เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เตือนภัย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เตือนภัย แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มะหาด ขาว หลอกลวง?

ด้วยความที่ผมเป็นคนขวางโลก ประกอบกับตอนเรียน จะโดนปลูกฝังให้เป็นคนช่างสงสัย
ผมเลยหาข้อมูลของมะหาด ว่ามันทำให้ขาวขึ้นจริงๆ หรือเพราะสารอะไร

สิ่งที่ผมค้นพบ ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยยิ่งกว่าเดิม
เพราะว่าทุกเว็บจะคัดลอกผลการวิจัยมาเหมือนกัน ดังนี้
มะหาด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Artocarpus lakoocha Roxb. ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นที่สามารถพบได้โดยทั่วไปในประเทศไทย ปกติแล้ว เรามักใช้เปลือก ราก และแก่น มาต้มดื่มหรือบดเป็นผงชง เพื่อลดไข้ ถ่ายพยาธิ ถอนพิษร้อน ส่วนที่เราใช้มาผสมในเครื่องสำอาง คือ สารสกัดจาก“แก่น” ค่ะ โดยมีการศึกษาวิจัยพบว่าสารธรรมชาติในกลุ่มสติลบีน (stilbene) หลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส หนึ่งในสารกลุ่มนี้คือ ออกซิเรสเวอราทรอล (oxyresveratrol หรือ trans-2,4,3,5- tetrahydroxystilbene ) ที่สกัดจากแก่นของมะหาด ยับยั้งการเกิดของเอนไซม์ไทโรซิเนสได้มากถึง 10 เท่า (กิตติศักดิ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ และคณะ แห่งคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) จากการทดลองในสัตว์และมนุษย์ในระยะสั้นพบว่า สามารถทำให้ผิวขาวได้มากขึ้น

รายละเอียดของการทดลองคือ ผลการทดลองพบว่า ครีมมะหาดมีประสิทธิภาพในการลดความเข้มของสีผิวในหนูตะเภา ต่อมาได้ทำการศึกษาในอาสาสมัครจำนวน 4 คน โดยทาสารสกัดจากแก่นมะหาดที่แขนวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ และทำการวัดค่าความเข้มของสีผิวด้วยเครื่อง Mexameter พบว่าแขนที่ทาด้วยสารสกัดจากแก่นมะหาดมีแนวโน้มให้ค่าความเข้มของสีผิวลดลง โดยไม่มีอาการแพ้หรือระคายเคือง ในที่สุดผู้วิจัยได้ศึกษาในอาสาสมัครจำนวนมากขึ้น คือ 60 คน ในระยะเวลา 12 สัปดาห์ โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 20 คน เป็นเพศหญิง อายุ 20–48 ปี มีสภาพผิวหนังปกติ จากการทาสารสกัดที่ต้นแขนของอาสาสมัครวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจาก ชะเอมและกรดโคจิก ผลการทดลองพบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจากมะหาด จะมีผิวขาวขึ้นเรื่อยๆ ความขาวของสีผิวจะเห็นผลในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์ และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญตามระยะเวลาที่ทำการทดลอง นอกจากนี้ ยังไม่พบอาการแพ้หรือระคายเคืองผิวแต่อย่างใด
และข้อความอีกชุด ที่มักถูกใช้โฆษณา คือ
ศูนย์ผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ศึกษาการใช้สารสกัด 5% oxyresveratrol จากสมุนไพรแก่นมะหาดในการรักษาฝ้า ได้ผลดีไม่แตกต่างจากยาทา 2% Hydroquinone (ยาทาฝ้าชนิดออกฤทธิ์แรงที่จ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น) และพบผลข้างเคียงเล็กน้อย
ถอดใจความออกมา จะเห็นว่า พูดถึงแต่ข้อดีจนน่าสงสัย นั่นก็คือ
  • ช่วยยับยั้งการสร้างเมลานิน ช่วยให้ขาวขึ้น
  • มีฤทธิ์รักษาฝ้าเทียบเท่าไฮโดรควิโนน
  • ไม่มีผลข้างเคียง หรือพบเพียงเล็กน้อย
ซึ่งบอกตรงๆ… ผมไม่เชื่อ!!!
ผมเลยค้นหาต้นตอของข้อมูล และได้ข้อมูลประกอบดังนี้
  • เคยมีการวิจัยมะหาดโดยแพทย์จุฬาฯ เมื่อปี 2551
  • ผู้จัดการออนไลน์ มีข่าว “มะหาด รักษาเริม” แต่ไม่มีข่าว “มะหาดทำให้ขาว” ตามที่เว็บขายสินค้ากล่าวอ้าง
  • ผลการวิจัยของคณะแพทย์ มศว.
    • รักษาฝ้าได้เทียบเท่าไฮโดรควิโนน
    • ไม่มีรายงานยืนยันว่าทำให้ขาว และผลในระยะยาว
    • ผลข้างเคียงเยอะ และเกิดอาการแพ้ได้
และผมมาเจอหลักฐานชิ้นสำคัญอีกชิ้นคือ บทสัมภาษณ์เจ้าของผลงานชิ้นนี้ บนเว็บ เดลินิวส์ : ชี้แจงกระแสใช้ 'มะหาด' เป็นสารช่วยให้ 'ผิวขาว' - X-RAY สุขภาพ

รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.ภาคภูมิ เต็งอำนวย ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมวิจัย
ซึ่งเนื้อข่าวยาวมาก ผมจึงตัดมาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจดังนี้
  • ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ผิวคนไทยจึงมีสีเข้ม
  • ค่านิยมอยากขาว ทำให้สินค้าจากเมืองนอกเป็นที่นิยม
  • เป็นเรื่องดี ถ้าหันมาใช้สินค้าไทย ( มะหาด )
  • รศ. ดร. ภาคภูมิ ตกใจที่เห็นข่าวสินค้ามะหาดอยู่มากมาย
  • ขั้นตอนและผลการวิจัย
    • แก่นมะหาดและสารสำคัญที่มีอยู่ คือ ออกซีเรสเวอราทรอล (oxyresveratrol)
    • ออกซีเรสเวอราทรอล สามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรสิเนส ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการสร้างเม็ดสีเมลานิน
    • เริ่มยืนยันผลในสัตว์ทดลองคือหนูตะเภา พบว่าทำให้สีผิวอ่อนจางลง
    • ขยายผลการทดลองมาเป็นอาสาสมัคร 60 คน พบว่าประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ ปวกหาดและออกซีเรสเวอราทรอลไม่แตกต่างกัน
  • ข้อจำกัด
    • ความคงตัว สารสกัดจากแก่นมะหาดที่ใช้เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จะมีสีเหลืองอ่อน ๆ ซึ่งเมื่อเก็บไว้ไม่เกิน 3 เดือน สีก็จะเข้มขึ้นจนท้ายสุดจะเป็นสีน้ำตาล นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ปริมาณออกซีเรสเวอราทรอลและฤทธิ์ในการต้านเอนไซม์ไทโรสิเนส พบว่าก็จะลดลงตามระยะเวลาด้วย
    • คุณภาพ ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา เปอร์เซ็นต์ของออกซีเรสเวอราทรอลต้องมากกว่า 80% ขึ้นไป ถึงจะมั่นใจได้ว่ามีฤทธิ์ต้านไทโรสิเนส
    • ทรัพยากร มะหาดเป็นไม้ยืนต้นซึ่งใช้เวลาหลายปีจึงจะโต และต้องโค่นต้นเพื่อเอาแก่นมาใช้ การจะผลิตสารจากแก่นมะหาดอย่างยั่งยืนต้องมีการวางแผนการเพาะปลูกที่ดี ไม่ใช่ตัดมาจากธรรมชาติอย่างเดียว
    • ผลจากการใช้ แก่นมะหาดจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไปและเปลี่ยนแปลงไม่มาก อย่างดีที่สุดคือช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาใกล้เคียงกับสภาพดั้งเดิมตามกรรมพันธุ์ของตน
นอกจากนี้ ผมได้รับข้อมูลจากการสนทนาในกลุ่มวงการความงาม
ได้ข้อมูลเพิ่มอีกคือ มะหาดขาวจริง แต่ต้องเป็นส่วนของ “แก่น”
แต่สินค้าที่วางขายปัจจุบัน ใช้ส่วนของ กิ่ง, ก้าน ซึ่งไม่มีส่วนช่วยให้ขาว

เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ผมจะสรุปให้ฟังสั้นๆง่ายๆดังนี้
  • สินค้าแต่ละล๊อต อาจมีคุณภาพไม่เท่ากัน เพราะแต่ละต้นมีประสิทธิภาพไม่เท่ากัน
  • สินค้ามะหาด ต้องประกอบด้วยออกซีเรสเวอราทรอล 80% ขึ้นไป ถึงจะช่วยให้ขาว
  • มะหาดที่แท้จริง จะค่อยๆขาว และขาวขึ้นไม่มาก และจะไม่ขาวกว่าสีผิวจริง ซึ่งอาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความต่าง
  • ยังไม่มีผลวิจัย ผลกระทบจากการใช้งานในระยะยาว
  • มีโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เพราะ 2 สถาบัน วิจัยได้ผลต่างกัน จึงควรปลอดภัยไว้ก่อน
  • ไม่ควรใช้แบบที่มีความเข้มข้นเกิน 5% เพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียงสูง
เมื่อได้หลักฐานข้อมูลที่ต้องการมาทั้งหมดแล้ว เครื่องหมายคำถามก็เกิดขึ้นในหัวผม

ผลวิจัยบอกว่า ขาวอย่างช้าๆ และมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความต่าง

แล้วที่วางขาย ใช้แล้วขาวทันที มันใส่อะไรในนั้น !

Source:

http://www.research.chula.ac.th/rs_news/2551/N006_22.htm

http://erk-erk.exteen.com/20120530/q-a-1
http://www.dailynews.co.th/article/1490/133547
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079892

ที่มาของบทความ : มะหาด ขาว หลอกลวง?

