Gastroesophageal Reflux Disease (GERD) หรือกรดไหลย้อน
GERD คืออะไร
GERD ย่อมาจาก Gastroesophageal reflux disease แปลตามตัวคือโรคที่มีการไหลย้อนกลับ จากกระเพาะกลับมายังหลอดอาหาร อ่าน http://www.bloggang.com เพื่อความเข้าใจสภาวะปกติของกระเพาะอาหาร เมื่อการทำงานของกระเพาะอาหารเกิดผิดไปจากปกติไม่ว่าจากสาเหตุใด ทำให้เกิดการทำงานของกระเพาะและหลอดอาหารในทิศทางที่ย้อนกลับ เจ้ากรดที่ย้อนกลับขึ้นมารวมทั้งอาหารที่ได้กินเข้าไปก็กลับขึ้นมาก่ออาการต่างๆกัน
อาการ
อาการของโรคนี้มีทั้งแบบที่อาการตรงไปตรงมา และแบบอาการที่ไม่ตรงไปตรงมา อาการแบบตรงไปตรงมา หรืออาการโดยทั่วไปที่พบบ่อย ก็คือ อาการแสบร้อนจากลิ้นปี่ขึ้นมาที่หน้าอกหรือลำคอ(จากกรดที่ย้อนขึ้น) อาการจุกแน่นหน้าอกหรือกลืนอาหารลำบาก(จากการทำงานกลับทิศทางของกระเพาะและหลอดอาหาร)ถ้าเป็นมากก็อาจจะถึงกับมีการขย้อนได้ นั่นเป็นอาการหลักของเจ้าGERDที่พบบ่อย แต่ผู้ป่วยหลายรายที่เป็นโรคนี้มาพบแพทย์ด้วยอาการอื่นหรือโรคอื่นซึ่งเป็นผลพวงจากโรคGERD
ซึ่งนอกจากอาการหลักที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีอาการอีกหลายอาการที่สามารถเกิดขึ้นจากกรดไหลย้อนได้ อย่างเช่นอาการไอเจ็บคอ หรือเสียงแหบแห้งอันเนื่องมาจากกรดที่ไหลย้อนนั้นสำลักขึ้นมาที่คอหอยหรือสำลักลงหลอดลม และอาการเจ็บหน้าอกซึ่งในบางรายอาจจำเป็นต้องแยกจากโรคหัวใจ บางรายอาจจะมีอาการตอนกลางคืนโดยไม่รู้ตัวอย่างเช่นตื่นเช้ามาแล้วมีอาการเจ็บคอโดยไม่ทราบสาเหตุหรือตื่นมากลางดึกด้วยมีอาการจุกแน่นที่คอหอย
สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน
สาเหตุที่พอจะหาได้ก็คือ การเกิดความผิดปกติที่ทำให้การทำงานหรือลักษณะ ของทางเดินอาหารเปลี่ยนไปจากแบบปกติ โดยมีสาเหตุต่างๆกัน
ปัญหาเรื่องการตรวจนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่บ้าง เพราะที่จริงแล้วการจะวินิจฉัยให้แม่นยำที่สุดนั้น ต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่าEsophageal Manometry (เครื่องวัดความดันในหลอดอาหาร) และ 24hr pH monitoring(เครื่องวัดสภาพกรดด่าง) เพื่อวัดความดันของหูรูด กระเพาะและดูว่ามีกรดที่ไหลย้อนกลับมาหรือเปล่า
แต่ที่ปัจจุบันหมอส่วนใหญ่ทำกันอยู่ก็คือ ทำการวินิจฉัยจากอาการไปเลย ... เหตุที่แพทย์ไม่ได้ใช้เจ้าเครื่องมือที่ว่านี้ในการวินิจฉัยเสมอ ก็เพราะว่าเครื่องนี้มีน้อย ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการจัดการ และยุ่งยากใช้เวลานาน (วันนึงวินิจฉัยได้แค่คนเดียว) การวินิจฉัยส่วนใหญ่จึงต้องตั้งบนหลักของอาการ และทำการตรจแยกโรคอื่นๆออกไปเสียก่อน
ในการตรวจนั้น แพทย์จะซักประวัติอาการที่เป็น ซักประวัติอาหารการกินและความสัมพันธ์กับอาการ รวมทั้งตรวจร่างกายหาลักษณะที่เข้าได้ของกรดไหลย้อน
