เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รู้หรือไม่ น้ำหนัก 60 กก. ไม่จำเป็นต้องอ้วนเสมอไป


จากภาพบน 3 ภาพจะเห็นได้ว่าน้ำหนัก 56 กิโลกรัม มีสภาพที่ดูแล้วจะเห็นว่ามีไขมันส่วนเกินอยู่มากมาย แต่ในขณะที่น้ำหนัก 62.5 กิโลกรัม กลับดูหุ่นฟิต สวยงาม และ ไม่มีไขมันส่วนเกินใดๆเลย

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนเรื่อง ไขมัน และ กล้ามเนื้อ ว่า 2 สิ่งนี้ต่างกันอย่างไร?

ไขมัน จะมีมวลที่มากกว่ากล้ามเนื้อในน้ำหนักที่เท่ากัน
ดังภาพข้างล่างที่เป็นตาชั่ง ซึ่งจะเปรียบเทียบระหว่างไขมัน และ กล้ามเนื้อในน้ำหนักที่เท่ากัน (จากภาพไขมันมีสีเหลือง ส่วนเนื้อแดงมีสีแดงคล้ำ)

ดังนั้นคนที่มีน้ำหนักเยอะ (ตามภาพคือ 62.5 kg) เป็นภาพของคนที่ร่างกายปราศจากไขมันส่วนเกิน และ มีกล้ามเนื้ออยู่มาก ในขณะที่ตอนที่มีน้ำหนักน้อยกว่า (56 kg) ร่างกายเต็มไปด้วยไขมันส่วนเกิน

สำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักทั้งหลาย อยากให้ทุกๆ คนเวลาลดน้ำหนักอย่าสนใจแต่ตัวเลขน้ำหนักบนตาชั่งอย่างเดียว เพราะตัวเลขบนตาชั่งไม่ได้หมายความว่าจะทำให้คุณมีรูปร่างที่ดีเสมอไป

คุณต้องสนใจปริมาณน้ำหนักไขมัน และ ปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกายด้วย

ที่สำคัญ จำไว้เสมอว่า ถ้าคุณมีกล้ามเนื้อเยอะร่างกายคุณก็จะเผาผลาญพลังงานได้ดี โอกาศที่จะทำให้คุณกลับมาอ้วนอีกครั้งก็น้อยลง

ผลสำเร็จจากการใช้ TR90



จากภาพจะเห็นว่าจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือสะโพก ซึ่งเป็นอะไรที่คุณผู้หญิงทั้งหลายประสบปัญหานี้กันมาอย่างยาวนาน

เพราะการลดสะโพก เป็นอะไรที่ลดยากที่สุดในกระบวนการดูแลรูปร่าง

ทั้งหมดนี้คือผลสำเร็จของผลิตภัณฑ์ TR90 ที่พวกเราชาว Nu Skin ภาคภูมิใจ

คุณผอมแต่ซ่อนไขมันไว้หรือเปล่า?

“ฉันกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น ก็แค่เกิดมาผอม”….ในขณะที่คนมากมายต้องต่อสู้กับปัญหาน้ำหนักตัว เมื่อได้ยินใครบางคนพูดอย่างภาคภูมิใจว่า พวกเขารักษารูปร่างให้ผอมบางไว้ได้ง่ายดายขนาดไหน จะดีแค่ไหนถ้าคุณมีรูปร่างอย่างที่หวัง โดยไม่ต้องกังวลว่ากินอะไรเข้าไปบ้าง หรือจะต้องไปโหมออกกำลังกายอย่างหนักทีหลัง

แต่โชคร้ายที่แม้แต่คนรูปร่างผอมบางก็อาจเป็นโรคอ้วนได้ ถึงแม้รอบเอวคุณจะเล็กกิ่ว แขนขาจะเพรียวยาว แต่สิ่งที่อยู่ข้างในต่างหากที่สำคัญ ถ้าร่างกายของคุณมีกล้ามเนื้อไม่เพียงพอแถมยังมีไขมันมากเกินไป คุณก็อาจมีปัญหาสุขภาพตามมาได้ ความจริงก็คือการเป็นคนผอมไม่ได้หมายถึงการมีสุขภาพดีเสมอไป

ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ นายแพทย์ ดร. เดวิด ฮีเบอร์ ประธานสถาบันโภชนาการเฮอร์บาไลฟ์ และประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวในการสัมภาษณ์กลุ่มงานประชุมเฮอร์บาไลฟ์ เอ็กซ์ตร้าวาแกนซ่า กรุงเทพฯ ระบุว่า “แม้บางคนจะไม่จัดว่าอ้วนเมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่ที่จริงพวกเขาอาจเป็นโรคอ้วน เพราะมีอัตราส่วนของไขมันในร่างกายสูงเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว”

