เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

แคลซิมอร์ (CalciMor) คืออะไร

แคลซิมอร์ (CalciMor) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ครบถ้วนด้วยสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ซึ่งได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินดี วิตามินเค ทองแดง ซิลิคอนและสังกะสี

ประโยชน์ที่ได้รับ
ให้สารอาหารที่จำเป็นสำหรับเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

ส่วนประกอบ
  • วิตามิน ดี
  • วิตามิน เค
  • แคลเซียมซิเตรต
  • ไตรแคลเซียมฟอสเฟต
  • แมกนีเซียม ออกไซด์
  • แมกนีเซียม ซิเตรต
  • สังกะสี
  • ทองแดง
  • ซิลิคอน
ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  • ขนาดเล็ก ทานง่าย ดูดซึมได้สมบูรณ์
  • แคลเซียม 2 รูป (ซิเตรท, ฟอทเฟต) ดูดซึมง่ายกว่าทั่วไป (คาร์บอเนต)
  • มีวิตามิน และ แร่ธาตุอื่นๆ ที่จำเป็นต่อกระดูกครบถ้วน
    • วิตามิน ดี ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
    • แมกนีเซียมในสัดส่วนที่เหมาะสม (แคลเซียม : แมกนีเซียม = 2 : 1)
    • วิตามินเค สังกะสี ทองแดง ซิลิกอน ฟอสฟอรัส
  • ไม่มีน้ำตาล แลคโตส เกลือโซเดียม ก๊าซ สารจากข้าวสาลี หรือ นม จึงปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการแพ้
  • แตกตัวได้สมบูรณ์ในเวลา 45 นาทีในภาวะจำลองของกระเพาะอาหารตามมาตรฐานยา
ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
  • บำรุงกระดูกให้แข็งแรง ลดภาวะกระดูกพรุน โดยเฉพาะในวัยทอง และ ผู้ใช้ยาสเตียรอยด์
  • ผลดีอื่นๆ เช่น แคลเซียม และ วิตามินดี อาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม ช่วยป้องกันน้ำหนักเพิ่มขึ้น จำเป็นต่อกล้ามเนื้อ สารสื่อประสาท การแข็งตัวของเลือด ป้องกันการเกิดตะคริว

โคคิวเท็น (CoQ10) คืออะไร?


โคเอ็นไซม์คิวเทน (CoQ10) ที่ผ่านขบวนการผลิตเทคโนโลยีสิทธิบัตรเฉพาะ เพื่อให้ส่งผ่านโคเอ็นไซม์คิวเทนเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลิตภัณฑ์โคเอ็นไซม์คิว 10 ที่ดีเลือกอย่างไร?
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ โคเอ็นไซม์คิว 10 (CoQ10) ที่มีขั้นตอนการบรรจุ ที่ใช้เทคโนโลยีการบรรจุในแคปซูล (Encapsulation Technology) เพื่อที่จะห่อหุ้มโมเลกุล ของโคเอ็นไซม์คิว 10 (CoQ10) ในวงแหวนของโมเลกุลคาร์โบไฮเดรต ทำให้การกระจายตัวของโคเอ็นไซม์คิว 10 (CoQ10) ในลำไส้ดีขึ้น รวมทั้งการดูดซึมของสารอาหารสำคัญเข้าสู่ร่างกายดีขึ้นด้วย

โคเอ็นไซม์คิว 10 (CoQ10) ช่วยในเรื่องของการผลิตพลังงาน ระดับเซลล์เพื่อส่งเสริมการทำงานของอวัยวะ ต่าง ๆ ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวัยวะที่ต้องทำงานหนักได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจ
โคเอ็นไซม์คิว 10 (CoQ10) พบได้ในบริเวณเยื่อหุ้มเซลทั้งหมด นิวเคลียส และ ไมโตครอนเดรียของเซลล์ ระดับของโคเอ็นไซม์คิวเท็น จะอยู่ในระดับที่สูงที่สุดเมื่ออายุ 20 ปี หลังจากนั้นก็จะลดลงตามจำนวนอายุที่เพิ่มขึ้น
ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  • ใช้นาโนเทคโนโลยี ทำให้มีความคงตัวสูง
  • ละลายน้ำ และ ดูดซึมดีกว่ารูปทั่วไป 5 - 10 เท่า (ในท้องตลาดโคคิวเท็น (CoQ10) ละลายในน้ำมัน)
  • 29 มก. ของโคคิวเท็น จึงอาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ 150 - 300 มก. ของรูปแบบทั่วไป
ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
  • ให้พลังงานกับเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • มีผลดีต่อการลดระดับไขมันในเลือด ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
  • ช่วยให้หัวใจบีบตัวดีขึ้น มีผลดีต่อโรคหัวใจ และ ช่วยลดความดันโลหิต
  • ปกป้องผิวจากริ้วรอย และ แสงแดด
  • มีผลดีต่อสมอง และ ภาวะความผิดปรกติของสมอง เช่น อัลไซเมอร์ พาร์คินสัน ความจำเสื่อม เป็นต้น
  • บำรุงสุขภาพฟันและเหงือก

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

ระวังไข้หวัดนกสายพันธุ์ "เอช7เอ็น9" (H7N9)

ทั่วโลกกำลังจับตา กรณีพบประชาชนติดเชื้อและเสียชีวิตจาก ไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช7เอ็น9 (H7N9) ในประเทศจีน

ทั่วโลกกำลังจับตา กรณีพบประชาชนติดเชื้อและเสียชีวิตจาก ไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช7เอ็น9 (H7N9) ในประเทศจีน ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่เคยพบผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ดังกล่าว แต่ก็ประมาทไม่ได้ ด้วยเหตุนี้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค จึงได้เตรียมพร้อมรับมือ ระดมผู้เชี่ยวชาญทั้งภายในกระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัย กรมปศุสัตว์ และผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข เพื่อประเมินสถานการณ์เป็นระยะ ซึ่งในวันที่ 18 เม.ย.นี้จะมีการประชุมติดตามเรื่องนี้ โดย ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ ที่ปรึกษาคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และที่ปรึกษากรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าที่เป็นประธาน

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า ไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช 7 เอ็น 9 ที่พบในประเทศจีน เริ่มมีรายงานเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 19 ก.พ.-3 เม.ย. 2556

ต่อมาวันที่ 31 มี.ค. 2556 ทางการสาธารณสุขจีนได้ประกาศให้ทราบว่า ชันสูตรยืนยันได้ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เรียกชื่อเป็นทางการว่า โนเวล อินฟลูเอนซา เอ (เอช7เอ็น9) ไวรัส หรือ novel influenza A (H7N9) virus คำว่า โนเวล (novel) แปลว่า “ใหม่” ได้จากผู้ป่วยที่เจ็บหนักขั้นวิกฤติ 3 ราย

ตัวเลข ณ วันที่ 10 เม.ย. 2556 มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อดังกล่าว 33 ราย อยู่ในมณฑลเซี่ยงไฮ้ 15 ราย เจียงสู 10 ราย เจ้อเจียง 6 ราย และ อันฮุย 2 ราย ในจำนวนผู้ป่วย 33 ราย เสียชีวิตแล้ว 9 ราย ทุกรายไม่มีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยากัน

ทั้งนี้มีผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายที่ได้รับการชันสูตรยืนยันแล้วว่าติดเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช7เอ็น 9 ประมาณ 700 คน กำลังอยู่ในระหว่างการติดตามตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่

สำหรับการเกิดโรคเป็นกลุ่มก้อนหรือเป็น “คลัสเตอร์” นั้น มีรายงานว่าในครอบครัวหนึ่ง ที่อาจถือได้ว่าเป็นคลัสเตอร์เล็ก ๆ เป็นผู้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายแรก แต่ก็เป็นรายงานที่ไม่มีการชันสูตรยืนยันที่ชัดเจน

ในเจียงสู กำลังมีการสอบค้นผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วย แหล่งแพร่โรคที่ผู้ป่วยไปติดเชื้อมา และวิธีการที่ไปรับเชื้อมา กำลังอยู่ระหว่างการวิเคราะห์สอบค้นเช่นกัน เหตุการณ์ครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เอช7เอ็น9 ที่มีการชันสูตรยืนยันอย่างแน่ชัด

ไวรัสนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร นักวิทยาศาสตร์ด้านอณูวิทยาของจีน ได้ทำการวิเคราะห์แล้วทราบว่า ไวรัสเกิดจากการผสมทางพันธุกรรมที่เรียกกันว่า รีคอมบิเนชั่น (recombination) ของไวรัสเอช 9 เข้ากับไวรัสเอ็น 7 ของเป็ดไก่ตามบ้านของจีน จึงมีการกลายพันธุ์ ได้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่คือ เอช7เอ็น 9

ไวรัสสายพันธุ์นี้ ทำให้สัตว์ปีกติดเชื้อได้ง่าย แต่สัตว์ไม่ล้มเจ็บ และไม่ตาย ผิดกับไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 (H5N1) เมื่อไก่ติดเชื้อ จะล้มเจ็บและตายเรียบ การติดเชื้อสายพันธุ์ เอช7เอ็น9 จึงไม่มีข้อสังเกตว่า สัตว์ตัวใดจะติดเชื้อแล้ว หรือยังไม่ติดเชื้อ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงการติดเชื้อสายพันธุ์นี้ในมนุษย์มีอาการุนแรง ทำท่าว่าจะรุนแรงกว่าเอช5เอ็น1 ทั้งนี้ประเมินจากผู้ป่วยที่มีอยู่ไม่มาก แต่เสียชีวิตถึง 9 ราย ที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ต่างมีอาการหนักทั้งสิ้น

จากการสำรวจสุกร ยังไม่พบว่าติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ ปกติ สุกรจะไวต่อการติดเชื้อไข้หวัดนกและเป็นเหมือนถังผสมที่จะก่อให้เกิดกระบวนการรีคอมบิเนชั่น กลายเป็นสายพันธุ์ใหม่ได้ง่าย ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ มีการตรวจพบในไก่เป็น ๆ ในตลาดสดนครเซี่ยงไฮ้ ทางการจึงสั่งปิดตลาดสดและทำลายไก่ไปกว่า 3 แสนตัว นอกจากนั้น ยังตรวจพบเชื้อไวรัสได้ ในมูลนกพิราบ นกกระทา

ในแง่การรักษา ไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่เอช7เอ็น9 ยังไวต่อยาต้านโอเซลทามิเวียร์ และซานามิเวียร์ จึงน่าที่จะนำไปใช้รักษาได้เหมือนไข้หวัดนกเอช5เอ็น1 โดยในขณะนี้กำลังวิเคราะห์ประเมินผลการรักษาอยู่

ความเสี่ยงของประชาชนทั่วไป คือ

ในขณะนี้พอจะทราบว่าไวรัสมีอยู่ในสัตว์ชนิดใด แต่ แหล่งรังโรคที่แพร่เชื้อมาสู่มนุษย์ที่แท้จริงอยู่ที่ไหน และผู้ป่วยไปติดเชื้อมาได้โดยวิธีใด หรืออย่างไรนั้น ยังไม่ชัดเจน ความเสี่ยงในประเด็นนี้ ยังไม่มีคำอธิบาย

คำถามที่ว่า โรคนี้จะเข้ามาในประเทศไทยหรือไม่ คงตอบได้ยาก เท่าที่ประเมินดู ยังมีความเสี่ยงน้อย แต่เข้าสู่ฤดูร้อน มีการเคลื่อนย้ายของนกป่ามาจากทางเหนือของทวีป จึงทำให้ทำนายได้ยากยิ่งขึ้น

ทั้งทางด้านสาธารณสุข ด้านสัตวสาธารณสุข (สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง) ต้องร่วมมือกันเฝ้าระวังอย่างเต็มที่และเข้มงวด ไม่ใช่เฝ้าระวังเฉพาะไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช7เอ็น9 เท่านั้น แต่ต้องไม่ละเลยในการเฝ้าระวังสายพันธุ์เดิมคือ เอช5เอ็น1 ด้วย เพราะยังมีการระบาดของสายพันธุ์นี้อยู่ทั้งในสัตว์และในมนุษย์ที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย และเตรียมความพร้อมทั้งด้านการเฝ้าระวัง ด้านการชันสูตรทางห้องปฏิบัติการ ให้คำแนะนำวางแนวทางการรักษาพยาบาล เตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม การให้ความรู้และคำแนะนำทางวิชาการที่ถูกต้องแก่ประชาชนโดยทั่วไปเพื่อให้ระวังป้องกันตัวเองโดยไม่ให้ตื่นตระหนก

มาตรการอนามัยส่วนบุคคล เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ยังต้องนำมาปฏิบัติอีก โดยเฉพาะการล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาด ล้างด้วยแอลกอฮอล์เจล ต้องเน้นให้ปฏิบัติเป็นกิจวัตร ไม่ไปสัมผัสสัตว์ปีกโดยไม่มีความจำเป็น โดยเฉพาะสัตว์ที่กำลังล้มป่วยหรือตาย การชำแหละสัตว์ที่กำลังล้มเจ็บ เพื่อนำไปประกอบอาหารต้องละเว้นอย่างเด็ดขาด ซากสัตว์ให้ฝังดินให้ลึกอย่างน้อยครึ่งเมตรและกลบด้วยปูนขาวก่อนจึงกลบด้วยดิน

องค์การอนามัยโลก ยังไม่จำกัดการเดินทางเข้าออกจากประเทศจีน ไม่ห้ามการทำมาค้าขายกับจีน และยังไม่แนะนำให้ตั้งจุดตรวจผ่านแดนแต่อย่างใด.

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ : ข้อมูล

ที่มา : ระวังไข้หวัดนกสายพันธุ์ "เอช7เอ็น9"

โรคต่อมลูกหมากโตคืออะไร?