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

ระวังไข้หวัดนกสายพันธุ์ "เอช7เอ็น9" (H7N9)

ทั่วโลกกำลังจับตา กรณีพบประชาชนติดเชื้อและเสียชีวิตจาก ไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช7เอ็น9 (H7N9) ในประเทศจีน

ทั่วโลกกำลังจับตา กรณีพบประชาชนติดเชื้อและเสียชีวิตจาก ไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช7เอ็น9 (H7N9) ในประเทศจีน ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่เคยพบผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ดังกล่าว แต่ก็ประมาทไม่ได้ ด้วยเหตุนี้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค จึงได้เตรียมพร้อมรับมือ ระดมผู้เชี่ยวชาญทั้งภายในกระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัย กรมปศุสัตว์ และผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข เพื่อประเมินสถานการณ์เป็นระยะ ซึ่งในวันที่ 18 เม.ย.นี้จะมีการประชุมติดตามเรื่องนี้ โดย ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ ที่ปรึกษาคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และที่ปรึกษากรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าที่เป็นประธาน

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า ไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช 7 เอ็น 9 ที่พบในประเทศจีน เริ่มมีรายงานเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 19 ก.พ.-3 เม.ย. 2556

ต่อมาวันที่ 31 มี.ค. 2556 ทางการสาธารณสุขจีนได้ประกาศให้ทราบว่า ชันสูตรยืนยันได้ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เรียกชื่อเป็นทางการว่า โนเวล อินฟลูเอนซา เอ (เอช7เอ็น9) ไวรัส หรือ novel influenza A (H7N9) virus คำว่า โนเวล (novel) แปลว่า “ใหม่” ได้จากผู้ป่วยที่เจ็บหนักขั้นวิกฤติ 3 ราย

ตัวเลข ณ วันที่ 10 เม.ย. 2556 มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อดังกล่าว 33 ราย อยู่ในมณฑลเซี่ยงไฮ้ 15 ราย เจียงสู 10 ราย เจ้อเจียง 6 ราย และ อันฮุย 2 ราย ในจำนวนผู้ป่วย 33 ราย เสียชีวิตแล้ว 9 ราย ทุกรายไม่มีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยากัน

ทั้งนี้มีผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายที่ได้รับการชันสูตรยืนยันแล้วว่าติดเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช7เอ็น 9 ประมาณ 700 คน กำลังอยู่ในระหว่างการติดตามตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่

สำหรับการเกิดโรคเป็นกลุ่มก้อนหรือเป็น “คลัสเตอร์” นั้น มีรายงานว่าในครอบครัวหนึ่ง ที่อาจถือได้ว่าเป็นคลัสเตอร์เล็ก ๆ เป็นผู้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายแรก แต่ก็เป็นรายงานที่ไม่มีการชันสูตรยืนยันที่ชัดเจน

ในเจียงสู กำลังมีการสอบค้นผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วย แหล่งแพร่โรคที่ผู้ป่วยไปติดเชื้อมา และวิธีการที่ไปรับเชื้อมา กำลังอยู่ระหว่างการวิเคราะห์สอบค้นเช่นกัน เหตุการณ์ครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เอช7เอ็น9 ที่มีการชันสูตรยืนยันอย่างแน่ชัด

ไวรัสนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร นักวิทยาศาสตร์ด้านอณูวิทยาของจีน ได้ทำการวิเคราะห์แล้วทราบว่า ไวรัสเกิดจากการผสมทางพันธุกรรมที่เรียกกันว่า รีคอมบิเนชั่น (recombination) ของไวรัสเอช 9 เข้ากับไวรัสเอ็น 7 ของเป็ดไก่ตามบ้านของจีน จึงมีการกลายพันธุ์ ได้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่คือ เอช7เอ็น 9

ไวรัสสายพันธุ์นี้ ทำให้สัตว์ปีกติดเชื้อได้ง่าย แต่สัตว์ไม่ล้มเจ็บ และไม่ตาย ผิดกับไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 (H5N1) เมื่อไก่ติดเชื้อ จะล้มเจ็บและตายเรียบ การติดเชื้อสายพันธุ์ เอช7เอ็น9 จึงไม่มีข้อสังเกตว่า สัตว์ตัวใดจะติดเชื้อแล้ว หรือยังไม่ติดเชื้อ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงการติดเชื้อสายพันธุ์นี้ในมนุษย์มีอาการุนแรง ทำท่าว่าจะรุนแรงกว่าเอช5เอ็น1 ทั้งนี้ประเมินจากผู้ป่วยที่มีอยู่ไม่มาก แต่เสียชีวิตถึง 9 ราย ที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ต่างมีอาการหนักทั้งสิ้น

จากการสำรวจสุกร ยังไม่พบว่าติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ ปกติ สุกรจะไวต่อการติดเชื้อไข้หวัดนกและเป็นเหมือนถังผสมที่จะก่อให้เกิดกระบวนการรีคอมบิเนชั่น กลายเป็นสายพันธุ์ใหม่ได้ง่าย ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ มีการตรวจพบในไก่เป็น ๆ ในตลาดสดนครเซี่ยงไฮ้ ทางการจึงสั่งปิดตลาดสดและทำลายไก่ไปกว่า 3 แสนตัว นอกจากนั้น ยังตรวจพบเชื้อไวรัสได้ ในมูลนกพิราบ นกกระทา

ในแง่การรักษา ไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่เอช7เอ็น9 ยังไวต่อยาต้านโอเซลทามิเวียร์ และซานามิเวียร์ จึงน่าที่จะนำไปใช้รักษาได้เหมือนไข้หวัดนกเอช5เอ็น1 โดยในขณะนี้กำลังวิเคราะห์ประเมินผลการรักษาอยู่

ความเสี่ยงของประชาชนทั่วไป คือ

ในขณะนี้พอจะทราบว่าไวรัสมีอยู่ในสัตว์ชนิดใด แต่ แหล่งรังโรคที่แพร่เชื้อมาสู่มนุษย์ที่แท้จริงอยู่ที่ไหน และผู้ป่วยไปติดเชื้อมาได้โดยวิธีใด หรืออย่างไรนั้น ยังไม่ชัดเจน ความเสี่ยงในประเด็นนี้ ยังไม่มีคำอธิบาย

คำถามที่ว่า โรคนี้จะเข้ามาในประเทศไทยหรือไม่ คงตอบได้ยาก เท่าที่ประเมินดู ยังมีความเสี่ยงน้อย แต่เข้าสู่ฤดูร้อน มีการเคลื่อนย้ายของนกป่ามาจากทางเหนือของทวีป จึงทำให้ทำนายได้ยากยิ่งขึ้น

ทั้งทางด้านสาธารณสุข ด้านสัตวสาธารณสุข (สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง) ต้องร่วมมือกันเฝ้าระวังอย่างเต็มที่และเข้มงวด ไม่ใช่เฝ้าระวังเฉพาะไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช7เอ็น9 เท่านั้น แต่ต้องไม่ละเลยในการเฝ้าระวังสายพันธุ์เดิมคือ เอช5เอ็น1 ด้วย เพราะยังมีการระบาดของสายพันธุ์นี้อยู่ทั้งในสัตว์และในมนุษย์ที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย และเตรียมความพร้อมทั้งด้านการเฝ้าระวัง ด้านการชันสูตรทางห้องปฏิบัติการ ให้คำแนะนำวางแนวทางการรักษาพยาบาล เตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม การให้ความรู้และคำแนะนำทางวิชาการที่ถูกต้องแก่ประชาชนโดยทั่วไปเพื่อให้ระวังป้องกันตัวเองโดยไม่ให้ตื่นตระหนก

มาตรการอนามัยส่วนบุคคล เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ยังต้องนำมาปฏิบัติอีก โดยเฉพาะการล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาด ล้างด้วยแอลกอฮอล์เจล ต้องเน้นให้ปฏิบัติเป็นกิจวัตร ไม่ไปสัมผัสสัตว์ปีกโดยไม่มีความจำเป็น โดยเฉพาะสัตว์ที่กำลังล้มป่วยหรือตาย การชำแหละสัตว์ที่กำลังล้มเจ็บ เพื่อนำไปประกอบอาหารต้องละเว้นอย่างเด็ดขาด ซากสัตว์ให้ฝังดินให้ลึกอย่างน้อยครึ่งเมตรและกลบด้วยปูนขาวก่อนจึงกลบด้วยดิน

องค์การอนามัยโลก ยังไม่จำกัดการเดินทางเข้าออกจากประเทศจีน ไม่ห้ามการทำมาค้าขายกับจีน และยังไม่แนะนำให้ตั้งจุดตรวจผ่านแดนแต่อย่างใด.

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ : ข้อมูล

ที่มา : ระวังไข้หวัดนกสายพันธุ์ "เอช7เอ็น9"

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภัยเงียบจากกล่องโฟม... กินสบายแต่ตายเร็ว


หลายคนคงเคยชินกับการรับประทานอาหารแบบใส่กล่องโฟมกันใช่ไหมล่ะ เพราะสะดวก รวดเร็ว กินที่ไหนก็ได้ ประหยัดเวลาทำอาหาร และที่สำคัญทานเสร็จก็ไม่ต้องล้างอีกด้วย แต่เพื่อน ๆ เชื่อหรือไม่คะว่า ท่ามกลางความสะดวกสบาย กล่องโฟมก็แฝงไปด้วยภัยร้ายที่อาจคร่าชีวิตคุณได้ในที่สุด

โดย นพ.วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ บริษัทบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ได้ให้ความรู้ว่า กล่องโฟมที่ใช้ตามท้องตลาดทั่วไป (Styrofoam) เป็นของเสียเหลือทิ้งสีดำ ๆ จากกระบวนการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ประกอบด้วยสารสไตรีน (Styrene) มีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในเพศหญิง

อาหารตามสั่งที่บรรจุกล่องโฟม จึงเป็นแหล่งสะสมสาร (Styrene) ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ทำให้สมองมึนงง สมองเสื่อมง่ายหงุดหงิดง่าย มีผลทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ และเป็นสารก่อมะเร็งอีก 3 ชนิด ถ้าเป็นผู้ชายรับประทานเข้าไปมาก ๆ มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ขณะที่ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม และทั้งสองเพศมีโอกาสสูงต่อการเป็นมะเร็งตับ แม้จะไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำก็ตาม

สำหรับ (Styrene) ถือเป็นสารอันตรายที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศขึ้นบัญชีสารก่อมะเร็ง หญิงมีครรภ์ที่รับประทานอาหารบรรจุในกล่องโฟม ลูกมีโอกาสสมองเสื่อมเป็นเอ๋อ อวัยวะบางส่วนพิการ ส่วนคนทั่วไปถ้ารับประทานอาหารกล่องโฟมทุกวัน วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า


ทั้งนี้ ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับสารสไตรีนในกล่องโฟมได้ง่ายถึง 5 ปัจจัยได้แก่
  1. อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลง ทำให้สไตรีนซึมเข้าสู่อาหารได้สูง 
  2. ถ้าปรุงอาหารโดยใส่น้ำมัน น้ำส้มสายชูแอลกอฮอล์ จะดูดสารสไตรีนจากกล่องโฟมได้มากกว่าปกติ 
  3. ถ้าซื้ออาหารใส่กล่องทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ได้รับประทาน อาหารจะดูดสารสไตรีนได้มาก 
  4. ถ้านำอาหารที่บรรจุโฟมเข้าไมโครเวฟ สไตรีนจะไหลออกมาในปริมาณมาก 
  5. ถ้าอาหารสัมผัสพื้นที่ผิวกล่องโฟมมาก ๆ รวมถึงร้านไหนตัดถุงพลาสติกใสรองอาหาร ขอบอกว่าได้รับสารก่อมะเร็ง 2 เด้ง ทั้งสไตรีนและไดออกซินจากถุงพลาสติกเลยทีเดียว
นพ.วีรฉัตร กล่าวเตือนด้วยว่า อาหารตามสั่งหรือข้าวราดแกงกับไข่ดาวหรือไข่เจียวร้อน ๆ อาจจะไปละลายผนังกล่องโฟม เสมือนรับประทานอาหารคลุกสไ...ไปด้วย ถึงกระนั้นไข่ดิบที่วางขายในแผงไข่พลาสติก สารสไ...มีโอกาสวิ่งเข้าในเปลือกไข่ได้เช่นกัน ถ้าเลือกไข่ดิบควรเลือกซื้อจากแผงไข่กระดาษจะปลอดภัยที่สุด


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

ที่มา: http://board.postjung.com/656243.html

ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง
  1. สไตรีน (Styrene) คืออะไร
  2. อันตรายจากการสัมผัสสารสไตรีน (Styrene)

