“ฉันกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น ก็แค่เกิดมาผอม”….ในขณะที่คนมากมายต้องต่อสู้กับปัญหาน้ำหนักตัว เมื่อได้ยินใครบางคนพูดอย่างภาคภูมิใจว่า พวกเขารักษารูปร่างให้ผอมบางไว้ได้ง่ายดายขนาดไหน จะดีแค่ไหนถ้าคุณมีรูปร่างอย่างที่หวัง โดยไม่ต้องกังวลว่ากินอะไรเข้าไปบ้าง หรือจะต้องไปโหมออกกำลังกายอย่างหนักทีหลัง
แต่โชคร้ายที่แม้แต่คนรูปร่างผอมบางก็อาจเป็นโรคอ้วนได้ ถึงแม้รอบเอวคุณจะเล็กกิ่ว แขนขาจะเพรียวยาว แต่สิ่งที่อยู่ข้างในต่างหากที่สำคัญ ถ้าร่างกายของคุณมีกล้ามเนื้อไม่เพียงพอแถมยังมีไขมันมากเกินไป คุณก็อาจมีปัญหาสุขภาพตามมาได้ ความจริงก็คือการเป็นคนผอมไม่ได้หมายถึงการมีสุขภาพดีเสมอไป
ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ นายแพทย์ ดร. เดวิด ฮีเบอร์ ประธานสถาบันโภชนาการเฮอร์บาไลฟ์ และประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวในการสัมภาษณ์กลุ่มงานประชุมเฮอร์บาไลฟ์ เอ็กซ์ตร้าวาแกนซ่า กรุงเทพฯ ระบุว่า “แม้บางคนจะไม่จัดว่าอ้วนเมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่ที่จริงพวกเขาอาจเป็นโรคอ้วน เพราะมีอัตราส่วนของไขมันในร่างกายสูงเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว”
คนที่เป็นโรค “ผอมซ่อนอ้วน” ก็คือคนผอมที่สวมใส่เสื้อผ้าแล้วดูดี แต่ที่จริงแอบอ้วนอยู่ข้างใน และคนจำนวนมากที่เป็นโรคอ้วนแบบนี้มักไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญปัญหาสุขภาพอยู่ ดร. เดวิด ฮีเบอร์ เรียกภาวะนี้ว่า TOFI – Thin Outside, Fat Inside หรือผอมข้างนอกแต่อ้วนข้างใน ซึ่งแม้แต่คนที่มีดัชนีมวลกายปกติ (BMI) ก็อาจมีไขมันภายในร่างกายสูงได้อย่างน่าแปลกใจ (BMI หรือ Body Mass Index คือดัชนีวัดความอ้วนที่เป็นมาตรฐาน คำนวณได้โดยเอาน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงมีหน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง)
ปัจจุบันการวัดไขมันสามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่แม่นยำที่สุดคือการชั่งน้ำหนักในน้ำ (Underwater Weighing) แต่วิธีนี้มีราคาแพงและต้องทำในห้องปฏิบัติการเท่านั้น อีกทางเลือกหนึ่งในการวัดไขมันในปัจจุบัน คือการวัดค่า BIA หรือ Bioelectric Impedance Analysis โดยใช้เครื่องวัดไขมัน ซึ่งเป็นการวัดองค์ประกอบของร่างกายจากความต้านทานไฟฟ้า โดยอาศัยคุณสมบัติที่แตกต่างกันระหว่างไขมันกับกล้ามเนื้อ เมื่อได้ค่าความต้านทานออกมาแล้ว เครื่องจะนำไปคำนวณโดยอาศัยปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ส่วนสูง น้ำหนัก เพศ อายุ ฯลฯ แล้วแปลผลออกมา
นอกจากนี้ยังมีวิธีง่าย ๆ ที่ใช้กันทั่วไป คือใช้เครื่องวัดไขมันเฉพาะจุดซึ่งมีลักษณะเหมือนปากคีบขนาดใหญ่ คีบลงบนผิวหนังเพื่อวัดไขมันจากความหนาของผิวที่ถูกคีบขึ้น ตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณหน้าท้องซึ่งมีไขมันสะสมอยู่ภายใต้ แต่วิธีนี้อาจไม่ตอบโจทย์กับการวัดได้ทั้งหมด เนื่องจากไม่สามารถวัดไขมันที่อยู่ลึกลงไป หรือไขมันตามต้นขาและหน้าอกได้
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ นพ.ดร. ฮีเบอร์ เน้นย้ำว่าเราไม่ควรกังวลกับไขมันที่เห็นภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ควรใส่ใจกับไขมันที่ซ่อนอยู่ภายในด้วย “คนที่มีระดับไขมันในร่างกายสูงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลายชนิด เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ และมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น”
“ในความเป็นจริง ไขมันภายในร่างกายเหล่านี้ถูกซ่อนอยู่ในไขมันที่ห่อหุ้มอวัยวะสำคัญ ซึ่งจะพอกพูนต่อเนื่องไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งาน และไปอออยู่รอบหัวใจ ไขมันชนิดนี้จึงเป็นอันตรายมากกว่าไขมันภายนอกซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง แถมคนที่มีไขมันชนิดนี้ยังดูผอมด้วย” ดร. ฮีเบอร์ กล่าวเสริม
ที่มา : คุณผอมแต่ซ่อนไขมันไว้หรือเปล่า?