คนที่เป็นโรค “ผอมซ่อนอ้วน” ก็คือคนผอมที่สวมใส่เสื้อผ้าแล้วดูดี แต่ที่จริงแอบอ้วนอยู่ข้างใน และคนจำนวนมากที่เป็นโรคอ้วนแบบนี้มักไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญปัญหาสุขภาพอยู่ ดร. เดวิด ฮีเบอร์ เรียกภาวะนี้ว่า TOFI – Thin Outside, Fat Inside หรือผอมข้างนอกแต่อ้วนข้างใน ซึ่งแม้แต่คนที่มีดัชนีมวลกายปกติ (BMI) ก็อาจมีไขมันภายในร่างกายสูงได้อย่างน่าแปลกใจ (BMI หรือ Body Mass Index คือดัชนีวัดความอ้วนที่เป็นมาตรฐาน คำนวณได้โดยเอาน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงมีหน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง)

ปัจจุบันการวัดไขมันสามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่แม่นยำที่สุดคือการชั่งน้ำหนักในน้ำ (Underwater Weighing) แต่วิธีนี้มีราคาแพงและต้องทำในห้องปฏิบัติการเท่านั้น อีกทางเลือกหนึ่งในการวัดไขมันในปัจจุบัน คือการวัดค่า BIA หรือ Bioelectric Impedance Analysis โดยใช้เครื่องวัดไขมัน ซึ่งเป็นการวัดองค์ประกอบของร่างกายจากความต้านทานไฟฟ้า โดยอาศัยคุณสมบัติที่แตกต่างกันระหว่างไขมันกับกล้ามเนื้อ เมื่อได้ค่าความต้านทานออกมาแล้ว เครื่องจะนำไปคำนวณโดยอาศัยปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ส่วนสูง น้ำหนัก เพศ อายุ ฯลฯ แล้วแปลผลออกมา

นอกจากนี้ยังมีวิธีง่าย ๆ ที่ใช้กันทั่วไป คือใช้เครื่องวัดไขมันเฉพาะจุดซึ่งมีลักษณะเหมือนปากคีบขนาดใหญ่ คีบลงบนผิวหนังเพื่อวัดไขมันจากความหนาของผิวที่ถูกคีบขึ้น ตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณหน้าท้องซึ่งมีไขมันสะสมอยู่ภายใต้ แต่วิธีนี้อาจไม่ตอบโจทย์กับการวัดได้ทั้งหมด เนื่องจากไม่สามารถวัดไขมันที่อยู่ลึกลงไป หรือไขมันตามต้นขาและหน้าอกได้

ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ นพ.ดร. ฮีเบอร์ เน้นย้ำว่าเราไม่ควรกังวลกับไขมันที่เห็นภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ควรใส่ใจกับไขมันที่ซ่อนอยู่ภายในด้วย “คนที่มีระดับไขมันในร่างกายสูงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลายชนิด เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ และมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น”

“ในความเป็นจริง ไขมันภายในร่างกายเหล่านี้ถูกซ่อนอยู่ในไขมันที่ห่อหุ้มอวัยวะสำคัญ ซึ่งจะพอกพูนต่อเนื่องไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งาน และไปอออยู่รอบหัวใจ ไขมันชนิดนี้จึงเป็นอันตรายมากกว่าไขมันภายนอกซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง แถมคนที่มีไขมันชนิดนี้ยังดูผอมด้วย” ดร. ฮีเบอร์ กล่าวเสริม

ที่มา : คุณผอมแต่ซ่อนไขมันไว้หรือเปล่า?

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มะหาด ขาว หลอกลวง?

