เมื่อปัญหาของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายคุกคามคุณ (เช่น : โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ, คลอเรสเตอรอลสูง, ความดันสูง, โรคไขมันเกาะตับ, โรคไขมันเกาะไต, ไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคตับ, ตับอักเสบ, ไตอักเสบ, โรคหอบหืด, โรคลมชัก, โรค SLE, โรคไขข้อ, โรค Bechet, โรคผิวหนังอักเสบแพ้ง่าย, โรคไขข้อ, วัยทอง, ปวดประจำเดือน, มีถุงน้ำที่เต้านม รังไข่, มีบุตรยาก, อ้วน, โรคไทยรอยด์, อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า, ต่อมลูกหมากโต, โรคเบาหวาน, เอดส์ (AIDS) หรือ HIV, โรคพุ่มพวง หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง, อัมพาต อัมพฤกษ์, โรคเก๊า, โรคสะเก็ดเงิน, โรคเรื้อนกวาง, โรคภูมิแพ้, Sex เสื่อม, หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ) เรามีคำตอบให้คุณ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับโรคเหล่านี้ได้อย่ามีความสุข

Note:
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค อาหารเสริมเพียงช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข และ มีสุขภาพแข็งแรง

.

.

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อนุมูอิสระ (Free Redical) พิษร้ายใกล้ตัวคุณ

ทุกๆท่านคงจะได้ยินชื่อ อนุมูอิสระ หรือ Free Redical มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย (โดยเฉพาะกับโฆษณา เกี่ยวกับเครื่องสำอางค์ ของผู้หญิง) แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า จริงๆแล้ว อนุมูลอิสระคืออะไร และ จะมีผลอย่างไรต่อร่างกายบ้าง?

สำหรับท่านที่ยังไม่ทราบ ผมจะขอเล่าเรื่องของ อนุมูลอิสระให้ทุกๆท่านได้เข้าใจกัน อย่างถ่องแท้เสียก่อน

อนุมูอิสระ หรือ Free Redical
นั้นคือโมเลกุลหน่วยที่เล็กที่สุด ที่เราจะสามารถพบได้ (ณ.ปัจจุบันนี้) ซึ่งมันจะตรงเข้าโจมตีเซลล์ต่างๆในร่ายกายของคุณ

ก่อนอื่น เราต้องรู้ก่อนว่าร่างกายของเรานั้น ประกอบด้วยส่วนที่เล็กมากๆ จำนวนนับล้านๆ ซึ่งเราเรียกส่วนนี่ว่า เซลล์ ซึ่งเซลล์นั้นจะประกอบด้วยส่วนหลักๆ 3 ส่วนที่ได้รับผลกระทบจากอนุมูลอิสระโดยตรง (ส่วนประกอบอื่นๆ จะไม่พูดถึงเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่อาจจะกล่าวถึงในบทต่อๆไป) ซึ่งส่วนประกอบหลักๆ 3 ส่วนนี้ก็คือ
  1. ผนังเซลล์ หรือที่เรียกว่า Plasma Membrane
  2. นิวเคลียส Nucleus
  3. ไมโทคอนเรียร์ Mitochondria

จากภาพ Picture 01 รูปที่ 1 เมื่ออนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะตรงเข้าไปที่ผนังเซลล์ และทำลายผนังเซลล์ทันทีที่มันไปกระทบกับผนังเซลล์ ดังรูปที่ 2 และ 3 ใน Picture 01 ซึ่งการทำลายนี้จะเป็นการทำลายแบบโดมิโน่ หมายความว่า เมื่อเซลล์ที่ 1 ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ เซลล์ที่ 1 นั้นจะเข้าไปทำลายเซลล์ที่ 2 แเละเมื่อเซลล์ที่ 2 โดยทำลาย มันก็จะไปทำลายเซลล์ที่ 3 และจะทำลายต่อไปเรื่อยๆนั่นก็คือ เมื่อเซลล์โดนกระตุ้นโดยอนุมูลอิสระ เมื่อไหร่ เซลล์เหล่านั้นก็จะเกิดภาวะการทำลายตัวเองอย่างต่อเนื่องทันที และ เมื่ออนุมูลอิสระ ทำลายผนังเซลล์ได้แล้ว จุดหมายต่อไปก็คือ ทำลายสารพันธุกรรมหรือ DNA ดังรูปที่ 4 ใน Picture 01 มันจะทำลายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รับสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (จะกล่าวถึงสารต้านอนุมูลอิสระในบทต่อไป) เมื่อเซลล์โดนทำลายมากก็จะทำให้การแบ่งเซลล์นั้นผิดเพี้ยน ดังรูป Picture 02 จนในที่สุด ก็ก่อให้เกิดโรคที่เรียกว่าโรคแห่งความเสื่อมอย่างมากมาย โดยปัจจุบัน เรารู้ว่าโรคแห่งความเสื่อมที่เกิดจาก อนุมูลอิสระนั้นมีมากกว่า 3 หมื่น ชนิด ซึ่งโรคที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ โรคมะเร็ง, โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือด, โรคความดันโลหิตสูง
สำหรับโรคมะเร็ง ปัจจุบันนี้ข้อมูลจากสภากาชาดไทยได้สรุปอัตราผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งอยู่ที่ 25% ของประชากรทั้งประเทศ หมายความว่า ถ้ามีคนนั่งกันอยู่บริเวณเดียวกัน 4 คน จะมี 1 คนเป็นมะเร็งเสมอ และจากข้อมูลล่าสุด ผู้ที่เป็นมะเร็ง มีโอกาศรอดแค่ 1 ใน 3 เท่านั้นเอง (แต่อาจจะเพิ่มเป็น 1 ใน 2 ได้ ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยมะเร็งรู้ตัวก่อนที่การป่วยจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะลุกลาม)

