัณฑ์ ตามสภาพการณ์ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนามาตรฐานสูงขึ้นมา จากหลักเกณฑ์ขั้นพื้นฐาน (Minimum Requirement) ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ใช้ในการพิจารณาอนุญาต ผลิตจึงเป็นเกณฑ์ซึ่งทั้งผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่รู้จักคุ้นเคยกันดี และปฏิบัติกันอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องมีการปฏิบัติในรายละเอียด บางประเด็นที่เคร่งครัด และจริงจังมากขึ้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า GMP สุขลักษณะทั่วไปนี้ ผู้ประกอบการสามารถนำไปปฏิบัติตามได้จริง ในทางปฏิบัติ ในขณะที่กฎระเบียบข้อบังคับ หลักการสำคัญ ยังมีความน่าเชื่อถือในระดับสากล

สำหรับ GMP เฉพาะผลิตภัณฑ์ (Specific GMP) นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้กำหนดให้น้ำบริโภค เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดแรก ที่ผู้ประกอบการจะต้องปฏิบัติตาม GMP เฉพาะเนื่องจากการผลิต มีกระบวนการที่ไม่ซับซ้อนและลงทุนไม่สูง รวมทั้งผู้ประกอบการน้ำดื่มในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบจำนวนผู้ประกอบการ ที่ได้รับอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานสาธารณสุข จังหวัด ทั่วประเทศในปี 2546 มีประมาณ 4,000 รายทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ ผู้ประกอบการรายย่อย มีการผลิตโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ของผู้บริโภคทำให้เกิดปัญหา การปนเปื้อนเชื่อจุลินทรีย์ในผลิตภัณฑ์ ทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่ปลอดภัย ต่อผู้บริโภค

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงเห็นว่าจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการ และหาวิธีการแก้ไข และป้องกันในเรื่องนี้ อย่างจริงจังมากขึ้น ทั้งนี้จะเน้นการควบคุมสถานที่และกระบวนการผลิต โดยใช้หลักการ GMP เฉพาะผลิตภัณฑ์เข้ามาเป็นหลักเกณฑ์ บังคับทางกฎหมาย เพื่อให้ผู้ผลิตน้ำบริโภคมีความตระหนัก มีการควบคุมตรวจสอบและเห็นความสำคัญในเรื่อง คุณภาพมาตรฐาน และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ หลักการของ GMP น้ำบริโภค ที่ไทยบังคับใช้เป็นกฎหมายนั้น จะใช้แนวทางของกฎหมายอเมริกา ที่กำหนดอยู่ใน Code of Federal Regulation title ที่ 21 Part 129 Processing and botting of bottled drinking water และมาตรฐานสากล Codex (Code of Hyfiene for Bottled/Packaged Drinking Waters) ซึ่งสอดคล้องกับ GMP สุขลักษณะทั่วไป โดยมีการขยายเนื้อหา ในหมวดที่เกี่ยวกับกระบวนการผลิต ให้เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ของผลิตภัณฑ์ น้ำบริโภค เพื่อให้ผู้ผลิต สามารถควบคุมได้ครบถ้วน ทุกจุดของการผลิตมากยิ่งขึ้น

GMP ที่เป็นกฎหมายบังคับใช้ของประเทศไทยมีด้วยกัน 2 ฉบับคือ
  1. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่193) พ.ศ. 2543 และ (ฉบับที่239) พ.ศ.2544 เรื่องวิธีการผลิต เครื่องมือเครื่องใช้ ในการผลิต และการเก็บรักษาอาหาร(GMP สุขลักษณะทั่วไป)
  2. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่220) พ.ศ. 2544 เรื่องน้ำบริโภค ในภาชนะบรรจุปิดสนิท (ฉบับที่3) (GMP น้ำบริโภค)
GMP กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้สำหรับผู้ผลิตอาหารรายใหม่ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2544 ส่วนรายเก่ามีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2546

ข้อกำหนด GMP สุขลักษณะทั่วไปมี 6 ข้อกำหนดดังนี้
  1. สถานที่ตั้งและอาคารผลิต
  2. เครื่องมือเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการผลิต
  3. การควบคุมกระบวนการผลิต
  4. การสุขาภิบาล
  5. การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด
  6. บุคลากรและสุขลักษณะ
ในแต่ละข้อกำหนด มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อให้ผู้ผลิตมีมาตรการป้องกัน การปนเปื้อนอันตราย ทั้งทางด้านจุลินทรีย์ เคมี และ กายภาพ ลงสู่ผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจมาจากสิ่งแวดล้อมตัวอาคาร เครื่องจักรอุปกรณ์ที่ใช้ การดำเนินงานในแต่ละขั้นตอน การผลิต รวมถึงการจัดการ ในด้านสุขอนามัย ทั้งในส่วนของความสะอาด การบำรุงรักษา และผู้ปฏิบัติงาน