เมื่อประวัติและอาการเข้ากันได้ แพทย์ก็อาจจะพิจารณารักษาด้วยกลุ่มยาลดกรด และยาปรับการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารไปก่อน เลยและทำการประเมินหลังจากนั้น และสำหรับรายที่เป็นมากๆ ก็อาจจะต้องทำการส่องกล้องดูหลอดอาหาร เพื่อดูว่ามีหลอดอาหารอักเสบหรือไม่
ต้องรักษาหรือไม่
การจะรักษาหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ามีอาการมากหรือไม่และรบกวนชีวิตประจำวันมากเพียงใด ถ้ามีอาการน้อยๆนานๆครั้งก็อาจจะเป็นเพียงแค่การขย้อนตามภาวะปกติก็ได้ แต่ถ้ามีอาการมากจนรบกวนการทำงานในชีวิตประจำวันก็ต้องระลึกไว้ว่าการที่มีกรดไหลย้อนหรือมีอาการมากก็มีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียง เช่น เส้นเสียงอักเสบ เสียงแหบ ปอดบวม หลอดอาหารตีบ หลอดอาหารอักเสบ(ซึ่งถ้าเป็นเยอะมากๆก็จะเป็นโรคBarretและกลายเป็นมะเร็งได้) ฟันผุ ทั้งนี้ก็ต้องพิจารณาเป็นรายๆไป
การรักษา
อย่างที่ได้บอกแล้วว่าสาเหตุส่วนหนึ่งนั้นเกิดมาจากพฤติกรรมการกินซึ่งแก้ไขได้ และมีอีกส่วนที่เกิดจากตัวหูรูดหลอดอาหารเองซึ่งแก้ไขไม่ได้ ดังนั้นการรักษาจึงมีสองส่วนนั่นคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยาซึ่งต้องทำควบคู่กันไป...
การปรับพฤติกรรมการกิน ทำโดยหลีกเลี่ยงการกินอาหารจนอิ่มจัด หลีกอาหารที่เป็นสาเหตุเช่นกาแฟ เหล้า หลังจากกินแล้วไม่ควรนอนทันทีแต่ควรจะเว้นระยะให้อาหารได้ย่อย ส่วนการใช้ยานั้นก็มียาแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆกันได้แก่
ข้อสำคัญของโรคนี้ก็คือ การวินิจฉัยให้แน่นอนนั้นทำได้ยาก หลายครั้งอาจจะต้องรักษาไปก่อนที่จะวินิจฉัยได้100% ดังนั้นการรักษาจึงต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ร่วมไปกับการรักษาด้วยแพทย์
-=Byหมอแมว=-
มีผู้หญิงวัยรุ่นมาโรงพยาบาลด้วยอาการสำคัญคือกลัวเป็นโรคหัวใจ ซักถามประวัติได้ความว่า เธอจะมีอาการเจ็บหน้าอกตรงกลางค่อนมาทางซ้าย เป็นมากเวลาออกแรงยกของ เมื่อตรวจโดยการกดก็พบว่าเธอปวดและเจ็บที่ซี่โครงและกล้ามเนื้อ ดังนั้นในครั้งแรกจึงได้วินิจฉัยว่าเป็นโรคกลุ่มcostochondritis หรือกระดูกอ่อนซี่โครงอักเสบ ก่อนจะกลับผมก็ได้บอกว่าถ้ากดแล้วเจ็บเหมือนกันกับตอนเป็น ก็น่าจะเป็นอาการเจ็บที่เกิดจากกล้ามเนื้อและกระดูก ส่วนโรคหัวใจนั้นไม่น่าจะเจ็บเมื่อทำการกด ว่าแล้วผมก็ให้ยาแก้ปวดกล้ามเนื้อแก้อักเสบไปผ่านไประยะหนึ่งเธอกลับมาอีกครั้ง คราวนี้บอกว่าสงสัยจะเป็นโรคหัวใจจริงๆ เพราะว่าตอนนี้อาการเจ็บแบบเดิมหายไปแล้ว แต่มีอาการเจ็บอีกแบบที่กดหน้าอกก็ไม่เจ็บ แต่เวลาเป็นจะจุกแน่นขึ้นมาที่คอ และมีอาการเจ็บแสบร้อนเหมือนหัวใจจะไหม้ ผมซักถามประวัติอีกหน่อยและตรวจร่างกายเพิ่มเล็กน้อย ก่อนจะลงความเห็นว่าก็ยังไม่ใช่โรคหัวใจอยู่ดี แต่น่าจะเป็นภาวะที่เรียกว่า GERD หรือกรดไหลย้อน
GERD คืออะไร