"ต่อมลูกหมาก" เป็นต่อมสร้างน้ำเลี้ยงเชื้ออสุจิ (Semen) ในผู้ชาย ลักษณะเป็นของเหลวสีคล้ายน้ำนมที่ช่วยหล่อเลี้ยงและขนส่งเชื้ออสุจิในระยะที่มีการหลั่งน้ำอสุจิ (Ejaculation) อยู่ในตำแหน่งบริเวณคอของกระเพาะปัสสาวะ (Bladder) โดยรอบท่อปัสสาวะ (Urethra) ส่วนต้นของผู้ชาย หรืออยู่ใต้หัวเหน่าบริเวณโคนอวัยวะเพศ (Penis) มีขนาด 18 - 20 กรัม ซึ่งชาวตะวันตกมักเปรียบเทียบขนาดปกติของต่อมลูกหมากที่จะโตเต็มที่ในวัยหนุ่มคือ 25 ปีขึ้นไปว่ามีขนาดเท่ากับขนาดของผลวอลนัท (watnut-size) หรือลูกกอล์ฟ โดยแรกเกิดจะมีขนาดประมาณเม็ดถั่ว แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้นก็จะมีขนาดโตขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะยิ่งเด่นชัดขึ้นและในบางรายอาจเกิดปัญหากับการขับถ่ายปัสสาวะ

หน้าที่ของต่อมลูกหมาก
ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะที่ประกอบด้วย กล้ามเนื้อบางส่วน และ บางส่วนเป็นต่อม (partly muscular and partly glandular) ซึ่งมีอยุ่ 3 ส่วนหรือ 3 กลีบประกอบกันขึ้นมา คือ ส่วนปลาย/peripheral, ส่วน transitional และส่วนกลาง/central ซึ่งส่วนกลางนี้มักจะเป็นส่วนที่โตขึ้นในรายที่มีอาการของต่อมลูกหมากโตที่ไม่ใช่มะเร็ง (Benign Prostatic Hypertrophy or Hyperplasia หรือ BPH)



ในระยะก่อนการหลั่งน้ำอสุจิ มีต่อมอีกอันหนึ่งคือ Cowper's gland หรือที่เรียกกันว่า Bulbourethral gland (ตามภาพ) ซึ่งจะสร้างของเหลวที่เป็นสารอัลคาลายน์ (Alkaline fluid) ซึ่งจะช่วยทำให้ปัสสาวะที่หลงเหลืออยู่ในท่อปัสสาวะมีคุณสมบัติเป็นกลาง (neutralizes) จากเดิมที่มีสภาพเป็นกรด (acid) เพื่อให้สภาพแวดล้อมที่เป็นกลางในท่อปัสสาวะช่วยปกป้องอสุจิ และสารนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยในการหล่อลื่น (Lubricant) ตัวอสุจิด้วย (น่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดการตั้งครรภ์ได้แม้ฝ่ายชายจะไม่ได้หลั่งน้ำอสจิในขณะมีเพศสัมพันธ์) ซึ่งต่อมนี้ยังทำหน้าที่ต่อไปได้แม้ในรายที่ทำผ่าตัดต่อมลูกหมากออกไปแล้ว (แพทย์อาจจะเก็บต่อมนี้ไว้ในการผ่าตัดเอาต่อมลูกหมากออกที่เรียกว่า Prostectomy) ผู้ที่ตัดเอาเฉพาะต่อมลูกหมากออก ในระยะที่มีการกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกทางเพศ จะมีการหลั่งสารเหลวจากต่อมนี้ได้ แม้จะไม่มีการหลั่งน้ำอสุจิ (Ejaculation)

ต่อมลูกหมากทำหน้าที่หลักในการสร้างสารประกอบของน้ำอสุจิ คือสารอัลคาลายน์ (Alkaline fluid) ที่เป็นของเหลวสีคล้ายน้ำนมดังกล่าว มีปริมาณประมาณ 30% ของน้ำอสุจิ โดยสร้างสารเคมีและอาหารสำคัญบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของตัวอสุจิในผู้ชาย (ต่อมลูกหมากนี้ไม่ได้สร้างตัวอสุจิเอง ตัวอสุจิหรือเสปอร์มนั้นมีกำเนิดมาจากเซลล์ของลูกอัณฑะเท่านั้น) ช่วยนำพาอสุจิและทำให้การเคลื่อนไหวของตัวอสุจิเป็นไปได้ง่ายโดยการหล่อลื่นของสารเหลวดังกล่าว ช่วยตอบสนองต่อการกระตุ้นโดยระบบประสาทอัตโนมัติ และฮอร์โมนเพศชาย ทั้งยังเชื่อว่าเป็นตัวกระตุ้นการเกิดลักษณะทางเพศของผู้ชาย (Secondary sex characteristics) เช่น มีขน เสียงเหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไป รวมทั้งช่วยควบคุมการไหลของปัสสาวะด้วย

ภาพผลการตรวจต่อมลูกหมากปกติด้วยคลื่นแม่เหล็ก (MRI of the Prostate - normal exam)
ภาพมองจากปลายเท้าผู้ถูกตรวจไปหาศีรษะ
(จุด A: สะโพกขวา/right hip, จุด B: กระเพาะปัสสาวะ/bladder, จุด C: สะโพกซ้าย/left hip, จุด D:ต่อมลูกหมาก prostate gland และจุด E: ทวารหนัก/rectum)

ต่อมลูกหมากจะโตขึ้นตามวัย และโตมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น โดยในชายวัย 45 ปีขึ้นไปพบได้มากขึ้น ซึ่งเป็นช่วงที่เซลล์บริเวณนั้นจะเจริญโตขึ้นรวดเร็ว จะพบว่าต่อมลูกหมากที่โตขึ้นนี้จะเริ่มอุดตันหลอดปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปัสสาวะลำบาก และการอุดตันทำให้ปัสสาวะคั้งค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะมากกว่าปกติ จะสังเกตได้ว่ามักจะเกิดในผู้ชายวัยเกิน 60 ปีขึ้นไป ซึ่งถ้าปล่อยไว้อาจโตมากจนปัสสาวะไม่ออก จนเป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุเหล่านั้นได้

ต่อมลูกหมากโตเป็นโรคเดียวกับมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่
ต่อมลูกหมากโตเป็นเพียงมีเซลล์เพิ่มขึ้นไม่ใช่มะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้ป่วยส่วนมากแม้จะมีต่อมลูกหมากโตแต่ก็ไม่มีอาการ

ผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตจะมีอาการอะไรบ้าง
อาการของต่อมลูกหมากโตเกิดจากต่อมลูกหมากโตกดท่อปัสสาวะทำให้ท่อปัสสาวะแคบ ระยะแรกของโรคกระเพาะปัสสาวะยังแข็งแรงสามารถบีบตัวไล่ปัสสาวะออกได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกระเพาะปัสสาวะอ่อนแรงไม่สามารถบีบตัวไล่ปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปัสสาวะสะดุด ผู้ป่วยบางคนอาจจะไม่มีอาการจนได้รับประทานยาแก้หวัด ผลข้างเคียงของยาแก้หวัดทำให้เกิดอาการปัสสาวะไม่อก อาการที่พบได้บ่อยคือ
  • ปัสสาวะไม่สุดเหมือนคนที่ยังไม่ได้ปัสสาวะ
  • ปัสสาวะบ่อย
  • ปัสสาวะสะดุดขณะปัสสาวะ
  • อั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • ปัสสาวะไม่พุ่ง
  • ปัสสาวะต้องเบ่งเมื่อเริ่มปัสสาวะ
  • ต้องตื่นกลางคืนเนื่องจากปวดปัสสาวะ
ถ้าหากผู้ป่วยยังไม่รักษาก็อาจจะเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้แก่ กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไม่ดีเกิดการคั่งของปัสสาวะและเกิดการติดเชื้อได้ง่าย ไตเสื่อม กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะเล็ด นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

การวินิจฉัยโรคต่อมลูกหมากโต
เมื่อผู้ป่วยที่สงสัยว่าต่อมลูกหมากโตไปพบแพทย์แพทย์จะถามประวัติเพื่อประเมินความรุนแรงของต่อมลูกหมาก
  • ซักประวัติเกี่ยวกับโรคทั่วไป
  • ตรวจร่างกายทั่วไป
  • ตรวจต่อมลูกหมากโดยการตรวจทางทวารหนัก
  • ตรวจปัสสาวะเพื่อหาว่ามีเลือดหรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
  • ตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของไตและตรวจ Prostate-specific antigen (PSA) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ผลิตจากต่อมลูกหมากค่านี้จะสูงในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
  • การตรวจส่องกล้อง cystoscope เพื่อดูต่อมลูกหมาก กระเพาะปัสสาวะเป็นการตรวจที่ไดข้อมูลมาก
  • การตรวจ x-ray เรียก urogramหรือ IVP [ intravenous pyelography] โดยการฉีดสีเข้าหลอดเลือดดำ และเมื่อสีขับเข้ากระเพาะปัสสาวะแพทย์จะสามารถเห็นตำแหน่งและความรุนแรงของการอุดกลั้นปัสสาวะ
  • การตรวจ ultrasound สามารถเห็นต่อมลูกหมาก ไต และกระเพาะปัสสาวะโดยทำผ่านทางทวารหนัก
  • การตรวจ Uroflowmetry เพื่อดูว่าทางเดินปัสสาวะถูกอุดมากน้อยแค่ไหน
การบริโภคเพื่อลดเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
จากงานวิจัยพบว่า พฤติกรรมบริโภคที่ไม่ดี อาจนำไปสู่สาเหตุการเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ มีรายงานการวิจัยว่า แม้ผู้ชายที่เป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากก็สามารถที่จะลดความเสี่ยงการตายจากโรค นี้ โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคดังต่อไปนี้
  • ลดอาหารไขมันสูง ไขมัน อาจเร่งให้เซลล์มะเร็งเจริญได้ดี และไขมันทำให้ระดับฮอร์โมนเพศสูง ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมาก กรดไขมันอิ่มตัวเป็นอันตรายอันดับ 1 พบในไขมันสัตว์และกะทิ ส่วนกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีมากในปลาทะเล ปลาน้ำจืดบางชนิด เช่น ปลาช่อน รวม ทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วลิสง) เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ให้ผลในการป้องกันทั้งโรคหัวใจและโรคมะเร็ง 
  • จำกัดอาหารประเภทเนื้อแดง ใน เนื้อแดง (เนื้อสัตว์ใหญ่) จะมีไขมันแทรกอยู่มาก ทำให้ได้รับไขมันเพิ่มขึ้นด้วย โดยอาจเลือกรับประทานโปรตีนจากถั่วเหลืองแทนจะดีกว่า ในรูปเต้าหู้ แป้งถั่วเหลือง และนมถั่วเหลือง สามารถชะลอความรุนแรงของมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ เพราะถั่วเหลืองมีฮอร์โมนพืชที่เรียกว่าไฟโตเอสโตรเจน 
  • กินผัก ผลไม้ มากขึ้นโดยเฉพาะมะเขือเทศ ผัก ผลไม้ ช่วยในการป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ที่อุดมไปด้วยสารแคโรทีนอยด์ (สีเขียวจัด แดง เหลือง และส้ม) ธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ มีสารไอโซเฟลโวนอยด์สูง และอาจมีผลต่อการลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนี้ผัก ผลไม้ ยังมีวิตามินซี และเส้นใยอาหารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และโรคหัวใจอีกด้วย สาร ไลโคพีนเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยในการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ด้วยการชะลอการเจริญของเซลล์มะเร็ง มีมากในผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ เช่น ซอสมะเขือเทศ ซุปมะเขือเทศ และน้ำมะเขือเทศ ความร้อนจะทำให้สารไลโคพีนถูกปลดปล่อยจากผนังเซลล์มากขึ้น ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น 
  • กินอาหารที่มีวิตามินดีสูง ผู้ชาย ที่อยู่ในบริเวณที่มีแสงแดดน้อย มีโอกาสเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมากสูง เพราะแสงแดดช่วยสร้างวิตามินดีในผิวหนังคนเรา แต่คนไทยเรานั้นได้รับแสงแดดเหลือเฟือ ปัจจัยข้อนี้จึงไม่น่ากังวล แต่ ในคนสูงอายุที่ประสิทธิภาพการสร้างวิตามินดีลดลง อาจเพิ่มอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น นม โดยแนะนำให้เลือกนมพร่องมันเนยหรือนมขาดไขมัน 
  • เน้นอาหารที่มีสารซีลีเนียมและวิตามินอี ซีลีเนียม มีผลมากต่อการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมา พบมากในเมล็ดพืชต่างๆ เห็ด ธัญพืชไม่ขัดสี เมล็ดดอกทานตะวัน จมูกข้าวสาลี อาหารทะเล สัตว์ปีก ไข่ และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน วิตามินอีช่วยทำลายเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก แต่การที่ร่างกายจะดูดซึมวิตามินอีจากอาหารอย่างเดียวในปริมาณสูงค่อนข้างยาก ฉะนั้นการเสริมวิตามินอีวันละ <400 ไอยู อาจเป็นอีกทางเลือกที่จะต้องพิจารณา วิตามินอีพบในน้ำมันพืช ถั่วเปลือกแข็ง และผักใบเขียวจัด
ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคต่อมลูกหมากโต มีสุขภาพดี และ ร่างกายแข็งแรง



ไลฟ์แพ็ก (LifePak) ทีกรีน97 (TeGreen97) ริชิเอ็มเอ็กซ์ (ReishiMx)


ที่มาบางส่วนจาก : ต่อมลูกหมาก (Prostate Gland), ต่อมลูกหมากโต Benigh prostatic hypertrophy

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

โรคหัวใจ (Heart disease) และ หลอดเลือดหัวใจ (Coronary heart disease) คืออะไร?