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

“โรคเมลิออยด์” - คุณหมอขอบอก


ในแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตด้วย “โรคเมลิออยด์” ไม่ต่ำกว่า 1,000 คน โดยเฉพาะในภาคอีสาน แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้จัก ไม่คุ้นชื่อโรคนี้ ทำให้ขาดความรู้ในการดูแลและป้องกันตัวเอง

นพ.ดิเรก ลิ้มมธุรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาสุขวิทยาเขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า โรคเมลิออยด์เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอยู่ในดินในน้ำบ้านเราเยอะที่สุดในโลก โรคนี้ทำให้ผู้ป่วยตายเป็นใบไม้ร่วงทุกปีในช่วงฤดูฝน พบมากในภาคอีสาน เชื้อแบคทีเรียนี้ก็อยู่ในดินของมัน เวลาคนไปสัมผัสดิน สัมผัสน้ำ หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อแบคทีเรียนี้เข้าไปทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นการติดโรคจากธรรมชาติ แต่โรคนี้ไม่ได้แพร่จากคนสู่คน

ที่น่ากลัวคือบ้านเราเกษตรกรทำนาด้วยเท้าเปล่ามือเปล่า ชาวนาจึงมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ โดยเชื้อจะผ่านเข้าทางผิวหนังได้โดยตรง ไม่ต้องมีแผลอะไร ทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด เข้าปอด สมอง เกิดภาวะติดเชื้อและเสียชีวิต ขณะเดียวกันเรื่องน้ำดื่มก็น่าห่วงเพราะจากการลงไปสัมผัสชีวิตชาวบ้าน พบว่า 50% ดื่มน้ำฝน 25% ดื่มน้ำบ่อ น้ำบาดาล 10% ดื่มน้ำประปาหมู่บ้าน ส่วนอีก 10% มีฐานะพอจะซื้อน้ำดื่มได้ โดยน้ำที่ชาวบ้านดื่มนั้นผลการตรวจพบว่า มีเชื้อนี้ปนเปื้อนอยู่ประมาณ 10% ซึ่งเป็นเชื้อที่อยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติอยู่แล้ว อย่างน้ำประปาหมู่บ้านหลายแห่งจะตรวจเฉพาะเชื้ออี.โคไล เป็นหลักไม่ได้ดูเชื้อนี้ พอชาวบ้านดื่มน้ำโดยไม่ต้ม ไม่ได้กรองอาจทำให้ได้รับเชื้อ ดังนั้นจึงอยากกระตุ้นให้ชาวบ้านต้มน้ำให้สะอาดก่อนดื่มทุกครั้งไม่ว่าน้ำบ่อ น้ำบาดาล หรือน้ำประปาหมู่บ้าน

ประมาณ 75% ของคนไข้มาโรงพยาบาลช่วงหน้าฝน โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงหว่านดำทำนา มิ.ย. ก.ค. อีกช่วงคือประมาณ ต.ค. พ.ย. เกี่ยวข้าว ปัจจัยหลัก คือ คนไข้ออกไปทำไร่ไถนา

อาการที่ปรากฏ คือ มีไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส นอกจากนี้อาจมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ปอดบวม ปอดอักเสบ ปวดท้อง ช็อก ซึ่งจะทำให้คนไข้เสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วภายใน 2 วัน

ถามว่าการวินิจฉัยยากหรือไม่ ตอบว่ายากเพราะอาการไม่จำเพาะ คือ ไข้สูง โลหิตเป็นพิษ มันเป็นเชื้ออะไรก็ได้ หมอจึงมักพูดว่าโลหิตเป็นพิษติดเชื้อ ถามว่า ณ วันนี้หมอรู้จักโรคนี้หรือไม่ หมอรู้จักดี ห้องปฏิบัติการรู้จักดี แต่คนไข้เท่านั้นที่ยังไม่รู้

พอคนไข้เสียชีวิตส่วนใหญ่หมอจะบอกว่าติดเชื้อในกระแสเลือด โลหิตเป็นพิษ หรือบางทีก็บอกว่าเป็นไข้โดยไม่ทราบสาเหตุแล้วเสียชีวิต เนื่องจากการวินิจฉัยยาก ต้องใช้เวลากว่าจะยืนยันผลได้ว่าเป็นโรคนี้อาจต้องใช้เวลานานถึง 7 วัน อีกทั้งไม่ค่อยมีการประชาสัมพันธ์โรคนี้ประชาชนจึงไม่ค่อยรู้

วิธีการรักษาหากสงสัยติดเชื้อในกระแสเลือด ต้องให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียทันที ระหว่างรอผลจากห้องปฏิบัติการ (แล็บ) จะไม่รอผลเลือด ถ้าผลแล็บออกมาว่าเป็นเชื้อเมลิออยด์ แล้วคนไข้ยังมีชีวิตอยู่ต้องให้ยาฆ่าเชื้อจนครบ 14 วันเป็นอย่างน้อย พออาการดีขึ้นแล้วก็ต้องให้ยารับประทานต่อเนื่องอีก 5 เดือน เพื่อฆ่าเชื้อในร่างกายออกให้หมด ถ้าฆ่าเชื้อไม่หมด คนไข้อาจเสี่ยงกลับมาเป็นซ้ำและทำให้เสียชีวิตได้ ต้องบอกว่าเชื้อตัวนี้ทนเหมือนวัณโรค แต่ดุกว่า

โอกาสป่วยตายกี่เปอร์เซ็นต์? นพ. ดิเรก กล่าวว่า อัตราการตายในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ เฉพาะภาคอีสานอัตราการตายสูงที่สุด ทั้งนี้ในแต่ละปีมีผู้ป่วยที่มีผลแล็บยืนยัน 2,000 ราย คาดว่าตัวเลขผู้ป่วยน่าจะมากกว่านี้ เพราะจำนวนผู้ป่วย 2,000 คนเป็นตัวเลขที่เพาะเชื้อขึ้น แต่มีส่วนหนึ่งที่เพาะเชื้อไม่ขึ้น

ปัจจุบันมีการวิจัยวัคซีนโรคนี้หรือไม่? นพ.ดิเรก กล่าวว่า เชื้อตัวนี้รุนแรงขนาดอเมริกาจัดเป็นอาวุธชีวภาพ เป็นหนึ่งในเชื้อแบคทีเรียที่นำไปทำอาวุธชีวภาพได้ อเมริกามีงบประมาณสำหรับทำวัคซีนเยอะมาก และพยายามพัฒนาวัคซีนตัวนี้อยู่ แต่ยังไปได้ไม่ไกลนัก ในประเทศไทยไม่มีงบประมาณวิจัยทำวัคซีนตัวนี้ ถ้าจะยืมจมูกประเทศอื่นหายใจก็คงไม่ได้ใช้ เพราะอเมริกาพัฒนาไปในทางป้องกันอาวุธชีวภาพให้ทหารของเขาได้ใช้ ไม่เหมือนกับวัคซีนที่เราอยากให้คนไทยได้ใช้ป้องกันชีวิตจริง ๆ ดังนั้นประเทศไทยควรสนใจตรงนี้ด้วย มิฉะนั้นก็มุ่งไปที่การรักษาอย่างเดียว ไม่มีวัคซีนใช้



ท้ายนี้อยากบอกว่าโรคเมลิออยด์เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ ในกรณีที่ต้องสัมผัสดินหรือน้ำ เช่น ทำนา ทำสวน จับปลา ควรใส่เครื่องป้องกัน เช่น รองเท้าบู๊ต ถุงมือยาง และควรทานอาหารที่สุกสะอาด ดื่มน้ำต้มสุก.



นวพรรษ บุญชาญ รายงาน


วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำผิวขาวใส ระวังไตเสีย


สาวๆ ที่ชอบทำให้ผิวของตนเองขาวใสเกินจริง ระวังจะเข้าข่ายได้ไม่คุ้มเสีย โดยล่าสุด พล.ท.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เตือนถึงค่านิยมทำผิวให้ขาวใสเกินจริง อาจส่งผลอันตรายต่ออวัยวะภายในและทำผิวเสียได้

พล.ท.นพ.กฤษฎา บอกว่า ปัจจุบันกระแสความนิยมมีผิวขาว ซึ่งเห็นได้จากการโฆษณาของผลิตภัณฑ์ทำผิวขาว ไม่ได้เน้นปรับแค่ผิวหน้าและแขนขาเท่านั้น แต่ยังสร้างกระแสความขาวไปยังผิวบริเวณอื่นๆ เช่น ข้อพับแขน ข้อศอก หัวเข่า และจุดซ่อนเร้น ซึ่งโดยหลักการแล้ว คนเราไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเลย

เหตุที่ไม่ควรเปลี่ยนสีผิวให้ขาวเกินจริง พล.ท.นพ.กฤษฎา เล่าว่า การที่คนเรามีสีผิวที่ต่างกัน เพราะภายในผิวหนังมีเม็ดสี (เมลานิน) ที่ไม่เหมือนกัน โดยเม็ดสีที่ว่าจะมีหน้าที่ดูดกลืนรังสียูวีเอาไว้ ไม่ให้ผ่านมาทำอันตรายถึงผิวหนังชั้นในและอวัยวะภายใน ทั้งยังช่วยป้องกันผิวไหม้พอง มะเร็งผิวหนัง และไม่ให้ใยคอลลาเจนหรืออีลาสตินถูกทำลาย ผิวหนังที่มีใยคอลลาเจนสมบูรณ์จึงไม่มีริ้วรอย ทว่าฤทธิ์ของผลิตภัณฑ์ทำผิวขาวมักพยายามกำจัดปริมาณเม็ดสีเพื่อให้ผิวขาวขึ้น จึงถือเป็นการลดเกราะคุ้มกันตามธรรมชาติที่เรามีอยู่

สำหรับผู้ที่ใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ทำผิวขาว รวมถึงยาทารักษาฝ้า ซึ่งมีหลายประเภท เช่น ยาชนิดทา ซึ่งค่อนข้างปลอดภัยมากกว่ายาชนิดอื่นๆ โดยแนะให้ทาบางๆ เพื่อให้การดูดซึมลงไปเพียงแค่ผิวหนังชั้นต้น ดีกว่าให้ตัวยาซึมลึกเข้าสู่กระแสเลือด จะเกิดอันตรายกับอวัยวะในร่างกายได้ นอกจากนี้ ยาทาควรผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา หรืออย. ก่อน มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ โดยเฉพาะไต และผิวหนัง ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ใช้ยาชนิดรับประทานหรือฉีด เพราะจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายในได้ง่ายและเร็วกว่า

เมื่อรู้แล้วว่า การมีสีผิวตามธรรมชาติมีประโยชน์แค่ไหน การเปลี่ยนสีผิวให้ขาวเกินจริงจึงมิใช่เรื่องจำเป็น หากแต่การปกป้องผิวจากแสงแดดแรงร้อนต่างหากคือสิ่งที่ควรทำ แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ ควรป้องกันผิวด้วยการทาโลชันกันแดดอย่างสม่ำเสมอ กรณีใช้ที่จะสารช่วยให้ผิวขาว ควรใช้ชั่วคราว เพื่อมุ่งหวังผลเพียงฟื้นฟูสภาพสีผิวของเราให้กลับคืนสู่สภาพเดิมจะเหมาะสมกว่า.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ takecareDD@gmail.com

ที่มา : ทำผิวขาวใส ระวังไตเสีย

ไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) คืออะไร?