ด้วยความที่ผมเป็นคนขวางโลก ประกอบกับตอนเรียน จะโดนปลูกฝังให้เป็นคนช่างสงสัย
ผมเลยหาข้อมูลของมะหาด ว่ามันทำให้ขาวขึ้นจริงๆ หรือเพราะสารอะไร

สิ่งที่ผมค้นพบ ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยยิ่งกว่าเดิม
เพราะว่าทุกเว็บจะคัดลอกผลการวิจัยมาเหมือนกัน ดังนี้
มะหาด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Artocarpus lakoocha Roxb. ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นที่สามารถพบได้โดยทั่วไปในประเทศไทย ปกติแล้ว เรามักใช้เปลือก ราก และแก่น มาต้มดื่มหรือบดเป็นผงชง เพื่อลดไข้ ถ่ายพยาธิ ถอนพิษร้อน ส่วนที่เราใช้มาผสมในเครื่องสำอาง คือ สารสกัดจาก“แก่น” ค่ะ โดยมีการศึกษาวิจัยพบว่าสารธรรมชาติในกลุ่มสติลบีน (stilbene) หลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส หนึ่งในสารกลุ่มนี้คือ ออกซิเรสเวอราทรอล (oxyresveratrol หรือ trans-2,4,3,5- tetrahydroxystilbene ) ที่สกัดจากแก่นของมะหาด ยับยั้งการเกิดของเอนไซม์ไทโรซิเนสได้มากถึง 10 เท่า (กิตติศักดิ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ และคณะ แห่งคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) จากการทดลองในสัตว์และมนุษย์ในระยะสั้นพบว่า สามารถทำให้ผิวขาวได้มากขึ้น

รายละเอียดของการทดลองคือ ผลการทดลองพบว่า ครีมมะหาดมีประสิทธิภาพในการลดความเข้มของสีผิวในหนูตะเภา ต่อมาได้ทำการศึกษาในอาสาสมัครจำนวน 4 คน โดยทาสารสกัดจากแก่นมะหาดที่แขนวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ และทำการวัดค่าความเข้มของสีผิวด้วยเครื่อง Mexameter พบว่าแขนที่ทาด้วยสารสกัดจากแก่นมะหาดมีแนวโน้มให้ค่าความเข้มของสีผิวลดลง โดยไม่มีอาการแพ้หรือระคายเคือง ในที่สุดผู้วิจัยได้ศึกษาในอาสาสมัครจำนวนมากขึ้น คือ 60 คน ในระยะเวลา 12 สัปดาห์ โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 20 คน เป็นเพศหญิง อายุ 20–48 ปี มีสภาพผิวหนังปกติ จากการทาสารสกัดที่ต้นแขนของอาสาสมัครวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจาก ชะเอมและกรดโคจิก ผลการทดลองพบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจากมะหาด จะมีผิวขาวขึ้นเรื่อยๆ ความขาวของสีผิวจะเห็นผลในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์ และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญตามระยะเวลาที่ทำการทดลอง นอกจากนี้ ยังไม่พบอาการแพ้หรือระคายเคืองผิวแต่อย่างใด
และข้อความอีกชุด ที่มักถูกใช้โฆษณา คือ
ศูนย์ผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ศึกษาการใช้สารสกัด 5% oxyresveratrol จากสมุนไพรแก่นมะหาดในการรักษาฝ้า ได้ผลดีไม่แตกต่างจากยาทา 2% Hydroquinone (ยาทาฝ้าชนิดออกฤทธิ์แรงที่จ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น) และพบผลข้างเคียงเล็กน้อย
ถอดใจความออกมา จะเห็นว่า พูดถึงแต่ข้อดีจนน่าสงสัย นั่นก็คือ
  • ช่วยยับยั้งการสร้างเมลานิน ช่วยให้ขาวขึ้น
  • มีฤทธิ์รักษาฝ้าเทียบเท่าไฮโดรควิโนน
  • ไม่มีผลข้างเคียง หรือพบเพียงเล็กน้อย
ซึ่งบอกตรงๆ… ผมไม่เชื่อ!!!
ผมเลยค้นหาต้นตอของข้อมูล และได้ข้อมูลประกอบดังนี้
  • เคยมีการวิจัยมะหาดโดยแพทย์จุฬาฯ เมื่อปี 2551
  • ผู้จัดการออนไลน์ มีข่าว “มะหาด รักษาเริม” แต่ไม่มีข่าว “มะหาดทำให้ขาว” ตามที่เว็บขายสินค้ากล่าวอ้าง
  • ผลการวิจัยของคณะแพทย์ มศว.
    • รักษาฝ้าได้เทียบเท่าไฮโดรควิโนน
    • ไม่มีรายงานยืนยันว่าทำให้ขาว และผลในระยะยาว
    • ผลข้างเคียงเยอะ และเกิดอาการแพ้ได้
และผมมาเจอหลักฐานชิ้นสำคัญอีกชิ้นคือ บทสัมภาษณ์เจ้าของผลงานชิ้นนี้ บนเว็บ เดลินิวส์ : ชี้แจงกระแสใช้ 'มะหาด' เป็นสารช่วยให้ 'ผิวขาว' - X-RAY สุขภาพ

รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.ภาคภูมิ เต็งอำนวย ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมวิจัย
ซึ่งเนื้อข่าวยาวมาก ผมจึงตัดมาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจดังนี้
  • ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ผิวคนไทยจึงมีสีเข้ม
  • ค่านิยมอยากขาว ทำให้สินค้าจากเมืองนอกเป็นที่นิยม
  • เป็นเรื่องดี ถ้าหันมาใช้สินค้าไทย ( มะหาด )
  • รศ. ดร. ภาคภูมิ ตกใจที่เห็นข่าวสินค้ามะหาดอยู่มากมาย
  • ขั้นตอนและผลการวิจัย
    • แก่นมะหาดและสารสำคัญที่มีอยู่ คือ ออกซีเรสเวอราทรอล (oxyresveratrol)
    • ออกซีเรสเวอราทรอล สามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรสิเนส ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการสร้างเม็ดสีเมลานิน
    • เริ่มยืนยันผลในสัตว์ทดลองคือหนูตะเภา พบว่าทำให้สีผิวอ่อนจางลง
    • ขยายผลการทดลองมาเป็นอาสาสมัคร 60 คน พบว่าประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ ปวกหาดและออกซีเรสเวอราทรอลไม่แตกต่างกัน
  • ข้อจำกัด
    • ความคงตัว สารสกัดจากแก่นมะหาดที่ใช้เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จะมีสีเหลืองอ่อน ๆ ซึ่งเมื่อเก็บไว้ไม่เกิน 3 เดือน สีก็จะเข้มขึ้นจนท้ายสุดจะเป็นสีน้ำตาล นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ปริมาณออกซีเรสเวอราทรอลและฤทธิ์ในการต้านเอนไซม์ไทโรสิเนส พบว่าก็จะลดลงตามระยะเวลาด้วย
    • คุณภาพ ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา เปอร์เซ็นต์ของออกซีเรสเวอราทรอลต้องมากกว่า 80% ขึ้นไป ถึงจะมั่นใจได้ว่ามีฤทธิ์ต้านไทโรสิเนส
    • ทรัพยากร มะหาดเป็นไม้ยืนต้นซึ่งใช้เวลาหลายปีจึงจะโต และต้องโค่นต้นเพื่อเอาแก่นมาใช้ การจะผลิตสารจากแก่นมะหาดอย่างยั่งยืนต้องมีการวางแผนการเพาะปลูกที่ดี ไม่ใช่ตัดมาจากธรรมชาติอย่างเดียว
    • ผลจากการใช้ แก่นมะหาดจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไปและเปลี่ยนแปลงไม่มาก อย่างดีที่สุดคือช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาใกล้เคียงกับสภาพดั้งเดิมตามกรรมพันธุ์ของตน
นอกจากนี้ ผมได้รับข้อมูลจากการสนทนาในกลุ่มวงการความงาม
ได้ข้อมูลเพิ่มอีกคือ มะหาดขาวจริง แต่ต้องเป็นส่วนของ “แก่น”
แต่สินค้าที่วางขายปัจจุบัน ใช้ส่วนของ กิ่ง, ก้าน ซึ่งไม่มีส่วนช่วยให้ขาว

เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ผมจะสรุปให้ฟังสั้นๆง่ายๆดังนี้
  • สินค้าแต่ละล๊อต อาจมีคุณภาพไม่เท่ากัน เพราะแต่ละต้นมีประสิทธิภาพไม่เท่ากัน
  • สินค้ามะหาด ต้องประกอบด้วยออกซีเรสเวอราทรอล 80% ขึ้นไป ถึงจะช่วยให้ขาว
  • มะหาดที่แท้จริง จะค่อยๆขาว และขาวขึ้นไม่มาก และจะไม่ขาวกว่าสีผิวจริง ซึ่งอาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความต่าง
  • ยังไม่มีผลวิจัย ผลกระทบจากการใช้งานในระยะยาว
  • มีโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เพราะ 2 สถาบัน วิจัยได้ผลต่างกัน จึงควรปลอดภัยไว้ก่อน
  • ไม่ควรใช้แบบที่มีความเข้มข้นเกิน 5% เพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียงสูง
เมื่อได้หลักฐานข้อมูลที่ต้องการมาทั้งหมดแล้ว เครื่องหมายคำถามก็เกิดขึ้นในหัวผม

ผลวิจัยบอกว่า ขาวอย่างช้าๆ และมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความต่าง

แล้วที่วางขาย ใช้แล้วขาวทันที มันใส่อะไรในนั้น !