โรคหัวใจ (Heart disease) หรือ โรคที่เกิดกับหัวใจ ซึ่งมีได้หลายโรค แต่ที่พบบ่อยที่สุด เป็นปัญหาทางสาธารณสุข และเป็นสาเหตุการเสียชีวิต ได้สูงติด 1 ใน 4 ของสาเหตุการเสียชีวิตของประชาชนเกือบทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย คือ โรคหัวใจที่เกิดจากโรคของหลอดเลือดหัวใจ หรือ ที่เรียกว่า โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease หรือ Coronary heart disease) ซึ่งโดยทั่วไป เมื่อกล่าวถึงโรคหัวใจ มักหมายถึงโรคนี้ ดังนั้น บทความนี้ จึงกล่าวถึงโรคหัวใจเฉพาะเกิดจากสาเหตุนี้เท่านั้น

โรคหลอดเลือดหัวใจ คือ โรคเกิดจากหลอดเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Coronary artery ตีบแคบเล็กลง หรือ ตีบตัน จึงส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจจึงทำงานผิดปกติ ส่งผลถึงอวัยวะต่างๆขาดเลือดไปด้วย จึงเกิดมีอาการต่างๆได้มากมาย

โรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นโรคของผู้ใหญ่ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ไปจนถึงในผู้สูงอายุ โดยพบได้สูงตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ในช่วงวัยเจริญพันธ์ พบโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ชายได้สูงกว่าในผู้หญิง แต่หลังจากหมดประจำเดือนถาวรแล้ว ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ใกล้เคียงกัน

โรคหลอดเลือดหัวใจเกิดได้อย่างไร?
สาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจ คือ การมีไขมันจับที่ผนังของหลอดเลือดหัวใจ ที่เรียกว่า พลาค (Plaque) จึงส่งผลให้ผนังหลอดเลือดแข็ง หนา ช่องในหลอดเลือดจึงตีบแคบลง และเมื่อพลาคนี้ก่อให้เกิดการอักเสบของผนังหลอดเลือด หรือ ผนังหลอดเลือดบาดเจ็บเสียหาย ร่างกายจะซ่อมแซมผนังส่วนเสียหายโดยการจับตัวเป็นก้อนของเกร็ดเลือด และเม็ดเลือดขาว จึงยิ่งส่งผลให้ช่องในหลอดเลือดตีบแคบลงอีก เลือดจึงหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลง จึงเกิดเป็นโรค กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และบ่อยครั้ง การซ่อมแซมจากร่างกายนี้ ก่อให้หลอดเลือดถึงอุดตัน จึงส่งผลให้เกิด โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด ซึ่ง อาจเกิดได้อย่างเฉียบพลัน และเมื่อรุนแรง จะเป็นสาเหตุให้หัวใจหยุดทำงานทันที จึงเสียชีวิตได้ทันที กะทันหัน นอกจากนั้น หลอดเลือดหัวใจ ยังสามารถบีบหดตัวได้ ดังนั้นเมื่อมีการหดตัวของหลอดเลือด จึงส่งผลให้รูท่อหลอดเลือดตีบแคบลง จึงเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดได้ เช่น จากภาวะมีความเครียดสูง เป็นต้น

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมีดังนี้
  1. โคเลสเตอรอล LDL สูง ในภาวะขาดสารต้านอนุมูลอิสระ
  2. โฮโมซีสเทอีนสูง  ในภาวะขาดโคลีน  โฟลิค วิตามินบี
  3. ภาวะอินซูลินสูงเรื้อรัง ที่เรียก ซินโดรมเอกซ์
  4. ผลของโรคอ้วน เบาหวาน
  5. ความดันโลหิตสูง
  6. ขาดน้ำมันปลา ขาดแมกนีเซียม
  7. มี oxidative stress สะสม เช่น บุหรี่ มลพิษ เครียด
  8. ขาดการออกกำลังกายที่พอเหมาะ
  9. ทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ Junk Food
  10. พันธุกรรม เพราะพบโรคได้สูงกว่า ในคนมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
โรคหลอดเลือดหัวใจมีอาการอย่างไร?
อาการพบบ่อยของโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่
  • ไม่มีอาการเมื่อเริ่มเป็นโรค หรือ เมื่อหลอดเลือดยังตีบไม่มาก 
  • เหนื่อยง่ายเมื่อออกแรง หรือ ออกกำลัง 
  • เจ็บแน่นหน้าอกเมื่อใช้กำลังเพิ่มขึ้น หรือ เมื่อมีความเครียด (ผู้หญิง มักไม่ค่อยพบมีอาการนี้) อาการอาจร้าวไปที่ขากรรไกร ไหล่ และ/หรือ แขน ด้านใดก็ได้ แต่มักเป็นด้านซ้าย 
  • อาการของโรคหัวใจล้มเหลว (หัวใจวาย) เช่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว บวมหน้า แขน/ขา 
  • ความดันโลหิตสูง 
  • ไขมันในเลือดสูง
กลไกการเกิด
  1. สาเหตุที่กลัวและกล่าวขวัญอยู่เสมอคือ โคเลสเตอรอลสูง กล่าวคือ LDL สูง โดยเฉพาะในภาวะที่ขาดสารต้านอนุมูลอิสระ…ปกติ LDL เป็นไขมันที่มีประโยชน์ใช้สร้างเซลล์ผนังภายในหลอดเลือด แต่เมื่อไรที่ถูก oxidative stress จะแปรสภาพเป็นพิษ ทำให้เม็ดเลือดขาวแมคโคฟากซ์ เข้ามาจับกินทำลายพิษ ซึ่งหากเกิดมากๆ แมคโคฟากซ์ต้องกลืนกินเข้าไปจนเต็ม ทำให้เกิดภาวะเคลื่อนไหวไม่ได้ตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า foam cell เป็นพลักเกาะอยู่ที่ผนังหลอดเลือด ก่อปฏิกิริยาอักเสบ หนา แข็ง อุดตัน ในขณะที่ผนังหลอดเลือดก็ตีบ  อุดตันมากขึ้น…การปกป้องภาวะนี้ ร่างกายจึงต้องมีสารต้านอนุมูลอิสระ คอยจับสิ่งที่จะมาแปรสภาพ LDL นอกจากนี้ยังมีภาวะเสียง ที่ทำให้ LDL สูง เช่น บุหรี่ มลพิษ ความเครียด และไขมันสัตว์ สารต้านอนุมูลอิสระที่ดี  ในกรณีนี้ นอกจาก วิตามินบีในผัก ผลไม้แล้ว OPC และกลูตาไธโอนน่าจะมีบทบาทสูง
  2. ภาวะโฮโมซีสเทอีนสูง วายร้ายตัวจริงชื่อ “โฮโมซีสเทอีน” ที่มาของข้อมูลนี้ เริ่มจากการผ่าพิสูจน์เด็กอายุ 7–8 ขวบ ที่เสียชีวิตด้วยโรค “Homocys teinuria” (เป็นโรคที่พบโฮโมซีสเทอีนในปัสสาวะเรื้อรัง เนื่องจากมีระดับโฮโมซิสเทอีนในกระแสเลือดสูง จากพันธุกรรมบกพร่อง ในการเปลี่ยนเมธิโอนีนเป็นโฮโมซิสเทอีน อย่างไม่หยุดยั้ง) พบว่าสาเหตุการตาย คือ เส้นเลือดอักเสบ แข็ง หรือลิ่มเลือดจับเป็นก้อนอุดตัน ทั้งในหลอดเลือดดำ (Venous Thrombosis) และหลอดเลือดแดง จึงเป็นที่มาแห่งข้อหาว่า พยาธิสภาพของเส้นเลือด มาจากพิษของโฮโมซิสเท-อีน (หาใช่โคเลสเตอรอลไม่ !)
    โฮโมซิสเทอีนเป็นตัวกระตุ้น ให้เส้นเลือดอักเสบ เลือดจับตัวเป็นก้อนได้ง่าย ผนังเส้นเลือดแปรสภาพ ตีบ แข็ง มีการอุดตัน ความดันก็ขึ้นสูง เพราะเส้นเลือดขยายตัวไม่ดี หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นๆ
    โดยปกติ ค่าโฮโมซิสเทอีนในกระแสเลือด ไม่ควรเกิน 5 ไมโครโมลต่อลิตร
    หากมีถึง 7 แปลว่า เริ่มเข้าภาวะเสี่ยง
    หากพบถึง 12 ไมโครโมล / ลิตร บ่งว่าแย่แน่ๆ ต่อการจะเกิดเส้นเลือดอักเสบ แข็ง อุดตัน…ผลลัพธ์
    คือ ความดันสูง หัวใจโต เหนื่อย ขาดเลือด…หัวใจวาย…ตาย
    ในภาวะปกติ ร่างกายจะแปลงโฮโมซิสเทอีน ไปเป็นซีสเทอีน(Cysteine)กับเมธิโอนีน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ด้วยกระบวนการ “Methylation” จากสารที่ให้ CH3 (Methyl group) หรือเป็น “Methyl donor”
    แล้วเราจะขจัดเจ้าโฮโมซีสเทอีนได้อย่างไร?
    หนทางที่ดูเหมือนง่ายแต่ทำยาก คือ ลดการบริโภค เนื้อ นม ไข่ ชีส อาหารดัดแปลงให้น้อยลง แต่หากมีโฮโมซีสเทอีนสูงอยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้ที่อ้วนลงพุง ขาดการออกกำลังกาย เริ่มเจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ความดันขึ้น คงสายเกินการจำกัดอาหารประการเดียว

    หนทาง คือหาผู้ที่ให้สารกลุ่มเมทิล (Methyl donor) มาแปลงโฮโมซีสเทอีน ให้กลับไปเป็นซีสเทอีนกับเมธิโอนีน ซึ่งมักใช้ Trimethylglycine–TMG, Dimethylglycine–DMG หรือ Tetrame thylglycine (โคลีน) แต่ กระบวนการเมทิลเลชั่น (การให้เมทิล กรุ๊ป) จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีตัวเร่งปฏิกิริยา คือกรดโฟลิค (โฟเลท) B6 และ B12 มาทำงานเป็นทีม เขาพบว่า ระดับของโฟเลท + B6 และ B12 แปรผกผันกับระดับโฮโมซีสเทอีน! ที่แน่ๆ คือ โคลีน ช่วยเพิ่มระดับ HDL ไขมันดี ลดLDL (ไขมันเลว) โคเลสเตอรอลรวมและไตรกลีเซอไรด์–TG อันเป็นตัวร้ายต่อหลอดเลือดอีกทางหนึ่ง โคลีนร่วมกับบีรวม จึงเป็นมือปราบหลอดเลือดแข็งตีบตันตัวยง! นอกเหนือจากการใช้ โคลีนร่วมกับโฟเลท วิตามินบีแล้ว การรับประทานน้ำมันปลา แมกนีเซียม รวมไปถึงโอพีซี (OPC–สารสกัดจากเมล็ดองุ่น) ร่วมด้วย ก็ใช้ปราบโรคหัวใจหลอดเลือดได้ดีทีเดียว
    เกร็ดความรู้ : นอกจากโคลีนจะเป็นสารให้กลุ่มเมทิลแล้ว ยังเป็นสารตั้งต้นของ อเซทิลโคลีน ช่วยการรับรู้ ความจำ ความฉลาด ลดปัญหาความจำเสื่อม โคลีนยังร่วมกับโฟเลท B12 และ SAM (S-adenosyl methionine) ในการให้ Methyl gr.ในตับ ช่วยทำลายพิษ ช่วยการคืนตัวของเซลล์ตับ วิตามิน B6 นั้นยังร่วมมือกับแมกนีเซียม ทำให้มีการผลิต ซีโรโทนิน อันเป็นสารเริ่มต้นของเมลาโทนิน…ฮอร์โมนช่วยคลายเครียด ช่วยการนอนหลับที่ดีด้วย โคลีนที่มาพร้อมกรดโฟลิค B6 และ B12 จึงมีประโยชน์หลากหลาย !!
  3. ซินโดรมเอกซ์ หรือว่าที่เบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายได้รับอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล เข้าไปเกินใช้ กล่าวคือ กินมากออกกำลังกายน้อย อินซูลินที่ขึ้นสูง เพื่อพา น้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์ แต่เข้าไม่ได้ จึงค้างอยุู่ในกระแสเลือด ในขณะที่อินซูลินเป็นตัวก่ออักเสบแก่ผนังหลอดเลือด น้ำตาลที่สูงยังลดประสิทธิภาพเม็ดเลือดขาว ทำให้เป็นโรคติดเชื้อง่าย หนทางที่ดีสุดคือ เลือกอาหารและออกกำลังกายเช่น งดไขมันสัตว์ ไขมันทรานส์ เพิ่มน้ำมันปลา สังกะสี แมกนีเซียม และโอพีซี