ไขมันไตรกลีเซอไรด์คืออะไร ไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันชนิดหนึ่งซึ่งร่างกายได้มาจากสองทาง ทางหนึ่งคือได้มาจากอาหารไขมันจากสัตว์เช่น เนื้อ หมู ไก่ ที่รับประทานเข้าไปโดยตรง อีกทางหนึ่งคือได้จากการที่ตับสังเคราะห์ขึ้นใช้เองในร่างกายจากวัตถุดิบอันได้แก่ น้ำตาล แป้ง และแอลกอฮอล์ ผู้ที่กินจุ กินอาหารที่มีไขมันสูง กินอาหารหวานหรือขนมหวานมาก ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อ้วน หรือขาดการออกกำลังกาย มักพบว่ามีไตรกลีเซอไรด์สูง ภาวะไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดเช่นกัน แต่วงการแพทย์ยังไม่ทราบว่ามันเป็นปัจจัยเสี่ยงเพราะตัวมันเอง หรือเพราะมันสัมพันธ์ผกผันกับเอ็ชดีแอล (คือเมื่อเอ็ชดีแอลในร่างกายต่ำ มักจะพบว่าไตรกลีเซอไรด์สูงเสมอ)

ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์เท่าไรจึงเรียกว่าสูง
โครงการศึกษาโคเลสเตอรอล แห่งชาติอเมริกัน (NCEP) กำหนดมาตรฐานระดับของไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดดังนี้มัน
< 150 mg/dlถือว่าพอดี (optimal)
150-199ถือว่าสูงคาบเส้น (borderline high)
200-499ถือว่าสูง (high)
>500ถือว่าสูงมาก (very high)
จะลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในร่างกายได้อย่างไร? การลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในร่างกาย ทำได้โดย
  1. ลดอาหารคาร์โบไฮเดรต เช่นน้ำตาล แป้ง เพราะอาหารในกลุ่มนี้หากเหลือใช้ จะถูกอินสุลินเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ 
  2. ออกกำลังกาย เพื่อเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตไม่ให้เหลือใช้ ซึ่งท่านสามารถอ่านรายละเอียดเรื่องการออกกำลังกายชนิดต่างๆได้จาก เอกสารแนะนำ 6: การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต 
  3. รับประทานไขมันโอเมก้า 3 ให้มาก ไขมันโอเมก้า 3 มีสามตัว ตัวแรกเรียกว่ากรดอัลฟาไลโนเลอิก (ALA) พบมากในน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันพืชอื่นบางชนิด ตัวที่สองเรียกว่า กรดไอโคสะเปนเตโนอิก (EPA) และตัวที่สามเรียกว่ากรดโดโคซาเฮกเซโนอิก (DHA) ทั้งสองตัวหลังนี้พบมากในน้ำมันปลาทุกชนิด โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำเย็น จึงแนะนำให้รับประทานปลาให้มาก หรือในกรณีที่ไม่ชอบรับประทานปลา แนะนำให้รับประทานน้ำมันปลาชนิดโอเมก้า 3 ซึ่งมีบรรจุเป็นแคปซูลขาย 
  4. เพิ่มอาหารเส้นใยชนิดละลายได้ อาหารกาก หรืออาหารเส้นใย (fiber) แบ่งออกเป็นสองชนิดคือชนิดไม่ละลาย (insoluble) เช่นพืชผักต่างๆ กับชนิดละลายได้ (soluble) ซึ่งได้จากธัญพืชทั้งเมล็ด หรือจากส่วนเคลือบรอบนอกเมล็ดของธัญพืชแบบไม่ขัดสี (whole grain) เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง โอ๊ต แบรนด์ ข้าวสาลีแบบโฮลวีท งานวิจัยในอาสาสมัครพบว่าเส้นใยชนิดละลายได้นี้ ช่วยลดไขมัน LDL ลดไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มไขมัน HDL 
  5. เลิกดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะแอลกอฮอล์นอกจากจะทำให้ตับต้องลดการเผาผลาญไขมันเพื่อใช้พื้นที่ของตับมาสลายพิษของแอลกอฮอล์แล้วในตัวเครื่องดื่มเอง ยังมีคาร์โบไฮเดรทซึ่งเป็นวัตถุดิบให้นำมาเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ได้ 
  6. รับประทานยาในกลุ่มไฟเบรท (fibrates) ซึ่งลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งการรักษาและการดูแลของแพทย์ เพราะยานี้ก็เหมือนยาลดไขมันตัวอื่น ที่มีฤทธิ์ข้างเคียงและมีผลเสียต่อร่างกายในด้านอื่นด้วย
ที่มา : สันต์ ใจยอดศิลป์. ไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride). Health.Co.Th Journal 2010:2:7-7.

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

หวานซ่อนคม "รู้ทันสารแทนน้ำตาล"

หลายคน คงเคยมีข้อสงสัยว่า บรรดาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ที่โฆษณาว่ามีปริมาณน้ำตาล 0% นั้นหากดื่มเข้าไปแล้วจะทำให้อ้วน เหมือนกับเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลตามปกติหรือไม่

หวานซ่อนคม "รู้ทันสารแทนน้ำตาล"

ในเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบคำอธิบายว่าเหตุใด การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 0% จึงไม่สามารถทำให้หลายคนมีหุ่นผอมเพรียวตามที่ต้องการได้ ซ้ำร้ายอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย

สำหรับผู้ที่เคยดื่มจะพบว่า เครื่องดื่มที่กล่าวอ้างว่าไม่มีน้ำตาลหรือมีน้ำตาล 0% นั้งยังมีรสหวานเหมือนน้ำตาลอยู่ ซึ่งเป็นผลของสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล เช่น ขัณฑสกร, แอสปาเทม, ไซลิทอล, ซัคคาริน และ อื่นๆ

ซึ่งผู้ผลิตเครื่องดื่มจะนิยมใช้แอสปาเทม เนื่องจากมีรสชาติ ใกล้เคียงน้ำตาลทรายมากที่สุด และ ให้ความหวานประมาณ 200 - 300 เท่าของน้ำตาลทรายในปริมาณเดียวกัน

ดร.อามันดา เพน เจ้าของผลงานวิจัยซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสารโรคอ้วน อธิบายว่า การบริโภคน้ำตาลฟรุกโตส, สารให้ความหวาน และ น้ำตาลแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก จะส่งผลให้แบคทีเรียในลำไส้เกิดการเปลี่ยนแปลง และ สร้างความผิดปกติแก่การส่งสัญญาณอิ่ม และ กระบวนการเผาผลาญ

โดยตามปกติแบคทีเรียในลำไส้มีหน้าที่ย่อยอาหาร และ ให้กรดไขมันสายสั้นออกมา ซึ่งกรดไขมันนี้เป็นสิ่งที่ให้พลังงานกับร่างกาย และ แบคทีเรียชนิดเดียวกันนี้ นอกจากจะย่อยอาหารทั่วไปแล้ว ยังสามารถปรับตัวให้ย่อยสารให้ความหวานแทนน้ำตาล และ น้ำตาลแอลกอฮอล์ได้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น เท่ากับว่าร่างกายจะได้รับพลังงาน จากเครื่องดื่มน้ำตาล 0% เช่นเดียวกับเครื่องดื่มปกติ แต่เนื่องจากผู้บริโภคมักจะดื่มเครื่องน้ำตาล 0% ในปริมาณมากด้วยความเข้าใจว่าไม่มีน้ำตาล จึงทำให้บางกรณีร่างกายกลับได้พลังงานมากกว่าการดื่มเครื่องดื่มปกติเสียอีก

นอกจากจะให้พลังงานแล้ว กรดไขมันสายสั้นยังส่งผลต่อความรู้สึกอิ่มด้วย โดยการขัดขวางไม่ให้ร่างกายส่งสัญญาณอิ่มไปยังสมอง การขัดขวางดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการบริโภคอาหารมากเกินความจำเป็นในกรณีที่ดื่มเครื่องดื่มน้ำตาล 0% พร้อมกับรับประทานอาหาร

เมื่อรวมกับรสชาติหวาน ที่ลิ้นได้รับซึ่งหลอกสมองว่า กำลังจะได้รับพลังงาน แต่เมื่อได้น้อยกว่าปกติสมองจะสั่งให้ทานอาหารมากขึ้น เพื่อให้ได้พลังงานตามปกติ ยิ่งทำให้มีการบริโภคอาหารมากขึ้นไปอีก

ไม่เพียงเท่านี้ แม้ยังไม่มีหลักฐานอย่างเป็นทางการ แต่นักวิทยาศาสตร์กำลังสงสัยว่า กรดไขมันสายสั้นอาจมีความเกี่ยวข้องกับ การอักเสบของเยื่อบุผนังลำไส้ ซึ่งหากเยื่อบุผนังลำไส้อักเสบ และ ทะลุ แบคทีเรียในลำไส้จะสามารถหลุดเข้าสู่กระแสเลือด จนนำไปสู่โอกาสเกิดโรคอื่นๆ เช่น เบาหวานแบบที่ 2, โรคหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดหัวใจ

นี่เป็นเหตุที่อธิบายว่าเหตุใด ผู้ที่ตั้งใจดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 0% แทนเครื่องดื่มปกติเพื่อลดความอ้วน กลับมีน้ำหนักตัวและรอบเอวเพิ่มขึ้น

โดยสามารถเปรียบเทียบพบว่า ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 0% เฉลี่ยวันละประมาณ 2 กระป๋อง ในระยะเวลา 10 ปี คนกลุ่มนี้จะมีขนาดรอบเอวเพิ่มขึ้นมากกว่าผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแบบปกติ ถึง 5 เท่า

เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ด้วยการหันไปดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำผักผลไม้คั้นสดแทน

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไขมันทรานส์ หรือ Trans Fats คืออะไร?