ข้อกำหนด GMP น้ำบริโภคมี 11 ข้อกำหนด ดังนี้
  1. สถานที่ตั้งและอาคารผลิต
  2. เครื่องมือเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิต
  3. แหล่งน้ำ
  4. การปรับคุณภาพน้ำ
  5. ภาชนะบรรจุ
  6. สารทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ
  7. การบรรจุ
  8. การควบคุมคุณภาพมาตรฐาน
  9. การสุขาภิบาล
  10. บุคลากรและสุขลักษณะผู้ปฏิบัติงาน
  11. บันทึกและรายงาน
สำหรับวัตถุประสงค์ในแต่ละข้อกำหนดนั้น เช่นเดียวกับ GMP ของสุขลักษณะทั่วไป แต่ GMP น้ำบริโภคนั้น จะเน้นประเด็นการควบคุม กระบวนการการผลิตน้ำบริโภคโดยขยายรายละเอียด ในการควบคุมเพื่อป้องกัน การปนเปื้อนชัดเจนยิ่งขึ้น ตั้งแต่ข้อ 3-8 ซึ่งเป็นขั้นตอนในการผลิต และมีการเพิ่มเติมในส่วนของบันทึก และรายงานเพื่อให้ผู้ผลิตเห็นความสำคัญ และประโยชน์ในการเก็บข้อมูลรายงานบันทึกที่เกี่ยวข้อง เช่น ผลวิเคราะห์แหล่งน้ำ และ ผลิตภัณฑ์เป็นต้น ซึ่งจะช่วยป้องกันหรือแก้ไขเมื่อเกิดปัญหากับผลิตภัณฑ์ได้

ที่มา : Good Manufacturing Practice (GMP)


วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มาตรฐาน 6S ของ Pharmanex คืออะไร? สำคัญอย่างไร?

มาตรฐาน 6S ของ Pharmanex คืออะไร?

ฟาร์มาเน็กซ์ เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญ กับผู้บริโภค และ ผลิภัณฑ์ของตนเอง เป็นอันดับต้นๆ ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงตัดสินใจที่จะไม่ใช้มาตรฐาน GMP ที่นิยมใช้กันในแวดวงอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่ได้ใช้มาตรฐาน 6S แทน ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในวงการการผลิตยา และ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค
มาตรฐาน GMP นั้นไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องใช้ผลวิจัยทางคลีนิค (Clinical Study) เพราะการทำผลวิจัยทางคลีนิคนั้น เป็นการทดสอบประสิทธิภาพที่ใช้เงินทุนมหาศาล และ ไม่มีกฎหมายข้อใด ที่บังคับให้บริษัทที่ผลิต ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้องทำผลการวิจัยทางคลีนิค (Clinical Study) โดยผลวิจัยทางคลีนิคนั้น ส่วนใหญ่จะถูกบังคับให้ใช้กับบริษัทยา
สำหรับมาตรฐาน 6S ที่บริษัท Pharmanex ใช้นั้นจะใช้ผลวิจัยทางคลีนิค (Clinical Study) ขั้นสูงกว่าผลวิจัยทางคลีนิค (Clinical Study) ปรกติ โดยใช้ในลักษณะ Double Blind Study ซึ่งจะช่วยให้ได้ผลการทดสอบที่แน่นอน และ ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
มารฐาน 6S มีอะไรบ้าง?

  1. การคัดเลือก (Selection)
    พืชสมุนไพรที่ฟาร์มาเน็กซ์เลือกใช้ จะต้องผ่านการตรวจสอบในด้านเป็นของแท้ นำไปใช้ประโยชน์ได้ และ มีความปลอดภัยในการใช้
  2. การหาแหล่งวัตถุดิบ (Sourcing)
    นักวิทยาศาสตร์ของฟาร์มาเน็กซ์ จะต้องตรวจสอบหาแหล่งของพืช รวมถึงพิจารณาคุณภาพของวัตถุดิบ แล้วทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ซึ่งจะทดสอบพืชดังกล่าว ณ สถานที่ที่ได้คัดเลือกไว้
  3. การวิเคราะห์ทางโครงสร้างสารประกอบ (Structure)
    ฟาร์มาเน็กซ์ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัย และ สถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียง ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา และ จีน ทำการวิเคราะห์หาโครงสร้าง ของสารประกอบธรรมชาติที่มีอยู่ในพืชที่คัดเลือกไว้ และ วิเคราะห์หาโครงสร้างของสารประกอบหลักที่ออกฤทธิ์ของพืชอย่างละเอียดถี่ถ้วน
  4. การเข้มงวดด้านมาตรฐานของการผลิต (Standardization)
    ฟาร์มาเน็กซ์คิดค้นขบวนการในการทำให้สารสำคัญเกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้การควบคุมคุณภาพมาตรฐานอย่างเข้มงวด และ พัฒนาขบวนการที่ช่วยเพิ่มความถูกต้องและ สามารถรับรองได้ว่าแต่ละผลิตภัณฑ์ ของฟาร์มาเน็กซ์ นั้นมีประสิทธิภาพจริง
  5. ความปลอดภัยในการบริโภค (Safety)
    ฟาร์มาเน็กซ์ เป็นผู้นำในด้านการกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวด เพื่อรับรองถึงความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้น โดยมีการตรวจสอบหาเชื้อ (Microbial Test) สารเคมี (Chemical) สารพิษ (Toxin) และ โลหะหนัก ที่มีอยู่ในแต่ละผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ และ ความปลอดภัยสูงสุดจากผลิตภัณฑ์ของฟาร์มาเน็กซ์
  6. มีหลักฐานและผลการศึกษาทางคลีนิคสนับสนุน (Substantiation)
    ฟาร์มาเน็กซ์พัฒนาทุกผลิตภัณฑ์ บนพื้นฐานของข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ และ การศึกษาทางคลินิก รวมทั้งสนับสนุนการวิจัยผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดอย่างจริงจัง ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเหล่านี้ได้รับการยอมรับ และ ตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำต่างๆเสมอ


.

.