    หากปล่อยปละละเลยกับภาวะซินโดรมเอกซ์ จนเข้าสู่โรคอ้วน หรือรุนแรงไปถึงระดับเบาหวาน แสดงว่าร่างกายสูญเสียดุลย์แห่งการช่วยตนเองไปมากแล้ว อาการต่อไปที่จะตามมาคือ ความดันเลือดสูง สมองเสื่อม โรคไต หรืออุบัติเหตุของเส้นเลือด ตีบ ตัน แตก สู่ภาวะหัวใจวาย หรือ อัมพฤกษ์ อัมพาต ตลอดจนโรคมะเร็ง…แม้ถึงขั้นนี้ ความเข้าใจในพื้นฐานเรื่องอาหาร และออกกำลัง ก็ยังมีส่วนช่วยให้ทุเลาได้กว่า 60% สารอาหารที่ไม่ควรขาดคือ OPC และที่เกี่ยวข้องกับ Cellular burn ทั้งหลาย ตั้งแต่โครเมียม แมกนีเซียม สังกะสี แมงกานีส รวมถึงวิตามินบีรวม น้ำมันปลา ตลอดจนเลี่ยงภาวะ oxidative stress จากบุหรี่ สารพิษในอาหาร น้ำดื่ม หรือความเครียด
  4. คุณภาพของน้ำบริโภค น่าจะมีส่วนช่วยให้ทุเลาหรือผ่อนหนักเป็นเบา ได้แก่ น้ำที่มีสภาวะด่าง มีแร่ธาตุผสม ขนาดโมเลกุลเล็ก แรงตึงผิวต่ำ และโอ-อาร์พีลบ น้ำ ORP ลบ มาเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด คือ ในภาวะหลอดเลือดแข็งตีบตันนั้น หากถูกซ้ำเติมจากมลพิษ Oxidative stress ก็ยิ่งทำให้พลั๊กหรืออุดตันที่ผนังหลอดเลือดกำเริบ น้ำ ORP ลบ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่คล่องตัวล่องลอยไปในกระแสเลือดจึงพร้อมต่อต้าน OS ได้ดี

    ภาวะ ORP ลบของน้ำยังทำให้น้ำมีกลุ่มโมเลกุลเล็ก น้ำ อาหาร และ O2 ผ่านได้ดี มีสภาวะด่าง ลื่นไหลได้ดี ทำให้เลือดหมุนเวียนสะดวก อีกทั้งไม่กระทบภาวะการจับตัวของเกล็ดเลือดเหมือนยากลุ่มละลายลิ้มเลือด หรือป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด นำ O2 สู่สมองได้ดี เพิ่ม O2 แก่เนื้อเยื่อ อีกทั้งน้ำ+ดูดซึมยาได้ดี ยาออกฤทธิ์เต็มประสิทธิภาพ FILENAME P90112

โรคหลอดเลือดหัวใจรุนแรงไหม? รักษาหายไหม?
โรคหลอดเลือดหัวใจจัดเป็นโรคเรื้อรัง และรุนแรง เป็นสาเหตุให้เกิดทั้งความพิการและเสียชีวิตได้ ความพิการ เช่น เป็นสาเหตุให้สมองขาดเลือด จากหัวใจทำงานลดลง จึงเกิดภาวะอัพฤกษ์/อัมพาติได้ง่าย และคุณภาพชีวิตลดลง เช่น ต้องจำกัดการออกแรง จากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือเกิดโรคหัวใจวาย หรือ โรคหัวใจล้มเหลว (โรคหัวใจ: หัวใจวายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ)


ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเป็นโรคหัวใจ? 
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ที่สำคัญ ได้แก่
  • ปฏิบัติตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ 
  • กินยาต่างๆตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา 
  • จำกัดอาหารไขมันทุกชนิด โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ 
  • ออกกำลังกายตามควรกับสุขภาพ สม่ำเสมอ 
  • ควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย ไม่ให้เกิดโรคอ้วน 
  • ดูแล รักษา ควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง 
  • รักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิต ด้วยการรักษา สุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อร่างกายแข็งแรง และมีสุขภาพจิตที่ดี ลดความเครียด 
  • พบแพทย์ตรงตามนัดเสมอ และรีบพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อมีอาการผิดปกติไปจากเดิม และ/หรือ อาการต่างๆเลวลง 
  • พบแพทย์เป็นการฉุกเฉินเมื่อ 
    • เจ็บแน่นหน้าอกมาก อาจเจ็บร้าวขึ้นขากรรไกร ไปยังหัวไหล่ หรือ แขน 
    • เหนื่อย หายใจขัด
    • ชีพจรเต้นอ่อน เต้นเร็ว เหงื่อออกมาก วิงเวียน จะเป็นลม
    • หยุดหายใจ และ/หรือ โคมา
ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้ไหม?
วิธีป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญ ได้แก่
  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยการออกกำลังกายตามสุขภาพ จำกัดอาหารไขมัน กินอาหารมีประโยชน์ ควบคุมน้ำหนัก ควบคุมโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง และรักษา สุขอนามัยพื้นฐาน 
  • ตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ เริ่มเมื่ออายุ 18-20 ปี 
  • ปรึกษาแพทย์เสมอเมื่อมีความกังวลในอาการ หรือ สงสัยในสุขภาพของตนเอง
ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ (Heart disease) และ หลอดเลือดหัวใจ (Coronary heart disease) มีสุขภาพดี และ ร่างกายแข็งแรง

ไลฟ์แพ็ก
(LifePak)
ทีกรีน97
(TeGreen97)
มารีน โอเมก้า
(Marine Omega)


ที่มา : บางส่วนจาก โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease), โรคหัวใจและหลอดเลือด (สาเหตุ)

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

คอร์ดีแม็กซ์ ซีเอส - 4 (CordyMax CS-4) คืออะไร?

คอร์ดีแม็กซ์ซีเอส - 4 (CordyMaxCS-4) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากธรรมชาติ จากเห็ดคอร์ดีเซพ ไซเนนซิส ที่ชาวจีนรู้จักกันดีในชื่อ จิ้น ชุย เปา หรือ ถั่งเช่า ตามธรรมชาติ จะพบได้บนเทือกเขาสูงที่มีอากาศหนาวจัด ต้องใช้เวลา 5 - 7 ปีกว่าจะโตเต็มที่ สามารถนำมารับประทานได้ ฟาร์มาเน็กซ์ (Pharmanex) ร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน และ มหาวิทยาลัยในประเทศจีนค้นคว้าเพื่อหาสายพันธุ์เชื้อรา ที่เหมาะสมในการบ่มเพาะเห็ดคอร์ดีเซพ จากการศึกษา 15 ปีจากกว่า 200 สายพันธุ์ จนค้นพบเชื้อราสายพันธุ์ ซีเอส - 4 ที่ใช้เพาะเห็ดคอร์ดีเซพ ไซเนนซิสที่มีคุณสมบัติเหมือนเห็ด ที่เกิดเองตามธรรมชาติ ฟาร์มาเน็กซ์ (Pharmanex) ได้รับสิทธิบัตรจากรัฐบาลจีนให้มีสิทธิ์จำหน่าย คอร์ดีเซพ ไซเนนซิส ซีเอส - 4 นอกประเทศจีนเพียงผู้เดียว

ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  • CS-4 เป็นสายพันธุ์ ของเห็ดถั่งเช่าที่ดีที่สุด (ใกล้เคียงธรรมชาติ ให้สารสำคัญสูงสุด) คัดเลือกมาจากกว่า 200 สายพันธุ์ วิจัยร่วมกันระหว่าง รัฐบาลจีน และ สถาบันฟาร์มาเน็กซ์ (Pharmanex) นานกว่า 15 ปี
  • ฟาร์มาเน็กซ์ (Pharmanex) ได้รับเอกสิทธิ์ในการจำหน่าย จากประเทศจีนเพียงผู้เดียว
  • สารสำคัญสูงสุดตามเกณฑ์สากล (อะดีโนซีน > 0.14% และ แมนนิทอล > 5%)
  • เพาะปลูกโดยปราศจากสารปนเปื้อน เก็บเกี่ยวช่วงอายุ 5 - 7 ปี (โตเต็มที่)
  • มีการศึกษาทางคลินิกโดยใช้ผลิตภัณฑ์
  • รางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมจากรัฐบาลได้หวัน
  • อยู่ในตำรายา PDR (Physicians' Desk Reference)
  • เห็นถั่งเช่า เป็นสมุนไพรที่สงวนให้สำหรับจักรพรรดิ์จีนในสมัยโบราน มีมูลค่าแพงกว่าทองคำ

ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
  • บำรุงไต มีผลดีต่อภาวะไตอักเสบ และ โรคไตวายเรื้อรัง
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของปอด มีผลดีต่อภาวะหลอดลมอักเสบ และ โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังจากการสูบบุหรี่
  • ต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันภาวะผนังหลอดเลือดแข็งตัว และ อุดตัน
  • มีผลดีต่อการลดระดับน้ำตาล และ ไขมันในเลือด
  • ช่วยปรับสมดุลต่อภาวะฮอร์โมนเพศหญิงที่ผิดปรกติ ส่งเสริมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
  • ส่งเสริมสุขภาพภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
  • มีผลต่อการทำงานของตับ
  • ช่วยลดความเมื่อยล้า ปวดเมื่อย ภาวะนอนหลับยาก

"ชะลอวัยด้วย เวชศาสตร์อายุรวัฒน์"

เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ (Anti – aging medicine) คือ ศาสตร์การชะลอวัย ศาสตร์แห่งการป้องกันโรค และทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวขึ้น จากการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ในการบำบัดรักษาโรค เพื่อสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการมีอายุยืน พร้อมกับการมีสุขภาพที่ดี ที่ไม่ใช่แค่การยืนอายุจากภายนอกด้วยการทำศัลยกรรม แต่คือการปรับ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และดูแลตัวเอง เพื่อสุขภาพที่ดีและยืนยาว บุคคลที่ทำให้คนไทยเราเริ่มรู้จักศาสตร์แห่งการชะลอวัยนั้น ไม่ใช่ใครอื่น นั่นคือ นพ.กฤษฎา ศิรามพุช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ เป็นบุคคลแรก ๆ ที่นำศาสตร์การแพทย์ตะวันตกนี้เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย ในต่างประเทศได้มีการศึกษากันมานานแล้ว เกี่ยวกับต้นตอของสิ่งที่เป็นหน่วยพื้นฐานของมนุษย์ นั่นคือระดับเซลล์ เนื่องจากเซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะและอวัยวะทำงานร่วมกันเป็นระบบ หลายระบบรวมกันเป็นร่างกายของสิ่งมีชีวิต ดังนั้นหากเราทำให้มีสุขภาพดีได้ตั้งแต่ระดับเซลล์แล้วร่างกายก็จะแข็งแรงสมบูรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้เริ่มมีการศึกษาอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนการตรวจบำบัดรักษาโรค ที่เรียกว่าเทคโนโลยีชีวภาพ (biomedical technology) ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดด้วยเซลล์ต้นกำเนิดและยีนบำบัด (stem cell and gene therapy) ที่มีบางแห่งได้เริ่มทดลองใช้แล้วหรือแม้แต่มีการเปิดธนาคารเก็บสเต็มเซลล์ด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับรักษาโรค เช่น การโคลนนิ่งเพื่อการรักษา (Therapeutic cloning) นาโนเทคโนโลยีและเวชศาสตร์นาโน (Nanotechnology and nano medicine) เพื่อใช้ในการวินิจัยและรักษาโรคได้ในระดับเซลล์

เวชศาสตร์เพื่อการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย รวมถึงการเปลี่ยนอวัยวะเทียมที่เข้ากับร่างกายได้เป็นอย่างดี ไม่ให้เกิดเน่าหรือเกิดการปฏิเสธของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และเทคโนโลยีเรื่องของโภชนาการ ฮอร์โมน และวิตามินต่าง ๆ

แปลง่าย ๆ คือเมื่อเรารู้ว่าเซลล์ส่วนไหนของร่างกายเราเสื่อม เราก็มุ่งเน้นไปที่การรักษาบำบัดเพื่อให้เซลล์ร่างกายส่วนนั้นสามารถกลับมาทำงานได้ดีดังเดิมนั่นเอง

แม้ขณะนี้เทคโนโลยีที่กล่าวมาทั้งหมด ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่มีอะไรที่เกินความพยายามของมนุษย์ และในปัจจุบันเริ่มมีการนำเอาวิทยาการเหล่านี้ออกมาใช้บ้างแล้ว

แต่หากเราคิดแต่จะพึ่งพาวิทยาการเทคโนโลยีล้ำสมัยเพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถช่วยยืดอายุเราออกไปอย่างผู้มีสุขภาพดีได้ เราจะต้องชะลอวัยด้วยตัวเองควบคู่กันไปด้วย โดยทำได้ดังนี้
  • ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เป็นการเช็คร่างกายว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่
  • การจำกัดแคลอรี่ โดยการทานอาหารอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอาหารต้านชรานั้นมีอยู่ในสารพฤกษเคมีซึ่งมีอยู่ในพืชผักนานาชนิด ที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และเส้นใยซึ่งจะทำให้เราไม่อ้วน ไม่แก่เร็ว และไม่เกิดโรค
  • การดำเนินชีวิตที่เหมาะสม เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้ร่างกายทรุดโทรม อันเป็นการก่อสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารอนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นตัวการที่ทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพและสาเหตุของความชราเร็วกว่ากำหนด เช่น การนอนดึก ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ เป็นต้น
  • เรื่องของจิตใจ ต้องฝึกมองโลกในแง่ดี ทำจิตใจให้สงบ ไม่อารมณ์ฉุนเฉียว มีการศึกษาพบว่าหากเรามีความสุขจิตใจสงบ จะมีการหลั่งสารแห่งความสุขออกมา ทำให้ระบบในร่างกายจะทำงานเป็นอย่างปกติ ตรงกันข้ามกับคนที่มีความเครียดสูง หรืออารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ทำให้ใบหน้ามีริ้วรอย และเจ็บป่วยทางร่างกายง่าย ๆ ยกตัวอย่าง เช่น คนเป็นโรคกระเพาะเนื่องจากความเครียด ป่วยเป็นไมเกรนเพราะเครียดจัด เป็นต้น
เราไม่อาจปฏิเสธความแก่ชราที่เข้ามาเยือนในทุก ๆ วันได้ แต่เราสามารถชะลอมันออกไปได้ โดยเริ่มต้นจากตัวเราเอง ดูแลตัวเองซะตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป

ที่มา :  "ชะลอวัยด้วย เวชศาสตร์อายุรวัฒน์"

โรคเอดส์ (AIDS) คืออะไร? และ การดูแลสุขภาพเมื่อเป็นโรคเอดส์ (AIDS)