ไขมันทรานส์ เป็นไขมันไม่อิ่มตัว (trans unsaturated fat) ไขมันทรานส์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ไขมันทรานส์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งมี อยู่ในปริมาณเล็กน้อย ในเนื้อและนมของสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ และไขมันทรานส์ ที่ผลิตขึ้นโดยขบวนการทางอุตสาหกรรม เช่น การผลิตเนยเทียม (margarine) ซึ่งทำโดยนำโมเลกุลของไฮโดรเจน เข้าไปจับกับโมเลกุลของไขมันพืช (hydrogenation) ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวทำให้โครงสร้างโมเลกุลบางส่วน อาจสูงถึง 40% เปลี่ยนไป ส่งผลให้จุดหลอมเหลวของไขมันพืชสูงขึ้น มีสภาพกึ่งแข็งกึ่งเหลวในอุณภูมิห้อง ช่วยให้เก็บไว้ได้นานและนำมาใช้สะดวกขึ้น เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร ด้านการอบ และการทำเบเกอร์รี่ เช่น cakes, biscuits, buns และ pies เป็นต้น

ไขมันทรานส์ ยังเกิดขึ้นในขบวนการประกอบอาหารตามปกติ โดยการนำน้ำมันพืชหรือ สัตว์มาทอด ผัด ด้วยความร้อนสูงในหม้อทอดที่ลึก (deep frying) อีกด้วย

ไขมันทรานส์และผลกระทบด้านสุขภาพ

ไขมันทรานส์ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะมีปฏิกริยาคล้ายกับไขมันอิ่มตัว ซึ่งจะทำให้ระดับโคเลสเตอร์รอลชนิดเลว (LDL Cholesterol) ในเลือดสูงขึ้น แต่จะต่างจากไขมันอิ่มตัว เนื่องจากไขมันทรานส์จะลดระดับโคเลสเตอร์รอลชนิดดี (HDL Cholesterol) ในเลือดให้ต่ำลงด้วย การกินอาหารที่มีไขมันทรานส์สูง จะทำให้มีระดับไขมันทรานส์ในเลือดสูงไปด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ Coronary Heart Disease (CHD) เพิ่มสูงขึ้น จากการศึกษาพบว่า ผู้ซึ่งเปลี่ยนจากการกินอาหารที่มีไขมันทรานส์สูง มาเป็นการกินอาหาร ที่มีไขมันทรานส์ต่ำ จะลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (heart attack) ลงได้ถึงร้อยละ 50 นอกเหนือจากนี้ไขมันทรานส์ ยังส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพโดยรวม อาทิ เช่น เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ มะเร็ง เบาหวาน และโรคอ้วน เป็นต้น

จะหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ ได้อย่างไร
  1. ใช้น้ำมันที่เหมาะสมในการประกอบอาหาร เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันงา และน้ำมันรำข้าว เป็นต้น
  2. น้ำมันที่ควรหลีกเลี่ยง ใช้ในการประกอบอาหารคือ น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์สูง เช่น น้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว ครีม และเนยเทียมสำหรับการอบ และทอด เป็นต้น
  3. หลีกเลี่ยงการประกอบอาหาร โดยการทอดที่ใช้ความร้อนสูง ในหม้อทอดที่ลึก แต่ใช้การทอดในกะทะแบบตื้นแทน หรือประกอบอาหารด้วยการอบ ย่าง หรือนึ่ง เป็นต้น

ที่มา : บริษัท กรุงเทพ พยาธิ-แลป จำกัด

Visceral fat คืออะไร?

หากอยากทราบว่า Visceral fat คืออะไร ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่า Fat กันก่อน จริงๆ คำว่า Fat นี้ แปลว่า ไขมัน ไม่ใช่อ้วนอย่างที่หลายๆคนเข้าใจกัน ทั้งนี้ Fat หรือ ไขมัน จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
  1. ไขมันชนิดอิ่มตัว (Saturated Fats)
  2. ไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fats)
หลายๆคนไม่รู้ว่า ไขมันในร่างกายนั้น สำคัญอย่างไร บางคนนึกว่า ไขมัน ทำให้อ้วน ไม่มีประโยชน์ แต่จริงๆแล้ว ไขมันนั้น มีประโยชน์มากมาย เช่น ให้พลังงานและความอบอุ่น ละลายวิตามินบางตัวที่ต้องทำละลายในไขมันเท่านั้น เช่น Vitamin A, D, E, K ให้เข้าสู่กระแสเลือด

ไขมัน มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติทั่วๆไป และมีมากในอาหารประเภทมันสัตว์ และ มันพืช

หลังจากทำความเข้าใจกับไขมัน หรือ Fat แล้ว ทีนี้เรามารู้จักกับ Fat อีกตัวหนึ่งนั่นคือ Visceral fat ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ที่เราจะพูดถึงกันในบทความนี้ จริงๆแล้ว การที่คนเราอ้วนนั้น เกิดจากมีไขมันไปสะสมตามกล้ามเนื้อ และ ที่อวัยวะภายใน แต่ในกรณีนี้ เราจะมาพูดถึงการสะสมไขมันหน้าท้องกัน

ไขมันหน้าท้องนั้นมีอยู่ 2 ประเภท ที่เราจำเป็นต้องรู้จักคือ
  1. ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ไขมันในส่วนนี้เป็นไขมันที่เรามองเห็นได้ เพราะมันจะสะสมอยู่ที่หน้าท้อง ทำให้ท้องเรานูนออกมา ซึ่งไขมันชนิดนี้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากนัก
  2. ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ไขมันชนิดนี้เป็นไขมันที่ไม่ทำให้พุงเรายื่นออกมา แต่มันจะอยู่ระหว่างกล้ามเนื้อท้อง กับ อวัยวะภายในของเรา และหากมีมากเกินไป มันก็จะไปสะสมอยู่ที่อวัยวะภายในของเราด้วยเช่นกัน

    ดังนั้น ความน่ากลัว ของไขมันในช่องท้องนี้ มันสามารถทำให้ อวัยวะภายในต่างๆของเรา เกิดการอักเสบในระดับเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุของ โรคเรื้อรังร้ายแรงต่างๆ ได้อย่างมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดในสมองตีบ เส้นเลือดในสมองแตก คลอเรสเตอรอลสูง
สำหรับไขมันในช่องท้องนี้ ไม่จำเป็นว่าเป็นคนอ้วนแล้วต้องมีเยอะ เพราะคนอ้วนบางคนอาจจะไม่มีไขมันในช่องท้องเลยก็ได้ แต่ในขณะที่คนผอมบางคน อาจจะมีระดับไขมันในช่องท้องมากขนาดที่น่าเป็นกังวลก็เป็นได้

สำหรับการสะสมไขมันในช่องท้องนี้ เกิดได้หลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักๆมาจากเหตุ 2 ประการคือ
  1. มีความเครียดสูง
  2. ชอบทานอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลเป็นประจำ

ซึ่งการลดไขมันในช่องท้องนี้ ไม่สามารถลดได้อย่างง่ายดาย ไม่เหมือนไขมันหน้าท้อง เพราะการออกกำลังกาย ไม่สามารถช่วยลดไขมันนี้ได้มากนัก การลดไขมันชนิดนี้ สามารถทำได้โดยการเพิ่มระดับการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้สูงขึ้น ซึ่งการที่จะเพิ่มระดับการเผาผลาญพลังงานให้สูงขึ้น ก็หนีไม่พ้นการเพิ่มกล้ามเนื้อ และ การเพิ่มกล้ามเนื้อ ก็สามารถทำได้โดยการ ทานอาหารที่ให้โปรตีนสูง + ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และ มากพอ รวมทั้งต้องงดอาหาร ประเภทแป้ง และ น้ำตาลด้วย ดังนั้นถ้าจะสรุปเป็นภาษาชาวบ้านคือ ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์+ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การลดไขมันหน้าท้อง ทั้งไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) และ ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ต้องใช้ความตั้งใจจริง และ ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า กว่าที่เราจะสะสมไขมันได้ขนาดนี้ เราต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ และ เมื่อ ต้องการขจัดมันออกไป ย่อมต้องใช้เวลามากพอสมควรเช่นกัน ไม่ใช่ว่าสะสมมา 5 - 10 ปี แล้วจะให้เอามันออกไปหมดภายในระยะเวลา 5 - 10 สัปดาห์ มันย่อมเป็นไปไม่ได้ ที่สำคัญการที่จะลดไขมันชนิดนี้ ผู้ที่จะทำการลด จะต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทานอาหาร และ พฤติกรรม การดำเนินชีวิตด้วย แต่หากคุณไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย การที่จะลด มันก็ไม่สามารถเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ

ดังนั้นเมื่อเข้าใจความจริงนี้ เราก็จะให้เวลาในการจัดการที่สมเหตุสมผล และ ไม่ใจร้อนต้องการผลลัพธ์เร็ว ๆ และ จะไม่ทำให้เราถอดใจไปก่อนจะสัมฤทธิ์ผลตามที่เราต้องการ

สำคัญที่สุดเราต้องตั้งเป้าหมายด้วยว่า เราต้องลดลดลงเท่าไหร่ ภายในระยะเวลาเท่าใด ซึ่งการตั้งเป้าหมาย จะช่วยให้เรามีความตั้งใจมากขึ้น

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คนอ้วน เสี่ยงต่อการเป็นโรคอะไรบ้าง?

ความอ้วนทำให้อัตราการเกิดโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ สูงขึ้น ซึ่งโรคเหล่านี้ ได้แก่
  1. ความดันโลหิตสูง คนอ้วนมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคความดันโลหิตสูงกว่าคนไม่อ้วน 2-9 เท่า และถ้าน้ำหนักตัวลดลงความดันโลหิตก็จะลดลงด้วย
  2. โรคเบาหวาน คนอ้วนเล็กน้อยจะมีโอกาสเกิดโรคเบาหวานได้มากกว่าคนทั่วไป 2 เท่า คนอ้วนปานกลางจะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น 5 เท่า และความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าในคนที่อ้วนมากๆ
  3. ความผิดปกติของระดับไขมันในหลอดเลือด คนอ้วนมักจะมีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และเอชดีแอลต่ำ จึงจะสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อโรคหัวใจขาดเลือด
  4. โรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคหลอดเลือดสมองตีบตันได้มากกว่าคนไม่อ้วน
  5. โรคเกี่ยวกับระบบหายใจ คนอ้วนมากจะทำให้เกิดความผิดปกติในการหายใจเข้าออกและกระบังลม ผลคือเกิดภาวะขาดออกซิเจน เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่านอนหงายจะมีอาการหายใจลำบาก บางครั้งหยุดหายใจเป็นพักๆ เวลานอนหลับ มีอาการปวดศีรษะในตอนเช้า ในเวลากลางวันจะมีอาการง่วงนอน หายใจช้า ระยะต่อไปหัวใจซีกขวาล้มเหลวและอาจเสียชีวิตได้
  6. โรคข้อเสื่อม คนอ้วนจะมีอาการของข้อเสื่อม กระดูกสันหลังเสื่อม ปวดเข่า ปวดหลัง เนื่องจากข้อต่างๆ ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ นอกจากนี้ คนอ้วนมักจะมีระดับกรดยูริคในเลือดสูงกว่าปกติและมีโอกาสเป็นโรคเก๊าต์ มากขึ้น
  7. โรคถุงน้ำดี คนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีสูงกว่าคนไม่อ้วน 3-4 เท่า
  8. โรคมะเร็งบางชนิด จากการศึกษาพบว่า คนที่เป็นโรคอ้วนจะเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่อ้วน เช่น โรคมะเร็งที่เกี่ยวกับฮอร์โมนและมะเร็งระบบทางเดินอาหาร มะเร็งของเยื่อบุมดลูก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งถุงน้ำดี
  9. ปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน เช่น โรคเชื้อราที่ผิวหนัง เส้นเลือดขอด อาการท้องผูก การคลอดบุตรมีปัญหา แผลผ่าตัดอาจจะหายช้ากว่าปกติ เป็นต้น


อนุมูอิสระ (Free Redical) พิษร้ายใกล้ตัวคุณ

ทุกๆท่านคงจะได้ยินชื่อ อนุมูอิสระ หรือ Free Redical มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย (โดยเฉพาะกับโฆษณา เกี่ยวกับเครื่องสำอางค์ ของผู้หญิง) แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า จริงๆแล้ว อนุมูลอิสระคืออะไร และ จะมีผลอย่างไรต่อร่างกายบ้าง?