แต่โชคร้ายที่แม้แต่คนรูปร่างผอมบางก็อาจเป็นโรคอ้วนได้ ถึงแม้รอบเอวคุณจะเล็กกิ่ว แขนขาจะเพรียวยาว แต่สิ่งที่อยู่ข้างในต่างหากที่สำคัญ ถ้าร่างกายของคุณมีกล้ามเนื้อไม่เพียงพอแถมยังมีไขมันมากเกินไป คุณก็อาจมีปัญหาสุขภาพตามมาได้ ความจริงก็คือการเป็นคนผอมไม่ได้หมายถึงการมีสุขภาพดีเสมอไป
ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ นายแพทย์ ดร. เดวิด ฮีเบอร์ ประธานสถาบันโภชนาการเฮอร์บาไลฟ์ และประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวในการสัมภาษณ์กลุ่มงานประชุมเฮอร์บาไลฟ์ เอ็กซ์ตร้าวาแกนซ่า กรุงเทพฯ ระบุว่า “แม้บางคนจะไม่จัดว่าอ้วนเมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่ที่จริงพวกเขาอาจเป็นโรคอ้วน เพราะมีอัตราส่วนของไขมันในร่างกายสูงเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว”
คนที่เป็นโรค “ผอมซ่อนอ้วน” ก็คือคนผอมที่สวมใส่เสื้อผ้าแล้วดูดี แต่ที่จริงแอบอ้วนอยู่ข้างใน และคนจำนวนมากที่เป็นโรคอ้วนแบบนี้มักไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญปัญหาสุขภาพอยู่ ดร. เดวิด ฮีเบอร์ เรียกภาวะนี้ว่า TOFI – Thin Outside, Fat Inside หรือผอมข้างนอกแต่อ้วนข้างใน ซึ่งแม้แต่คนที่มีดัชนีมวลกายปกติ (BMI) ก็อาจมีไขมันภายในร่างกายสูงได้อย่างน่าแปลกใจ (BMI หรือ Body Mass Index คือดัชนีวัดความอ้วนที่เป็นมาตรฐาน คำนวณได้โดยเอาน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงมีหน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง)
ปัจจุบันการวัดไขมันสามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่แม่นยำที่สุดคือการชั่งน้ำหนักในน้ำ (Underwater Weighing) แต่วิธีนี้มีราคาแพงและต้องทำในห้องปฏิบัติการเท่านั้น อีกทางเลือกหนึ่งในการวัดไขมันในปัจจุบัน คือการวัดค่า BIA หรือ Bioelectric Impedance Analysis โดยใช้เครื่องวัดไขมัน ซึ่งเป็นการวัดองค์ประกอบของร่างกายจากความต้านทานไฟฟ้า โดยอาศัยคุณสมบัติที่แตกต่างกันระหว่างไขมันกับกล้ามเนื้อ เมื่อได้ค่าความต้านทานออกมาแล้ว เครื่องจะนำไปคำนวณโดยอาศัยปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ส่วนสูง น้ำหนัก เพศ อายุ ฯลฯ แล้วแปลผลออกมา
นอกจากนี้ยังมีวิธีง่าย ๆ ที่ใช้กันทั่วไป คือใช้เครื่องวัดไขมันเฉพาะจุดซึ่งมีลักษณะเหมือนปากคีบขนาดใหญ่ คีบลงบนผิวหนังเพื่อวัดไขมันจากความหนาของผิวที่ถูกคีบขึ้น ตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณหน้าท้องซึ่งมีไขมันสะสมอยู่ภายใต้ แต่วิธีนี้อาจไม่ตอบโจทย์กับการวัดได้ทั้งหมด เนื่องจากไม่สามารถวัดไขมันที่อยู่ลึกลงไป หรือไขมันตามต้นขาและหน้าอกได้
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ นพ.ดร. ฮีเบอร์ เน้นย้ำว่าเราไม่ควรกังวลกับไขมันที่เห็นภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ควรใส่ใจกับไขมันที่ซ่อนอยู่ภายในด้วย “คนที่มีระดับไขมันในร่างกายสูงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลายชนิด เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ และมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น”
“ในความเป็นจริง ไขมันภายในร่างกายเหล่านี้ถูกซ่อนอยู่ในไขมันที่ห่อหุ้มอวัยวะสำคัญ ซึ่งจะพอกพูนต่อเนื่องไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งาน และไปอออยู่รอบหัวใจ ไขมันชนิดนี้จึงเป็นอันตรายมากกว่าไขมันภายนอกซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง แถมคนที่มีไขมันชนิดนี้ยังดูผอมด้วย” ดร. ฮีเบอร์ กล่าวเสริม
ที่มา : คุณผอมแต่ซ่อนไขมันไว้หรือเปล่า?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น