โรคเอดส์คืออะไร
โรคเอดส์เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไวรัสเอดส์ หรือมีชื่อภาษาอังกฤษว่า HIV (เอช-ไอ-วี) ซึ่งย่อมาจาก Human immunodeficiency Virus เมื่อไวรัสเอดส์เข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปภายในเซลล์บางชนิดของร่างกาย จะมีการฟักตัวระยะหนึ่งซึ่งอาจนานเป็นปีหรือนานกว่า 10 ปี โดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ต่อมาไวรัสจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย จนสามารถทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เสื่อมหรือเสียไปเรื่อยๆ ผู้ป่วยจึงมักมีการติดเชื้อโรคต่างๆได้ง่าย ในที่สุดร่างกายก็ไม่สามารถทนทานได้ และจะเสียชีวิตในที่สุด

ทำไมจึงเรียกว่าโรคเอดส์ (AIDS)
AIDS มาจากคำเต็มว่า Acuquired immune Deficiency Syndrome
A = Acquired หมายถึง เกิดขึ้นภายหลัง ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด
I = Immune หมายถึง ระบบภูมิต้านทานหรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
D = Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง การขาดไปหรือเสื่อม
S = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการหรือโรคที่มีอาการหลายๆอย่าง

เอดส์ (AIDS) จึงหมายถึงกลุ่มอาการของภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เกิดขึ้นภายหลัง

ลักษณะพิเศษของเชื้อเอดส์
เป็นไวรัสกลุ่ม Retrovirus เป็นไวรัสที่เพิ่งค้นพบได้ไม่นานเมื่อเทียบกับไวรัสอื่นๆ เชื้อไวรัสชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากเชื้อไวรัสอื่นๆ ดังนี้คือ
  • มันสามารถหลบเลี่ยง จากการถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกายคนปกติได้ ด้วยการเข้าหลบอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-Lymphocytes ทำให้ Antibodies ที่ถูกสร้างขึ้นไม่สามารถทำอันตรายต่อเชื้อเอดส์ที่บุกรุกเข้ามาในร่างกายได้ 
  • สามารถนำเอาส่วนของ gene ของตัวมันเข้าไปแฝงเป็นส่วนหนึ่งของ gene ของเม็ดเลือดขาวของคนเรา แล้วอาศัย enzyme พิเศษที่ไม่มีในไวรัสชนิดอื่นที่เรียกว่า Reverse Transcriptase enzyme เป็นตัวกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวให้มีการสร้าง gene โดยที่ตัวมันไม่ต้องแบ่งตัวเอง ทำให้มีการเพิ่มจำนวน gene ของไวรัสได้อย่างรวดเร็วจนสามารถทำลายเม็ดเลือดขาวที่มันอาศัยอยู่นั้นได้ 
  • สามารถกระตุ้นให้เซลล์บางชนิดของร่างกายมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นมะเร็งชนิดต่างๆได้ เช่น กระตุ้นให้เซลล์เยื่อบุหลอดเลือดแบ่งตัวมากจนเกิดเป็นมะเร็งที่เรียกว่า Kaposi’s Sarcoma หรือสามารถกระตุ้นให้เซลล์ต่อมน้ำเหลืองแบ่งตั จนเกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เรียกว่า Lymphoma ได้ เป็นต้น
เชื้อเอดส์หรือไวรัสเอดส์ (HIV) คืออะไร เชื้อเอดส์มีชื่อว่า HIV มาจากคำเต็มว่า Human Immunodeficiency Virus
H = Human หมายถึง คน หรือ มนุษย์
I = Immunodeficiency หมายถึง ภูมิต้านทานโรคบกพร่องหรือเสียไป
V = Virus หมายถึง เชื้อโรคที่มีขนาดเล็กมากจนเราไม่ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ ทำให้เกิดโรคร้ายแรงต่างๆได้ ถ้า เข้าไปในร่างกาย

HIV จึงหมายถึง เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กมาก และถ้าเข้าไปในร่างกายก็จะทำให้ภูมิต้านทานโรคของเราเสียไป และร่างกายก็จะไม่สามารถต้านทานโรคต่างๆได้ จึงล้มป่วยด้วยโรคนั้นๆ

อาการของผู้ป่วยโรคเอดส์ (AIDS)
เชื้อเอชไอวีทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซท์ ที่มีชื่อว่า CD4 เมื่อเม็ดเลือดขาวชนิดนี้ต่ำลง จะทำให้ร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน และเกิดอาการของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อนในที่สุด

ภายหลังการได้รับเชื้อ ร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อ ในปัจจุบันในการวินิจฉัยว่าติดเชื้อหรือไม่ เราไม่ได้ตรวจหาเชื้อโดยตรง แต่เป็นการตรวจว่าร่างกายเรามีปฏิกิริยาต่อเชื้อหรือไม่ โดยการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV antibody) ซึ่งการตรวจดังกล่าวอาจให้ผลลบได้ในกรณีที่ได้รับเชื้อมาใหม่ ๆ เนื่องจากร่างกายยังไม่ได้สร้างปฏิกิริยาตอบสนอง

ภายหลังการรับเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย บางรายอาจมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่ว ๆ ไป เช่น มีไข้ ผื่นตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ อาการมักกินเวลาสั้น ๆ และหายไปได้เอง หลังจากนั้นผู้ป่วยจะไม่มีอาการใด ๆ เลย

เชื้อไวรัสจะส่งผลให้ระดับเม็ดเลืดขาวที่เรียกว่าซีดีโฟร์ลดลงอย่างช้า ๆ จนผู้ป่วยเริ่มเกิดอาการของเอชไอวีเกิดขึ้น เช่นฝ้าในปาก ผึ่นคันตามตัว น้ำหนักลด โดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการเมื่อระดับซีดีโฟร์ต่ำกว่า 200 cell/mm3

อัตราเฉลี่ยของประเทศไทยตั้งแต่รับเชื้อจนเริ่มป่วยใช้เวลา 7-10 ปี ในช่วงที่เรามีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกายแต่ไม่ป่วยเพราะเรายังมีภูมิคุ้มกันที่ยังควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้ เรียกว่า เป็นผู้ติดเชื้อ และเมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายเหลือจำนวนน้อย จนไม่สามารถควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคบางอย่างได้ทำให้เราป่วยด้วยเชื้อโรคนั้น ๆ เรียกว่าเราเริ่มมี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นผู้ป่วยเอดส์ โรคที่เราป่วยเนื่องจากภาวะภูมิบกพร่อง เรียกว่า โรคฉวยโอกาส

แนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อผู้ป่วยเอดส์ที่สำคัญในปัจจุบัน มีอยู่สองแนวทาง ที่ต้องให้การดูแลควบคู่กันไปคือ
  1. การป้องกันและรักษาโรคฉวยโอกาส ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือป่วยด้วยโรคฉวยโอกาส (ที่สำคัญคือ หลายโรคป้องกันได้ และทุกโรครักษาได้) 
  2. การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี เพื่อลดปริมาณไวรัสในเลือดให้น้อยที่สุด และ ควบคุมปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งจะส่งผลให้ระดับภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ลดโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคฉวยโอกาส
เอดส์ (AIDS) ติดต่อกันได้อย่างไร
  1. การร่วมเพศ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าชายกับชาย ชายกับหญิง หรือหญิงกับหญิง ทั้งช่องทางธรรมชาติ หรือไม่ธรรมชาติ ก็ล้วนมีโอกาสติดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น และปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น ได้แก่ การมีแผลเปิด และจากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา ประมาณร้อยละ 84 ของผู้ป่วยเอดส์ ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ 
  2. การรับเชื้อทางเลือด
    • ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ มักพบในกลุ่มผู้ฉีดยาเสพติด และหากคนกลุ่มนี้ติดเชื้อ ก็สามารถถ่ายทอดเชื้อเอดส์ ทางเพศสัมพันธ์ได้อีกทางหนึ่ง 
    • รับเลือดในขณะผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ในปัจจุบันเลือดที่ได้รับบริจาคทุกขวด ต้องผ่านการตรวจหาการติดเชื้อเอดส์ และจะปลอดภัยเกือบ 100% 
  3. ทารก ติดเชื้อจากแม่ที่ติดเชื้อเอดส์ การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก ผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์ หากตั้งครรภ์ และไม่ได้รับการดูแลอย่างดี เชื้อเอช ไอ วี จะแพร่ไปยังลูกได้ ในอัตราร้อยละ 30 จากกรณีเกิดจากแม่ติดเชื้อ จึงมีโอกาสที่จะรับเชื้อเอช ไอ วี จากแม่ได้
เอดส์ มีอาการอย่างไร
คนที่สัมผัสกับโรคเอดส์หรือคนที่ได้รับเชื้อเอดส์เข้าไปในร่างกายม่จำเป็นต้องมีการติดเชื้อเอดส์เสมอไปขึ้นกับจำนวนครั้งที่สัมผัสจำนวนและความดุร้ายของไวรัสเอดส์ที่เข้าสู่ร่างกายและภาวะภูมิต้านทานของร่างกายถ้ามีการติดเชื้ออาการที่เกิดขึ้นมีได้หลายรูปแบบหรือหลายระยะตามการดำเนินของโรค
  • ระยะที่ 1 : ระยะที่ไม่มีอาการอะไร
    ภายใน 2 - 3 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไป ราวร้อยละ 10 ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายๆ ไข้หวัด คือมีไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นตามตัว แขน ขาชาหรืออ่อนแรง เป็นอยู่ราว 10-14 วันก็จะหายไปเอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่สังเกต นึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดาราว 6-8 สัปดาห์ภายหลังติดเชื้อ ถ้าตรวจเลือดจะเริ่มพบว่ามีเลือดเอดส์บวกได้ และส่วนใหญ่จะตรวจพบว่ามีเลือดเอดส์บวกภายหลัง 3 เดือนไปแล้ว โดยที่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการอะไรเลย เพียงแต่ถ้าไปตรวจก็จะพบว่า มีภูมิคุ้นเคยต่อไวรัสเอดส์อยู่ในเลือดหรือที่เรียกว่าเลือดเอดส์บวก ซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อเอดส์เข้าไปแล้ว ร่างกายจึงตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนบางอย่างขึ้นมาทำปฏิกิริยากับไวรัสเอดส์ เรียกว่าแอนติบอดีย์ (antibody) เป็นเครื่องแสดงว่า เคยมีเชื้อเอดส์เข้าสู่ร่างกายมาแล้ว แต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะไวรัสเอดส์ได้ คนที่มีเลือดเอดส์บวกจะมีไวรัสเอดส์อยู่ในตัว และ สามารถแพร่โรคให้กับคนอื่นได้ น้อยกว่าร้อยละ 5 ของคนที่ติดเชื้ออาจต้องรอถึง 6 เดือนกว่าจะมีเลือดเอดส์บวกได้ ดังนั้นคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงมา เช่น แอบไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัยป้องกัน ตรวจตอน 3 เดือน แล้วไม่พบก็ต้องไปตรวจซ้ำอีกตอน 6 เดือนโดยในระหว่างนั้น ก็ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์กับภรรยา และห้ามบริจาคโลหิตให้ใครในระหว่างนั้น ผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีต่อมน้ำเหลืองตามตัวโตได้โดยโตอยู่เป็นระยะเวลานานๆ คือเป็นเดือนๆ ขึ้นไป ซึ่งบางรายอาจคลำพบเอง หรือไปหาแพทย์แล้วแพทย์คลำพบ ต่อมน้ำเหลืองที่โตนี้มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ แข็งๆ ขนาด 1 - 2 เซนติเมตร อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านข้างคอทั้ง 2 ข้าง ข้างละหลายเม็ดในแนวเดียวกัน คลำดูแล้วคลายลูกประคำที่คอไม่เจ็บ ไม่แดง นอกจากที่คอต่อมน้ำเหลืองที่โตยังอาจพบได้ที่รักแร้และขาหนีบทั้ง 2 ข้าง แต่ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ มีความสำคัญน้อยกว่าที่อื่นเพราะพบได้บ่อยในคนปกติทั่วไป ต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้จะเป็นที่พักพิงในช่วงแรกของไวรัสเอดส์ โดยไวรัสเอดส์จะแบ่งตัวอย่างมากในต่อมน้ำเหลืองที่โตเหล่านี้
  • ระยะที่ 2 : ระยะที่เริ่มมีอาการหรือระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์
    เป็นระยะที่คนไข้เริ่มมีอาการ แต่อาการนั้นยังไม่มากถึงกับจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์เต็มขั้น อาการในช่วงนี้อาจเป็นไข้เรื้อรัง น้ำ หนักลด หรือท้องเสียงเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้อาจมีเชื้อราในช่องปาก(รูปที่ 3), งูสวัด(รูปที่ 4), เริมในช่องปาก หรืออวัยวะ เพศ ผื่นคันตามแขนขา และลำตัวคล้ายคนแพ้น้ำลายยุง(รูปที่ 5) จะเห็นได้ว่า อาการที่เรียกว่าสัมพันธ์กับเอดส์นั้น ไม่จำเพาะสำหรับโรคเอดส์เสมอไป คนที่เป็นโรคอื่นๆ ก็อาจมีไข้ น้ำหนักลด ท้องเสีย เชื้อราในช่องปาก งูสวัด หรือเริมได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าถ้ามีอาการเหล่านี้จะต้องเหมาว่าติดเชื้อเอดส์ไปทุกร้าย ถ้าสงสัยควรปรึกษา แพทย์และตรวจเลือดเอดส์พิสูจน์
  • ระยะที่ 3 : ระยะโรคเอดส์เต็มขั้น หรือที่ภาษาทางการเรียกว่าโรคเอดส์
    เป็นระยะที่ภูมิต้านทานของร่ายกายเสียไปมากแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการของการติดเชื้อ จำพวกเชื้อฉกฉวยโอกาสบ่อยๆ และเป็นมะเร็งบางชนิด เช่นแคโปซี่ซาร์โคมา (Kaposi'ssarcoma) และมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อฉกฉวยโอกาสหมายถึง การติดเชื้อที่ปกติมีความรุนแรงต่ำ ไม่ก่อโรคในคนปกติ แต่ถ้าคนนั้นมีภูมิต้านทานต่ำลง เช่น จากการเป็นมะเร็ง หรือ จากการได้รับยาละทำให้เกิดวัณโรคที่ปอดต่อมน้ำเหลืองตับหรือสมองได้ รองลงมาคือ เชื้อพยาธิที่ชื่อว่านิวโมซิส-ตีส-คารินิไอ ซึ่งทำให้เกิดปอดบวมขึ้นได้ (ไข้ ไอ หายใจเหนื่อยหอบ) ต่อมาเป็นเชื้อราที่ชื่อ คริปโตคอคคัสซึ่งทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ซึมและอาเจียน นอกจากนี้ยังมีเชื้อฉกฉวยโอกาสอีกหลายชนิด เช่นเชื้อพยาธิที่ทำให้ท้องเสียเรื้อรัง และเชื้อซัยโตเมก กะโลไวรัส (CMV) ที่จอตาทำให้ตาบอด หรือที่ลำไส้ทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย และถ่ายเป็นเลือดเป็นต้นในภาคเหนือตอนบน มีเชื้อราพิเศษ ชนิดหนึ่งชื่อ เพนนิซิเลียว มาร์เนฟฟิโอ ชอบทำให้ติดเชื้อที่ผิวหนัง ต่อมน้ำเหลืองและมีการติดเชื้อในกระแสโลหิตแคโปซี่ ซาร์โค มา เป็นมะเร็งของผนังเส้นเลือด ส่วนใหญ่จะพบตามเส้นเลือดที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีม่วงๆ แดงๆ บนผิวหนัง คล้ายจุดห้อเลือด หรือไฝ ไม่เจ็บไม่คันค่อยๆ ลามใหญ่ขึ้น ส่วนจะมีหลายตุ่ม บางครั้งอาจแตกเป็นแผล เลือดออกได้ บางครั้งแคโปซี่ซาร์โคมา อาจเกิดในช่องปากในเยื่อบุทางเดินอาหาร ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกมากๆ ได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งปากมดลูกได้ ดังนั้นผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์จึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจมะเร็งปากมดลูกทุก 6 เดือน นอกจากนี้คนไข้โรคเอดส์เต็มขั้น อาจมีอาการทางจิตทางประสาทได้ด้วย โดยที่อาจมีอาการหลงลืมก่อนวัย เนื่องจากสมองฝ่อเหี่ยว หรือมีอาการของโรคจิต หรืออาการชักกระตุก ไม่รู้สึกตัว แขนขาชาหรือไม่มีแรง บางรายอาจมีอาการปวดร้าวคล้ายไฟช๊อตหรือปวดแสบปวดร้อน หรืออาจเป็นอัมพาตครึ่งท่อน ปัสสาวะ อุจจาระไม่ออก เป็นต้น ในแต่ละปีหลังติดเชื้อเอดส์ร้อยละ 5 - 6 ของผู้ที่ติดเชื้อจะก้าวเข้าสู่ระยะเอดส์เต็มขั้นส่วนใหญ่ของคนที่เป็นโรคเอดส์เต็มขั้นแล้ว จะเสียชีวิตภายใน 2 - 4 ปี จากโรคติดเชื้อฉกฉวยโอกาสที่เป็นมาก รักษาไม่ไห หรือโรคติดเชื้อที่ยังไม่มียาที่จะรักษาอย่างได้ผล หรือเสียชีวิตจากมะเร็งที่เป็นมากๆ หรือค่อยๆ ซูบซีดหมดแรงไปในที่สุด พบว่ายาต้านไวรัสเอดส์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ในประเทศตะวันตกสามารถยืดชีวิตคนไข้ออกไปได้ 10 - 20 ปี และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หรืออาจอยู่จนแก่ตายได้
ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์ (AIDS) มีสุขภาพดี และ ร่างกายแข็งแรง