สำหรับท่านที่ยังไม่ทราบ ผมจะขอเล่าเรื่องของ อนุมูลอิสระให้ทุกๆท่านได้เข้าใจกัน อย่างถ่องแท้เสียก่อน

อนุมูอิสระ หรือ Free Redical
นั้นคือโมเลกุลหน่วยที่เล็กที่สุด ที่เราจะสามารถพบได้ (ณ.ปัจจุบันนี้) ซึ่งมันจะตรงเข้าโจมตีเซลล์ต่างๆในร่ายกายของคุณ

ก่อนอื่น เราต้องรู้ก่อนว่าร่างกายของเรานั้น ประกอบด้วยส่วนที่เล็กมากๆ จำนวนนับล้านๆ ซึ่งเราเรียกส่วนนี่ว่า เซลล์ ซึ่งเซลล์นั้นจะประกอบด้วยส่วนหลักๆ 3 ส่วนที่ได้รับผลกระทบจากอนุมูลอิสระโดยตรง (ส่วนประกอบอื่นๆ จะไม่พูดถึงเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่อาจจะกล่าวถึงในบทต่อๆไป) ซึ่งส่วนประกอบหลักๆ 3 ส่วนนี้ก็คือ
  1. ผนังเซลล์ หรือที่เรียกว่า Plasma Membrane
  2. นิวเคลียส Nucleus
  3. ไมโทคอนเรียร์ Mitochondria

จากภาพ Picture 01 รูปที่ 1 เมื่ออนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะตรงเข้าไปที่ผนังเซลล์ และทำลายผนังเซลล์ทันทีที่มันไปกระทบกับผนังเซลล์ ดังรูปที่ 2 และ 3 ใน Picture 01 ซึ่งการทำลายนี้จะเป็นการทำลายแบบโดมิโน่ หมายความว่า เมื่อเซลล์ที่ 1 ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ เซลล์ที่ 1 นั้นจะเข้าไปทำลายเซลล์ที่ 2 แเละเมื่อเซลล์ที่ 2 โดยทำลาย มันก็จะไปทำลายเซลล์ที่ 3 และจะทำลายต่อไปเรื่อยๆนั่นก็คือ เมื่อเซลล์โดนกระตุ้นโดยอนุมูลอิสระ เมื่อไหร่ เซลล์เหล่านั้นก็จะเกิดภาวะการทำลายตัวเองอย่างต่อเนื่องทันที และ เมื่ออนุมูลอิสระ ทำลายผนังเซลล์ได้แล้ว จุดหมายต่อไปก็คือ ทำลายสารพันธุกรรมหรือ DNA ดังรูปที่ 4 ใน Picture 01 มันจะทำลายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รับสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (จะกล่าวถึงสารต้านอนุมูลอิสระในบทต่อไป) เมื่อเซลล์โดนทำลายมากก็จะทำให้การแบ่งเซลล์นั้นผิดเพี้ยน ดังรูป Picture 02 จนในที่สุด ก็ก่อให้เกิดโรคที่เรียกว่าโรคแห่งความเสื่อมอย่างมากมาย โดยปัจจุบัน เรารู้ว่าโรคแห่งความเสื่อมที่เกิดจาก อนุมูลอิสระนั้นมีมากกว่า 3 หมื่น ชนิด ซึ่งโรคที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ โรคมะเร็ง, โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือด, โรคความดันโลหิตสูง
สำหรับโรคมะเร็ง ปัจจุบันนี้ข้อมูลจากสภากาชาดไทยได้สรุปอัตราผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งอยู่ที่ 25% ของประชากรทั้งประเทศ หมายความว่า ถ้ามีคนนั่งกันอยู่บริเวณเดียวกัน 4 คน จะมี 1 คนเป็นมะเร็งเสมอ และจากข้อมูลล่าสุด ผู้ที่เป็นมะเร็ง มีโอกาศรอดแค่ 1 ใน 3 เท่านั้นเอง (แต่อาจจะเพิ่มเป็น 1 ใน 2 ได้ ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยมะเร็งรู้ตัวก่อนที่การป่วยจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะลุกลาม)

นอกจากนี้ ยังมีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและอัตราการเสียชีวิตของผู้ที่ป่วยเป็น โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือด, โรคความดันโลหิตสูง ไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งสำหรับประเทศไทย ผู้ที่เสียชีวิตจากโรคที่กล่าวมาข้างต้นนั้นอยู่ที่ 5 คนต่อชั่วโมง
นักวิทยาศาสตร์ ได้วิจัยต่อไปจนพบว่าในวันหนึ่งๆ เซลล์ 1 เซลล์ในร่ายกายจะต้องถูกการทำลาย จากอนุมูลอิสระเป็น จำนวนมากกว่า 75,000 ครั้ง (แต่ถ้าหากใครก็ตามที่สูบบุหรี่ จะได้รับอนุมูลอิสระ มากถึง 10,000,000,000,000,000 ตัวต่อการสูบบุหรี่ 1 มวล)

สำหรับสาวๆทั้งหลายนั้น อนุมูลอิสระ มีผลที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการทำลาย โดยจะสังเกตุได้จากริ้วรอยบนใบหน้า (ซึ่งเป็นจุดที่ เครื่องสำอางค์ทั้งหลายให้ความสำคัญ และ เราจะรู้จัก อนุมูลอิสระจากเรื่องนี้ มากที่สุด)

จากเรื่องราวข้างบน ท่านอาจจะอยากทราบแล้วว่า อนุมูลอิสระ นั้นจริงๆแล้วมาจากที่ไหนบ้าง ก็จะขอบอกไว้เลยว่าอนุมูลอิสระนั้นมีอยู่รอบๆตัวเรา และ เราได้รับทุกวัน ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง
ตราบที่เรายังหายใจเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย

หลังจากที่รู้จักอนุมูลอิสระกันแล้ว คราวนี้ มารู้จักสารต้านอนุมูลอิสระกันบ้าง

สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งชื่อก็มีความหมายตรงตัวอยู่แล้ว คือ เอาไว้ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่เข้ามาในร่างกาย ของเรานั่นเอง ก่อนอื่นเราจะมาดูหน้าที่และการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระกันก่อนนะครับ จาก Picture 03 เราจะเห็นว่าสารต้านอนุมูลอิสระจะถูกแทนด้วยสีเขียว ในขณะที่อนุมูลอิสระจะถูกแทนที่ด้วยสีส้ม โดยจากรูปคุณจะเห็นได้ว่าตัวโมเลกุลของอนุมูลอิสระนั้น จะประกอบด้วยนิวเคลียส (จุดใหญ่สีส้มตรงกลาง) และ อิเล็คตรอน (จุดเล็กๆรอบๆจุดสีส้มใหญ่) และ สารต้านอนุมูลอิสระ ก็จะประกอบด้วยนิวเคลียส และ อิเล็คตรอนเช่นกัน แต่ลองสังเกตว่าตัวอนุมูลอิสระนั้นจะมีอิเล็คตรอนอยู่ไม่ครบคู่ เพราะฉะนั้นเมื่ออนุมูลอิสระเข้ามา ในร่างกายของเรา มันจะดึงเอาอิเล็คตรอนจากเซลล์เราไปใช้ ทำให้อนุภาคของเซลล์เรากลายเป็นอนุมูลอิสระ และ มีการทำลายอย่างต่อเนื่อง ทีนี้เมื่อร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) สารต้านอนุมูอิสระ (Anti-Auxident) ก็จะทำหน้าที่ในการปล่อยอิเล็คตรอน จำนวนหนึ่งไปให้กับ อนุมูลอิสระ ก่อนที่ อนุมูลอิสระ เหล่านั้นจะมีโอกาศได้ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อของเรา ทำให้อนุมูลอิสระเหล่านั้นหมดฤทธิ์ แต่โชคไม่ดีที่ ร่างกายของเรานั้นจะผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) ออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ร่ายกายของเราจำเป็นต้อง พึ่งพาสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) จากแหล่งอื่นๆ อีก ซึ่งได้แก่จากพืชผักทั้งหลาย ดังนั้นผู้ที่ทานผัก มาก จะมีโอกาศได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) ที่มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามร่างกายเรานั้นต้องการสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) ที่ค่อนข้างจะหลากหลาย (เพราะว่าอนุมูลอิสระ (Free Redical) ก็มีที่มาหลากหลายเช่นกัน) ดังนั้นการทานผักแค่ชนิดเดียวย่อมไม่เป็นผลดีแก่ร่างกายโดยรวม

สารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันนั้น ก็มีอยู่มากมาย เช่นสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในรูปของ Vitamin ได้แก่ Vitamin C, Vitamin E, CoQ10 ฯ หรือ สารต้านอนุมูลอิสระ โดยตรง ซึ่งได้แก่สารสกัดจากเมล็ดองุ่น, สารสกัดจากชาเขียว (โพลีฟีนอล), สารสกัดจากเห็นหลินจือ (โพลีเซ็คคาไลด์), กรดอัลฟ่าไลโปอิค, เบต้าแคโรธีน ฯ

ซึ่งสารอาหาร, Vitamin, เกลือแร่ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถขาดได้เลยในแต่ละวัน เพราะการขาดสารอาหาร อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมมีผลทำให้การปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระ ลดประสิทธิภาพลง

แหล่งที่มาของอนุมูลอิสระ

จากรูป Picture 05 จะเห็นได้ว่าอนุมูลอิสระนั้น เกิดจาก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายใน และ ปัจจัยภายนอก

ปัจจัยภายในหมายความว่าอย่างไร
ปัจจัยภายในหมายความว่า ร่างกายเรานั่นแหล่ะเป็นตัวสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมาเอง โดยเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น หลังจากที่เราหายใจเอาออกซิเจนเข้ามาในร่างกาย และเมื่อเม็ดเลือดแดง นำออกซิเจนเหล่านั้นส่งไปยัง เซลล์ ต่างๆ เซลล์ต่างๆ ก็จะนำออกซิเจนมาเผาผลาญสารอาหารที่เราทานเข้าไปเพื่อให้เกิดพลังงาน ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ และ ขั้นตอนนี้เองเราเรียกว่าการสันดาป ซึ่งการสันดาปนี้ เมื่อมันไม่สมบูรณ์ (มีโอกาศเกิดขึ้นได้สูง) ก็จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นมา โชคดีที่หากท่านเป็นบุคคลทั่วๆไปที่ไม่ใช่นักกีฬา ร่างกายก็จะสามารถขจัดอนุมูลอิสระเหล่านี้ออกไปได้ไม่ยากนัก โดยสิ่งที่เรียกว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือ Anti Oxidant (แต่ร่างกายก็ผลิตสารต่อต้านอนุมูลอิสระหรือ Anti Auxidant ได้ไม่มากนัก ดังนั้น จึงต้องพึ่งพา สารต่อต้านอนุมูลอิสระจากแหล่งอื่น ได้แก่ พวกพืชผักทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น มะเขือเทศ ที่ให้ไลโคปีน, แครอท ที่ให้สารเบต้าแคโรธีน หรือ ผักโขม ที่ให้กรดอัลฟ่าไลโปอิค ซึ่งจะกล่าวในตอนต่อไป) นี่คือปัจจัยภายในที่เกิด จากกระบวนการทั่วๆไปของร่างกายท่านเอง นอกจากนี้ หากท่านเป็นบุคคลที่ทำงานในบรรยากาศที่มีความเครียดสูง ร่างกายของท่านก็จะสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมา มากกว่าปรกติเช่นกัน ดังนั้น ขอให้ท่านจำไว้ว่า อนุมูลอิสระ ที่เกิดจากปัจจัยภายในนั้น เกิดขึ้นตลอดเวลา และ ท่านหลีกเลี่ยงได้ยากมาก