Source:

http://www.research.chula.ac.th/rs_news/2551/N006_22.htm

http://erk-erk.exteen.com/20120530/q-a-1
http://www.dailynews.co.th/article/1490/133547
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079892

ที่มาของบทความ : มะหาด ขาว หลอกลวง?

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction หรือ อาการ ED) หรือ Sex เสื่อม คืออะไร?

อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction หรือ อาการ ED) หรือ SEX เสื่อม หมายถึง การที่องคชาตไม่สามารถแข็งตัว และ/หรือแข็งตัวได้ แต่ไม่เพียงพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างน่าพึงพอใจ (EHS เกรด 3 ถึงเกรด 1) โดยเกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือต่อเนื่อง อาการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อจิตใจ ผู้ชายที่ประสบปัญหาเป็นอย่างมาก ทำให้ขาดความเชื่อมั่น รู้สึกต่ำต้อยไร้คุณค่า และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นชาย นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อคู่ครองและชีวิตรักอีกด้วย

สำหรับระดับการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 เกรด ดังนี้
  1. เกรด 1 (EHS 1) คือ การที่อวัยวะเพศตื่นตัว ขยายขนาดพองขึ้นแต่ไม่แข็ง ซึ่งเปรียบได้กับความแข็งของเต้าหู้หลอด (อาการอีดีระดับรุนแรง) 
  2. เกรด 2 (EHS 2) คือ การที่อวัยวะเพศแข็งตัว แต่ไม่เพียงพอที่จะสอดใส่เพื่อมีเพศสัมพันธ์ เปรียบได้กับความแข็งของกล้วยหอมที่ปอกเปลือกแล้ว (อาการอีดีระดับปานกลาง) 
  3. เกรด 3 (EHS 3) คือ การที่อวัยวะเพศแข็งตัวไม่เต็มที่ แต่เพียงพอที่สอดใส่ได้ เปรียบได้กับความแข็งของกล้วยหอมที่ยังไม่ได้ปอกเปลือก (อาการอีดีระดับต้น) 
  4. เกรด 4 (EHS 4) คือ การที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ ทำให้สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีความสุขทั้งสองฝ่าย และเป็นเป้าหมายของการรักษาอาการอีดี เปรียบได้กับความแข็งของแตงกวา (ปลอดจากอาการอีดี)
ปัญหาของ Sex เสื่อม หรือ นกเขาไม่ขัน นั้นส่วนใหญ่มีสาเหตุ หลักๆ ดังนี้
  1. การไม่ชอบออกกำลังกาย 
  2. นั่งเฉยๆอยู่กับที่เป็นระยะเวลานาน 
  3. กินเยอะจนทำให้อ้วน 
  4. สูบบุหรี่ และ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอร์ฮอล
โดยเรื่องการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศนี้ Morten Frisch นักวิจัยจาก Statens Serum Institut ซึ่งเป็นสถานบันวิจัยในประเทศเดนมาร์กนั้น ได้ทำการสำรวจผู้หญิงและผู้ชายจำนวน 5,500 คน โดยระบุว่าผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าวนั้น สามารถทำให้ผู้หญิงไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ถึง 91% ส่วนผู้ชายนั้นมีถึง 78%

นอกจากนี้ ในกลุ่มที่ทำการสำรวจนั้น พบว่าผู้ที่มีคู่นอนอีกทั้งยังมีรอบเอวที่ใหญ่นั้น จะเพิ่มเปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ถึง 71% อีกด้วย และสำหรับผู้ที่ติดยาเสพติดอย่างหนักนั้นจะทำให้เปอร์เซ็นต์เพิ่มถึง 800% ในขณะที่ผู้หญิงที่สูบกัญชานั้นพบว่า ไม่สามารถถึงจุดสุดยอดได้มากถึง 3 เท่าอีกด้วย

ที่มา : บทความบางส่วนจาก ผู้ชายที่ไม่ดูแลสุขภาพ เสี่ยงปัญหานกเขาไม่ขันก่อนวัย!, อะไรคือต้นเหตุ ของการทำให้เซ็กส์เสื่อม!!

ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการ
หย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction หรือ อาการ ED) หรือ Sex เสื่อม


ไลฟ์แพ็ก (LifePak) ageLOC R2 (เอจล็อค อาร์สแควร์)

.

.