GERD ย่อมาจาก Gastroesophageal reflux disease แปลตามตัวคือโรคที่มีการไหลย้อนกลับ จากกระเพาะกลับมายังหลอดอาหาร อ่าน http://www.bloggang.com เพื่อความเข้าใจสภาวะปกติของกระเพาะอาหาร เมื่อการทำงานของกระเพาะอาหารเกิดผิดไปจากปกติไม่ว่าจากสาเหตุใด ทำให้เกิดการทำงานของกระเพาะและหลอดอาหารในทิศทางที่ย้อนกลับ เจ้ากรดที่ย้อนกลับขึ้นมารวมทั้งอาหารที่ได้กินเข้าไปก็กลับขึ้นมาก่ออาการต่างๆกัน
อาการ
อาการของโรคนี้มีทั้งแบบที่อาการตรงไปตรงมา และแบบอาการที่ไม่ตรงไปตรงมา อาการแบบตรงไปตรงมา หรืออาการโดยทั่วไปที่พบบ่อย ก็คือ อาการแสบร้อนจากลิ้นปี่ขึ้นมาที่หน้าอกหรือลำคอ(จากกรดที่ย้อนขึ้น) อาการจุกแน่นหน้าอกหรือกลืนอาหารลำบาก(จากการทำงานกลับทิศทางของกระเพาะและหลอดอาหาร)ถ้าเป็นมากก็อาจจะถึงกับมีการขย้อนได้ นั่นเป็นอาการหลักของเจ้าGERDที่พบบ่อย แต่ผู้ป่วยหลายรายที่เป็นโรคนี้มาพบแพทย์ด้วยอาการอื่นหรือโรคอื่นซึ่งเป็นผลพวงจากโรคGERD
ซึ่งนอกจากอาการหลักที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีอาการอีกหลายอาการที่สามารถเกิดขึ้นจากกรดไหลย้อนได้ อย่างเช่นอาการไอเจ็บคอ หรือเสียงแหบแห้งอันเนื่องมาจากกรดที่ไหลย้อนนั้นสำลักขึ้นมาที่คอหอยหรือสำลักลงหลอดลม และอาการเจ็บหน้าอกซึ่งในบางรายอาจจำเป็นต้องแยกจากโรคหัวใจ บางรายอาจจะมีอาการตอนกลางคืนโดยไม่รู้ตัวอย่างเช่นตื่นเช้ามาแล้วมีอาการเจ็บคอโดยไม่ทราบสาเหตุหรือตื่นมากลางดึกด้วยมีอาการจุกแน่นที่คอหอย
สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน
สาเหตุที่พอจะหาได้ก็คือ การเกิดความผิดปกติที่ทำให้การทำงานหรือลักษณะ ของทางเดินอาหารเปลี่ยนไปจากแบบปกติ โดยมีสาเหตุต่างๆกัน
- อาหารและยา เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต ยารักษาความดันโลหิตสูงและหัวใจบางชนิด อาหารและยากลุ่มนี้จะทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างเกิดการหย่อนตัวลง
- อาหารกลุ่มไขมันและอาหารมื้อใหญ่ๆ อาหารที่มีไขมันมากหรือมีปริมาณมาก จะทำให้อาหารคงค้างในกระเพาะอาหารนาน มีโอกาสเกิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น
- อ้วน ความอ้วนจะทำให้เกิดแรงดันในท้องมากขึ้น ทำให้สามารถดันผ่านหูรูดได้ง่ายขึ้น
- หูรูดอ่อนแรงลงเอง : อันนี้เป็นสาเหตุที่แก้ไขไม่ได้ แต่เป็นสาเหตุหลักที่พบได้บ่อยที่สุด
ปัญหาเรื่องการตรวจนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่บ้าง เพราะที่จริงแล้วการจะวินิจฉัยให้แม่นยำที่สุดนั้น ต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่าEsophageal Manometry (เครื่องวัดความดันในหลอดอาหาร) และ 24hr pH monitoring(เครื่องวัดสภาพกรดด่าง) เพื่อวัดความดันของหูรูด กระเพาะและดูว่ามีกรดที่ไหลย้อนกลับมาหรือเปล่า