ไลฟ์แพ็ก (LifePak) ทีกรีน97 (TeGreen97) ริชิเอ็มเอ็กซ์ (ReishiMx)

ที่มา : ความรู้เรื่องโรคเอดส์, โรคเอดส์คืออะไร, AIDS

โรคมะเร็งคืออะไร? และ การดูแลสุขภาพเมื่อเป็นโรคมะเร็ง

มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เซลล์เจริญ (แบ่งตัว) อย่างผิดปกติ การที่เซลล์เปลี่ยนสภาพไปจากปกติจะไม่อยู่ในการควบคุมวัฏจักรการแบ่งตัว รุกรานเนื้อเยื่อข้างเคียง หรืออาจแพร่กระจายไปยังที่อื่น ๆ (การแพร่กระจายของเนื้อร้าย) ลักษณะทั้งสามประการที่กล่าวมานี้เป็นคุณสมบัติของเนื้อร้ายซึ่งต่างจาก เนื้องอก ซึ่งไม่ร้ายแรงเพราะไม่รุกรานหรือแพร่กระจาย และขนาดจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มะเร็งทั้งหมดยกเว้นมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อ

มะเร็งเกิดขึ้นได้โดยสารพันธุกรรมหรือยีนซึ่งควบคุมการทำงานของเซลล์ผิดปกติไป โดยที่ความผิดปกติของสารพันธุกรรมนั้นเป็นผลมาจากสารก่อมะเร็ง อาทิ ยาสูบ ควัน รังสี สารเคมีอย่างอื่น หรือ เชื้อโรค ยีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมะเร็งอาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่จำเพาะเจาะจงระหว่างการทำสำเนาของดีเอ็นเอ หรืออาจถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ซึ่งสามารถตรวจพบได้ในทุกเซลล์หลังจากคลอด การถ่ายทอดทางพันธุกรรมของมะเร็งนั้นได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอย่างอื่นๆ ด้วย

จากการศึกษา พบว่าผู้หญิงวัยกลางคนในอังกฤษราว 6,000 คน เป็นมะเร็งมากขึ้นทุกปี สาเหตุมาจากความอ้วน โดยพบความเชื่อมโยงระหว่างน้ำหนักกับโอกาสเสี่ยงที่เป็นมะเร็งนั้น ขึ้นอยู่กับช่วงอายุของผู้หญิงด้วย และทางกองทุนวิจัยมะเร็งโลก ประกาศเตือนว่า ความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง ดังต่อไปนี้ คือ มะเร็งมดลูก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งที่ไต มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งทรวงอก มะเร็งไขกระดูก มะเร็งที่ตับอ่อน มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮอดจ์กิ้น และมะเร็งรังไข่

มะเร็งกำเนิดจากเซลล์ร่างกายที่สามารถแบ่งเซลล์ได้วิวัฒนาการจนไม่สามารถควบคุมได้ มีกระบวนการวิวัฒนาการโดยการเปลี่ยนแปลงของโครโมโซมนั้นๆทำให้ผลิตเอนไซม์มาสร้างเทโลเมียร์ในเซลล์อย่างไม่หมดสิ้นทำให้เซลล์ไม่สามารถหยุดแบ่งเซลล์ได้

เกร็ด: เทโลเมียร์ของมนุษย์เปรียบเหมือนนาฬิกาทีนับถอยหลังไปเรื่อยๆ ซึ่งในขณะนั้นเซลล์ร่างกายยังสามารถแบ่งเซลล์ต่อไปโดยเทโลเมียร์จะหดสั้นลงเรื่อยๆ และเมื่อสายเทโลเมียร์หมดก็จะทำให้เซลล์ร่ายกายหยุดแบ่งตัวทำให้มนุษย์ต้องหยุดเจริญเติบโต แต่เทโลเมียร์ของเซลล์มะเร็งไม่หดสั้นลงอีกทั้งเติบโตโดยไม่สามารถหยุดยั้ง

โภชนาการกับโรคมะเร็ง
การกินและพฤติกรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้เป็นอย่างมาก อาหารบางประเภท มีสารที่ต้านอนุมูลอิสระได้สูงและป้องกันการเกิดมะเร็งได้ดี เราเรียกอาหารประเภทนี้ว่า อาหารต้านมะเร็ง โดย บรอกโคลี, อโวคาโด , แครอท, ฯลฯ เป็นหนึ่งในอาหารต้านมะเร็งที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป

จากการศึกษาพบว่า อาหารอาจมีส่วนสัมพันธ์ กับการเกิดโรคมะเร็งได้ประมาณ 30-50% แต่ในขณะเดียวกันอาหารประเภทพืชผัก ผลไม้ ธัญพืช และ เครื่องเทศต่างๆ ก็มี คุณสมบัติในการป้องกันมะเร็งได้ ดังนั้น การรับประทานอาหารอย่างถูกต้องตามหลัก โภชนาการ จึงเป็นหนทางหนึ่ง ซึ่งสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้

อาหารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็ง
  1. อาหารที่มีราขึ้นโดยเฉพาะราสีเขียว-สีเหลือง 
  2.  อาหารไขมันสูง 
  3. อาหารเค็มจัด ส่วนไหม้เกรียมของอาหารปิ้ง ย่าง รมควัน และอาหารที่ถนอมด้วยเกลือ ดินประสิว
สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มะเร็งมีสาเหตุส่งเสริมได้จากหลายสาเหตุดังนี้
  1. เชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งโพรงจมูก หรือเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในกระเพาะอาหารมีคนพบว่าเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารค่ะ 
  2. พยาธิใบไม้ในตับก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับและทางเดินน้ำดี 
  3. สารเคมีหลายชนิดก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น พวกแอสเบสทอส ทำให้เกิดมะเร็งปอด นิเกิล โครเมี่ยม เป็นต้น 
  4. ยาบางชนิด เช่น ยาฮอร์โมน ซึ่งไม่ควรจะรับประทานเอง ควรจะอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ หรือยารักษามะเร็งบางชนิด เป็นต้น 
  5. การสูบบุหรี่ และการดื่มสุรา
วิธีการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง คือ พยายามหลีกเลี่ยงจากสารก่อมะเร็งดังที่กล่าวแล้ว เช่น พยายามอย่าสูบบุหรี่ อย่าดื่มสุรามากเกินไป พยายามใช้ชีวิตให้มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ก็จะสามารถช่วยให้คุณลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ค่ะ

สัญญาณเตือน 7 ประการ ที่อาจจะแสดงว่าเป็นอาการของโรคมะเร็ง มีดังนี้
  1. มีการเปลี่ยนแปลงในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เช่น มีเลือดออก ท้องเสียหรือท้องผูกผิดปกติ 
  2. มีแผลเรื้อรังที่ไม่หาย โดยเป็นนานมากกว่า 3 สัปดาห์ 
  3. มีเลือดออก หรือมีน้ำคัดหลั่งไหลออกมาจากบริเวณช่องต่าง ๆ ของร่างกายผิดปกติ เช่น หัวนม , จมูก , ช่องคลอด เป็นต้น 
  4. คลำได้ก้อนที่เต้านม หรือที่อื่น ๆ ของร่างกาย 
  5. ท้องอืด อาหารไม่ย่อย มีอาการปวดท้อง กลืนลำบาก เป็นต้น 
  6. ไฝหรือจุดเล็ก ๆ ตามร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น โตขึ้น มีสีผิดปกติหรือมีเลือดออก 
  7. อาการไอที่ผิดปกติ เช่น ไอปนเลือด ไอเรื้อรัง หรือเสียงแหบ
ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง มีสุขภาพดี และ ร่างกายแข็งแรง



ไลฟ์แพ็ก (LifePak) ทีกรีน97 (TeGreen97) ริชิเอ็มเอ็กซ์ (ReishiMx)

ที่มา : มะเร็ง, มะเร็งคืออะไร

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

โรคตับ ตับอักแสบคืออะไร และ จะดูแลสุขภาพอย่างไร?