ปัจจัยภายนอกหมายความว่าอย่างไร
ปัจจัยภายนอกที่จะกล่าวถึง ก็คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากแสง UV ควันจากไอเสียรถยนต์ มลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรม ไอเสียจากรถยนต์ และ ที่สำคัญที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
ณ.ปัจจุบัน นั่นก็คือ จากอาหาร

คิดว่าอนุมูลอิสระที่เป็นปัจจัยภายนอกนั้น โดยส่วนใหญ่ทุกๆท่านจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่อยากจะกล่าวถึง และ เน้นหนักก็คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากอาหารที่เราทานเข้าไป อาจจะงงว่าทำไมอาหารที่ เราทานเพื่อประทังชีวิตนั้น จึงเป็นแหล่งของอนุมูลอิสระ

อยากจะให้ท่านทั้งหลาย ลองสังเกตุอาหารรอบๆโต๊ะตัวเองให้ละเอียดสักครั้ง ดังนี้
  1. เวลาทานอาหาร ท่านทานอาหารที่ไหน ที่บ้านหรือที่ร้านอาหาร หากเป็นที่บ้าน น่าเชื่อเหลือเกิน ว่าท่านจะปรุงอาหารได้อย่างสะอาดและถูกหลักอนามัย แต่ ท่านเคยรู้หรือไม่ว่า พืชผักที่ท่านทาน อยู่นั้นและเชื่อว่าเป็นแหล่งของเกลือแร่ วิตมินอย่างดีนั้น จริงๆแล้ว ท่านอาจจะไม่ทราบว่า เป็นแหล่งเก็บสะสม สารพิษอย่างดีด้วยเช่นกัน หากเป็นพืชผักชนิดทานใบ ท่านจะได้ยาฆ่าแมลงแน่ๆ ท่าน อาจจะบอกว่า ท่านล้างสะอาดดีแล้ว งั้นผมจะถามท่านกลับว่า ทราบได้อย่างไรว่าสะอาดดีแล้ว สารเคมีที่แฝงมากับผักและผลไม้นั้น ท่านไม่มีทางมองเห็นนอกจะต้องนำไปผ่านกรรมวิธีทางเคมี หรือการส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ หากท่านบอกว่าท่านซื้อพืชผักจากร้านขายผักปลอดสารพิษ ท่านทราบหรือไม่ว่าผักปลอดสารพิษนั้น เค้าปลูกกันอย่างไร จริงๆแล้วผักปลอดสารพิษ โดย ส่วนใหญ่แล้ว ก็ใช่ยาฆ่าแมลงอยู่นั่นเอง แต่การใช้ยาฆ่าแมลงของผักปลอดสารพิษนั้น จะใช้ในปริมาณ ที่ถูกจำกัด และ ใช้ก่อนที่จะเก็บผลผลิตเป็นเวลานานพอสมควร โดยเชื่อว่า เมื่อทิ้งไว้นานพอสมควรแล้ว สารเคมีเหล่านั้นจะสลายไปใน อากาศ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า เมื่อใช้สารเคมีบ่อยเข้าๆ สารเคมีเหล่านั้นก็จะสะสมในดิน จนทำให้ดินที่ใช้ปลูกพืชผักเหล่านั้น อุดมไปด้วยสารเคมีแล้วทีนี้ เวลาปลูกผักในดินเหล่านั้น พืชผักก็จะได้ รับสารเคมีที่อยู่ในดินต่อไป ส่วนถ้าเป็นพืชทานหัว เช่น แครอท, หัวใช้เท้า, มัน, มันเทศ ท่านจะได้รับยาฆ่าหญ้าแน่ๆ เพราะ การปลูกพืชเหล่า นี้เกษตรกรต้องใช้ยาฆ่าหญ้าเป็นจำนวนมากเพื่อควบคุมปริมาณของวัชพืช ไม่ให้มาทำลายผลผลิตเหล่านั้น
  2. นอกจากนี้ สำหรับท่านที่ชอบทานอาหารนอกบ้านและชอบทานอาหารพวกปิ้งย่าง ขอให้ท่านพึงระลึกเสมอว่า ท่านมีโอกาศป่วยเป็นมะเร็งสูงกว่าบุคคลทั่วไปอย่างน้อย 20 เท่า เพราะปรกติแล้วอาหารปิ้งย่างเหล่านั้น ก็ทำให้ท่านเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าปรกติอยู่แล้ว แต่หากปัจจุบัน อาหารปิ้งย่างหลายๆอย่างจะถูกหมักด้วยผงชูรส ซึ่งผงชูรสนั้น เมื่อได้รับความร้อนโดยตรงจากการปิ้ง หรือ ย่างจะทำให้ผงชูรสนั้นเปลี่ยนเป็นสารเคมีที่ส่งเสริมให้เกิดการเป็นมะเร็งได้ง่ายขึ้นอีก 20 เท่า
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับเรื่องของอนุมูลอิสระ จริงๆแล้ว ปัจจัยภายนอกที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระนั้นยังมีอีกหลายชนิด นอกจากอาหารที่กล่าวถึง ได้แก่อนุมูลอิสระจากแสง UV,
อนุมูลอิสระจากควันไอเสียรถยนต์, อนุมูลอิสระจากควันบุหรี่, อนุมูลอิสระจากมลพิษในอากาศที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งผมจะนำเสนอในบทต่อไป

อย่างไรก็ตาม ผมก็อยากให้ทุกๆท่านพึงระลึกไว้เสมอว่า เราต้องดูแลสุขภาพของเราให้ดีนะครับ จำไว้ว่า "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐนะครับ"

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การ “ลงพุง” ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง?

มีหลักฐานชิ้นใหม่ ที่ชี้ให้เห็นว่า การลงพุง เพียงเล็กน้อย อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างมากมายมหาศาล หากว่าคนๆ นั้น เคยมีอาการหัวใจวายมาก่อน


การศึกษาชิ้นนี้ ได้เปรียบเทียบ การเพิ่มอัตราเสี่ยง ต่อการเสียชีวิตจากการสะสมไขมัน ที่รอบเอว ว่าเท่ากับการสูบบุหรี่วันละ 1 ซอง หรือการที่มีคอเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดสูงมาก

ในการศึกษาชิ้นใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่ง คณะนักวิจัยแห่งมาโย คลีนิก ที่เมืองรอเชสเตอร์ รัฐมินเนโซต้า ค้นพบว่าผู้ป่วยโรคหัวใจ ที่ลงพุงแม้ว่าจะไม่มากนัก มีอัตราเสี่ยงต่อการเสียชีวิต จากปริมาณไขมันที่สะสมไว้ที่หน้าท้อง มากกว่าผู้ที่สะสมไขมัน ไว้ตามส่วนอื่นๆ ของร่างกายถึง 2 เท่า

บรรดานักวิจัย ซึ่งนำโดยคุณ Francisco Lopez-Jimenez วิเคราะห์ข้อมูลการศึกษา 5 ฉบับ ที่ได้มาจากการศึกษา ในหมู่ผู้รอดชีวิต จากการหัวใจวายราว 16,000 คนทั่วโลก นักวิจัยพยายามศึกษา เพี่อที่จะได้ทราบว่า ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีอาการเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากที่ฟื้นตัวจากอาการหัวใจวาย โดยขึ้นอยู่กับปริมาณไขมัน ที่พวกเขาสะสมเอาไว้ในร่างกาย

คุณ Francisco Lopez-Jimenez กล่าวว่า ผู้ที่สะสมไขมันไว้ที่หน้าท้อง มากกว่าที่สะโพก หรือผู้ที่ลงพุงมากนั้น มีอัตราเสี่ยง ต่อการเสียชีวิต มากกว่าผู้ที่สะสมไขมันไว้ที่ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย 25 – 70% และว่า แม้ว่าการเป็นโรคอ้วน จะเกี่ยวโยงไปถึงการเป็น โรคหัวใจหลอดเลือดมาช้านาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน จะเป็นเครื่องชี้บอกที่ดีที่สุด ว่าคนเราจะมีอายุยืนยาว หลังมีอาการโรคหัวใจมากน้อยแค่ไหน แต่การกระจายการสะสมไขมัน ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย จะเป็นเครื่องชี้บอกที่ดีกว่า

โดยปกติ คำจำกัดความของการเป็นโรคอ้วน มักจะคำนวณจากดัชนีมวล ของร่างกาย หรือ BMI หรือปริมาณไขมัน ต่อน้ำหนักและส่วนสูง แต่ในการศึกษานี้ ผู้ที่มี BMI สูงกว่า หรือมีไขมันในร่างกายมากกว่านั้น อาจมีอายุยืนยาวกว่าผู้ที่มี BMI ต่ำได้

อย่างไรก็ตามนักวิจัยไม่ทราบว่าเหตุใดการลงพุง จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต หากเทียบกับไขมันที่กระจายไปที่ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย อย่างเช่นที่ขา หรือที่บั้นท้าย แต่คุณ Francisco บอกว่า ดูเหมือนว่า การสะสมไขมันที่หน้าท้องนั้น เป็นสาเหตุให้คอเลสเตอรอล และความดันเลือดสูงขึ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ดังนั้นสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้ว ปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะทำให้อาการแย่ลงไปกว่าเดิม

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า นับว่ายังโชคดี ที่ไขมันที่หน้าท้องนั้น เป็นไขมันที่ลดได้ง่ายที่สุด คนส่วนใหญ่สามารถลดขนาดห่วงยางรอบเอวของตนลง โดยการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานต่ำ และมีกากใยสูง และออกกำลังกายพอประมาณเป็นประจำทุกวัน

การศึกษาเรื่องนี้ตีพิพม์อยู่ในวารสาร The Journal of the American College of Cardiology

ที่มา : VOA

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Clip VDO เตือนอย่าเชื่อน้ำมันรำข้าวรักษาสารพัดโรค

จากเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2010 ผมได้ Post เรื่อง อย.เตือนอย่าเชื่อน้ำมันรำข้าวรักษาสารพัดโรค มาวันนี้ผมไปเจอ File VDO ข่าว จากช่อง 7 และ ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆผู้อ่าน ก็เลยอยากเอามาแบ่งปันใน Blog

เชิญเพื่อนๆ ผู้อ่านชม Clip ข่าวได้เลยครับ

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มลพิษทางอากาศเป็นศัตรูร้ายต่อสตรี ไอเสียก่อมะเร็งเต้านม

อากาศเป็นพิษ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เป็นโรคภัยต่างๆ ยังอาจทำให้ผู้หญิงต้องเสี่ยงกับโรคที่ถึงตายอีกอย่างหนึ่ง เพราะมีการศึกษาพบว่า มลพิษจากยวดยานทำให้สตรีต้องเสี่ยงกับโรคมะเร็งเต้านมด้วย

นักวิจัยของสถานวิจัยเอ็มยูเอชวี มหาวิทยาลัยแมคกิลล์ และมหาวิทยาลัยแห่งมอนทรีล รายงานว่า "เราสังเกตพบอัตราการป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมได้เพิ่มขึ้นมาสักพักแล้ว โดยไม่มีใครรู้สาเหตุแท้จริง มีอยู่เพียงแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น ที่เกี่ยวพันถึงปัจจัยเสี่ยง เนื่องจากยังไม่มีใครเคยลองศึกษาถึงความเกี่ยวพันของอากาศเป็นพิษกับมะเร็งเต้านม โดยการใช้แผนที่มลพิษทางอากาศอย่างละเอียด เราจึงคิดกันที่จะสอบสวนเรื่องนี้"

ดร.มาร์ค โกลด์เบิร์ก ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวเปิดเผยผลการศึกษาว่า "เราได้พบความเกี่ยวพันระหว่าง การเป็นมะเร็งเต้านมของสตรีวัยหมดประจำเดือนแล้ว กับการสัมผัสกับก๊าซไนโตรเจน ไดออกไซด์ อันเป็นมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการจราจร" และเปิดเผยข้อมูลในนครมอนทรีลเป็นตัวอย่างว่า "ในมอนทรีลระดับของก๊าซนี้ จะอยู่ระหว่าง 5-30 ส่วนต่อพันล้าน เราได้พบว่าความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นอีกร้อยละ 25 ทุกที่ปริมาณก๊าซเพิ่มขึ้น 5 ส่วนต่อพันล้าน"

"อาจจะพูดเสียใหม่ได้ว่า สตรีที่อยู่ในบริเวณซึ่งมีปริมาณมลพิษสูงสุด จะเสี่ยงกับที่จะเป็นมะเร็งเต้านม สูงกว่าผู้ที่อยู่ในบริเวณที่มีมลพิษน้อยกว่ากันถึง 2 เท่า.