นอกจากนี้ ยังมีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและอัตราการเสียชีวิตของผู้ที่ป่วยเป็น โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือด, โรคความดันโลหิตสูง ไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งสำหรับประเทศไทย ผู้ที่เสียชีวิตจากโรคที่กล่าวมาข้างต้นนั้นอยู่ที่ 5 คนต่อชั่วโมง
นักวิทยาศาสตร์ ได้วิจัยต่อไปจนพบว่าในวันหนึ่งๆ เซลล์ 1 เซลล์ในร่ายกายจะต้องถูกการทำลาย จากอนุมูลอิสระเป็น จำนวนมากกว่า 75,000 ครั้ง (แต่ถ้าหากใครก็ตามที่สูบบุหรี่ จะได้รับอนุมูลอิสระ มากถึง 10,000,000,000,000,000 ตัวต่อการสูบบุหรี่ 1 มวล)

สำหรับสาวๆทั้งหลายนั้น อนุมูลอิสระ มีผลที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการทำลาย โดยจะสังเกตุได้จากริ้วรอยบนใบหน้า (ซึ่งเป็นจุดที่ เครื่องสำอางค์ทั้งหลายให้ความสำคัญ และ เราจะรู้จัก อนุมูลอิสระจากเรื่องนี้ มากที่สุด)

จากเรื่องราวข้างบน ท่านอาจจะอยากทราบแล้วว่า อนุมูลอิสระ นั้นจริงๆแล้วมาจากที่ไหนบ้าง ก็จะขอบอกไว้เลยว่าอนุมูลอิสระนั้นมีอยู่รอบๆตัวเรา และ เราได้รับทุกวัน ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง
ตราบที่เรายังหายใจเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย

หลังจากที่รู้จักอนุมูลอิสระกันแล้ว คราวนี้ มารู้จักสารต้านอนุมูลอิสระกันบ้าง

สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งชื่อก็มีความหมายตรงตัวอยู่แล้ว คือ เอาไว้ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่เข้ามาในร่างกาย ของเรานั่นเอง ก่อนอื่นเราจะมาดูหน้าที่และการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระกันก่อนนะครับ จาก Picture 03 เราจะเห็นว่าสารต้านอนุมูลอิสระจะถูกแทนด้วยสีเขียว ในขณะที่อนุมูลอิสระจะถูกแทนที่ด้วยสีส้ม โดยจากรูปคุณจะเห็นได้ว่าตัวโมเลกุลของอนุมูลอิสระนั้น จะประกอบด้วยนิวเคลียส (จุดใหญ่สีส้มตรงกลาง) และ อิเล็คตรอน (จุดเล็กๆรอบๆจุดสีส้มใหญ่) และ สารต้านอนุมูลอิสระ ก็จะประกอบด้วยนิวเคลียส และ อิเล็คตรอนเช่นกัน แต่ลองสังเกตว่าตัวอนุมูลอิสระนั้นจะมีอิเล็คตรอนอยู่ไม่ครบคู่ เพราะฉะนั้นเมื่ออนุมูลอิสระเข้ามา ในร่างกายของเรา มันจะดึงเอาอิเล็คตรอนจากเซลล์เราไปใช้ ทำให้อนุภาคของเซลล์เรากลายเป็นอนุมูลอิสระ และ มีการทำลายอย่างต่อเนื่อง ทีนี้เมื่อร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) สารต้านอนุมูอิสระ (Anti-Auxident) ก็จะทำหน้าที่ในการปล่อยอิเล็คตรอน จำนวนหนึ่งไปให้กับ อนุมูลอิสระ ก่อนที่ อนุมูลอิสระ เหล่านั้นจะมีโอกาศได้ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อของเรา ทำให้อนุมูลอิสระเหล่านั้นหมดฤทธิ์ แต่โชคไม่ดีที่ ร่างกายของเรานั้นจะผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) ออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ร่ายกายของเราจำเป็นต้อง พึ่งพาสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) จากแหล่งอื่นๆ อีก ซึ่งได้แก่จากพืชผักทั้งหลาย ดังนั้นผู้ที่ทานผัก มาก จะมีโอกาศได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) ที่มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามร่างกายเรานั้นต้องการสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Auxident) ที่ค่อนข้างจะหลากหลาย (เพราะว่าอนุมูลอิสระ (Free Redical) ก็มีที่มาหลากหลายเช่นกัน) ดังนั้นการทานผักแค่ชนิดเดียวย่อมไม่เป็นผลดีแก่ร่างกายโดยรวม

สารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันนั้น ก็มีอยู่มากมาย เช่นสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในรูปของ Vitamin ได้แก่ Vitamin C, Vitamin E, CoQ10 ฯ หรือ สารต้านอนุมูลอิสระ โดยตรง ซึ่งได้แก่สารสกัดจากเมล็ดองุ่น, สารสกัดจากชาเขียว (โพลีฟีนอล), สารสกัดจากเห็นหลินจือ (โพลีเซ็คคาไลด์), กรดอัลฟ่าไลโปอิค, เบต้าแคโรธีน ฯ

ซึ่งสารอาหาร, Vitamin, เกลือแร่ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถขาดได้เลยในแต่ละวัน เพราะการขาดสารอาหาร อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมมีผลทำให้การปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระ ลดประสิทธิภาพลง

แหล่งที่มาของอนุมูลอิสระ

จากรูป Picture 05 จะเห็นได้ว่าอนุมูลอิสระนั้น เกิดจาก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายใน และ ปัจจัยภายนอก

ปัจจัยภายในหมายความว่าอย่างไร
ปัจจัยภายในหมายความว่า ร่างกายเรานั่นแหล่ะเป็นตัวสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมาเอง โดยเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น หลังจากที่เราหายใจเอาออกซิเจนเข้ามาในร่างกาย และเมื่อเม็ดเลือดแดง นำออกซิเจนเหล่านั้นส่งไปยัง เซลล์ ต่างๆ เซลล์ต่างๆ ก็จะนำออกซิเจนมาเผาผลาญสารอาหารที่เราทานเข้าไปเพื่อให้เกิดพลังงาน ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ และ ขั้นตอนนี้เองเราเรียกว่าการสันดาป ซึ่งการสันดาปนี้ เมื่อมันไม่สมบูรณ์ (มีโอกาศเกิดขึ้นได้สูง) ก็จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นมา โชคดีที่หากท่านเป็นบุคคลทั่วๆไปที่ไม่ใช่นักกีฬา ร่างกายก็จะสามารถขจัดอนุมูลอิสระเหล่านี้ออกไปได้ไม่ยากนัก โดยสิ่งที่เรียกว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือ Anti Oxidant (แต่ร่างกายก็ผลิตสารต่อต้านอนุมูลอิสระหรือ Anti Auxidant ได้ไม่มากนัก ดังนั้น จึงต้องพึ่งพา สารต่อต้านอนุมูลอิสระจากแหล่งอื่น ได้แก่ พวกพืชผักทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น มะเขือเทศ ที่ให้ไลโคปีน, แครอท ที่ให้สารเบต้าแคโรธีน หรือ ผักโขม ที่ให้กรดอัลฟ่าไลโปอิค ซึ่งจะกล่าวในตอนต่อไป) นี่คือปัจจัยภายในที่เกิด จากกระบวนการทั่วๆไปของร่างกายท่านเอง นอกจากนี้ หากท่านเป็นบุคคลที่ทำงานในบรรยากาศที่มีความเครียดสูง ร่างกายของท่านก็จะสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมา มากกว่าปรกติเช่นกัน ดังนั้น ขอให้ท่านจำไว้ว่า อนุมูลอิสระ ที่เกิดจากปัจจัยภายในนั้น เกิดขึ้นตลอดเวลา และ ท่านหลีกเลี่ยงได้ยากมาก

ปัจจัยภายนอกหมายความว่าอย่างไร
ปัจจัยภายนอกที่จะกล่าวถึง ก็คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากแสง UV ควันจากไอเสียรถยนต์ มลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรม ไอเสียจากรถยนต์ และ ที่สำคัญที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
ณ.ปัจจุบัน นั่นก็คือ จากอาหาร

คิดว่าอนุมูลอิสระที่เป็นปัจจัยภายนอกนั้น โดยส่วนใหญ่ทุกๆท่านจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่อยากจะกล่าวถึง และ เน้นหนักก็คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากอาหารที่เราทานเข้าไป อาจจะงงว่าทำไมอาหารที่ เราทานเพื่อประทังชีวิตนั้น จึงเป็นแหล่งของอนุมูลอิสระ