แต่ที่ปัจจุบันหมอส่วนใหญ่ทำกันอยู่ก็คือ ทำการวินิจฉัยจากอาการไปเลย ... เหตุที่แพทย์ไม่ได้ใช้เจ้าเครื่องมือที่ว่านี้ในการวินิจฉัยเสมอ ก็เพราะว่าเครื่องนี้มีน้อย ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการจัดการ และยุ่งยากใช้เวลานาน (วันนึงวินิจฉัยได้แค่คนเดียว) การวินิจฉัยส่วนใหญ่จึงต้องตั้งบนหลักของอาการ และทำการตรจแยกโรคอื่นๆออกไปเสียก่อน
ในการตรวจนั้น แพทย์จะซักประวัติอาการที่เป็น ซักประวัติอาหารการกินและความสัมพันธ์กับอาการ รวมทั้งตรวจร่างกายหาลักษณะที่เข้าได้ของกรดไหลย้อน
เมื่อประวัติและอาการเข้ากันได้ แพทย์ก็อาจจะพิจารณารักษาด้วยกลุ่มยาลดกรด และยาปรับการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารไปก่อน เลยและทำการประเมินหลังจากนั้น และสำหรับรายที่เป็นมากๆ ก็อาจจะต้องทำการส่องกล้องดูหลอดอาหาร เพื่อดูว่ามีหลอดอาหารอักเสบหรือไม่
ต้องรักษาหรือไม่
การจะรักษาหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ามีอาการมากหรือไม่และรบกวนชีวิตประจำวันมากเพียงใด ถ้ามีอาการน้อยๆนานๆครั้งก็อาจจะเป็นเพียงแค่การขย้อนตามภาวะปกติก็ได้ แต่ถ้ามีอาการมากจนรบกวนการทำงานในชีวิตประจำวันก็ต้องระลึกไว้ว่าการที่มีกรดไหลย้อนหรือมีอาการมากก็มีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียง เช่น เส้นเสียงอักเสบ เสียงแหบ ปอดบวม หลอดอาหารตีบ หลอดอาหารอักเสบ(ซึ่งถ้าเป็นเยอะมากๆก็จะเป็นโรคBarretและกลายเป็นมะเร็งได้) ฟันผุ ทั้งนี้ก็ต้องพิจารณาเป็นรายๆไป
การรักษา
อย่างที่ได้บอกแล้วว่าสาเหตุส่วนหนึ่งนั้นเกิดมาจากพฤติกรรมการกินซึ่งแก้ไขได้ และมีอีกส่วนที่เกิดจากตัวหูรูดหลอดอาหารเองซึ่งแก้ไขไม่ได้ ดังนั้นการรักษาจึงมีสองส่วนนั่นคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยาซึ่งต้องทำควบคู่กันไป...
การปรับพฤติกรรมการกิน ทำโดยหลีกเลี่ยงการกินอาหารจนอิ่มจัด หลีกอาหารที่เป็นสาเหตุเช่นกาแฟ เหล้า หลังจากกินแล้วไม่ควรนอนทันทีแต่ควรจะเว้นระยะให้อาหารได้ย่อย ส่วนการใช้ยานั้นก็มียาแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆกันได้แก่
- ยาต้านกรด Antacid (ภาษาบ้านเราชอบเรียกว่ายาลดกรด)
- ยาลดกรด ซึ่งลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
- ยากลุ่มprokinetic หรือที่มักเขียนไว้ที่หน้าซองยาว่ายาแก้คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งกลไกของมันก็คือทำให้หลอดอาหารและกระเพาะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่ให้กรดย้อนกลับขึ้นมา
ข้อสำคัญของโรคนี้ก็คือ การวินิจฉัยให้แน่นอนนั้นทำได้ยาก หลายครั้งอาจจะต้องรักษาไปก่อนที่จะวินิจฉัยได้100% ดังนั้นการรักษาจึงต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ร่วมไปกับการรักษาด้วยแพทย์
-=Byหมอแมว=-
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น