ที่มา : ไทยรัฐ


วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

พบเด็กเกิดใหม่ป่วย ธาลัสซีเมีย รุนแรงปีละกว่า 4 พันราย

พบเด็กเกิดใหม่ป่่วย "ธาลัสซีเมีย"รุนแรงปีละกว่า4พันราย หนุนไทยเป็นศูนย์กลาง ป้องกันควบคุมรักษาโรคระดับเอเซีย

เมื่อเวลา 16.00น. วันที่ 10 พ.ย. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยภายหลังการเข้าเยี่ยมคารวะของนายพานอส อิงเกลซอส ประธานสมาพันธ์ธาลัสซีเมียนานาชาติ พญ.แอนดรูลา แอเลฟเธอเรียล ผอ.ฝ่ายการแพทย์สมาพันธ์ฯ ศ.นพ.สุทัศน์ ฟู่เจริญ ศูนย์วิจัยธาลัสซีเมีย มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะ เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือ ในการให้บริการแก่ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ว่า ประเทศไทยมีแผนยุทธศาสตร์ธาลัสซีเมียแห่งชาติ ปี 2550 – 2554 มีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประธานสมาพันธ์ธาลัสซีเมียนานาชาติ ได้แสดงความชื่นชมการแก้ไขปัญหาธาลัสซีเมียของประเทศไทย ที่มีความก้าวหน้าในการดูแลผู้ป่วย ทั้งมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ และการดูแลรักษาที่ดี

ขณะนี้ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาฟรี รวมทั้งยาสำคัญที่ใช้ในการรักษา 2 ใน 3 ชนิด ได้บรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งสมาพันธ์ธาลัสซีเมียนานาชาติ อยากเห็นไทยพัฒนาศูนย์ดูแลผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ขึ้นเป็นศูนย์ระดับชาติ และต้องการร่วมมือกับ ไทยพัฒนาศูนย์นี้ให้เป็นศูนย์ระดับภูมิภาคต่อไป เพื่อช่วยดูแลประเทศใกล้เคียงในแถบเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ลาว กัมพูชา พม่า ที่มีผู้ป่วยโรคนี้จำนวนมาก ได้มอบหมายให้ กรมอนามัยปรึกษาหารือ ในรายละเอียดกับสมาพันธ์ธาลัสซีเมีย นานาชาติ

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วย โรคธาลัสซีเมียปีละกว่า 21,500 ล้านบาท แต่หากเราสามารถควบคุมป้องกัน โดยการตรวจคัดกรองค้นหากลุ่มเสี่ยงได้ดี จะมีค่าใช้จ่ายเพียงปีละ 125 ล้านบาท จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาลงได้ เป็นอย่างมากทั้งนี้ประเทศไทยพบชายหญิง ที่มีพันธุกรรมโรคธาลัสซีเมียแอบแฝงในตัว 37% หรือประมาณ 24 ล้านคน และมีคู่สมรสเสี่ยงมีบุตรเป็นธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงปีละ 17,000 คู่ ในแต่ละปีจะมีเด็กเกิดใหม่เป็นธาลัสซีเมีย ชนิดรุนแรงที่ต้องรับการรักษา 4,253 ราย

ที่มา : ไทยรัฐ


วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ด่วน! อย.เพิกถอนยา Rosiglitazone เพราะไม่ปลอดภัย

อย.สั่งเพิกถอนยา Rosiglitazone จากบัญชียาหลักไทย พร้อมเรียกเก็บยาคืนจากท้องตลาดอย่างเร่งด่วน ด้าน สสส.-กพย.เผยยา Rosiglitazone แพง-เสี่ยงไม่ปลอดภัย ชี้ 30 ประเทศทั่วโลกร่วมแบนแล้ว

วันนี้ (9 พ.ค.) โรงแรมริชมอนด์ นนทบุรี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) จัดประชุมเรื่องความเสี่ยงในการใช้ยาของคนไทย : กรณีศึกษายาเบาหวานโรสิกลีตาโซน (Rosiglitazone) หลังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สั่งเพิกถอนจากบัญชียาหลักไทย พร้อมเรียกเก็บยาคืนจากท้องตลาดอย่างเร่งด่วน ซึ่งยาโรสิกลีตาโซน เป็นยาใหม่อยู่ในกลุ่ม thiazolidinedione ได้รับอนุมัติข้อบ่งใช้รักษาเบาหวานชนิดที่ 2 นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยโดยบริษัท แกล็กโซสมิทไคลน์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 ในรูปแบบยาเม็ดมีทั้งที่เป็นสูตรยาเดี่ยวและสูตรยาผสม ได้แก่ Rosiglitazone (Avandia®) Rosiglitazone+metformin (Avandamet®) และ Rosiglitazone+glimepiride (Avandaryl®)

ภญ.วิมล สุวรรณเกศาวงษ์ หัวหน้าศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย.กล่าวว่า สืบเนื่องจากปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาหน่วยงานกำกับดูแลด้านยา (Drug Regulatory Authority) ของประเทศต่างๆ ได้กำหนดมาตรการจัดการความเสี่ยงของยาโรสิกลีตาโซนเพิ่มเติม ซึ่งแบ่งเป็น 2 มาตรการ ได้แก่ การระงับการจำหน่าย และการจำกัดการใช้ยาอย่างเข้มงวด สำหรับประเทศไทย อย.ได้มีการแจ้งเตือน บุคลากรทางการแพทย์ถึงความเสี่ยงของการใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนประกอบของโรสิกลีตาโซนแล้ว และขอความร่วมมือให้สถานพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ให้ใช้ยาดังกล่าวเมื่อมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงเท่านั้น

ล่าสุด การประชุมคณะอนุกรรมการศึกษา และเฝ้าระวังอันตรายจากการใช้ยา ครั้งที่ 4/2553 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2553 ที่ประชุมมีมติ เสนอคณะกรรมการยาให้เพิกถอนทะเบียนตำรับยา ที่มีส่วนประกอบของโรสิกลีตาโซน เนื่องจากมีข้อมูลความเสี่ยงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยในสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศเจ้าของผลิตภัณฑ์มีการระงับการจำหน่าย และให้ยานี้ออกจากท้องตลาด และมีตัวยาอื่นที่สามารถใช้ทดแทนได้ และในช่วงระหว่างดำเนินการเสนอเพิกถอนทะเบียนตำรับยา ให้ขอความร่วมมือบริษัทผู้ผลิตและผู้นำเข้าฯ ในการระงับการจำหน่ายยาที่มีส่วนประกอบของโรสิกลีตาโซน และเรียกเก็บยาคืนจากท้องตลาดอย่างเร่งด่วน

ผศ.ภญ.ดร.ยุพดี ศิริสินสุข รองผู้จัดการแผนงานสร้างกลไก เฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวว่า สำหรับมาตรการในต่างประเทศ ในการตั้งรับยาโรสิกลีตาโซนนั้น ล่าสุด สำนักยาแห่งยุโรปรวม 27 ประเทศ ซูดาน อียิปต์ และอินเดีย มีการเพิกถอนรายชื่อยาโรสิกลีตาโซนไปแล้วจากตำหรับยา ขณะที่องค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration/FDA) จำกัดการใช้ยาในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ แม้ล่าสุด อย.จะสั่งให้มีการเพิกถอนโดยสมัครใจแล้ว แต่ผลกระทบที่เห็นได้ชัด คือ ปรากฏการณ์การเบิกจ่ายยาแพง โดยเฉพาะกลุ่มราชการที่สามารถเบิกค่ายาได้เต็มที่ กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก จึงอยากให้ผู้ป่วยตระหนักว่า การใช้ยาแพงไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยจะได้ยาดีและปลอดภัย หากไม่มีการตรวจสอบ

รศ.ภก.ดร.ณธร ชัยญาคุณาพฤกษ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยผลลัพธ์ทางเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวถึงการศึกษาวิจัยความคุ้มค่า ของการใช้ยาไพโอกลีตาโซน (Pioglitazone) เทียบกับยาโรสิกลีตาโซน (Rosiglitazone) ซึ่งในขณะที่ทำการศึกษาในปี 2004 นั้น แม้ยาไพโอกลีตาโซนจะมีราคาสูงกว่าโรสิกลีตาโซน แต่มีข้อมูลระบุว่าสามารถลดระดับไขมันได้ดีกว่า ส่งผลให้เกิดความปลอดภัยต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดที่สูงกว่า แต่ล่าสุดในช่วงปี 2007-2009 มีการวิจัยหลายฉบับ ที่แสดงให้เห็นผล เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจจากการใช้ยาโรสิกลีตาโซน เมื่อประกอบกับในท้องตลาดเริ่มมียาไพโอกลีตาโซน ที่เป็นยาสามัญจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่ายาโรสิกลีตาโซน ที่เป็นยาต้นฉบับ ฉะนั้นข้อมูลปัจจุบันจึงสนับสนุนว่ายาไพโอกลีตาโซน จัดเป็นยาทางเลือกที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ทั้งในแง่ความปลอดภัยและความคุ้มค่า

ภญ.วรสุดา ยูงทอง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวถึงสาเหตุที่ยาโรสิกลีตาโซน ถูกถอนออกจากบัญชียาหลัก และล่าสุด อย.ประกาศเพิกถอนแล้วนั้น เพราะเมื่อเทียบกับ pioglitazone แล้วมีข้อด้อยกว่าเรื่อง
  1. ไม่มี generic product คือ มีบรรจุในบัญชียาหลักทำให้ต้องนำเข้า ค่าใช้จ่ายสูง
  2. ต้องรับประทานวันละ 2 ครั้ง
  3. ข้อมูลประสิทธิภาพต่อ lipid profile ด้อยกว่า pioglitazone
  4. ซึ่งมีหลักฐานชี้ชวนว่าอาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย มีอาการปวดน้ำ โดยเฉพาะผู้หญิงมีความเสี่ยงในการเกิดกระดูกแตกหักได้ง่าย
ที่มา : ผู้จัดการ Online


.

.