จากบทความเรื่อง "ฉันคือ "ตับ" เธอรู้จักฉันดีหรือยัง?" มาวันนี้ผมจะขอพาทุกๆท่านมารู้จักกับโรคที่จะเกิดขึ้นกับตับของเรา โรคนั้นเราเรียกว่า โรคตับ หรือ โรคตับอักเสบ
โรคตับอักเสบจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
  1. โรคตับอักเสบเฉียบพลัน (acute hepatitis) หมายถึงโรคตับอักเสบที่เป็นไม่นานก็หาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการ 2-3 สัปดาห์โดยมากไม่เกิน 2 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายขาดจะมีบางส่วนเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และบางรายรุนแรงถึงกับเสียชีวิต 
  2. โรคตับอักเสบเรื้อรัง (chronic hepatitis) หมายถึงตับอักเสบที่เป็นนานกว่า 6 เดือนจะแบ่งเป็น 2 ชนิด
    1. chronic persistent เป็นการอักเสบของตับแบบค่อยๆเป็นและไม่รุนแรงแต่อย่างไรก็ตามโรคสามารถที่จะทำให้ตับมีการอักเสบมาก
    2. chronic active hepatitis มีการอักเสบของตับ และตับถูกทำลายมากและเกิดตับแข็ง

โรคตับอักเสบ (อังกฤษ: Hepatitis) เป็นภาวะที่มีการอักเสบ เกิดการทำลายของเซลล์ตับ ทำให้การทำหน้าที่ต่าง ๆ ของตับผิดปกติ ร่างกายมีการเจ็บป่วย ไม่สบาย พบผู้ป่วยด้วยโรคนี้ได้ในทุกวัย ทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่เป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลัน ส่วนน้อยอาจ เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง อาจมีภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง โรคตับวาย มะเร็งตับ

สาเหตุของการเกิดโรค
สาเหตุของโรคตับอักเสบ ที่พบบ่อยที่สุดคือ การติดเชื้อไวรัส รองลงมาเกิดจาก พิษสุรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อโปรโตซัว เลปโตสไปโรสิส พยาธิ ยาบางชนิด สารเคมี ชนิด

โดยส่วนมากจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ ดังนี้คือ
  • ไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ
    • เข้าสู่ร่างกายเราโดยการรับประทานอาหาร ผู้ติดเชื้อมักไม่แสดงอาการ ในผู้ใหญ่มักมีอาการรุนแรงมากกว่าเด็ก ผู้ที่ติดเชื้อชนิดนี้ เมื่อรักษาหายแล้วจะหายขาด ไม่กลับมาเป็นอีก และไม่มีภาวะการเป็นพาหนะตามมาภายหลัง
    • อาการของโรค มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียนในระยะแรก ซึ่งอาจทำให้แพทย์เข้าใจผิดว่าเป็นโรคทางเดินอาหารได้ หลังจากนั้น 1 สัปดาห์อาการจะดีขึ้น เริ่มมีอาการดีซ่าน หรือตัวเหลือง หลังจากนั้นอีก 1 - 2 สัปดาห์ ก็จะทุเลาลง แต่บางรายอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
    • การรักษา ให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ 1 - 4 สัปดาห์ ให้อาหารอ่อนย่อยง่าย มีไขมันต่ำ ป้องกันอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และอาเจียน หลีกเลี่ยงยา หรือสารที่เป็นอันตรายต่อตับ
  • ไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี
    เชื้อไวรัสตับอักเสบบี พบได้ในสารน้ำและสารคัดหลั่งต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่ เลือด น้ำลาย น้ำนม น้ำอสุจิ และเมือกในช่องคลอด จึงติดต่อถึงกันได้ทางเข็มฉีดยา หรือของมีคมที่เปื้อนเลือด ทางเพศสัมพันธ์ และการติดต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์
    อาการเริ่มแรกไม่ชัดเจน ไม่รวดเร็ว จะมีไข้ต่ำๆ หรืออาจไม่มี ต่อมาไข้สูง อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน และค่อยๆ ตัวเหลือง ตาเหลือง และเป็นดีซ่าน บางรายไม่มีอาการแสดงให้เห็น กว่าจะรู้ตัวเป็นตับแข็งแล้ว โรคตับอักเสบเรื้อรังอาจมีอาการอื่นร่วมอยู่ด้วย เช่น ปวดข้อ หรือไตอักเสบ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะทุเลาและหายสนิท ส่วนน้อยที่จะมีความรุนแรงของโรคถึงแก่ชีวิต หรือทุเลาแล้วกลับรุนแรงขึ้นอีก บางรายกลายเป็นพาหนะเรื้อรัง โดยไม่แสดงอาการเจ็บป่วย แต่สะสมเชื้อไว้ภายในร่างกาย
    การดูแลรักษา
    1. กรณีเป็นโรคชนิดเฉียบพลัน ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ให้ผู้ป่วยพักผ่อนประมาณ 4 สัปดาห์ งดออกกำลังกายหลังหายป่วยแล้ว 2-3 เดือน หลีกเลี่ยงอาหารและการกินสารที่เป็นพิษต่อตับ และรักษาโรคตามอาการ 
    2. กรณีมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะพิจารณารักษาเป็นรายๆ ไป 
    3. ผู้ปว่ยโรคตับอักเสบเรื้อรัง ให้รักษาตามอาการ อยู่ในความดูแลของแพทย์ 
    4. ผู้เป็นพาหนะเรื้อรังไม่มีอาการ ให้ตรวจร่างกายเป็นประจำตามแพทย์สั่ง แนะนำให้นำบุตรหลาน และผู้ใกล้ชิดมาตรวจร่างกาย และฉีดวัคซีนป้องกันก่อนเป็นโรคนี้ ผู้เป็นพาหนะห้ามมิให้ใช้ของส่วนตัวที่อาจเปื้อนเลือดร่วมกับผู้อื่น และควรแจ้งทันตแพทย์ แพทย์และบุคลาการทางการแพทย์ให้ทราบเพื่อจะได้ระมัดระวังการติดต่อแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น และเลี่ยงในการสั่งยาที่จะเป็นพิษต่อตับ
    การป้องกัน
    1. บุคคลทั่วไป ป้องกันตนเองมิให้ติดโรคนี้ได้โดย ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ป่วย ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ตรวจเลือด หากไม่มีภูมิคุ้มกันให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรค 
    2. ทารกแรกเกิด ที่มารดาเป็นโรคหรือเป็นพาหนะ ให้ฉีดวัคซีนหลังคลอดโดยเร็วที่สุด
  • ไวรัสตับอักเสบ ชนิดดี
    เชื้อไวรัสตับอักเสบดี พบในผู้ป่วยกลุ่มที่มีการฉีดยาเสพติด รับเชื้อจากการใช้เข็มและกระบอกฉีดร่วมกัน เชื้อชนิดนี้ไมาสามารถเพิ่มจำนวนในเซลล์ตับได้โดยลำพัง แต่จะติดเชื้อร่วมกับตับอักเสบบี แล้วจึงเพิ่มจำนวนไวรัสทั้งตับอักเสบ ดี และ บี
    การติดเชื้อ เช่นเดียวกับโรคตับอักเสบบี ตับอักเสบดีทำให้เกิดโรคตับอักเสบรุนแรงกว่าเชื้ออื่นๆ และอาจติดเชื้อเรื้อรัง จนกลายเป็นตับแข็งในอัตราค่อนข้างสูงๆ
    การป้องกัน โดยการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี จะป้องกันโรคนี้ได้ด้วย
  • ไวรัสตับอักเสบ ชนิดซี
    เชื้อไวรัสตับอักเสบซี เป็นไวรัสตับอักเสบที่ไม่ใช่ชนิด เอ และไม่ใช่บี มีการแพร่โรคโดยการรับเลือดที่มีเชื้อ ใช้เข็มและกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ป่วย ผู้ป่วยส่นใหญ่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการแต่ไม่รุนแรง ผู้ติดเชื้อบางรายกลายเป็นพาหนะเรื้อรัง เป็นตับแข็ง และมะเร็งตามมา ผู้ป่วยโรคนี้พบหลังจากการถ่ายเลือด
    อาการเริ่มแรก อาจเบื่ออาหาร หรือคลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้องบ้างเล็กน้อย ตามด้วยอาการดีซ่าน โรคนี้มีระยะฟักตัวประมาณ 8 สัปดาห์
    การตรวจวินิจฉัยโรค ทำโดยการชันสูตรทางห้องปฏิบัติการไวรัส
  • ไวรัสตับอักเสบ ชนิดอี
    เชื้อไวรัสตับอักเสบอี ติดต่อโดยการรับประทานอาหาร หรือน้ำดื่มที่มีเชื้อนี้ พบว่าไวรัสตับอักเสบอี ทำให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง
    เชื้อไวรัสตับอักเสบอี เป็นกลุ่มที่ไม่ใช่ ตับอักเสบชนิด เอ และไม่ใช่บี และมีการแพร่โรคนี้โดยการกิน
    ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่สามารถยืนยันได้ว่า ติดต่อถึงกันได้โดยการรับประทานอาหารหรือไม่ เมื่อเป็นแล้วจะเป็นพาหนะเรื้อรังหรือไม่
การวินิจฉัยโรคตับอักเสบจากไวรัส
  1. ตรวจการทำงานของตับ โดยการหาระดับ SGOT[AST],SGPT [ALT]ค่าปกติน้อยกว่า 40 IU/L ถ้าค่ามากกว่า 1.5-2 เท่าให้สงสัยว่าตับอักเสบ หากพบว่าผิดปกติแพทย์จะขอตรวจเดือนละครั้งติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน
  2. การตรวจหาตัวเชื้อ
    • ไวรัสตับอักเสบ เอ ตรวจหา Ig M Anti HAV
    • ไวรัสตับอักเสบ บี ตรวจหา HBsAg ถ้าบวกแสดงว่ามีเชื้ออยู่ Anti HBs ถ้าบวกแสดงว่ามีภูมิต่อเชื้อ HBeAg ถ้าบวกแสดงว่าเชื้อมีการแบ่งตัว HBV-DNA เป็นการตรวจเพื่อหาปริมาณเชื้อ
    • ไวรัสตับอักเสบ ซี Anti-HCV เป็นการบอกว่ามีภูมิต่อเชื้อ HCV-RNA ดูปริมาณของเชื้อ
  3. การตรวจดูโครงสร้างของตับ เช่นการตรวจคลื่นเสียงเพื่อดูว่ามีตับแข็งหรือมะเร็งตับหรือไม่
  4. การตรวจชิ้นเนื้อตับ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะนำชิ้นเนื้อตับเพื่อวินิจฉัยความรุนแรงของโรค
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคตับอักเสบ

การเป็นโรคตับ จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร?
คำถามนี้ เป็นคำถามที่ผู้ป่วย ซึ่งเป็นโรคตับ มักจะถามแพทย์เสมอ นอกจากทานยาตามที่แพทย์สั่งสม่ำเสมอแล้ว ความจริงคำว่าโรคตับมีความหมายค่อนข้างกว้าง อาจจะหมายถึงผู้ที่เป็นพาหะของโรคตับอักเสบบี ซึ่งสภาพตับโดยทั่วไปแล้ว ไม่ได้แตกต่างจากคนปกติทั่วไปเท่าไรนัก ไปจนถึงผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง ซึ่งอาจจะมีอาการดีซ่าน บวม หรือท้องมานก็ได้ ซึ่งหมายถึงมีการเสื่อมสภาพของตับไปมาก สำหรับผู้ป่วยที่เป็นตับแข็ง คงต้องการการดูแลเป็นพิเศษ แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคตับเหล่านี้พอจะแบ่งออกได้เป็นหัวข้อสำคัญๆ 6 อ. คือ