อยากจะให้ท่านทั้งหลาย ลองสังเกตุอาหารรอบๆโต๊ะตัวเองให้ละเอียดสักครั้ง ดังนี้
  1. เวลาทานอาหาร ท่านทานอาหารที่ไหน ที่บ้านหรือที่ร้านอาหาร หากเป็นที่บ้าน น่าเชื่อเหลือเกิน ว่าท่านจะปรุงอาหารได้อย่างสะอาดและถูกหลักอนามัย แต่ ท่านเคยรู้หรือไม่ว่า พืชผักที่ท่านทาน อยู่นั้นและเชื่อว่าเป็นแหล่งของเกลือแร่ วิตมินอย่างดีนั้น จริงๆแล้ว ท่านอาจจะไม่ทราบว่า เป็นแหล่งเก็บสะสม สารพิษอย่างดีด้วยเช่นกัน หากเป็นพืชผักชนิดทานใบ ท่านจะได้ยาฆ่าแมลงแน่ๆ ท่าน อาจจะบอกว่า ท่านล้างสะอาดดีแล้ว งั้นผมจะถามท่านกลับว่า ทราบได้อย่างไรว่าสะอาดดีแล้ว สารเคมีที่แฝงมากับผักและผลไม้นั้น ท่านไม่มีทางมองเห็นนอกจะต้องนำไปผ่านกรรมวิธีทางเคมี หรือการส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ หากท่านบอกว่าท่านซื้อพืชผักจากร้านขายผักปลอดสารพิษ ท่านทราบหรือไม่ว่าผักปลอดสารพิษนั้น เค้าปลูกกันอย่างไร จริงๆแล้วผักปลอดสารพิษ โดย ส่วนใหญ่แล้ว ก็ใช่ยาฆ่าแมลงอยู่นั่นเอง แต่การใช้ยาฆ่าแมลงของผักปลอดสารพิษนั้น จะใช้ในปริมาณ ที่ถูกจำกัด และ ใช้ก่อนที่จะเก็บผลผลิตเป็นเวลานานพอสมควร โดยเชื่อว่า เมื่อทิ้งไว้นานพอสมควรแล้ว สารเคมีเหล่านั้นจะสลายไปใน อากาศ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า เมื่อใช้สารเคมีบ่อยเข้าๆ สารเคมีเหล่านั้นก็จะสะสมในดิน จนทำให้ดินที่ใช้ปลูกพืชผักเหล่านั้น อุดมไปด้วยสารเคมีแล้วทีนี้ เวลาปลูกผักในดินเหล่านั้น พืชผักก็จะได้ รับสารเคมีที่อยู่ในดินต่อไป ส่วนถ้าเป็นพืชทานหัว เช่น แครอท, หัวใช้เท้า, มัน, มันเทศ ท่านจะได้รับยาฆ่าหญ้าแน่ๆ เพราะ การปลูกพืชเหล่า นี้เกษตรกรต้องใช้ยาฆ่าหญ้าเป็นจำนวนมากเพื่อควบคุมปริมาณของวัชพืช ไม่ให้มาทำลายผลผลิตเหล่านั้น
  2. นอกจากนี้ สำหรับท่านที่ชอบทานอาหารนอกบ้านและชอบทานอาหารพวกปิ้งย่าง ขอให้ท่านพึงระลึกเสมอว่า ท่านมีโอกาศป่วยเป็นมะเร็งสูงกว่าบุคคลทั่วไปอย่างน้อย 20 เท่า เพราะปรกติแล้วอาหารปิ้งย่างเหล่านั้น ก็ทำให้ท่านเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าปรกติอยู่แล้ว แต่หากปัจจุบัน อาหารปิ้งย่างหลายๆอย่างจะถูกหมักด้วยผงชูรส ซึ่งผงชูรสนั้น เมื่อได้รับความร้อนโดยตรงจากการปิ้ง หรือ ย่างจะทำให้ผงชูรสนั้นเปลี่ยนเป็นสารเคมีที่ส่งเสริมให้เกิดการเป็นมะเร็งได้ง่ายขึ้นอีก 20 เท่า
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับเรื่องของอนุมูลอิสระ จริงๆแล้ว ปัจจัยภายนอกที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระนั้นยังมีอีกหลายชนิด นอกจากอาหารที่กล่าวถึง ได้แก่อนุมูลอิสระจากแสง UV,
อนุมูลอิสระจากควันไอเสียรถยนต์, อนุมูลอิสระจากควันบุหรี่, อนุมูลอิสระจากมลพิษในอากาศที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งผมจะนำเสนอในบทต่อไป

อย่างไรก็ตาม ผมก็อยากให้ทุกๆท่านพึงระลึกไว้เสมอว่า เราต้องดูแลสุขภาพของเราให้ดีนะครับ จำไว้ว่า "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐนะครับ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

.

.