  1. อาหาร สำหรับผู้ที่เป็นโรคตับเพียงเล็กน้อย เช่น เป็นพาหะของเชื้อไวรัสบี ผู้ป่วยเหล่านี้สามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิด ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบเฉียบพลัน การรับประทานน้ำหวานมาก ๆ ไม่มีรายงานว่าทำให้การดำเนินของโรคดีขึ้นกว่าการไม่ได้รับประทานน้ำหวาน อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายไม่สามารถบริโภคอาหารได้ เนื่องจากมีคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ในกรณีเช่นนี้การรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรทพวกแป้ง และน้ำตาล เป็นหลักจะทำให้ย่อยอาหารได้ง่าย และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง สำหรับผู้ป่วย ซึ่งเริ่มมีอาการตับแข็งแล้ว อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ อาหารที่มีรสเค็มจัด เนื่องจากการรับประทานอาหารเค็มสามารถทำให้อาการบวม หรืออาการท้องมานเลวลงได้ โดยทั่วไปแล้วในผู้ป่วยที่มีอาการบวม หรือท้องมาน แพทย์จะแนะนำให้รับประทานเกลือได้ไม่เกินวันละ 2 กรัม หรือเทียบเท่ากับเกลือป่นประมาณเศษหนึ่งส่วนสามช้อนชาต่อวันเท่านั้น ผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งควรรับประทานอาหารที่สะอาดปรุงขึ้นใหม่ ไม่ควรรับประทานอาหารที่เก็บค้างคืน หรืออาหารที่ประกอบขึ้นสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น การลวก การย่าง เพราะบ่อยครั้งทีเดียวที่ผู้ป่วยโรคตับแข็งมาพบแพทย์ด้วยอาการติดเชื้อจากทางระบบทางเดินอาหาร ซึ่งบางครั้ง สามารถเป็นรุนแรงจนเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยตับแข็งที่ไม่มีอาการซึม หรืออาการทางสมอง สามารถรับประทานโปรตีนได้ตามปกติเหมือนกับคนปกติทั่วไป ผู้ที่มีอาการทางสมองร่วมกับภาวะตับแข็ง ผู้ป่วยเหล่านี้ควรจำกัดปริมาณโปรตีนที่ได้จากสัตว์ อย่างไรก็ตาม สามารถเสริมโปรตีนได้ในรูปของโปรตีนได้ในรูปของโปรตีนจากพืช หรือถั่ว เป็นต้น ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่เป็นผัก และผลไม้ให้เพียงพอเพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการภาวะท้องผูก การรับประทานอาหารเสริมที่เป็นโปรตีนที่มีกิ่ง (Branch Chains Amino Acid) อาจทำให้ภาวะโภชนาการของผู้ป่วยดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตามอาหารเสริมดังกล่าวยังมีราคาแพง และทดแทนได้ด้วยการรับประทานโปรตีนจากพืช ปัจจุบันยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่า อาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดจะมีประโยชน์โดยแท้จริงกับผู้ป่วยโรคตับนอกจากการรับประทานอาหารที่ถูกต้องร่วมกับพืช ผัก และผลไม้ที่สะอาดในปริมาณที่พอเพียงจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย การรับประทานอาหารเผ็ด หรือเปรี้ยวไม่มีผลเสียโดยตรงอย่างไรต่อตับ
  2. แอลกอฮอล์ ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี อาจจะพบรับประทานได้บ้าง แต่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดบีแบบเรื้อรัง มีหลักฐานชัดเจนพบว่าการรับประทานแอลกอฮอล์ มีส่วนสัมพันธ์โดยตรง ทำให้การดำเนินของโรคลุกลามเร็วขึ้น ถึงแม้ว่าการสูบบุหรี่จะไม่มีผลโดยตรงกับโรคตับ แต่การสูบบุหรี่มีผลเสียต่อร่างกาย รวมทั้งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดมะเร็งในหลาย ๆ ส่วนของร่างกาย นอกจากปอด ดังนั้น เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงควรจะงด และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ด้วย
  3. อัลฟาท๊อกซิน (Aflatoxin) สารอัลฟาท๊อกซินเป็นสารที่สร้างจากเชื้อรา Aspergillus ซึ่งเป็นเชื้อราตระกูลเดียวกัลที่พบตามขนมปังที่เก็บไว้นาน ๆ นั่นเอง เชื้อรา Aspergillus บางตระกูลสามารถสร้างสารพิษที่เรียกว่า อัลฟาท๊อกซินขึ้น ซึ่งสารพิษนี้สามารถชักนำให้เกิดมะเร็งตับได้ เชื้อราชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในอาหารบางอย่าง ซึ่งเก็บอย่างไม่ถูกวิธี และมีความชื้น เช่น ถั่ว พรกป่น ข้าวโพด ข้าวสารเป็นต้น การศึกษาจากประเทศจีนตอนใต้พบว่า อุบัติการณ์ของการเกิดมะเร็งตับในผู้ป่วย ที่เป็นตับอักเสบแบบบีเรื้อรัง ในหมู่บ้าน ที่มีสารอัลฟาท๊อกซินปนเปื้อนในอาหาร สูงกว่ากลุ่มประชากรที่เป็นตับอักเสบบีแบบเรื้องรัง ที่บริโภค อาหารที่ไม่ได้ปนเปื้อนด้วยสารอัลฟาท๊อกซินอย่างชัดเจน ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคตับจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารดังที่กล่าวมาแล้ว
  4. อารมณ์ และการพักผ่อน บ่อยครั้งทีเดียวทีแพทย์พบผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบแบบเรื้อรัง หรือเป็นโรคตับแข็งที่มีอาการทั่วไปสบายดีมาตลอด แต่เมื่อผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือตรากตรำงานมากเกินไป ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงมีส่วนชักนำให้ตับอักเสบเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการดีซ่าน หรือบางครั้งรุนแรงจนเกิดภาวะตับวายเกิดขึ้นได้ นอกจากการพักผ่อนที่เพียงพอแล้ว การมีจิตใจที่เบิกบานแจ่มใสก็มีความสำคัญทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นด้วย
  5. ออกกำลัง ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง และมีอาการที่บ่งว่ามีสภาพการทำงานของตับเหลืออยู่น้อย เช่น ดีซ่าน ท้องมาน ผู้ป่วยเหล่านี้ควรงดออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงการเดิน หรือนั่งนาน ๆ ผู้ป่วยที่มีประวัติเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร ไม่ควรออกกำลังที่จะต้องเบ่ง หรือเกร็งกล้ามเนื้อท้อง เข่น การยกน้ำหนัก เนื่องจากจะกระตุ้นให้ความดันเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตกได้ อย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นตับแข็งในระยะเริ่มต้นที่ไม่มีอาการผิดปกติสามารถออกกำลังได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่หักโหม เช่น การวิ่งมาราธอน หรือกีฬาที่ต้องแข่งขัน การออกกำลัง เข่น การเดิน วิ่งเบา ๆ ดูจะเป็นการออกกำลังที่เหมาะสม 
  6. อัลฟาฟีโตโปรตีน (Alpha feto-protein) เป็นสารซึ่งสร้างขึ้นโดยเซลล์ตับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่มีการแบ่งตัวของเซลล์ตับ เราพบสาร Alpa feto-protein สูงขึ้นในเด็กแรกเกิด อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยซึ่งเป็นมะเร็งตับอาจมีการเพิ่มขึ้นของ Alpha feto-protein ซึ่งใช้เป็นเครื่องแจ้งเตือนมะเร็งของตับได้ ในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 45 ปี ตลอดจนผู้ที่เป็นตับแข็ง ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม ถือว่าเป็นประชากรที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงในการเกิดมะเร็งของตับได้ทั้งสิ้น การตรวจพบมะเร็งตับในระยะเริ่มต้น สามารถให้การรักษาที่เหมาะสม และมีโอกาสหายขาดได้ ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคตับควรมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามแพย์นัด และตรวจ Alpha feto-protien ตามที่แพทย์เห็นสมควร
การรับประทานยาในผู้ป่วยโรคตับเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง
เนื่องจากยาหลายชนิดต้องถูกกำจัด โดยผ่านตับการที่ตับมีการทำงานบกพร่อง เนื่องจากโรคต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง อาจทำให้มีการสะสมของยาจนเกิดโทษได้ ท่านควรแจ้งให้แพทย์ทราบเสมอว่าท่านมีปัญหาโรคตับ เพื่อแพทย์จะได้เลือก ยาที่ปลอดภัยให้ หรือถ้าสงสัยอาจปรึกษาแพทย์ เฉพาะทางดูก่อน ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งไม่ควรรับประทานยาลดไข้พวก paracetamol เกินกว่าวันละ 1500 mg หรือทานติดต่อกันนานเกิน 3 วัน อย่างไรก็ตามในผู้ที่เป็นตับอักเสบเล็กน้อย หรือพาหะของตับอักเสบบี สามารถทาน paracetamol ได้ในขนาดปกติ สำหรับยาแก้ปวดนั้นผู้ที่เป็นตับแข็งควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวด พวกที่เป็นแอสไพรินทั้งหลาย เนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงใตลดลงจนอาจทำให้มีการเสื่อมหน้าที่ของไต หรือไตวายได้ ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาแก้ปวดกลุ่มอื่นแทน

ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคตับ ตับอักแสบ มีสุขภาพดี และ ร่างกายแข็งแรง



ไลฟ์แพ็ก (LifePak) ทีกรีน97 (TeGreen97) ริชิเอ็มเอ็กซ์ (ReishiMx)


ที่มาบางส่วนจาก : ตับอักเสบ, ตับและโรคตับอักเสบ, โรคไวรัสตับอักเสบ

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

ทีกรีน97 (Tegreen97) คืออะไร?


ผลิตภัณฑ์สารสกัดจากชาเขียวจากแหล่งใบชาเขียวที่ดีที่สุดในมณฑลเจ๋อเจียง ประเทศจีน ใช้วิธีการเก็บและสกัดที่เฉพาะเพื่อให้ได้สารสำคัญ-โพลีฟีนอลในปริมาณสูง ที่สุดถึง 97% และปราศจากคาเฟอีน
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
  1. เสริมการทำงานของระบบต่อต้านอนุมูลอิสระของร่างกาย 
  2. ปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์และสารพันธุกรรมของเซลล์ จากการทำลายของอนุมูลอิสระ
ส่วนประกอบสำคัญ 
  • ชาเขียวสกัด 250 มิลลิกรัม ( โพลีฟีนอล 97%)
ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  • คัดเลือกจากแหล่งชาอันดับหนึ่งของจีน ที่มณฑลเจ้อเจียง
  • สารสำคัญ "โพลีฟีนอล" สูงที่สุด 97% (ผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาดสกัดได้เพียง 50 - 65%)
  • ปราศจากคาเฟอีน จึงดีต่อสุขภาพ ต่างจากชาชงทั่วไป
  • ใน 1 แคปซูล ให้สารสำคัญเท่ากับชาเขียว 7 ถ้วย
  • มีการศึกษาทางคลินิก โดยใช้ผลิตภัณฑ์ (รวมถึงฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็ง)
  • รางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมจากรัฐบาลใต้หวัน อยู่ในตำรา PDR (Physicians' Desk Referance)
ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
  • ต่อต้านการเกิด และ ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง
  • ส่งเสริมสุขภาพระบบภูมิคุ้มกัน
  • ปกป้อง และ ส่งเสริมการทำงานของเซลล์ตับในการกำจัดสารพิษ
  • ส่งเสริมการเผาผลาญน้ำตาล และ ไขมันจากหลอดเลือด
  • ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
  • บำรุงสุขภาพผิว ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน และ อิลาสติน
  • มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง (สูงกว่า วิตามิน E 25 เท่า, วิตามิน C 100 เท่า)
  • ส่งเสริมความจำ และ การทำงานของสมอง
  • ส่งเสริมการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย มีผลดีในการควบคุมน้ำหนัก
  • อื่นๆ เช่น่ ทำลายสารพิษในลำใส้ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ส่งเสริมสุขภาพฟัน และ เหงือก เป็นต้น

วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

มารีน โอเมก้า (Marine Omega) คืออะไร?

มารีนโอเมก้า (Marine Omega) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาและน้ำมันคริลล์ ที่ให้กรดไขมันโอเมก้า – 3 ช่วยให้ร่างกายได้รับกรดไขมันจำเป็นอย่างสมดุล
คริลล์ (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Euphasia pacifica) เป็นสัตว์ทะเลรูปร่างคล้ายกุ้ง พบในมหาสมุทรแถบฝั่งตะวันตกของเกาะแวนคูเวอร์ แถบรัสเซีย แถบยูเครน แถบแอนตาร์คติกา และญี่ปุ่น น้ำมันคริลล์มีความโดดเด่นของส่วนประกอบที่มีอีพีเอและดีเอชเอในสัดส่วนสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระเช่น วิตามิน เอ อี และแอสทาแซนธิน รวมทั้งมีน้ำมันโอเมก้า – 3 และโอเมก้า – 9 (กรด โอเลอิค) สัดส่วนของโอเมก้า – 3 ต่อโอเมก้า – 6 ที่ได้จากน้ำมันคริลล์มีสัดส่วนที่สูงคือ 15:1 และยังมีสารฟลาโวนอยด์, แคโรทีนอยด์ ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมุลอิสระที่ประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามิน อีถึง 550 เท่า
ประโยชน์ต่อสุขภาพ 
  1. เพื่อการตอบสนองของระบบภูมิต้านทานที่ปกติ 
  2. ลดการเกิดการอักเสบ 
  3. ส่งเสริมสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด 
  4. ส่งเสริมการทำงานของสมองและสุขภาพของสมอง 
  5. ส่งเสริมการทำงานการเคลื่อนไหวของข้อ 
  6. ส่งเสริมสุขภาพของผิวหนัง
ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  • น้ำมันปลาคุณภาพสูง โดดเด่นด้วยการเพิ่มน้ำมันคริลล์
  • อยู่ในตำรายา PDR (Physicians' Desk Reference)
  • ให้โอเมก้า - 3 โดยมี EPA : DHA = 3 : 2  (อัตราส่วนเหมาะสม)
  • ปลาทะเลน้ำลึกคุณภาพ 4 ชนิด ปราศจากโลหะหนัก และ สารปนเปื้อน
  • เลมอนออยล์ ช่วยดับกลิ่นคาวของน้ำมันปลา
  • น้ำมันคริลล์
    • สารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพมากกว่าวิตามิน อี 550 เท่า (แอสต้าแซนทีน และ ฟลาโวนอยด์)
    • สารสำคัญช่วยปกป้องเซลล์ บำรุงระบบประสาทและสมอง (ฟอสโฟไลปิคสูง)
ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
  • ช่วยลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มระดับไขมันตัวดี (HDL)
  • ช่วยลดการอักเสบของทุกเนื้อเยื่อในร่างกาย (ลดไฟอักเสบ) บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
  • ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนัง และ เยื่อบุตา
  • ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และ หลอดเลือดได้กว่า 90%
  • ส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • บำรุงเซลล์สมอง ความจำ และ ระบบประสาท
  • สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันคริลล์ ช่วยต่อต้านความเสื่อมชราของทุกอวัยวะจากการทำลาย ของอนุมูลอิสระ

วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

ออพติมา โอเมก้า (Optima Omega) คืออะไร?


ออพติมา โอเมก้า (Optima Omega) เป็นแหล่งสำคัญของกรดไขมันโอเมก้า - 3 ที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ อีพีเอ และดีเอชเอ ที่ได้จากปลาทะเลน้ำลึก 4 ชนิด ( ปลาแซลมอน, ปลาซาร์ดีน, ปลาแมคเคอเรล,ปลาแอนโชวี) ช่วยให้ร่างกายได้รับกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า - 3 อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังประกอบด้วยกระเทียมสกัด

ประโยชน์ต่อสุขภาพ
  • เสริมกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า - 3 เพื่อให้ร่างกายได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3อย่างเพียงพอและสมดุล
ส่วนประกอบสำคัญ
  • น้ำมันปลา ( อีพีเอ 150 มิลลิกรัม,ดีเอชเอ 100 มิลลิกรัม) 
  • กระเทียมสกัด 
  • วิตามิน อี
ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์
  • น้ำมันปลาคุณภาพสูง โดดเด่นด้วยการเพิ่มสารสกัดจากกระเทียม
  • ให้โอเมก้า - 3 โดยมี EPA : DHA =3 : 2 (อัตราส่วนที่เหมาะสม)
  • ปลาทะเลน้ำลึกคุณภาพ 4 ชนิดปราศจากโลหะหนัก และ สารปนเปื้อน
  • เลมอนออยล์ ช่วยดับกลิ่นคาวของน้ำมันปลา
  • รางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมจากรัฐบาลไต้หวัน
  • น้ำมันกระเทียม
"มีผลดีในการลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน"

ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ (อ้างอิงจากการศึกษาคุณประโยชน์ของสารอาหารสำคัญ)
  • ช่วยลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มระดับไขมันตัวดี (HDL)
  • ช่วยลดการอักเสบของทุกเนื้อเยื่อในร่างกาย (ลดไฟอักเสบ) บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
  • ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนัง และ เยื่อบุตา
  • ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และ หลอดเลือดได้มากกว่า 90%
  • ส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • บำรุงเซลล์สมอง ความจำ และ ระบบประสาท
  • น้ำมันกระเทียมยังมีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อโรค และ การกลายพันธุ์ของเซลล์

.

.